ทหารอาศัย ม.44 บุกสันติบาล รวบเจ้าหน้าที่อิสราเอล ขณะสาธิตใช้เครื่องดักฟัง-เช็กพิกัด พบไม่มีการประสานตำรวจพื้นที่ ก่อนเข้าจับกุม ผบ.ตร.เผย เรื่องเข้าใจผิด ...
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 7 พ.ค. ที่ห้องประชุมกองบัญชาการตำรวจสันติบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่บริษัทเอกชน ของอิสราเอล ได้มาสาธิตการใช้เครื่องดักฟัง และการเช็กพิกัด แต่ขณะที่มีการสาธิต ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ จำนวน 3 คันรถฮัมวี่ รวมกว่า 10 นาย พร้อมอาวุธครบมือ ได้บุกเข้ารวบตัวเจ้าหน้าที่อิสราเอลชุดดังกล่าว รวม 9 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ของอิสราเอล ทำให้ตำรวจสันติบาลที่อยู่ในห้องประชุมต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ต่อมา เจ้าหน้าที่ทหารได้มีการชี้แจงว่า เป็นการควบคุมตัวตาม มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี พ.ศ.2557 และได้นำเจ้าหน้าที่อิสราเอลทั้งหมด ไปควบคุมไว้ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2)
มีรายงานว่า ทหารชุดดังกล่าว ได้มาเฝ้ารอตั้งแต่เวลา 08.00 น. ก่อนที่จะบุกเข้าจับกุม ขณะที่มีการสาธิตในห้องประชุม โดยการบุกเข้าจับกุม ไม่ได้มีการประสานกับกองบังคับการสันติบาล 3 ที่รับผิดชอบพื้นที่แต่อย่างใด ซึ่งผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามไปยังนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนาย แต่ก็ได้รับการปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว
ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ุม่วง ผบ.ตร. ได้กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า เป็นเรื่องความเข้าใจผิดกัน
http://www.thairath.co.th/content/497445
ซ้ำซะงั้น
แอดมินเลือกลบซักอันตามอัธยาศัยเลยครับ
ประเด็นมันมีอยู่ว่าเข้าใจผิดกันเรื่องอะไร ทั้งๆที่สถานที่เกิดเหตุมันเป็นกองบัญชาการตำรวจนครบาล แล้วทหารมีสิทธิ์อะไรบุกเข้าไปในนั้น แล้วถือคำสั่งใครในเรื่องนี้กองทัพบกต้องออกมาชี้แจงครับ ไม่ใช่ตำรวจออกมาชี้แจงครับ การใช้มาตรา 44.มันต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงก่อนเท่านั้นจึงจะสามารถออกไปปฏิบัติงานได้
เข้าใจผิดแปลว่ายังไม่อยากให้ข่าวครับ ไปปรึกษากันก่อนว่าจะออกมาให้ข่าวให้มันตรงกันทั้งทหารกับตำรวจ เคลียร์กันหลังฉากก่อนว่าลื้อจะเอายังไงกับอั๊วะวะ
ผมว่ามันเป็นไปได้หลายอย่าง โดยธรรมชาติบางทีการปฏิบัติงานลับ บางทีก็ไม่รู้กันเองกลายเป็นจับกันเองก็มี
แต่ทีนี้เรายังไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เพราะยังไม่รู้เลยจับข้อหาอะไร
ก็ไม่รู้นะผมมองว่ามันเป็นกระทำที่ลุแก่อำนาจ คือ การกระทำดังกล่าวมันเป็นการไปแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานรัฐด้วยกันเอง
(ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับความพยายามจะบีบให้ตำรวจปฏิรูปโครงสร้างองค์กรตำรวจหรือเปล่านะ)
และก็เหมือนใครบางคนพยายามไปแทรงแซงการทำงานของกองทัพเรือในเรื่องการเลือกแบบเรือดำน้ำนั้นแหละ
จับกุมข้อหาอะไรครับ หรือทหารระแวงว่าตำรวจจะใช้อุปกรณ์ไปดักฟังทหาร
..
ผมเห็นด้วย กับท่าน tongwarit หากเจ้าหน้าที่ของรัฐทำผิดกฎหมาย ก็อาจถูกจับกุมหรือถูกตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจในเรื่องนั้นๆได้
แต่รายการนี้มันแปลกๆ เพราะ จนท. อิสราเอล เขาก็เข้ามาสาธิตให้หน่วยงานของรัฐดู ในอาคารสำนักงานของรัฐเสียด้วย ฝ่ายทหารส่งคนมาซุ่มโป่งดักรอ ก็สงสัยว่า จะรอเพื่ออะไร จนท. เหล่านั้นก็ไม่ใช่คนร้ายหนีคดีมาเสียหน่อย อย่างนี้จะมีเหตุผลอะไรในการเข้าจับกุม ถ้าจะบอกว่า เครื่องดักฟังผิดกฎหมาย หรือจะบอกว่า เครื่องดักฟังเป็นยุทธภัณฑ์ (อันนี้ผมเดานะครับ ไม่ทราบจริงๆว่า เป็นหรือไม่เป็น) จะมีหรือใช้ต้องขออนุญาตฝ่ายทหารก่อน ถ้าเป็นอย่างนี้ ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐด้วยกัน เมื่อทางทหารทราบว่า เขาจะมาทดสอบกัน ก็สามารถแจ้งกันเป็นทางราชการให้ยกเลิก หรือแจ้งชะลอไว้ แล้วให้มาขอให้ถูกต้องก่อน ก็สามารถทำได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น
แล้วหากฝ่ายทหารทดสอบอาวุธ ฝ่ายตำรวจจะเข้าจับกุมบ้าง เพราะถือว่าอาวุธปืนสงครามเป็นของผิดกฎหมายได้บ้างหรือไม่หรือไม่
ไม่ได้ว่ายังงู้นยังงี้นะครับ ทหารใส่เครื่องแบบตํารวจยังไม่สามารถจับได้ต้อง แจ้งนายทหารพระธรรมนูญให้มาควบคุมตัว (ขนาดสถานการณ์ปกติ)
แต่นี่ทหารใช้ ม.44 บุกเข้าไปใน ตร.(เทียบกับทหารก็คือ บก.ทบ.) บุกไปในห้องประชุม(ตามข่าว)เดาว่าหัวโต๊ะคงไม่ตํ่ากว่า ผบก. (พล.ต.ต.) ซึ่งตึกสันติบาลอยู่ห่าง
จากตึกที่ทํางาน ผบ.ตร. ไปหน่อยเดียว โดยไม่มีการแจ้งทราบ ไอ่เรื่องจับข้อหาอะไรผมว่าไม่ใช่ประเด็น เรื่องนี้สาระอยู่ที่วิธีการปฏิบัติมากกว่า
ไม่รู้ข้างบนเค้าเล่นอะไรกัน ตามความคิดผมนะครับ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000052561
มาแล้ว ...... วิเคราะห์....ตั้งใจจับ(ในข้อมูล) แต่สุดท้ายก็เข้าใจผิด สรุปมีการรวบรวมข้อมูลผิดพลาดหรืออาจเคลียร์กันได้แล้ว
ตามนี้ครับ
**************************************
ทำเนียบฯ 8 พ.ค.-นายกรัฐมนตรีประชุมเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน พร้อมย้ำจะแก้ไขปัญหาโรฮิงญาอย่างจริงจัง เตรียมที่จะเปิดเวทีพูดคุยกับทั้งพม่าและมาเลเซียในสิ้นเดือนนี้ ส่วนเรื่องทหารบุกจับนักธุรกิจอิสราเอลกองบัญชาการตำรวจสันติบาล เป็นเรื่องเข้าใจผิด และทำความเข้าใจกันแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ปัญหาโรฮิงญา ว่าจะมีการหารือกับมาเลเซียและเมียนมาร์ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อหาแนวทางแก้ไข โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงาน ซึ่งไทยจะหารือให้มีการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ส่วนคำสั่งให้แก้ปัญหานี้ให้เสร็จภายใน 10 วันนั้น เป็นเพียงการคลี่คลายปัญหาเบื้องต้นเท่านั้น เพราะปัญหานี้จะต้องอาศัยการบูรณาการการทำงานของทุกหน่วยอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพราะปัญหาดังกล่าวมีมายาวนาน ขณะที่ข้อบกพร่องด้านกระบวนการยุติธรรม จากนี้จะต้องดำเนินการอย่างจริงจังตามกฎหมายกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง โดยไม่เลือกปฏิบัติ
ส่วนแนวทางการเปิดศูนย์พักพิงให้กับชาวโรฮิงญานั้น นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ในประเทศไทยมีศูนย์พักพิงอยู่แล้ว ซึ่งผู้พักพิง 100,000 เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดน ไม่ใช่ชาวโรฮิงญาทั้งหมด ซึ่งจากรายงานทราบว่าขณะนี้มีชาวโรฮิงญาที่สามารถจับกุมได้กว่า 1,000 คน
ส่วนกรณีที่ทหารใช้อำนาจตาม ม.44 จับกุมนักธุรกิจชาวอิสราเอลที่มาสาธิตเครื่องดักฟังที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล นายกรัฐมนตรียอมรับเป็นเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย เพราะนักธุรกิจคนดังกล่าวไม่ได้เข้ามาผ่านช่องทางการทูต แต่เรื่องนี้ได้ทำความเข้าใจและขอโทษกันแล้ว ซึ่งตนก็ต้องขอโทษด้วย.-สำนักข่าวไทย
อุปกรณ์ดังกล่าวได้ขออนุญาตินำเข้าอย่างถูกต้องไหมล่ะครับ แจ้งศุลกากรมายังไง สมมุติหากมีใครเอาอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ มาสาธิตในหน่วยทหาร แล้วตำรวจไปจับมันก็ไม่แปลก
เป็นไปได้ไหมว่ากลัวจะเป็นเหมือน case ปธน.-ของเยอรมันโดนติดเครื่องดักฟัง/สอดแนม
เยอรมันนี่ก็ไมรู้ว่าตอแหลเปล่านะครับ
เพราะล่าสุดมีข่าวออกมาว่าหน่วยข่าวกรองของเยอรมันไปให้ความช่วยเหลือ nsa หรือ cia ในการดักฟังสถานทูตของฝรั่งเศสกับอีกหลายๆประเทศหรือไงนี่แหละ
สันติบาล ตั้งอยู่ใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีเวรยามรักษาการ การเข้าออกต้องขออนุญาต ... ตึก ผบ.ตร. อยู่ด้านหน้า ทหารบุกเข้าไปโดยพลการ ถือว่าไม่ให้เกียรติ ตำรวจจะเข้าค่ายทหารยังต้องขออนุญาตและห้ามพกปืน... ตำรวจ...การข่าวไม่ได้ด้อยไปกว่าทหาร เขาเชิญใครมาสาธิตอะไร ต้องกรองมาอย่างดีที่สุดแล้ว ยิ่งเป็นการสาธิตใน สตช. ด้วยแล้ว ตรงนี้ทหารต้องคิดก่อนทำ.... ผู้บังคับบัญชาแต่ละท่าน ล้วนจบ นตท. มาด้วยกันทั้งนั้น...เขาสอนอะไร เขาปลูกฝังให้รักสามัคคี ไม่แตกแยก ให้เกียรติกัน อย่างสุภาพบุรุษ จงอย่าลืม...
เพราะนักธุรกิจคนดังกล่าวไม่ได้เข้ามาผ่านช่องทางการทูต
ปกติมาเสนอ ของแบบนี้ อาวุธต่างๆ ต้องผ่านการทูตไหม หรือถือกระเป๋า ผ่าน ตม. มาได้เลย ??
เรื่องไม่ให้เกียรติ์นั้นผมว่าจริง ดูจากทรงแล้วน่าจะรู้อยู่ล่วงแล้ว แล้วก็มาซุ่มโป่งเพื่อจับคาหนังคาเขา คือปกติของแบบนี้หลังไมค์ก็ได้ เพราะผบ.ตร.คนนี้คุยกันรู้เรื่องอยู่แล้ว (ตั้งเองกับมือ ฮา) การจับแบบนี้มันตั้งใจหักหน้ากัน ก็ไม่รู้ว่าเป็นคำสั่งของระดับไหน
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000052641
สั้นๆ ...... ทำไม่ถูกต้อง ทหารต้องเข้าจับกุม เขาให้เกียรติกัน อย่าเดา....ถ้าสรุปตามข่าว
เพียงแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการอยู่ป้อมหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาจจะไม่ทราบว่าทหารตำรวจประสานกันแล้ว และไปให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนไม่ถูกต้องทำให้เกิดความเข้าใจผิด คลาดเคลื่อนว่าไม่มีการประสานหรือขออนุญาตกัน และไม่เกี่ยวว่าทหารมีความระแวงตำรวจหรือไม่ เพราะถ้าระแวงทางการคงจะไม่จัดสรรงบประมาณมาให้ ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ทำให้เสียหาย ไม่ทำให้เสียศักดิ์ศรี เพราะเขามีการประสานงานกันก่อน เขาโทรศัพท์มาขออนุญาตผมก่อนแล้ว และผมเดินลงไปรับเขาด้วยตัวเอง
ตร.อาจจะเคยชิน คิดว่าก็ทำตามขั้นตอนแล้ว ไม่ต้องแจ้งใคร มั้งครับ
แต่ช่วงนี้มันอยู่ในถานการณ์พิเศษ อยู่ดีๆมีหน่วยงานนึงเอาอุปกรณ์ดักฟังเข้ามาสาทิต
ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหา ก็น่าจะแจ้งทหารเค้าก่อน หรือเชิญมาดูก็ได้
ผมว่างานนี้ ตร. คงลืม
แต่ถ้าในสถานการณ์ปกติ ทหารก็คงจะทำอะไรไม่ได้
ผมว่าสิ่งที่น่าสนใจคือ ทหาร รู้ได้ยังไงว่ามีการนำอุปกรณ์ตัวนี้เข้ามาสาธิต. หน่วยข่าวหน่วยไหนของต่างประเทศแอบกระซิบบอกหรือเปล่า เพราะไม่น่าจะรู้ได้ทันเวลาและสั่งการได้เร็ว
เพราะนักธุรกิจคนดังกล่าวไม่ได้เข้ามาผ่านช่องทางการทูต
ผมว่าลืมคำว่าให้เกียรติไม่ให้เกียรติกันก่อนไหมครับ ถ้าทำผิดกฏหมายก็ต้องยึดกฏหมายเป็นหลัก
บ้านเมืองจะสงบสุขอยู่ได้ก็ด้วยทุกฝ่ายเคารพกฏหมาย เรื่องนี้ผมว่าถ้าจะตำหนิก็คงต้องตำหนิฝ่ายตำรวจที่ไม่ดำเนินการตามกฏหมาย
ฝ่ายทหารแม้ว่าจะทำตามกฏหมาย แต่ก็ขอติติงที่ทำให้เรื่องมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ในขณะที่สถานการณ์ในประเทศยังไม่ปกติ
อาวุธหรือยุทโธปกรณ์ต่างๆ ถ้ายังไม่ได้เข้าประจำการก็ถือว่าเป็นการครอบครองของประเทศผู้ผลิตอยู่
การนำอาวุธเข้าไปในประเทศอื่น ย่อมถือเสมือนการก่อการร้ายหรือการประสงค์ร้ายต่อประเทศนั้นๆ ดังนั้นจึงการนำเข้าอาวุธจึงต้องผ่านช่องทางการทูต
เพราะตามกำหนดช่องทางการทูตจะถือว่าสามารถยกเว้นข้อกำหนดบางอย่างของประเทศที่สถานทูตตั้งอยู่ได้
เช่นการมีทหารหรือกองกำลังทหารไปตั้งอยู่ในบริเวณสถานทูตนั้นๆ โดยถือเสมือนว่าเขตแดนของสถานทูตเป็นเขตแดนของเจ้าของสถานทูต
ทำให้การนำเข้ายุทโธปกรณ์เพื่อใช้ในกองกำลังเหล่านั้น สามารถนำเข้าไปใช้ในสถานทูตได้โดยไม่ผิดกฏหมาย
ส่วนใครที่สงสัยว่าทหารรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ก็ตามนี้ละครับ
****************************************
"ประยุทธ์" เคลียร์ตร.ขอโทษจับพ่อค้าอิสราเอล
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ กว่า 10 นาย บุกเข้าควบคุมตัวเจ้าเจ้าหน้าที่บริษัทอิสราเอล ขณะสาธิตอุปกรณ์ดักฟังให้ตำรวจสันติบาล ที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนนำไปควบคุมตัวที่ พล.ม.2 รอ. อ้างใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ ว่า “ได้รับรายงานแล้ว มันป็นความเข้าใจผิดกันนิดหน่อยความจริงแล้วเจ้าหน้าที่ของบริษัทเอกชนดังกล่าวไม่ได้เข้ามาทางช่องทางทางการทูต ซึ่งบางทีมันไม่ใช่แล้วทางบริษัทก็ไปโฆษณามากมาย ”
ผู้สื่อข่าวถามว่าไม่ใช่การหวาดระแวงระหว่างกันใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องการหวาดระแวง ทุกฝ่ายเขาคุยกันและเข้าใจกันหมดแล้ว และได้พูดคุยกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.แล้ว เข้าใจกันแล้ว ต่อไปก็คุยกันสักหน่อย นี่มันก็ไม่ได้คุยกัน ทุกคนมันก็ทำหน้าที่ แต่ไม่ได้มีการไปละเมิดเกียรติกัน ซึ่งก็ได้ขอโทษกันไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขอโทษด้วย และอยากให้สื่อจบเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้พูดกันเรียบร้อยจบกันไปแล้ว
ผบ.ตร.ชี้ทหารจับพ่อค้าอิสราเอลไม่เสียศักดิ์ศรี
ด้านพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. กล่าวว่า เมื่อวานนี้ นายทหารพระธรรมนูญ ที่เคยทำงานร่วมกันมา ได้โทรศัพท์มาประสาน เพราะได้รับข้อมูลว่าบริษัทจากอิสราเอลนำเข้าเครื่องมืออย่างไม่ถูกต้อง จากนั้นจึงลงไปรับเจ้าหน้าที่ทหาร ที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล เพื่อให้เชิญตัวชาวอิสราเอลทั้งหมดไปสอบถาม
ผบ.ตร.ย้ำว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ ไม่ใช่เรื่องการเสียศักดิ์ศรี เมื่อทหารนำตัวไป สอบถามข้อมูลเสร็จ ก็ปล่อยตัวแทนของบริษัทชาวอิสราเอลไปหมดแล้ว ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ (7 พ.ค.)
โครงการจัดซื้ออุปกรณ์ดักฟังนี้ รัฐบาลได้อนุมัติงบให้ตำรวจสันติบาล ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทที่ 3 ที่เข้ามานำเสนอสินค้า แต่ทางทหารตรวจสอบพบว่าบริษัทดังกล่าว ไปโฆษณาผ่านเว็บไซต์ว่าจะนำสินค้าไปแสดงต่อตำรวจสันติบาลไทย วันที่ 7 พ.ค.นี้ ใครจะมาดูเชิญมาดูได้ จึงได้มีการประสานเพื่อเข้ามาตรวจสอบดังกล่าว
ผบ.ตร.ระบุว่า ปกติบริษัทที่จะเข้ามาเสนอขายสินค้า ต้องแจ้งทางศุลกากร ว่าจะอยู่กี่วัน กลับเมื่อไหร่ ส่วนคนที่นำสินค้า จะเป็นอดีตทหารหรือตำรวจหรือไม่นั้นไม่ทราบ ทราบเพียงว่ามาในฐานะพ่อค้าเท่านั้น
44 นี่เขามอบอำนาจแก่ ร้อยตรี ขึ้นไป แล้วไม่ใช่หรอ ไม่ต้องสั่งการมา
ละเห็นข่าวว่า บริษัทที่ว่าโปรโมทขึ้นเว็บไซต์ว่า จะมาสามาธิตที่ ตำรวจสันติบาลของไทย ใครสนใจก็สามารถมาชมได้
แหม่คนให้งบมาก็รัฐบาล รัฐบาลก็ใครละ 5555
อำนาจจับกุม ตำรวจ มีอยู่แล้วตาม ป.วิอาญา ถ้าท่านมีหลักฐาน แค่ ประสานมาให้จับ ก็จบ...ในบ้านตัวเองแท้ ๆ เป็นหน้าที่ของตัวเองแท้ๆ กลับให้หน่วยงานอื่นเข้ามาจับ คนทำผิดอยู่ต่อหน้า ถ้าท่านไม่จับ ท่านผิด ม.157 แล้วละ แต่สุดท้ายเป็นเรื่องเข้าใจผิด ทหารจับ และ ปล่อยตัวไป(คนโดนจับจะฟ้องกลับ ข้อหาหน่วงเหนี่ยว กักขัง หรือไม่ มันก็ตลกดีนะ...อันนี้คิดกันเล่นๆ) ขอโทษขอโพยกัน ไม่อยากปวดหัว ไม่อยากให้คิดเรื่องให้เกีรยติหรือไม่ให้เกีรยติกัน ไม่อยากให้เป็นข่าวใหญ่โต มันจะกระทบความรู้สึกของคนที่มีสีด้วยกัน ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่ลงเอยกันแบบนี้นะ จบข่าว....
ข่าวบอกว่านำเครื่องเข้ามาโดยไม่ถูกต้องครับ
******************************************
กสทช.เตือนขายเครื่องดักฟังโทรศัพท์ผิดกม.
เสี่ยงมีโทษจำคุก5ปี พร้อมเรียกตัวแทนจำหน่ายในไทยที่นำเข้าอุปกรณ์ดักฟังมาสาธิตให้ตร.ชี้แจง12พ.ค.นี้
วันนี้ (10พ.ค.58) นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่าการนำเข้าอุปกรณ์ดักฟังโทรศัพท์มาขายบนเว็บไซต์นั้น สำนักงาน กสทช. ขอเตือนว่า อุปกรณ์ดังกล่าวจะนำเข้ามาได้เฉพาะหน่วยงานของรัฐด้านความมั่นคง และต้องได้รับอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้น สำหรับเอกชนไม่สามารถนำเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาใช้งานยิ่งจะมีความผิดมากขึ้น โดยจะมีความผิดฐาน นำเข้า มี และใช้ ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ทั้งนี้ สำนักงานฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบเว็บไซต์เหล่านั้น รวมถึงบริษัทที่มีชื่ออยู่ตามเว็บไซต์เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สำหรับกรณีข่าวเจ้าหน้าที่ทหารกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ได้ทำการจับชาวอิสราเอลจำนวน 9 คน ขณะสาธิตเครื่องค้นหาสัญญาณโทรศัพท์ ติดตั้งระบบตรวจจับสัญญาณและประมวลผลบนโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบจีเอส เอ็ม 3G และ 4G นั้น สำนักงาน กสทช. ได้ตรวจสอบแล้วและได้มีหนังสือให้กิจการร่วมค้า สพิธต้า พีพีเอสซี ผู้นำเข้าอุปกรณ์เครื่องวิทยุคมนาคมดังกล่าวมาให้ข้อเท็จจริง ในวันอังคารที่ 12 พ.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ณ สำนักงาน กสทช. พร้อมทั้งให้นำเอกสารมาแสดงด้วย
ระวังจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนะครับการกระทำที่ลุแก่อำนาจแบบนี้ ต่อไปรับรองได้เลยว่าอยู่กันยาก