ในภาพมีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายอย่างครับ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย มีพระบรมฉายาลักษณ์ มีธงช้าง ธงมหาราชด้วย แต่ก็คงเป็นเพราะประเทศเรามีส่วนร่วมไม่มากนัก ภาพในส่วนนี้จึงถูกจัดไว้ด้านข้างของภาพไม่ได้อยู่ตรงกลางๆ (ซึ่งกลางภาพก็อเมริกันจ๋า เชียวแหละ)
ตรงกลางค่อนมาทางด้านขวาของภาพ มีปืนใหญ่ ซึ่งทับธงบางอย่างอยู่ นั่นคือธงของบรรดาชาติซึ่งแพ้สงคราม
ส่วนตรงกลางค่อนมาทางซ้าย มีเศษซากปรักหักพังบางประการกองอยู่ ผมไม่รู้ว่า คือสถานที่อะไร แต่มองดูแล้วเหมือนมีไม้กางเขนที่มีรูปพระคริสต์อยู่ด้วย ทำไมศิลปินถึงวาดให้มีสัญญลักษณ์ทางศาสนาวางกองอยู่ที่พื้นอย่างนั้น อันนี้ไม่เข้าใจเลยครับ
เพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ WWI
They Shall Not Grow Old เป็นหนังสารคดีความยาว 90 นาที ที่เป็นการนำเอาภาพหนังเก่าแก่อายุเกือบ 100 ปี
จากพิพิธภัณฑ์สงคราม Imperial War Museum มารวมกับบทสัมภาษณ์ต้นฉบับดั้งเดิม
ของเหล่าทหารที่เข้าร่วมในสงครามโลกครั้ง ที่ 1
เพื่อร่วมรำลึกวาระครบรอบ 100 ปี การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 1
โดยปีเตอร์ แจ็คสัน ผู้กำกับชาวนิวซีแลนด์เจ้าของรางวัลออสการ์จากหนังมหากาพย์ Lord of the Rings
จากภาพยนตร์เงียบ ขาว-ดำ ได้รับการปรับปรุงใช้เทคนิคสมัยใหม่ระดับฮอลลิวูด
ในการย้อมสีฟิล์มขาวดำ แบบ 3D และปรับเฟรมเรท รวมถึงการใส่เสียง โดยใช้ AI ในการวิเคราะห์เสียง
จากการอ่านปากและสภาพแวดล้อมในฟิล์มต้นฉบับ
โดยภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นภาพในเหตุการณ์จริงเมื่อ 100 ปีที่แล้วทั้งหมด
สำหรับภาพยนตร์ They Shall Not Grow Old มีกำหนดลงโรงฉายทั่วสหราชอาณาจักรวันที่ 16 ต.ค.นี้ครับ
สืบเนื่องจากเรื่องภาพวาดประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 1 พอดีทาง CNN ได้ลงบทความเกี่ยวกับภาพวาดนี้ เขียนโดยนาย Jacopo Prisco ผมจึงขอย่อมาให้อ่านกันเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติม หากผู้ใดสนใจฉบับเต็ม สามารถติดตามไปอ่านได้ที่นี่ ครับ https://edition.cnn.com/style/article/pantheon-de-la-guerre-wwi-painting/index.html
Panthéon de la Guerre
แต่เดิม ภาพ "Panthéon de la Guerre" (หรือ ปูชณียสถานแห่งสงคราม http://cdn.cnn.com/cnn/2018/images/10/16/original.pantheon.1933.jpg) ไม่ได้เป็นเหมือนแบบที่เห็นกันในทุกวันนี้ โดยได้เเริ่มเปิดแสดง เมื่อ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1918 ที่ปารีส (หนึ่งเดือนก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 จะยุติลง) ผู้ริเริ่มภาพวาดนี้ คือ Pierre Carrier-Belleuse และ Auguste François-Marie Gorguet เป็นภาพแบบพาโนรามาขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยวาดกันมา กว้าง 122 เมตร สูง 13.7 เมตร ใช้ผืนผ้าใบลินินเบลเยี่ยม 18,000 ตร.ฟุต และโครงโลหะหนักเป็นตัน ๆ เพื่อค้ำยัน มีรูปภาพของบุคคลเท่าตัวจริง กว่า 5,000 ราย (ส่วนใหญ่เป็นรูปวาดของ วีรบุรุษสงคราม ราชวงศ์ และข้าราชการ จากฝั่งของสัมพันธมิตร โดยเน้นให้ฝรั่งเศษเป็นศูนย์กลาง มีฉากหลังเป็นสมรภูมิที่ฝรั่งเศษและเบลเยี่ยม) ใช้ศิลปิน 150 คน กับ เวลาวาดกว่า 4 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์ และต้องใช้อาคารที่สร้างเป็นพิเศษเพื่อไว้จัดแสดงภาพนี้
ในสมัยนั้น ภาพวาดแบบนี้ เปรียบเสมือนภาพยนตร์ Blockbuster ของ Hollywood ในปัจจุบัน ซึ่งภาพนี้ได้ถูกจัดแสดงไว้ในอาคารรูปแปดเหลี่ยมใกล้ ๆ กับพระราชวัง Louvre โดยได้ถูกติดตั้งไว้แบบเป็นวงกลม ผู้เข้าชมจะยืนอยู่ตรงกลางมองเห็นภาพได้ 360 องศา
ประวัติการเดินทางของภาพในประเทศสหรัฐอเมริกา
"Panthéon de la Guerre" ได้ถูกจัดแสดงที่ปารีสเป็นเวลา 9 ปี มีผู้เข้าชมถึง 3 ล้านคน ก่อนจะถูกซื้อไปโดยนักลงทุนชาวอเมริกันในปี ค.ศ. 1927 เป็นเงิน 250,000 ดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อไปจัดแสดงในสหรัฐ แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในเบื้องต้น โดยมีผู้เข้าชมถึง 1 ล้านคน ภายในเวลาเพียง 8 สัปดาห์ แต่ก็ต้องยุติลงก่อนกำหนดถึง 2 เดือน เนื่องจากไม่สามารถทำเงินได้ตามที่คาดกันไว้ เนื่องจากชาวอเมริกันมีความรู้สึกต่อสงครามโลกครั้งที่ 1 แตกต่างจากชาวฝรั่งเศษมาก (คนอเมริกันเสียชีวิตจากการเข้าร่วมสงครามในครั้งนั้นเพียง 117,000 คน ในขณะที่ฝรั่งเศษต้องสูญเสียไปกว่า 1.7 ล้านคน) ต่อมาภาพนี้ได้ถูกจัดแสดงในงาน World Fair ที่ชิคาโกในปี ค.ศ. 1933 และที่ ซาสฟรานซิสโก ในปี ค.ศ. 1940 จากนั้นก็ถูกส่งไปเก็บไว้ที่โรงเก็บในเมือง บัลติมอร์ โดยไม่มีผู้ใดสนใจเป็นเวลากว่า 12 ปี
เมื่อผู้เป็นเจ้าของค้างชำระค่าธรรมเนียมการฝากเก็บ ภาพนี้จึงถูกนำออกประมูลขายในเดือนกรกฏาคม 1952 โดยผู้ประมูลได้ไปคือนาย William H. Haussner ผู้เป็นเจ้าของภัตาคารในเมืองบัลติมอร์ ด้วยมูลค่า 3,400 ดอลล่าร์สหรัฐ (ราว 32,000 ดอลล่าร์สหรัฐในมูลค่าปัจจุบัน)
เนื่องจากเป็นภาพวาดที่มีขนาดใหญ่มาก (น้ำหนักกว่า 10 ตัน รวมโครงเหล็กที่จัดแสดง) จึงต้องใช้คนงานกว่า 22 คน และรถลากขนาด 48 ฟุต มาช่วยเปิดกล่องที่เก็บ จนนิตยสาร Life ต้องส่งนักข่าวมาทำรายงาน นาย Haussner ผู้ประมูลได้นั้นต้องการอุทิศให้กับพิพิธพัณฑ์ แต่กลับไม่มีที่ใดสนใจ แม้แต่กงศุลฝรั่งเศษเองก็ไม่ต้องการรับไว้ จนกระทั่งนาย Daniel MacMorris ผู้ซึ่งเคยได้ชมภาพนี้ในฝรั่งเศษ และยังเคยเรียนหนังสือร่วมกันกับนาย Gorguet ซึ่งเป็นหนึ่งในสองของผู้สร้างภาพนี้ ได้เห็นข่าวในนิตรสาร Life เข้า จึงได้ชักชวนให้นาย Haussner มอบภาพนี้ให้ อนุสรณ์สถาน Liberty ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ในเมืองแคนซัสซิตี้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาทำงานอยู่
ชีวิตใหม่ของภาพแห่งประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ดี นาย MacMorris รู้ดีว่า ไม่มีทางที่เขาจะสามรถรักษาภาพเขียนนี้ไว้ในสถาพเดิม เพราะที่อนุสรณ์สถานแห่งนี้มีที่ให้จัดแสดงเป็นผนังยาวเพียงแค่ 70 ฟุต และเขายังอยากยกย่องคุณความดีของอดีตประธานาธิบดี Woodrow Wilson Harry Truman Franklin Roosevelt และ องค์กรสันิบาตชาติ (ที่เป็นองค์กรก่อนกำเนิด องค์กรสหประชาชาติ) เขาจึงจัดการเปลี่ยนแปลงภาพนี้ให้สหรัฐอเมริกาเป็นจุดศูนย์กลาง หั่นภาพออกไปจนเหลือพื้นที่เพียงร้อยละ 7 ของภาพเดิม และปรับให้เป็นเหมือนภาพวาดขนาดใหญ่ (ซึ่งก็คือภาพวาดที่มีพระบรมสาทิสลักษณ์ ของพระบาทสมเด็นพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และธงไตรรงค์ ที่ผู้ตั้งกระทู้ได้กล่าวถึงไว้ http://cdn.cnn.com/cnn/2018/images/10/16/pantheon_de_la_guerre_panorama.jpg) โดยได้เปิดให้ประชาชนเข้าขมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1959
อนุสรณ์สถาน Liberty ได้ถูกปิดลงเมื่อปี ค.ศ. 1994 เนื่องจากเหตุผลของความไม่ปลอดภัยในโครงสร้างของอาคาร จากนั้นได้ถูกปรับปรุงแก้ไข และเปิดขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 2006 และได้รับการยกระดับให้เป็นพิพิธภันฑ์และอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ในปี ค.ศ. 2014
สำหรับรูปภาพ "Panthéon de la Guerre" ดั้งเดิมนั้น ส่วนที่เกี่ยวข้องกับฝรั่งเศษ ได้ถูกจัดแสดงไว้ในอีกโถงหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์ ส่วนที่เป็นเศษภาพขนาดเล็กก็ได้ถูกจัดเก็บไว้ แต่อีกหลายส่วนก็ได้ถูกทิ้งไป โดยบางชิ้น นาย MacMorris ได้มอบให้เพื่อน ๆ และคนที่รู้จักกัน ทำให้มีผู้นำชิ้นส่วนของภาพนี้มาประมูลขายกันทาง online
ภาพ "Panthรฉon de la Guerre" กำลังถูกส่งไปยังอนุสรณ์สถาน Liberty ในเมืองแคนซัสซิตี้ ปี ค.ศ. 1957 Credit: National WWI Museum and Memorial