เวียดนามฉลุย WTO เข้าเกียร์แซงหน้าไทย!?
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 มกราคม 2550 21:33 น.
เวียดนามได้เป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างสมบูรณ์แล้วในวันพฤหัสบดี (11 ม.ค.) หลังจากใช้ความพยายามมานานกว่า 11 ปี
แน่นอนการได้เป็นประเทศสมาชิกอันดับที่ 150 ของประชาคมการค้าโลก ย่อมมีความหมายสำคัญสำหรับประเทศนี้ และ ก็มีคำถามดังๆ ขึ้นมาว่า เวียดนามกำลังจะก้าวล้ำหน้าแซงประเทศไทยในทางเศรษฐกิจใช่หรือไม่?
** เวียดนามกำลังจะเจริญกว่าประเทศไทยใช่ไหม? **
ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร ความสำเร็จที่โดดเด่นประการหนึ่งก็คือ การที่คอมมิวนิสต์เวียดนามสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้อย่างมากมาย และ เรากำลังเผชิญกับความจริงที่ว่าวันนี้มีต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนามมากกว่าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
แน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นการสูญเสียของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การเสียโอกาส
ในปี 2549 ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเวียดนาม "เฮงแล้วเฮงอีก" เฮงแบบ 3-4 เด้ง
ตัวเฮงที่สำคัญมากก็คือ การที่ยังสามารถรักษาตำแหน่ง ประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตสูงเป็นอันดับ 2 ในทวีปเอเชียเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เวียดนามเป็นรองแค่ประเทศจีนเท่านั้น
หลายปีมานี้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.5% ปีที่แล้วตัวเลขเป็น 8.1% ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อยเพราะความผันผวนด้านในเรื่องราคาน้ำมันดิบโลก และ ยังถูกไต้ฝุ่นเล่นงานหนักๆ ถึง 3 ลูก
ส่วนปี 2550 นี้ เวียดนามวางเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจเอาไว้ที่ 8.2-8.5%
ลองมาดูความเฮงอันเป็นภาพรวมที่สำคัญกันบ้าง :
1. การลงทุนของต่างชาติในปี 2549 ทะลุ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไม่คาดไม่ฝัน ทั้งๆ ที่ตั้งเป้าเอาไว้เพียง 6,500 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าปี 2548 ที่ทำได้เพียง 6,200 ล้านดอลลาร์
ในปี 2547 ตัวเลขการลงทุนของต่างชาติคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในปี 2548-2549 สัดส่วนเงินลงทุนของต่างชาติในจีดีพีของเวียดนามย่อมจะสูงกว่านั้นอย่างมากมาย
2. การส่งออกดีวันดีคืน ประเทศนี้ส่งออกน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซียโดยแซงหน้าประเทศบรูไนมาหลายปีแล้ว
การส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันดิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าการเกษตรก็สูงขึ้นทุกตัว ยกเว้นข้าวที่ส่งออกได้น้อยลงในปีที่ผ่านมา เพราะความต้องการใช้บริโภคในประเทศสูงขึ้น อันเนื่องมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ถึงกระนั้นเวียดนามก็ยังเป็นรองแชมป์ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก คือเป็นรองจากประเทศไทยเท่านั้น
เวียดนามยังได้กลายเป็นประเทศส่งออกกาแฟรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศบราซิล และ เมื่อปีที่แล้วก็เป็นปีแรกที่มูลค่าส่งสินค้ารายการนี้พุ่งทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป เช่นเดียวกันกับการส่งออกยางพาราที่มีมูลค่าถึง 1,300 ล้านดอลลาร์
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปกับเครื่องนุ่งห่ม ต้องเรียกว่าไปโลด อีกเช่นกัน โดยมีตลาดใหญ่ที่สหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป
การส่งออกรองเท้าปีที่แล้วเจออุปสรรคใหญ่ เวียดนามถูกอีซีกล่าวหาว่าทุ่มตลาดและโดนมาตรการตอบโต้ แต่ตัวเลขส่งออกสินค้าหมวดนี้ก็ยังเพิ่มขึ้น
3. เมื่อปีที่แล้วตลาดทุนเวียดนามเติบโตรวดเร็วมาก ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์ซึ่งเป็น "ตลาดหุ้น" แห่งแรกของประเทศ ขยายตัวกว่า 160% ตอนสิ้นปี เทียบกับตอนเริ่มปีใหม่
ต้นปี 2549 ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์โฮจิมินห์ มีบริษัทจดทะเบียนเพียง 43 แห่ง ถึงสิ้นปีได้เพิ่มขึ้นเป็น 70 แห่ง มูลค่ารวมของตลาดเพิ่มขึ้นแบบทุบทุกสถิติ ที่ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ฮานอยก็ไม่ได้แตกต่างกัน
ดัชนีหุ้นเวียดนาม (VN Index) ได้พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ๆ เกือบจะทุกวันนับตั้งแต่เปิดทำการวันแรกในปีนี้ ดัชนีปิดลงที่ 865 จุดเมื่อวันพุธ (10 ม.ค.) เทียบกับ 809 จุด ที่ทำเอาไว้ก่อนสิ้นปี 2549
รัฐบาลได้ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะนำธนาคารของรัฐ 4 แห่งเข้าจดทะเบียนในตลาดตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปจนถึงปี 2553 รวมทั้งธนาคารเวียดนามคอม (Vietcombank) หรือ Bank of Indochina แห่งอดีต ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐวิสาหกิจกับบริษัทของรัฐรวม 71 แห่งที่จะเข้าจดทะเบียนในช่างปีเดียวกันนี้ ในนั้นมีบริษัทสายการบยินแห่งชาติ คือ เวียดนามแอร์ไลนส์รวมอยู่ด้วย
ตลาดทุนเวียดนามก็จึงมีแต่ข่าวดีตลอด ดัชนีตลาดก็จึงทะยานตลอดเหมือนกระทิงบ้า
** เวียดนามกำลังจะแซงหน้าประเทศไทยแล้วหรือ? **
หลายคนเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็ยังจะไม่ใช่ในอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้ เมื่อวัดกันด้วยปัจจัยและปรากฏการณ์ด้านเศรษฐกิจที่ว่ามาแล้วทั้งหมด ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น
1. แม้ว่าในวันนี้มูลค่าการลงทุนของต่างชาติในไทยจะเบาบางลง แต่การลงทุนที่นี่ก็เป็นแบบลงหลักปักฐานแน่นหนาแล้ว มีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ผลผลิตออกมาก็ดีกว่าทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
ส่วนบริษัทต่างชาติในเวียดนามจะต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี กว่าจะถึงจุดที่ประเทศไทยได้มาถึงแล้ว ณ วันนี้
2. จีดีพีของเวียดนามอาจจะขยายตัวในอัตราสูงมากก็จริง แต่มูลค่ารวม หรือที่เรียกกันว่า "ขนาดของเศรษฐกิจ" (Economics Size) ยังน้อยนิดเมื่อเทียบกับประเทศไทย
. การส่งออกของเวียดนามเติบโตในอัตราสูงมากคือ ปีละกว่า 20% (ปีที่แล้ว 22%) แต่มูลค่าการส่งออกรวมก็ยังเทียบกับของไทยไม่ได้ สินค้าออกเกือบจะทุกรายการมูลค่ายังห่างกันแบบคนละชั้น หากเวียดนามส่งออกได้สักพันล้าน ไทยก็จะส่งออกได้ถึงห้าหรือหกพันล้าน หรือ หมื่นล้าน เป็นต้น
ทั้งนี้ยกเว้นน้ำมันดิบที่เป็นตัวชูโรงในรายการสินค้าส่งออกของเวียดนาม ซึ่งประเทศไทยไม่มี ปีที่แล้วมูลค่าส่งออกน้ำมันดิบของเวียดนามสูงกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ เพราะราคาตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นแม้ว่าจะลดปริมาณการส่งออกก็ตาม
4. ตลาดหุ้นโฮจิมินห์เพิ่งตั้งมา 6 ปี แม้จะได้ทำสถิติเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แต่ยังไม่มีอะไรเทียบเคียงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่พัฒนามาก่อนถึง 30 ปีได้ ทั้งในด้านบริษัทจดทะเบียน มูลค่ารวมของตลาด และ คุณภาพของการลงทุน
การพัฒนาตลาดทุนในประเทศต่างๆ จะต้องใช้เวลานานหลายสิบปี ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทั้งวิกฤตและโอกาสมากมายพอสมควร จึงจะเข้าที่เข้าทาง นี่ก็เป็นความจริงที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว
ความสำเร็จทางเศรษฐกิจของไทยใช้เวลาสั่งสมมานาน 30-40 ปี แต่เวียดนามเพิ่งจะ "เปิดประเทศ" เมื่อปี 2529 เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมรัฐอุปถัมภ์ ไปเป็นเศรษฐกิจแบบตลาด (Market Economy) แต่กว่าจะตั้งลำได้ก็ในอีก 10 ปีต่อมา จึงยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม เวียดนามโตเร็ว ไปเร็วและแรงมาก อย่างที่หลายๆ คนกล่าว
สิ่งหนึ่งที่มีความโดดเด่นมากก็คือ รัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศให้ไปสู่ความทันสมัย มีนโยบาย มีเป้าหมาย และ ระยะเวลาที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ดังจะเห็นได้จาการทุ่มทุน ยอมกู้หนี้ยืมสินเป็นเงินมหาศาล และระดมความช่วยเหลือจากทุกทิศทุกทาง เข้าสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
เวียดนามเริ่มปรับทิศปรับทางการลงทุนของต่างชาติ จากที่เคยส่งเสริมให้เข้าลงทุนผลิตสินค้าเพื่อส่งออกอย่างเดียว ทางการยังได้หันไปส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างต่างๆ ภายในประเทศด้วย
จากที่เคยส่งเสริมการลงทุนแบบเหวี่ยงแห ก็เริ่มมีเป้าหมายเด่นชัดมากขึ้น มีการจัดลำดับความสำคัญของแขนงการลงทุน แยกแยะอุตสาหกรรมทั่วไป กับอุตสาหกรรมที่ประเทศต้องการอย่างเร่งด่วน ซึ่งนักลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์แตกต่างกันไป
จากที่เคยผลิตอาหาร เสื้อผ้า รองเท้า หรือ ผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานมาก เวียดนามได้หันมาส่งเสริมการผลิตสินค้าเทคโนโลยีมี่ใช้ความรู้และภูมิปัญญาต่างๆ มากขึ้น เพื่อป้อนตลาดต่างประเทศ
เวียดนามประสบความสำเร็จมากทีเดียว ดังจะเห็นได้จากสามารถเอาชนะใจอินเทลคอร์ปอเรชัน (Intel Corp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลกได้
อินเทลประกาศในเดือน ก.พ. ปีที่แล้วเกี่ยวกับแผนการลงทุน 605 ล้านดอลลาร์ เพื่อก่อสร้างโรงงานออกแบบ ผลิตและทดสอบชิปแบบครบวงจรในนครโฮจิมินห์ พอถึงเดือน พ.ย.ก็ได้ประกาศขยายการลงทุนเป็นประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์
ผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้อิเลกทรอนิกส์จากญี่ปุ่นจะเริ่มเข้าลงทุนในเวียดนามอย่างเป็นขบวนการในปีนี้ หลังจากมีการโหมโรงและบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งได้เข้าไปนำร่องเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว
นักลงทุนชาวญี่ปุ่นได้เลือกเวียดนามเป็นปลายทางลงทุนแห่งที่ 2 ภายใต้แนวคิด ?จีน+หนึ่ง? (China plus One) ซึ่งหมายความว่า บริษัทใดจะขยายการลงทุนจากจีน เพื่อลดต้นทุน หรือ เฉลี่ยความเสี่ยงอะไรก็แล้วแต่ เป้าหมายก็จะเป็นเวียดนาม ไม่ใช่ที่อื่น
ส่วนอีกทางหนึ่งเวียดนามมีประชากรกว่า 63 ล้านคน ชาวเวียดนามโดยพื้นฐานได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ขยันในการทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้
พรรคคอมมิวนิสต์เอาใจใส่การพัฒนาการศึกษาของผู้คน สถิติผู้อ่านออกเขียนได้ในเวียดนามจึงสูงมากสูงเกือบจะ 100% สูงกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง ที่มีอัตราการรู้หนังสือของประชากร 50-70% เท่านั้น
ประชากรเวียดนามกว่าครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่มที่มีอายุ 20-40 ปี ที่นั่นจึงเป็นทั้งตลาดแรงงานสำคัญ และเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ในขณะเดียวกัน
** ที่นั่นทำอะไรกันบ้าง? แซงหน้าประเทศไทยไปหรือยัง? **
กล่าวโดยสรุป เวียดนามกำลังเร่งพัฒนาทุกอย่างที่ประเทศไทยเริ่มมาตั้งแต่ 10-30 ปีก่อน บางอย่างในไทยดำเนินไปช้ามาก แต่ในเวียดนามไปได้เร็วมาก
กว่าจะเป็นสนามบินสุวรรณภูมิในวันนี้ต้องใช้เวลานานกว่า 30 ปี แต่เวียดนามใช้เวลาเพียง 1 ปีในการศึกษาโครงการสนามบินลองแท็ง (Long Thanh) ใน จ.ด่งนาย (Dong Nai)
เวียดนามได้ประกาศจะสร้างลองแท็งขึ้นมาแข่งกับปลายทางต่างๆ ในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นสุวรรณภูมิ ชางงีในสิงคโปร์ หรือ สนามบินกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อชิงความเป็นศูนย์กลางการบินพาณิชย์ โดยเป้าหมายจะรับผู้โดยสารได้ปีละประมาณ 100 ล้านคน ใหญ่โตกว่าสุวรรณภูมิเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว
การเคลียร์พื้นที่ก่อสร้างสนามบินลองแท็งจะเริ่มลงมือในกลางปีนี้ ไม่ยากนักเนื่องจากที่แห่งนั้นมีสภาพคล้ายๆ กับสนามบินอูตะเภา คือเป็นฐานทัพอากาศเก่าของสหรัฐฯ ในเวียดนามภาคใต้ ที่ทำเอาไว้อย่างแน่นหนา
แต่คงจะใช้เวลาประมาณ 5 ปี จึงจะเปิดให้บริการเฟสที่ 1 ได้
อีกเรื่องหนึ่ง ประเทศไทยพูดถึงรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ หรือ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา มานานกว่า 10 ปี แต่เวียดนามกำลังจะก่อสร้างระบบรถไฟความเร็วสูงฮานอย-โฮจิมินห์ ความยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร ในปีนี้
การก่อสร้างจะเริ่มขึ้นก่อนในช่วงฮานอย-เหงะอาน (Hanoi-Nghe An) คือ ระหว่างภาคเหนือกับภาคกลางตอนบน กับ ช่วงด่าหนัง-โฮจิมินห์ (Danang-Ho Chi Minh) ระหว่างภาคกลางตอนล่างกับภาคใต้ รวมความยาวทั้ง 2 ช่วง เกือบ 1,000 กิโลเมตร ช่วงอื่นๆ รวมทั้งส่วนต่อขยายต่างๆ จะดำเนินไปตลอด 5-10 ปีข้างหน้า
ในบ้านเรากำลังพูดถึงการประมูลการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ในเมืองหลวงอีก 5 โครงการ เพื่อจะเริ่มลงมือกันเสียที ในเวียดนามก็กำลังศึกษาโครงการขนส่งมวลชนระบบรางและระบบล้ออีกนับ 10 โครงการ
ในนั้นมี 2 โครงการเริ่มลงมือก่อสร้างแล้ว อีกจำนวนหนึ่งอยู่ระหว่างการเชิญชวนผู้ลงทุน
ในกรุงฮานอยเพิ่งมีการวางศิลาฤกษ์รถรางไฟฟ้าขนส่งมวลชน (Tramway) สายแรก ที่นั่นยังจะมีรถไฟฟ้าชุมชนรอบนอกอีก 1 โครงการ กับรถไฟลอยฟ้าขนส่งมวลชนอีก 1 โครงการจากใจกลางเมืองหลวง
ส่วนในนครโฮจิมินห์ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภาคใต้ของประเทศเต็มไปด้วยโครงการพัฒนาต่างๆ รวมทั้งการขยายตัวเมืองออกสู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำไซ่ง่อน จึงต้องมีการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่รองรับ
นครโฮจิมินห์เพิ่งประกาศเชิญชวนนักลงทุน เข้าร่วมโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเดี่ยวความเร็วสูง (Hi-Speed Monorail) สายแรกจากทั้งหมด 3 สาย
การก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินเฟสแรกจำนวน 2 สายจากทั้งหมด 6 สายก็จะเริ่มขึ้นในปีนี้เช่นเดียวกัน
ในกรุงเทพฯ กำลังจะมีรถบัสโดยสารขนส่งมวลชน ที่เรียกว่า BRT (Bus Rapid Transit) สายแรก ในนครโฮจิมินห์ก็มีกำหนดลงมือสร้าง BRT สายแรกในปีนี้เช่นเดียวกัน
นักวิเคราะห์ทุกค่ายมองตรงกันว่า เหตุผลที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติแห่งเข้าสู่เวียดนามนั้นมีอยู่เพียงแค่ 2-3 ประการ สูงสุดในนั้นคือ เวียดนามมีความมั่นคงทางการเมืองสูงมาก และ ทางการมีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน หนักแน่นและมั่นคง
นอกจากนั้นรัฐบาลยังเอาใจใส่และมีมาตรการเฉียบขาดในการปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่เคยเป็นปัจจัยเพิ่มต้นทุน และ เตะหน่วงการลงทุนของต่างชาติ
ปัจจัยสำคัญต่อมาก็คือ เวียดนามมีตลาดแรงงานที่ใหญ่โตมาก ค่าแรงยังไม่สูงมาก และที่นั่นก็เป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่อย่างที่กล่าวมาแล้ว
การเข้าเป็นสมาชิก WTO ในวันที่ 11 ม.ค. นี้ เป็นการเปิดศักราชใหม่สำหรับเวียดนามในการเข้าร่วมกับประชาคมการค้าโลก ในนั้นมีทั้งโอกาสและอุปสรรค ซึ่งอันหลังมักจะเรียกกันอย่างสวยหรูว่า "ความท้าทาย"
เวียดนามกำลังจะมีตลาดส่งออกสินค้าที่ใหญ่โตและกว้างไกลกว่าเก่าอีกหลายเท่าตัว ไม่มีโควตา ไม่มีขีดจำกัด แต่ที่สำคัญก็คือจะต้องไปให้ถึง
ขณะเดียวกันภายใต้พันธสัญญาที่ให้ไว้ เวียดนามจะต้องเปิดตลาด เปิดแขนงเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ ที่เคยปิดตายมาตลอด เพื่อให้ต่างชาติสามารถเข้าไปแข่งขันได้
สำหรับประเทศสมารชิกใหม่ การแข่งขันที่รุนแรงอาจจะเริ่มต้นใน 3-5 ปีข้างหน้าโน้น แต่ที่สำคัญก็คือ เวียดนามจะต้องแข่งขันให้ได้ เช่นที่ประเทศไทยกำลังพยายามอยู่กระทั่งทุกวันนี้
เวียดนามจะแซงหน้าประเทศไทยหรือไม่? คนไทยทุกคนจะต้องช่วยกันตอบคำถามนี้.