หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


อ่านกันนะ

โดยคุณ : mossad เมื่อวันที่ : 22/12/2006 16:14:00

อัด "งบกลาโหม" เพิ่มร้อยละ 33 อย่าให้ถูกครหาว่าฉวยจังหวะ !

กองทัพต้องตอบคำถามให้ดีกรณีเพิ่มงบกลาโหมร้อยละ 33 ประธาน คมช.ชี้ รบตอนนี้ชนะแค่ลาว-กัมพูชา พ้อถูกหั่นงบมานานนับสิบปีจนไร้เขี้ยวเล็บ จึงต้องสร้างกองทัพพัฒนาประเทศ

 "ถ้าผมรบกับประเทศเพื่อนบ้าน ผมชนะอยู่ 2 ประเทศ คือ ประเทศลาวและกัมพูชา"

 ถ้อยแถลงของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คงไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ ให้ใจเสียกันเล่นๆ และน่าจะเป็นการพูดในเชิงยอมรับความจริงอย่างเจ็บปวดเสียมากกว่า

 การส่งสัญญาณอันฟ้องถึงศักยภาพอันอ่อนด้อยของกองทัพไทยครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างการสัมมนาโครงการ "รวมพลังไทย ก้าวไกลสู่โลกาภิวัตน์อย่างพอเพียง" ซึ่งจัดโดย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) กองทัพภาคที่ 1 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2549 ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี-รังสิต

 เรื่องศักยภาพของกองทัพไทยนี้ ทหารในกองทัพรับรู้กันมานานว่าในห้วงเวลานับสิบปีที่ผ่านมา กองทัพถูกหั่นงบจนเหี้ยน และแทบไม่มีงบซ่อมแซมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่

 แค่งบซ่อมยังมีอย่างจำกัดจำเขี่ย ฉะนั้น อย่าไปฝันถึงการจัดซื้ออาวุธ ฝูงบินรบ หรือเรือดำน้ำลำใหม่เลย เพราะโครงการขายฝัน "บาร์เตอร์เทรด" สินค้าเกษตรแลกอาวุธยังพังไม่เป็นท่าในรัฐบาลชุดที่แล้ว !

 ที่มีให้ฮือฮากันเล่นๆ ก็เห็นจะมีเพียงโครงการจัดซื้อแบบ "แพ็คเกจ" เป็นเวลาต่อเนื่อง 9 ปีรวด มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท ของรัฐบาลชุดก่อน...

 แต่ก็ยังได้แค่คิดเท่านั้น หนำซ้ำรัฐบาลชุดนี้ก็ยังสั่งให้ "ทบทวน" กันเสียใหม่ เพราะหวั่นใจว่าจะไปเข้าทางพ่อค้าอาวุธที่หวัง "ฟันเปอร์เซ็นต์" จากการจัดซื้อจัดจ้างลอตมหึมานี้ !!

 เมื่องบพัฒนาศักยภาพของกองทัพยังสะดุดกึกเช่นนี้ คำกล่าวของ พล.อ.สนธิจึงดูไม่เกินเลยเท่าใดนัก เพราะงบพัฒนากองทัพจากเดิมที่มีอยู่ไม่ถึง 5% ของจีดีพี ซึ่งนับว่าน้อยอยู่แล้วนั้น เมื่อผ่าโครงสร้างลงไปจริงๆ ยิ่งน่าตกใจ เพราะ 75% ของเงินจำนวนนี้จะถูกกันเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงให้กำลังพล

 ส่วนที่เหลืออีก 25% แบ่งเป็นค่าซ่อมบำรุง และปฏิบัติการภาคสนาม จึงไม่แปลกที่จะพบข่าวเครื่องบิน หรือ ฮ.ตกอยู่บ่อยๆ ขณะที่ การซ้อมรบนั้นก็ซ้อมกันแบบ "กระสุนลม" เป็นส่วนใหญ่ ส่วนบางหน่วยงานก็แทบไม่มีเงินส่งกำลังบำรุงในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ !!!

 จากข้อเท็จจริงอันน่าละเหี่ยใจเช่นนี้ รัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งตัวผู้นำก็เป็น "ทหารเก่า" จึงส่งสัญญาณที่จะเพิ่มสัดส่วนงบประมาณของกองทัพมาตั้งแต่ต้น โดย พล.อ.สนธิ เป็นผู้จุดพลุให้มีการเพิ่มงบประมาณทางทหารเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 10% ของจีดีพี เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงในวันนี้

 "ผมดูจากประเทศที่เป็นมหาอำนาจว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้กองทัพมีความเข้มแข็ง อย่างสหรัฐ มีเงินเท่าไรก็ทุ่มเทให้กองทัพ สร้างความเข้มแข็งให้กองทัพ เพราะนั่นคือกำลังในการแสวงหาผลประโยชน์เข้าประเทศ เขารู้ว่าประโยชน์ของชาติอยู่ตรงไหน" พล.อ.สนธิ ย้ำเสียงดังฟังชัด

 พล.อ.สนธิ มองว่า ต้องใช้กำลังจากกองทัพเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของประเทศ จึงจำเป็นต้องเข้มแข็ง หากกองทัพอ่อนแอลง การเมืองก็จะกล้าแข็งขึ้นมาครอบงำกองทัพ

 "ผมอยากเรียนให้ทราบว่ากองทัพเป็นของประชาชน และกองทัพต้องเข้มแข็งเพื่อประโยชน์ของชาติ มันต่างกันกับบ้านเรา ซึ่งยังสวนทางกัน"

 ข้อเท็จจริงที่ฟังดู "ตลกร้าย" อย่างหนึ่งก็คือ แม้แต่วันยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 สิ่งหนึ่งซึ่งฟ้องถึงความไม่พร้อมของกองทัพก็คืออาวุธยุทโธปกรณ์รุ่นเก็บกรุที่ถูกเข็นออกมาใช้งานด้วยความจำเป็น

 รถถังบางคันสนิมขึ้นเขรอะ ไม่รู้ว่าพอยิงออกไปจริงๆ แล้วจะ "ขัดลำกล้อง" หรือเปล่า เพราะไม่ค่อยได้รับการซ่อมบำรุง จึงไม่ต้องไปหวังสูงถึงขั้นนำมาใช้รักษาอธิปไตยของประเทศ !!

 ด้วยเหตุนี้รัฐบาลชุดนี้จึงอนุมัติให้จัดสรรงบประมาณปี 2550 ให้กระทรวงกลาโหมมากขึ้น คิดเป็นเงิน 115,000 ล้านบาท จากเดิมในปีงบประมาณที่เคยได้รับจัดสรรเพียง 85,936.11 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 33%)

 กระนั้น เหรียญอีกด้านก็ควรพิจารณาเช่นกัน เพราะผู้คนในอินเทอร์เน็ตต่างวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความเหมาะสมในการเข้ายึดอำนาจ และฉวยจังหวะเพิ่มงบทางทหารทันที !?

 หลังจากเริ่มมีเสียงท้วงติงหนาหู พล.อ.สนธิ จึงมอบหมายให้กระทรวงกลาโหมจัดทำเอกสารชี้แจงเรื่อง "ข้อมูลผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการขาดแคลนงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ประกอบการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550" ส่งให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา ซึ่งผ่านการพิจารณาไประดับหนึ่งแล้ว เหลือเพียงการโหวตเพื่อรับหลักการเท่านั้น

 แต่การส่งเรื่องไปให้ สนช. ซึ่งมีสัดส่วนของทหารทั้งในและนอกราชการจำนวนมากจะสามารถเคลียร์ข้อสงสัยของสังคมได้แค่ไหน นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำให้ดี และอย่าให้มีภาพของการ "บล็อกโหวต" หรือ "ร่างทรง คมช." เป็นอันขาด เพราะกระแสสังคมที่สั่งสมความไม่พอใจก็พร้อมที่จะตีกลับได้ทุกเมื่อ

 อย่างไรก็ตาม ประธาน คมช.ก็ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นดังกล่าว โดยได้ยกตัวอย่างประเทศเวียดนาม ซึ่ง พล.อ.สนธิเพิ่งได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุม ผบ.ทบ.อาเซียนเมื่อไม่นานมานี้

 พล.อ.สนธิ บอกว่า ประเทศเวียดนามใช้กองทัพพัฒนาประเทศจนประเทศพัฒนามาได้อย่างรวดเร็ว โดยเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตถึง 8.5% ส่วนดินที่กรุงฮานอยก็แพงพอๆ กับญี่ปุ่นเสียด้วยซ้ำ

 "หลายท่านจะเห็นว่าประเทศเวียดนามมีการเปลี่ยนแปลง และที่ฟังแล้วชื่นใจกับเขาคือว่า เมื่อเร็วๆ นี้ประธานาธิบดีสหรัฐเดินทางไปที่เวียดนามเพื่อประชุมเอเปค มีคนเวียดนามเหนือในสมัยก่อนร่วมกันแสดงความยินดีด้วยการมอบดอกไม้ให้ประธานาธิบดีสหรัฐ

 เขาบอกว่า อดีต คือ บทเรียน เขากำลังจะทำปัจจุบัน และอนาคตให้ประเทศของเขา เขาจะลืมอดีต และนำอดีตมาเป็นตัวแก้ไข" พล.อ.สนธิ กล่าวถึงแนวคิดของเพื่อนบ้านด้วยความชื่นชม

 แต่แนวคิดของเขาจะเข้ากับผู้คนและบริบทของสังคมแบบไทยๆ หรือไม่ เห็นที "บิ๊กบัง" คงต้องใคร่ครวญและตอบคำถามของคนบ้านเราให้ดี

 ที่สำคัญ อย่าให้มี "มิสเตอร์เปอร์เซ็นต์" มางาบงบจัดซื้ออาวุธซ้ำรอยรัฐบาลชุดก่อนๆ เป็นอันขาด !!

*****************************

 (ล้อมกรอบ)

คำชี้แจงกระทรวงกลาโหม

 ตั้งแต่ปี 2532-2540 กระทรวงกลาโหมได้รับจัดสรรงบประมาณร้อยละ 2.2.-2.4 เปรียบเทียบกับจีดีพี

 โดยในปี 2540 ได้รับงบประมาณ 104,100 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.2 ของจีดีพี

 ทั้งนี้ นับแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และการคลัง ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2541-2549 กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะถดถอยลงตามลำดับ

 แม้กระทั่งปี 2549 ที่จีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้น แต่งบประมาณในด้านนี้ก็ยังลดน้อยลง

 ประกอบกับกระทรวงกลาโหมต้องเผชิญต่อภาวะภายนอกที่ค่าเงินอ่อนตัว ราคาน้ำมันสูงขึ้น 3 เท่าตัว ภาวะเงินเฟ้อ การปรับอัตราเงินเดือนของบุคลากรที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ทำให้ปัจจุบันมีสัดส่วนงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายประจำร้อยละ 90 และเป็นงบพัฒนากองทัพแค่ร้อยละ 10

 หากกระทรวงกลาโหมไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณอย่างเหมาะสมและต่อเนื่องจะส่งผลกระทบในภาพรวมหลายด้าน ซึ่งจะเป็นปัญหาสะสมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อำนาจกำลังรบของทุกเหล่าทัพลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน หากมีเหตุการณ์กระทบกระทั่งบริเวณชายแดน และมีการปฏิบัติการทางทหาร จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง

 ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมเคยเสนอรัฐบาลชุดที่แล้วให้ทราบถึงสถานภาพและผลกระทบต่างที่เกิดขึ้น โดยในรัฐบาลชุดที่แล้วได้กำหนดกรอบงบประมาณปี 2550 วงเงิน 105,000 ล้านบาท

 แต่เมื่อเทียบกับการถูกลดงบประมาณสะสม 9 ปีที่มากถึง 350,000 ล้านบาท ก็ถือว่ายังอยู่ในสัดส่วนที่น้อย

 ส่วนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดนี้ได้อนุมัติกรอบวงเงินกระทรวงกลาโหม 115,000 ล้านบาท จากที่กระทรวงกลาโหมเสนอไป 160,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ร้อยละ 33

ปัญญา ทิ้วสังวาลย์

เครดิต นสพ.คม ชัด ลึก คับพี่น้อง