ลิงก์ต้นฉบับ -----> HTMS Phosamton
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง อังกฤษได้ขายหรือส่งมอบเรือรบและเรือช่วยรบตัวเองจำนวนหนึ่ง ให้กับประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่ายจากจำนวนเรือที่มากเกินไป พม่าซึ่งในตอนนั้นอังกฤษยังคงมีอิทธิพลค่อนข้างสูง ได้จัดหาทั้งเรือรบและเรือช่วยรบเข้ามาใช้งานเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นฟริเกตชั้น River จำนวน 1 ลำ หรือเรือกวาดทุ่นระเบิดขนาดใหญ่ชั้น Algerine จำนวน 1 ลำ
เรือกวาดทุ่นระเบิดลำที่ว่าก็คือ UMS YAN MYO AUNG ซึ่งในอดีตเคยชื่อว่าเรือ J380 HMS Mariner เรือสร้างเสร็จในปี 1945 ที่เมืองโตรอนโตประเทศแคนาดาโน่นแหละครับ ก่อนเข้าประจำการกองทัพเรือพม่าในปี 1948 ทำหน้าที่ทั้งเรือกวาดทุ่นระเบิดและเรือตรวจการณ์ไปพร้อมกัน จนกระทั่งถึงปี 1982 พม่าจึงได้ปลดประจำการ
คุณสมบัติทั่วไปของเรือมีดังนี้
ระวางขับน้ำปรกติ : 990 ตัน
ยาว: 69 เมตร
กว้าง: 10.82 เมตร
กินน้ำลึก: 2.59 เมตร
ระบบขับเคลื่อน : Geared turbines, 2 shafts หรือ Reciprocating engines, 2 shafts, 2,000 shp (1,500 kW)
ความเร็วสูงสุด: 16.5 นอต
ลูกเรือ: 85
ระยะปฏิบัติการณ์ไกลสุด: 5,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 10 นอต
เรดาร์ :Type 144 (ต่อมาได้ติดตั้งเรดาร์เดินเรือ Decca 202 เพิ่มเติม)
ปืนใหญ่ QF 102/45 มม.จำนวน 1 กระบอก
ปืนกล Bofors 40L60 จำนวน 3 กระบอก
แท่นปล่อยระเบิดลึกจำนวน 2 ระบบ
แท่นยิงระเบิดลึกจำนวน 4 ระบบ
อุปกรณ์ในการกวาดและทำลายทุ่นระเบิดที่ท้ายเรือ
ประเทศไทยก็มีเรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น Algerine จำนวน 1 ลำเช่นกัน เรือชื่อ J445 HMS Minstrel สร้างเสร็จในปี 1944 ก่อนขายต่อให้กับราชนาวีไทยในปี 1947 (อายุใช้งาน 3 ปีเท่ากัน) ทั้งนี้เพื่อมานำกวาดทุ่นระเบิดจำนวนมหาศาล ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรแอบเข้ามาทิ้งในอ่าวไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นเราอยู่ฝ่ายญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการก็เลยซวยไป ส่วนอย่างไม่เป็นทางการก็อย่างที่รู้กันเรื่องเสรีไทย
ภาพถ่ายของเรือ J445 HMS Minstrel ในปี 1946 กับเรือหลวงโพธิ์สามต้นในปี 1969 หาค่อนข้างยากมากนะครับ
เรือหลวงโพธิ์สามต้นรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเรือพม่าถึง 95 เปอร์เซ็นต์ จุดที่แตกต่างคือเรือเราติดเรดาร์ตรวจการณ์ Type 271 รวมทั้งติดปืนกล Bofors 40L60 เพียง 1 กระบอกที่ท้ายเรือ เนื่องจากสะพานเดินเรือมีระเบียงขนาดเล็กกว่ากันครึ่งหนึ่ง จำเป็นต้องติดปืนกลขนาด 20 มม.เข้ามาแทนที่ สมัยนั้นเรือมีจำนวนมากเพราะอยู่ในช่วงสงคราม รูปแบบเรือแต่ล่ะลำจึงมีความแตกต่างกันอยู่บ้างก็ว่ากันไป
ในปี 1953 มีการสวนสนามทางเรือในพิธี Coronation Review ของอังกฤษ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในพิธีพระบรมราชาภิเษกสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งรัฐบาลไทยได้ส่งเรือหลวงโพสามต้นเข้าร่วมพิธี ทั้งนี้ได้ส่งนักเรียนนายเรือร่วมเดินทางไปด้วย เพื่อฝึกภาคต่างประเทศไปพร้อมกัน โดยได้เดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 4 เมษายน 1953 ร่วม ในพิธีเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1953 และได้เดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1953 นักเรียนนายเรือรุ่นนี้ เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือได้รับสมญาว่า รุ่น Coronation เรือของเราอยู่ในสี่เหลี่ยมสีแดงที่ทา่านจูดาสวาดไว้นั่นแหละครับ
เพราะเรือลำนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่โต ติดอาวุธครบครันและสามารถออกทะเลลึกได้ เมื่อราชนาวีไทยประสบปัญหาเรื่องการเมืองเข้าอย่างจัง จนไม่สามารถซื้อเรือใหม่เข้ามาทดแทนของเดิม เรือหลวงโพธิ์สามต้นจึงได้ถูกปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนมาใช้งานเรดาร์เดินเรือรุ่นใหม่ ติดปืนใหญ่ขนาด 3 นิ้วเป็นอาวุธหลัก ถอดระบบกวาดทุ่นระเบิดท้ายเรือออกไปทั้งหมด ติดปืนกล 20 มม.เพิ่มเติมอีก 2 กระบอก แล้วสร้าง Superstrure ด้านท้ายเรือเพิ่มเติมเข้ามาด้วย เป็นพื้นที่สำหรับลูกเรือและแขกผู้มาเยี่ยมเยือน ก่อนโอนมาอยู่กองเรือฟริเกตเป็นการแก้ปัญหาขัดตาทัพ
มีการเปลี่ยนหมายเลขเรือเป็น FF415 ในเวลาต่อมา ทำหน้าที่เป็นเรือฟริเกตอยู่นานหลายปี จนกระทั่งมีการจัดหาเรือฟริเกตแท้ๆ เข้ามาเพิ่มเติมจำนวนหนึ่ง เรือหลวงโพธิ์สามต้นจึงถูกโอนกลับมาอยู่กองเรือกวาดทุ่นระเบิด ก่อนย้ายไปทำหน้าที่เรือฝึกทหารใหม่ในช่วงบั้นปลาย เรือปลดประจำการประมาณปี 2008-2011
ปัจจุบันเรือหลวงโพธิ์สามต้นจอดอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ในสภาพค่อนข้างทรุดโทรมจนผู้เขียนไม่กล้าลงภาพถ่าย เพราะผู้ที่ขอเรือไปไม่ได้นำงบประมาณมาซ่อมแซมให้เป็นพิพิธภัณฑ์ นี่คือหนึ่งในกรณีศึกษาการมอบเรือรบให้กับเอกชนทั้งหลาย ซึ่งกองทัพเรือต้องระมัดระวังและตรวจสอบให้ละเอียดมากที่สุด
ผู้เขียนได้ข่าวมาว่า….กองทัพเรือได้อนุมัติงบประมาณจำนวนหนึ่งให้ปรับปรุงเรือ เพื่อจัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำ ‘พระศรีสรรเพชญ์’ ซึ่งเป็นพระนามแรกของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช งานนี้ต้องรอดูกันต่อไปล่ะครับว่า ท้ายที่สุดจะลงเอยแบบไหนกันแน่ บทความนี้สั้นๆ ห้วนๆ แค่นะครับ พอดีผู้เขียนไม่ค่อยสบายแต่นึกอยากเขียนก็เลยเขียน ;)
อ้างอิงจาก
http://www.navypedia.org/ships/myanmar/mya_ms_yan_myo_aung.htm
http://www.shipbucket.com/forums/viewtopic.php?f=12&t=5736&p=140488&hilit=algerine#p140488
https://www.tnews.co.th/contents/321478
พูดถึงเรือพม่าแล้วก็ต้องลำนี้ครับ เรือฟริเกต F-14 UMS Sinbyushin ซึ่งได้มีการปรับปรุงเพิ่มเติมดังนี้
-ติดตั้งโซนาร์หัวเรือ HMS-X hull-mounted sonar จากอินเดีย
-ติดตั้งแท่นยิงตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ แฝดสามขนาด324 มม. เพื่อใช้งานกับตอร์ปิโด Advanced Light Torpedo (TAL) Shyena ของอินเดียเช่นกันครับ
-ประจำการอากาศยานไร้คนขับแบบปีกหมุนรุ่น Schiebel Camcopter S-100 UAV รุ่นนี้ขายดิขายดีไปทั่วโลกแล้ว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทร.ไทยทำไมไม่จัดหามาใช้งานบ้าง
ปล.ขอบ่นสักเล็กน้อยเกียวกับบทความที่เคยวิเคราะห์เรื่องเรือฟริเกตพม่าไปเมื่อนานมาแล้ว น่าจะเป็นบทความเรื่อง 'เรือหลวงกระบี่พบประชาชน' หรืออย่างไรนี่แหละ เพิ่งรู้เหมือนกันว่ามีเพื่อนบ้านในเอเชียนำไปอ้างอิงด้วย เล่นแปลไทยเป็นอังกฤษทั้งหมด...พร้อมใส่ความจงเกลียดจงชังเข้ามาในตัวหนังสือ โดยไม่มีการอ้างอิงถึงต้นฉบับเลยสักนิดเดียว (พี่ไทยเราก็เยอะเหมือนกัน ตัดมาแค่บางส่วนเพื่อโจมตีว่าเรือพม่าห่วยแตก) ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ....ถ้ารู้แบบนี้เขียนให้เรือพม่าเป็นพระเอกไปนานแล้ว ;)
ข้อมูลพวกนี้เราอย่าไปอะไรกันนักเลย เขาสร้างเรือฟริเกตได้ก็คือสร้างได้ เราสร้างเรือฟริเกตยังไม่ได้ก็คือยังไม่ได้...สั้นๆ แค่นี้เอง