ในปี2014 ฟิลิปปินส์สั่งซื้อเรือ strategic sealift vessels (SSVs) จากอินโดนีเซียจำนวน2ลำในวงเงิน92ล้านเหรียญ โดยเรือที่ว่านั่นก็คือเรือLPD (Landing Platform Dock) ชั้น Makassar class ของอินโดนีเซียนั่นเอง เรือมีความยาว123เมตรกว้าง21.8เมตรและมีระวางขับน้ำสุงสุด10,300 ตันสำหรับเวอร์ชั่นฟิลิปปินส์ ใช้เครื่องยนต์ดีเซล2เครื่องทำความเร็วสุงสุดได้ที่16น๊อต ออกทะเลได้นาน30วันหรือ10,000ไมล์ทะเล รองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางๆได้2ลำพร้อมโรงเก็บ เรือระบายพลขนาดเล็ก (LCVP)2ลำและเรือเล็กหรือเรือยางอีก4ลำ ภายในมีพื้นที่สำหรับใส่รถถัง รถบรรทุก ยานเกราะ รวมทั้งดัดแปลงเป็นโรงพยาบาลเคลื่อนที่ได้ด้วย สามารถรับผู้โดยสารได้มากสุด518นายไม่รวมเจ้าหน้าที่ประจำเรือ
เทียบกับเรือหลวงอ่างทองของเราแล้วมีระวางขับน้ำมากกว่าพอประมาณ ระบบเรดาร์และอาวุธทันสมัยน้อยกว่าของเรามากและน่าจะไม่มีระบบอำนวยการรบ มาตราฐานการต่อเรือดูเหมือนจะด้อยกว่าการจัดแปลนเรือก็คล้ายกับเรือพาณิชย์มากกว่าเรือรบจริงๆ แต่ทีเด็ดทีขาดของเขาอยู่ที่ราคาเรือครับ ลำล่ะ46ล้านเหรืยญหรือประมาณ1,400ล้านบาทซึ่งน่าจะไม่รวมอาวุธเข้าไปด้วย เทียบกับเรือหลวงอ่างทองของเราแล้ว4ต่อ1เชียวนะครับ เรือขนาด10,000ตันราคานี้เอนกประสงค์แบบนี้หาที่ไหนได้อีก ถ้าตัดเรื่องอาวุธ ระบบอำนวยการรบ และเรือLCVP ออกไปก็น่าจะอยู่ที่3ต่อ1 รื้อแปลนเรือใหม่ใหม่เหมือนๆกันและต่อด้วยมาตราฐานเท่าเทียมกันก็น่าจะอยู่ที่2ต่อ1 ไม่ว่าจะมองมุมไหน Makassar class คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเหมือนแฟลตปลาทอง
ในโรงเก็บฮ.ใช้เป้นสนามตระกร้อหรือเวทีคอนเสิร์ตได้ สังเกตได้ว่าจะไม่มีลิฟท์ขนาด10ตันเหมือนเรือหลวงอ่างทองของเรา แต่ไม่มีก็ดีครับไม่ยุ่งยากในเรื่องการดูแลรักษา
เทียบกันระหว่างรุ่นจอดเฮลิคอปเตอร์ได้3ลำกับ2ลำ ผมชอบแบบหลังมากกว่าเพราะมีพื้นที่โดยสารเยอะดี เหมือนกระบะมีแค๊ปสมัยก่อนโน้นกับกระบะ2ตอนอะไรประมาณนั้น
แอบไปติดระบบแก๊สCNGแถวเลียบทางด่วนมาใช่ไหม ตอบ
พร้อมตีแล้วค่ะ...
ท่านบอยครับ..ขนาดของเรือนั้นเค้าเทียบกันที่ "ระวางขับน้ำปกติ" นะครับ
ระวางขับน้ำปกติกำหนดขึ้นจากความต้องการพื้นฐาน คือ ระวางขับน้ำที่พร้อมปฏิบัติการรบ ( Combat Seaworthy) ครับ
กล่าวคือ น.น. รวมของ (กำลังพลประจำเรือ + กำลังพลที่บรรทุก +จำนวนยานพาหนะ +
เสบียงตามจำนวนวันที่กำหนดขึ้น (30-45 วัน)+ นำ้จืด + น้ำมันเชื้อเพลิง + อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ + อาวุธกระสุนปืน)
แต่ระวางสูงสุดนี้คือ น้ำหนักสูงสุดที่สามารถบรรทุกไปได้โดยเรือไม่จม ครับ แต่ความเร็วเรือก็ตกลงเรื่อยๆ
ตามน้ำหนักที่บรรทุกเพิ่มเข้าไป ครับ
Makassar มีระวางขับน้ำปกติอยู่ประมาณ 6,000- 6,500 ตัน ความยาว 121-123 เมตร ความเร็วสูงสุด ณ. ระวางขับน้ำปกติ 15 kt
เรือ "อ่างทอง" มีระวางขับน้ำปกติที่ 6,800-7,000 ตัน ความยาว 141 เมตร ความเร็วสูงสุด ณ. ระวางขับน้ำปกติ 17 kt
ความเร็วสูงสุดก็เปรียบเทียบกันที่ระวางขับน้ำปกติเหมือนกัน ครับ (ซึ่ง"ระวางขับน้ำปกติ" ก็กำหนดขึ้นตามความต้องการพื้นฐาน) ครับ
อ๋อ....ผมลืมไป "ระวางขับน้ำปกติ" ไม่ใช่แต่เฉพาะน้ำหนักพร้อมรบ ที่บรรทุกไปเท่านั้น ครับ
ต้องรวมน้ำหนักของตัวเรือทั้งลำด้วยครับ...ตกน้ำหนักเรือไป ครับ
(ก็คือน้ำหนักเหล็กที่สร้างตัวเรือ พร้อมเครื่องยนต์ นั่นแหละ...ครับ)
คราวนี้มาเปรียบเทียบความเร็ว ณ. ระวางขับน้ำปกติ กัน.......ครับ
ปกติความเร็วที่เป็นทางการ (รอย...Register) จะต่ำกว่าความเร็วจริง..ด้วยครับ ประมาณ 2-3 kt
Makassar มีความเร็วที่เป็นทางการ 15 kt ความเร็วจริง ณ.ระวางขับน้ำปกติก็น่าจะประมาณ 16-17 kt (ความเร็วจริงนี่ผมเดาเอาครับ)
อยากรู้ความเร็วจริง (จริงๆ) ต้องไปถามคนขับเรือเค้า เอาเอง...ครับ
ถ้าบรรทุกที่ระวางขับน้ำ 10,000 ตัน จริงๆ ละก็ คงทำความเร็วได้ไม่เกิน 10-11 kt หรอก...ครับ (พนันได้ ครับ 10:1)
"เรือ อ่างทอง" ของเรา มีความเร็วที่เป็นทางการ 17 kt ความเร็วจริง ณ.ระวางขับน้ำปกติก็ประมาณ 19 kt (หรืออาจถึง 20 kt ก็ได้ครับ
ถ้าเป็นเรือเปล่า..ไม่ บรรทุกอะไรเลย)
ความเร็วจึงต้องเปรียบเทียบกันที่ระวางขับน้ำปกติ ครับ
ส่วนเรื่อง.....ระยะทำการของเรือ ก็เป็นสิ่งที่กำหนดขึ้นตามความต้องการ ของ"ผู้ออกแบบ"หรือ"ผู้ใช้" ต้องการครับ
เช่น กำหนดความต้องการที่ 4,000 ไมล์ ก็ต้องสามารถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง และน้ำมันปั่นไฟฟ้า ไปได้ 4,000 ไมล์
โดยไม่ต้องเติมน้ำมันระหว่างทาง.....โดยใช้ความเร็วปกติ.... (ก็ต้องออกแบบถังบรรจุน้ำมัน ให้เพียงพอตาม ข้อกำหนด)
หากขับซิ่งมากๆ ระยะปฏิบัติการก็ ลดลงเรื่อยๆ ....ตามส่วน ครับ
บางที่ใช้ความเร็วสูงมากๆ อย่างเรือ Freget ความเร็วสูง ระยะทำการเหลือแค่ 1,000 กว่าไมล์ ก็มี ครับ
ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับของเรือ "Makassar" เป็นเรือที่ออกแบบโดยใช้ประโยชน์ ของพื้นที่ได้คุ้มค่ามาก ครับ
(มีห้องนอนห้องน้ำเพียงพอ) รองรับกำลังพลได้มากกว่า "เรืออ่างทอง" ของเรา ครับ ทั้งๆ ที่ระวางขับน้ำต่ำกว่ามาก
"Makasaar" เป็นเรือที่ออกแบบ จากแบบเดิมที่เป็นเรือสินค้า ใช้พวงใบเรือชุดเดียว (แบบเรือสินค้าขนาดกลางทั่วไป)
แต่พอได้พัฒนามาเป็นเรือ LPD ได้ปรับเป็นพวงใบพัดเป็น 2 ชุด เครื่อง 2 เครื่อง แต่ใบพัดขนาดเล็กลง เครื่องยนต์เล็กลง ...ครับ
ราคาเรือ "มักกะสัน" ราคาถูกกว่าก็เพราะค่าแรงงานซึ่งเป็นต้นทุนหลัก "ถูก" ค่าแรงช่างเชื่อมไม่น่าเกินเดือนละหมื่นบาท
ส่วนเรือ "อ่างทอง" เป็นเรือที่"คนรวย" ทำขาย ก็ต้องแพงหน่อย ตามฐานะ ครับ ช่างเชื่อมเมืองสิงห์ น่าจะไม่ต่ำกว่า 4-5 หมื่นบาท
ช่วงที่ต่อเรือ "อ่างทอง" เป็นช่วงที่เหล็กแพง และมีแนวโน้มราคาขึ้นเรื่อยๆ (ผู้รับสัญญาเลยตั้งราคาเผื่อราคาเหล็กขึ้นไปอีก..แน่ะ)
แต่พอเซ็นสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราคาเหล็กดันลดลงเรื่อยๆ ผู้สร้างเรือกำไร เฉพาะค่าเหล็กอย่างเดียวไม่รู้เท่าไหร่ ครับ
ถ้าจำไม่ผิด ราคาเหล็กลดลงประมาณ 20-30%....ครับ (จำไม่ได้จริงๆ ผิดพลาดก็ขออภัย ด้วยจ้า)
......มีหลายๆๆ..ท่าน ครับเข้าใจเอาว่า เรือ LPD เป็นเรือที่ ออกแบบยาก สร้างยาก..ครับ
เพราะมันต้องสามารถจมท้ายเรือ ให้น้ำเข้าไปในอู่เรือ ที่ท้องของเรือ LPD ได้
ในความเป็นจริงแล้ว ก็เป็นความจริงครับ แต่ไม่ได้ยากมาก ยากเพิ่มขึ้นนิดหน่อย
ซึ่งที่จริงมันก็คือเรือธรรมดา กล่าวคือมันต้องทำ"ถังอับเฉา" เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพื่อเพิ่มระวางขับน้ำของเรือให้เพิ่มขึ้น
โดยการเปิดน้ำเข้า "ถังอับเฉา" บริเวณท้ายเรือ เวลาต้องการให้ท้ายเรือจมลงอยู่ใต้ระดับน้ำ
ซึ่งเรือก็ยังลอยในน้ำได้ไม่จม เพราะระวางขับน้ำใหม่ก็ยังต่ำกว่า ระดับของระวางขับน้ำที่เรือรับได้..ครับ
การดัดแปลงแบบของ"เรือสินค้า"มาเป็นเรือ LPD ก็จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ครับ ดัดแปลงแล้วก็กลายเป็นเรือแบบใหม่
แต่ถึงออกแบบขึ้นใหม่ โดยไม่อิงแบบเรือใดเลย ก็ไม่ได้ยากกว่า...มากมายอะไร...ครับ
มีอีกเรื่องครับ.....ที่พวกเราบางท่าน ชอบเข้าใจไม่ถูก ครับ (ไหนๆ ก็ นอนไม่หลับแล้ว.....)
ก็คือเรื่อง "ระวางขับน้ำ" ครับ
"ระวางขับน้ำของเรือ" ก็คือ น้ำหนักของน้ำที่ถูกเรือลำเรือ (Hull) เข้าไปแทนที่ หรือ น้ำหนักของน้ำจืดปกติ
ที่มีปริมาตรเท่ากับปริมาตรของเรือในส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ นั่นเองครับ
มีบางคนเข้าใจว่า เป็น กำลังของเครื่องยนต์ เรือก็มีครับ
บางคนก็เข้าใจว่าเป็นขนาดของเรือก็มีครับ แต่แน่นอนละครับ เรือที่มีระวางมาก ขนาดก็ต้องใหญ่ขึ้น
ก็ตามทฤษฎีของ อลิตโตเติล เลยครับ ถ้ามีน้ำเต็มอ่างแล้วเราเอาตัวเองลงไปนอนในอ่าง
น้ำที่ไหลออกมาหากนำไปชั่ง น้ำหนักที่ชั่งได้ก็คือระวางขับน้ำของตัวเรานั่นเอง ...ครับ
(ประเดนนี้....สำหรับพวกที่สับสนครับ)
ถ้าจะเปรียบ LPD เหมือนรถกระบะวีโก้ ของ ทบ. ทอ. ก็ได้มั้ง ฮาๆๆๆ
ดัดแปลงได้เหมือนกัน
Archimedes
น้ำล้นอ่าง-อาร์คีมีดีส
ทหารเรือมักใช้คำว่า "ใบจักร "สำหรับเรือ และ" ใบพัดไ สำหรับ อากาศยาน พอเห็นคำว่าใบพัดเรือแล้วรู้สึกๆแปร่งๆอย่างไรก็ไม่ทราบครับ
ขอบคุณมาก ครับ....ที่ทักท้วง ถึงศัพท์วิชาชีพ ที่ถูกต้อง
(ผม ก็นึกคำที่ใช้อยู่ นาน.... นานมาก ก็ไม่ต้องสือสารกัน ก็เลยต้องมั่วแหละ ครับ)
ผม...ไม่ใช่ ทหารเรือ ครับ...
ได้ความรู้เยอะเลยกระทู้นี้
อาร์คีมีดิส (Archimedes) เป็นผู้ค้นพบทฤษฎีนำล้นครับ ส่วน
อริสโตเติล (Aristotle) เป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์มหาราชและเป็นลูกศิษย์ของ เพลโต้ เจ้าของวลีที่กล่าวว่า Only the death have seen the end of War (title ในภาพยนนต์เรื่อง black halk down)
ปล. อันที่จริงท่าน sboot ก็ตอบไปแล้วหละ ... ผมแค่อยากมีส่วนร่วมน่ะครับ ^_^!