ทหารพรานหญิง 84 ชีวิต ติดช่อดอกไม้ปลายปืน พร้อมพลีชีพเพื่อประเทศชาติ เตรียมลงพื้นที่เดือนมกราคมปีหน้า ยอมทิ้งหน้าที่การงานอันสุขสบาย หวังเพียงแผ่นดินใต้สุขสงบโดยเร็ว
จากแนวนโยบายที่หลงทิศหลงทางจนไม่สามารถเกาะติดแหล่งข่าวและมวลชนในพื้นที่ได้เช่นในอดีต ส่งผลให้การก่อเหตุของคนร้ายในสามจังหวัดชายแดนใต้สามารถลงมือได้อย่างง่ายดาย และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จึงมีแนวคิดจัดตั้งกองกำลัง "อาสาสมัครทหารพราน" จำนวน 30 กองร้อย โดยมุ่งเน้นกำลังพลในพื้นที่ เนื่องจากมีความชำนาญภูมิประเทศและเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีลึกซึ้งกว่า
พ.อ. (พิเศษ) สนอง บุญซื่อ รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 4 กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการนี้ว่า นับตั้งแต่ ผบ.ทบ. และ พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 มอบนโยบายมาก็มีการเปิดรับสมัครเพื่อคัดเลือกกำลังพลมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ที่ผ่านมา
หลังการพิจารณาคัดเลือกอย่างเข้มข้นก็ได้อาสาสมัครทหารพรานกลุ่มแรก จำนวน 10 กองร้อยทหารพราน รวมทั้งหมด 840 นาย แบ่งเป็นทหารพรานผู้ชายจำนวน 756 นาย และทหารพรานผู้หญิง 84 นาย
อาสาสมัครทหารพรานผู้ชายจะได้รับการฝึกที่ค่ายหน่วยรบพิเศษสิชล จ.นครศรีธรรมราช ส่วนทหารพรานผู้หญิงจะไปฝึกที่ค่ายวชิราวุธ จ.นครศรีธรรมราช
พ.อ. (พิเศษ) สนอง ระบุว่า หลักสูตรการฝึกในเดือนแรกจะเน้นการฝึกท่าบุคคล ท่าอาวุธ และการฝึกกลยุทธ์ต่างๆ
ส่วนช่วงที่สองจะเป็นการฝึกช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการก่อความไม่สงบในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นการฝึกหน่วยทหารเล็ก ใช้ระยะเวลา 15 วัน
ที่สำคัญ คือ จะเป็นการลงไปฝึกปฏิบัติในพื้นที่จริงๆ !!
รองเสนาธิการ กองทัพภาคที่ 4 ระบุว่า นอกจากจะฝึกเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ความไม่สงบแล้วยังจะต้องฝึกวิธีการช่วยเหลือประชาชน, ปฏิบัติการจิตวิทยา, การประชาสัมพันธ์ และงานด้านการข่าว
ทหารพรานทั้ง 30 กองร้อย จะพร้อมลงไปปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในเดือนเมษายน ปี 2550
ด้าน พ.อ.ปกรณ์ จันทรโชตะ ผบ.ทพ.44 ย้ำถึงภารกิจอันแตกต่างของทหารพรานหญิง ซึ่งจะปฏิบัติภารกิจควบคู่กันว่า ที่ผ่านมากลุ่มก่อความไม่สงบมักจะใช้ผู้หญิงและเด็กมาบังหน้า เพื่อกดดันเจ้าหน้าที่
ทางกองทัพภาคที่ 4 เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงจัดให้มีการฝึกอาสาสมัครทหารพรานหญิงเพื่อใช้ใน "ปฏิบัติการทางจิตวิทยา" ถ้าเกิดเหตุการณ์ชุมนุม ประท้วง ขับไล่ โดยใช้ผู้หญิงและเด็กก็จะให้อาสาสมัครทหารพรานหญิงเข้าไปเป็นด่านแรก
ทหารพรานผู้หญิง ซึ่งเป็นมุสลิมและพูดภาษายาวีได้จะเข้าไปทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้มีความเข้าใจกันมากขึ้น และจะส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาในพื้นที่
พ.อ.ปกรณ์ ระบุว่า การฝึกอาสาสมัครทหารพรานหญิงในขั้นแรกก็จะฝึกหลักสูตรทหารพรานเบื้องต้น เช่น การเฝ้าระวังก่อการความไม่สงบ, หลักสูตรการต่อต้านการก่อจลาจล, การประชาสัมพันธ์
ทั้งนี้ ยังจะต้องฝึกทางยุทธวิธีเหมือนกับทหารพรานผู้ชายทุกประการ
แต่อาสาสมัครทหารพรานหญิงยังจะต้อง "ฝึกหลักสูตรพิเศษ" เช่น การทำคลอด, การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล เป็นต้น
ในเบื้องต้นกลุ่มอาสาสมัครทหารพรานหญิงที่จะเข้ารับการฝึกอบรมนั้นมีจำนวนทั้งสิ้น 7 หมู่ทหารพราน รวม 84 นาย
ณัฎฐพัช คงคืน อายุ 26 ปี ดอกไม้เหล็กจากเมืองยะลา กล่าวอย่างมุ่งมั่นว่า สาเหตุที่เลือกมาเป็นทหาร เพราะอยากมีส่วนร่วมในการปกป้องแผ่นดินบ้านเกิดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ
แต่สาเหตุลึกๆ จริงๆ กลับน่าเศร้าสะเทือนใจมากกว่านั้น...
"คุณพ่อเป็นทหาร ถูกคนร้ายลอบยิงจนเสียชีวิต จึงตัดสินใจมาเป็นอาสาสมัครทหารพราน เพราะเคยสัญญากับพ่อเอาไว้ว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะเป็นทหารเหมือนพ่อเพื่อทำหน้าที่พิทักษ์รักษาผืนแผ่นดินเกิด เมื่อมีโอกาสได้เป็นทหารเหมือนพ่อจริงๆ ก็อยากทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเหมือนพ่อ ซึ่งเป็นคนที่เคร่งครัดและจริงจังต่อหน้าที่"
ทหารพรานหญิงรายนี้ กล่าวฝากไปถึงกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทั้งหลายด้วยว่า...
"อยากให้หยุดการกระทำแบบนี้เสียที ลองคิดดูว่าถ้าเกิดคนที่เสียชีวิตไปเป็นญาติพี่น้องหรือพ่อแม่ของคุณจะเสียใจหรือไม่ ที่สำคัญ แผ่นดินไทยแห่งนี้เป็นของเราทุกคน ฉันอยากให้ทุกคนรักกัน และไม่อยากเห็นดินแดนด้ามขวานต้องขาดหายไป"
พาติเมาะ นะระเต๊ะ อายุ 25 ปี สาวชาว อ.รามัน จ.ยะลา บอกว่า หลังจบชั้นปริญญาตรีจาก ม.ราชภัฏยะลา ก็ได้เข้าเป็นเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีของสหกรณ์การเกษตรยะหา จ.ยะลา
แต่แล้วชีวิตก็ผกผันครั้งใหญ่ เมื่อครูฝึก ร.ด.ของเธอแนะนำให้ลองไปสมัครเป็นทหารพรานหญิง จึงตัดสินใจลองไปสมัครดู เพราะโดยส่วนตัวก็ชอบเป็นทหารอยู่แล้ว อีกใจก็อยากจะช่วยบ้านเกิดให้มีสันติสุข
เมื่อสามารถฝ่าด่านเข้ามาเป็นหนึ่งในทหารพรานหญิงได้ ชีวิตของ พาติเมาะ ก็เดินตามรอย "พี่ชาย" ในครอบครัว ซึ่งล้วนแต่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐทั้งสิ้น ทั้งทหาร อส. และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
ครั้งหนึ่งพี่ชายของเธอ ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านถูกคนร้ายลอบยิงจนบาดเจ็บสาหัส พาติเมาะ ยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เธอเลือกเดินมาสู่จุดนี้ !!!
พาติเมาะ กล่าวว่า "ฉันไม่รู้สึกกลัวที่ต้องลงพื้นที่ เพราะเชื่อมั่นในหลักสูตรการฝึก ทั้งยังเชื่อว่าความเป็นคนในพื้นที่และพูดภาษายาวีได้น่าจะช่วยให้การแก้ปัญหาในพื้นที่มีความสงบมากขึ้น"
ขณะที่ ศิริวรรณ แก้วทรายขาว อายุ 26 ปี สาวไทยพุทธจาก อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และบัณฑิต ม.ราชภัฏยะลา เช่นเดียวกับพาติเมาะ บอกว่า ก่อนหน้านี้เคยทำงานอยู่ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียน อ.โคกโพธิ์ ซึ่งต้องลงพื้นที่ไปพบนักเรียนอย่างต่อเนื่องจนรู้ดีถึงสภาพปัญหาในพื้นที่ที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ
"ทุกวันนี้คนนอกพื้นที่แทบจะเข้าไปในพื้นที่สีแดงไม่ได้เลย ขนาดฉันอยู่ในพื้นที่ เวลาจะไปพบเด็กๆ ยังต้องเช็คข่าวจากผู้ใหญ่บ้านก่อนว่าสถานการณ์น่าไว้วางใจหรือเปล่า"
ด้วยเหตุนี้เมื่อทราบข่าวว่ามีการรับสมัครทหารพรานหญิง เธอจึงไม่ลังเลที่จะอาสารับใช้ชาติ และมุ่งมั่นที่จะเรียนหลักสูตรนี้ให้ดีที่สุดเพื่อกลับไปปฏิบัติหน้าที่รับใช้แผ่นดินเกิด
แม้จะไม่อาจรับประกันได้ว่า จะช่วยให้ไฟใต้ดับได้ 100% แต่ศิริวรรณ ก็บอกว่า อย่างน้อยก็ได้ช่วยกันสอดส่องดูแลบ้าง และเชื่อว่า ความอ่อนโยนของผู้หญิงจะช่วยให้บรรยากาศการเผชิญหน้ากันลดน้อยลง
เมื่อถามว่ากลัวหรือไม่ที่ต้องลงพื้นที่ เธอ ก็ยอมว่า "ตอนแรกก็กลัวๆ อยู่เหมือนกัน แต่พอผ่านการฝึกมาสักพักความกลัวมันก็หายไปหมดแล้ว"
ปิดท้ายด้วย ศุภิกา ทรงสวัสดิ์ อายุ 28 ปี บัณฑิตสาวจาก ม.หาดใหญ่ จ.สงขลา แต่พื้นเพจริงๆ เธอเป็นชาว อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นหนึ่งในกำลังพลไม่กี่คนที่มาจากต่างท้องที่
ความรักชาติรักแผ่นดินของเธอก็ไม่เป็นสองรองใคร โดยเมื่อทราบข่าวว่ามีการสมัครทหารพรานหญิง เธอถึงขนาดยอมลาออกจากบริษัทสินเชื่อบุคคลยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งเพื่อภารกิจรับใช้ชาติ และนับว่า "เสี่ยงตาย" มากที่สุดในยามนี้ !!!
ดอกไม้เหล็กรายนี้ กล่าวทิ้งท้ายว่า "ฉันเชื่อว่า การปฏิบัติหน้าที่ของทหารพรานหญิงจะช่วยให้ปัญหาลดลงอย่างน้อยสัก 50% ก็ยังดี โดยเราจะใช้ปฏิบัติการทางจิตวิทยาโน้มน้าวให้ชาวบ้านกลับมาอยู่กับฝ่ายเรา แม้ตอนนี้ฉันจะพูดยาวีไม่ได้ แต่จะพยายามเรียนรู้จากเพื่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนสามจังหวัดชายแดนใต้เพื่อให้เกิดความชำนาญ และเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหามากที่สุด"
ความหวังของดอกไม้เหล็กอาจจะเป็นแค่ "ความฝัน" ที่ยากจะเป็นจริง แต่จิตใจอันกล้าหาญ และมุ่งมั่นของเธอนั้นเป็น "ของจริง" ไม่แตกต่างชายชาติทหารแม้แต่น้อย !!!
นครินทร์ ชินวรโกมล |