ขอบคุณมากครับ.... ชอบมากๆเลย แนวนี้
ขอบคุณครับ รออ่านนะครับ
รออ่านอยู่ครับ
.............................
.....ก็ขอบคุณครับ..สำหรับทุกท่านที่post เข้ามาถือว่า..เป็นกำลังใจให้กัน...
....ผมก็จะว่า..ต่อเลย......
........ถ้าสังเกต...ชื่อ..กระทู้..จะเห็นว่ามันเหลือเชื่อ..มาก...แน่นอนครับ..ทุกคนต้องนึกออกว่า...ไอ้ ๘๐๐ นะ
มันต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ..แน่ๆ..มันเป็นไปไม่ได้ที่..จำนวนแค่นั้น..จะเป็นฝ่ายบุก..แล้วไอ้จำนวนกว่า..แสน..เป็นฝ่าย
ตั้งรับ....ถ้าเราลองใช้สามัญสำนึก..คิดเอาว่า..เราเป็น ๑ ใน ๘๐๐ คนนั่น..แล้วเห็น..ทหารจำนวนเท่า..คนดูเต็ม
สนามฟุตบอลราชมังคลาฯ สองสนาม..รวมกัน..ดาหน้าเข้ามาล้อม..นี่ขนาดไม่ต้องนับรวม..อาวุธยุทโธปกรณ์
หนัก..อย่างปืนใหญ่..ม้า..อูฐ..เกวียน..ที่พอมาปนกันยิ่งทำให้..ขนาดกองทัพยิ่งใหญ่หนัก..เข้าไปอีก.......
..ดาหน้า..เข้ามาล้อม..ตัวเอง....จิตใจ..จะเป็นยังไง..ก็ในเมื่อ..เรารู้ว่า..พวกเราเองนะมีอยู่แค่ ๘๐๐ อนาคตนะ
..เรียกว่า..ค่อนข้างจะเห็นแจ่มชัดว่า..มึงสู้ไป..ก็....ตายลูกเดียว...ผมว่าเกือบทั้งหมด..แทบไม่คิดเลยว่า..จะมีใคร
เหลือรอดได้...นี่ขนาดยังไม่คิดเลยนะ..ว่าไอ้กองทัพนี่..มันเก่งหรือเปล่า...ต่อให้มันเป็นทหารใหม่ทั้งหมด..ก็รอด
ยาก..เพราะ..อัตราส่วนคือ...๑ ต่อ ๑๕๐ ...แล้วเราลองมาดูซิว่า..ไอ้กองทัพที่ยกมานี่..มันกระจอกรึเปล่า....
.............นี่คือ..กองทัพที่ทรงอานุภาพมากที่สุด..กองทัพหนึ่ง..ในยุคกลางตอนปลายของยุโรป (ต้นคริสศตวรรษ
ที่ ๑๖)..ถล่มมาแล้ว..ทั้ง..เซอร์เบีย..โครเอเทีย...ออสเตรีย(บางส่วน)..ฮังการี่..รูมาเนีย...เคยบุกเข้าประชิด..ถึง
กรุงเวียนนา..เมืองหลวงของออสเตรีย...มาแล้ว..เรียกว่า..เมืองหลวงของฮังการี่..โดนถล่มจนราบคาบ..ขนาด
กษัตริย์ฮังการี่..ยังตายคาสนามรบ....แถมยังมีลูกโหดที่ขึ้นชื่อลือชา..ทั้งฆ่าตัดคอ..ข่มขืนสาวๆแก่ๆ..แล้วเอา
กลับบ้าน..ไปเป็นนางบำเรอทำลูกออกมาให้ใช้....เอาเสาเสียบตูดทะลุปาก..ตั้งกลางแจ้ง....เรียกว่า..ถ้าเป็น..
ชายหนุ่มเป็นทหาร..คือ..ไม่เอาไปเป็นเชลย..ฆ่าทิ้งอย่างเดียว..........แถม..ผู้นำทัพสูงสุดนั้น..เป็นกษัตริย์..
ด้วยอีกต่างหาก..รองลงมาเป็น..มหาเสนาบดี...เป็นชุดเดียวกับ..ที่ถล่มเมืองต่างๆตามที่ผมเล่ามา
...............ทั้ง ๘๐๐ ก็รู้ทั้งรู้ว่า...นี่คือ..กองทัพจากนรก..อย่างที่ผมว่าไป...แล้ว..ทำไมเขาจึง..ยืนหยัดต่อสู้....
..แถมไอ้แรงบันดาลใจแบบ..บางระจัน..ก็ไม่มี..เพราะ..ที่ๆตัวเอง..ตั้งรับนั้น..ไม่ใช่บ้านเมืองตนเอง..คนเหล่านี้
มาจากที่อื่น.....อะไรคือ..เครื่องยึดเหนี่ยว..อะไรที่สร้างความเชื่อมั่น..ให้เขามีจิตใจ..ต่อสู้(นอกจาก..ศาสนา..
หรือ..พระเจ้าของตน)..........
.............แน่นอน..ครับ..เป็นใครไปไม่ได้...เขาคือ..ผู้บังคับบัญชาของคนเหล่านี้......นั่นเองก็แสดงว่า....
.....................นี่แหละ..............ยอดคน...............
ชอบครับ รอติดตามครับ
ขอบคุณครับ รอติดตามตอนต่อไปนะครับ
...นี่ที่ผมเล่าไปตอนที่แล้วนั้น..ให้ข้อมูลแบบเกรงใจ.เพราะจริงๆนะมันยิ่งกว่านั้น...ตามข้อมูล
ไอ้ ๘๐๐ นายที่ว่า..นี่คือข้อมูลค่ามากที่สุด..เพราะจริงๆแล้วเขาบอกว่า..มีประมาณ ๗๐๐ถึง
๘๐๐ คน..แล้วไอ้ที่ว่า ๑๒๐,๐๐๐ นั้นมันคือ..ค่าต่ำสุด..เพราะข้อมูลบอกว่ามีตั้งแต่จำนวนนั้น
ขึ้นไป......................................
...แล้วอีกอย่าง..เจตนาของฝ่ายบุกนั้นจริงๆแล้ว..ไม่ได้อยู่ที่นี่...เจตนาคือ...เมืองหลวงของ
อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในยุโรปตอนนั้น..ที่อยู่เหนือขึ้นไป..และเป็นการแก้มือ..ที่คราวที่แล้ว..ทำ
ไม่สำเร็จ..จึงเตรียมตัวอย่างเต็มที่..ปืนใหญ่..มากกว่า..๒๐๐ กระบอก...มาด้วยความมุ่งมั่น
และความพร้อมทุกด้าน...และกษัตริย์องค์ที่นำทัพนี้..คือ..อภิมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่..และ..
มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศนี้..ตลอดกาล..คิดดูเอาเอง..ว่ากองทัพนี้จะยิ่งใหญ่..ขนาดไหน..
.............แล้วหันมาดู..ฝ่ายตั้งรับ ๘๐๐ นายบ้าง..บอกไปอาจตกใจ...เพราะพวกเขา..
..............................ไม่มี..ปืนใหญ่...แม้แต่..กระบอกเดียว..........................
.............แล้วมันเป็นไปได้ยังไง..................แต่มันก็เป็นไปแล้ว.....................
............................................................
..........นี่คือสิ่งที่จุดประกายความน่าสนใจ..ให้กับผมเป็นสิ่งแรก..ที่จะให้ผมค้นคว้าต่อไป...
...สิ่งที่ตามมาเป็นความบังเอิญมากกว่า..เพราะ..ยอดคน..คนนี้..และเหล่าทหารของเขามาจาก
ประเทศ(ก่อนที่จะเกิดการแบ่งแยก)..ที่ผมได้เคยไปศึกษามา..ผมอยู่ที่ประเทศนั้นประมาณ ๔ เดือน
..แต่ผมไม่เหมือน..เพื่อนคนอื่น..เพราะถ้าว่าง..เสาร์-อาทิตย์เมื่อไหร่..ผมจะไม่อยู่ที่ๆพักผมเลย..
..ผมจะออกตระเวณไปตาม..เมืองต่างๆ..ที่น่าสนใจ..จากเหนือ..จรดใต้..ตะวันออก..จรดตะวันตก..
..ไปสัมผัสสถานที่..ประวัติศาสตร์..ธรรมชาติ..และ..ผู้คน..อย่างเต็มที่..อย่างที่คนประเทศนี้เอง..ที่คุ้น
เคยกับผม..หลายคน..ที่รู้ว่า..ผมไปไหนมามั่ง..ยังรู้สึกอิจฉาว่า..ไปมามากกว่าพวกเขาเองที่เป็นเจ้า
ของประเทศอีก...มันก็เลยสร้างความผูกพัน..และ..ซึมซับอารยธรรม..เข้าไป..ทั้งๆที่คนที่นี่..ไม่ใช่คน
ที่..เฟรนด์ลี่..อย่างคนแถบบ้านเรา..แต่ผมก็เข้าใจ..เพราะเมืองเขาตลอดร่วมพันปีที่..ผ่านมา..มีแต่การ
รบพุ่ง..การยึดครอง..การกระทำทารุณ..มาตลอด..ไม่ว่าจาก..เผ่าที่ใกล้เคียงกัน..หรือ..คนต่างถิ่นต่าง
ศาสนา.....มันก็คงหล่อหลอม..เข้าไปปนกับยีนส์เขา..ทำให้ลักษณะรูปแบบการดำรงชีวิต..หรือ..ความ
สัมพันธ์กับ..คนต่างถิ่นออกมาไม่ดีนัก....
...........ยอดคน...คนนี้..และ..เหล่าทหารหาญของเขา...เป็นชาวโครอัท..หรือ..โครเอเชีย..ที่เรารู้จักกัน
(..ผมว่า..คนน่าจะรู้จักชาตินี้..มาจาก..ฟุตบอล..มากกว่าอย่างอื่นนะ.....เสื้อตราหมากรุก..นั่นแหละ)....
.....ประเทศที่ผมเคยไปอยู่คือ..ยูโกสลาเวีย...ซึ่งขณะที่ผมไปนั้น...โครเอเชียยังเป็นแคว้นหนึ่ง....
ของยูโกสลาเวีย..ซึ่งแคว้นอื่นๆ..ก็แยกเป็นประเทศไปหมด..อย่าง..เซิร์บ..หรือ..เซอร์เบีย....
....ผมไปก่อนหน้า..ที่ประเทศจะแยกตัวจากกัน..กว่า๑๐ ปี.....
...สโลวาเนีย..มอนเตเนโกร...มาเซโดเนีย.....บอสเนีย.....
...สำหรับ..โครเอเชีย..นั้นผมไปนั้น..(ไม่ใช่แค่ไป..ไปพักค้างคืนด้วย..)..ไปแบบทั้งไปดูงานประกอบ
การเรียน..และ..ไปเที่ยวเอง...หลายเมืองมาก..ไม่ว่าทั้งที่..ซาเกรบ(เมืองหลวง)..และ..เมืองมรดกโลก
อย่าง..ดูบรอฟนิค..เป็นต้น.......
......ในประเทศยูโกฯนั้น..ก็จะมีเผ่าที่ใหญ่จริงๆ..ก็คือ..เผ่าเซิร์บ(เซอร์เบีย)..กับ..เผ่าโครอัท.(โครเอเชีย)
...ที่ใกล้เคียงกัน..ภาษาพูดต่างกันเล็กน้อย..คล้ายๆ..ไทย..กับ..ลาว..สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น..ก็เพราะ....
พวกเขา..เป็นเผ่าย่อย..ของพวกสลาฟ..อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า..สลาฟภาคใต้...ส่วนเผ่าที่รองลงไปก็คือ..
บอสเนีย...
....ทั้งเซิร์บและโครอัท..จริงๆแล้วก็รบกันมาแต่อ้อนแต่ออก..แต่ไม่ได้เอาเป็นเอาตาย..แค่กระทบกระทั่ง
กัน..แบบมึงอัดกูมั่ง..กูถูกมึงอัดมั่ง..ทำนองนี้....พื้นที่ของทั้งสองเผ่านี้..จะอยู่เหนือ..จากประเทศกรีก...
...........ก็นี่แหละครับ..คือ..มีความเข้าใจในประเทศนี้..เป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้ว...ก็เลยยิ่งทำให้ผมสนใจ
จะค้นคว้ามากขึ้น..........
................................................
สวัสดีครับน้า modpong ดีใจที่น้ากลับมาเขียนอีกครับ ชอบเรื่องที่น้าเขียนมากๆ จะรออ่านครับ
ปล.ไม่ได้ล็อคอินมานานมาก เห็นน้ามาเขียนอีก เลยแวะเข้ามาทักทายน่ะครับ ^^
ขอบคุณครับ..ดีใจเช่นกัน..ได้เจอขาประจำ..สมัย..กุรข่านักรบเลือดเดือด..อีกครั้ง
...ครับ..หายไป..หลายปีเลย...นึกสนุกขึ้นมาและ..อยากถ่ายทอดเรื่องแบบ
ที่ไม่มี..คนไทยคนอื่นเขียน..ให้กับที่เว็บบอร์ดนี้อีกครั้ง...
...แต่เรื่องนี้..คงไม่ยาวเท่า..กุรข่า..หรอกครับ..เรียกว่า..แย็บๆ..ฟุตเวอร์ค..
ลองเชิง..ดูปฏิกริยา..คนอ่านหน้าใหม่ๆ..ก่อน..
อย่าแย๊บสิครับ ตามอ่านแล้วออกอารมณ์ค้าง ฮา เหมือนเพิ่งอ่าน อ่าวจบละยังอินโทรอยู่เลย
ขอตอนยาวๆกว่านี้นิดนึง ไม่ต้องพรืดเดียวจบ อย่างนั้นคงยาวไป
เล่าต่อเลยครับกำลังรออ่าน
........ขอบคุณครับทุกท่าน..ที่รออ่าน..แต่ความยาวของ..แต่ละ โพสต์..ยาวกว่านี้..ไม่ได้หรอกครับ..
...เพราะ...หนึ่ง..ผมแก่แล้ว (๖๐ ขวบ)...
............สอง...สายตาแย่..เพ่ง..อะไรนานๆไม่ได้....
............สาม..การพิมพ์ช้ามาก..ต้องมองแป้นพิมพ์..จิ้มทีละตัว...
............สี่..ผมไม่ได้..มีการเขียนไว้ล่วงหน้า..แบบนักเขียนทั่วไป..แล้ว..ทยอยเอามาลง
.....ผมเขียนสด..เพราะข้อมูลเกือบทั้งหมดอยู่ในสมองอยู่แล้ว..ค่อยๆร้อยเรียงแล้วก็..พิมพ์ออกมาเลย
....แต่..ผมก็..จะพยายามเขียนลงทุกวัน...ครับ..ถ้าสะดวก......
.....ไอ้เรื่องว่า..แย๊บๆ..นะ..ความหมาย..ไม่ใช่..ลงทีละน้อยๆ..ครับ...
....มันเกี่ยวกับ..การสอดแทรกความรู้เพิ่มเติมครับ..เพราะผมไม่นิยมเขียนเข้า..ประเด็นโดยตรง
...แต่จะมีการโยงเรื่อง..และอ้อมเรื่องเพิ่อเข้าหา..ประเด็น..และสิ่งเหล่านี้..ก็จะเป็นความรู้เพิ่มเติม
..ให้คนอ่านไปด้วย...ถ้าคนอ่านชอบ..ผมก็จะได้สอดแทรก..มากขึ้น...
ทยอยก็ได้ครับ รักษาสุขภาพก่อน จะได้อ่านเรื่องที่ ชาวบ้านเค้าไม่เขียนกัน ยาว ยาว ขอบคุณครับ
แค่ปูเรื่องก็ตื่นเต้นแล้วครับ ติดตาม ติดตาม
ขอบคุณครับคุณ modpong รออ่านอยู่เหมือนกันครับ :)
..................
.............คู่กรณีที่..ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา....ก็คือ....ออสเตรีย...กับ...ตุรกี..........
...ผมจำต้องเล่าที่มาเคร่าๆ..ถึง..ต้นตอ..ของเรื่อง..เพื่อประกอบเรื่องให้เข้าใจดีขึ้น..และ..มันเป็น
ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง..ของ..ยุโรป........
.........ออสเตรีย..ในยุคนั้น..ปกครองโดย..ราชวงศ์ฮัปส์เบอร์ก...เป็นส่วนหนึ่ง..ของอาณาจักรที่..
รวมประเทศในยุโรปที่..นับถือ..ศาสนาโรมันคาธอลิก..ไว้ด้วยกัน..ที่เรียกกันว่า..อาณาจักรโรมัน
อันศักดิ์สิทธิ์ ( Holy Roman Empire )...
....ส่วนคู่ต่อกรคือ...ตุรกี...ในยุคนั้น..ปกครองโดย..ราชวงศ์ออตโตมัน...ซึ่งรุกราน..ไปทั่วทั้ง..ยุโรป
..ตะวันออกกลานง..และ..อาฟริกาเหนือ..รวมถึงอิยิปต์..บางส่วน..ซึ่งทั้งหมดรวมเรียกว่า...
..........อาณาจักรออตโตมันอันยิ่งใหญ่ ( The Great Ottoman Empire ) .........
...ที่มาเป็นสาเหตุ..ก็ต้องโทษ..ทั้งสองฝ่าย..เพราะพวกนี้..อยากครอบครองดินแดนเพื่อนบ้าน..
..ส่วนของ..ออสเตรีย..นั้นก็จะเอารอบๆประเทศตัวเองเป็นหลัก..ซึ่งก็ไม่เท่าไหร่..ซึ่งถือเป็นเรื่อง
ปกติ..ของประเทศที่มีอำนาจทางทหาร.....แต่สาเหตุใหญ่ต้องยกให้..พวกเตอร์ก(ตุรกี)..เพราะพวก
นี้..ต้องการครองโลก..และต้องการให้ทุกที่ที่ตัวครอบครอง..นับถือ..ศาสนาอิสลามทั้งหมด...
....พวกเตอร์ก..ไม่ได้แค่..เอาแค่รัฐ..หรือ..แว่นแคว้น..อาณาจักรใกล้ตัว..แต่ขยายออกไปเรื่อยๆ..
ทุกทิศทาง...ขณะที่จุดเริ่มนั้น..ตอนก่อนหน้านี้..มันก็ครอบครองดินแดนใน..ตะวันออกกลาง..
..และ..อาฟริกาอยู่แล้ว...แต่..คนที่อยากขยายขึ้นพื้นที่ทางเหนือ..ก็คือ..ยุโรปนั้น...ก็คือ..ทวด
ของคู่กรณี..ที่มาถล่ม..พวก ๘๐๐ คนนี่...นั่นคือ..
...............สุลต่านเมเหม็ดที่ ๒ หรือ..เมเหม็ด..ผู้พิชิต...Mehmed The Conqueror.........
....นอกจากจะบุกดินแดนของกรีกเดิม..ที่อยู่ในแผ่นดินเอเซีย..มาก่อนหน้านั้น..ก็ยัง..บุกข้ามทะเล
..ที่ช่องแคบบอสฟอรัส..เข้ามาในส่วนใต้..ของยุโรป..เข้าตีและยึด..กรุงคอนสแตนติโนเบิล..ของ...
อาณาจักรโรมันตะวันออกเดิมได้..และ..ขยายการรุกรานเข้าไปในแผ่นดินกรีก..พร้อมกับ..การย้าย
..เมืองหลวงของอาณาจักรออตโตมัน..มาที่กรุงคอนแสตนติโนเบิล..เปลี่ยนชื่อใหม่..เป็น..อิสตันบุล
....เปลี่ยนโบสถ์คริสเตียน..ทุกโบสถ์..ให้เป็น..สุเหร่า....
.............หลังจากย้ายเมืองหลวงมาฝั่งยุโรปแล้ว...ก็เริ่มมีรสนิยมแบบฝรั่งมากขึ้น..แต่ออกไปทางแนว
ผู้หญิง...คือ..ล่าสาวๆฝรั่งผมทอง..ทั้งที่อยู่ในเขตปกครองตัวเอง..แถมยังไปรับซื้อ..สาวๆรัสเซีย..ที่ถูก
พวกมองโกล..จับมาเพื่อเอามาขาย...มากกว่าที่เป็นอยู่เดิม..มเหสีหลัก..มเหสีรองก็แต่งตัวแบบฝรั่ง..
...ส่วนการสงครามรุกราน..ที่เป็นงานหลักของเตอร์ก..ก็เริ่มวิถีใหม่..คือ..ตอนนี้..เน้นโจมตี..พวกยุโรป
..ทั้งบุกขึ้นเหนือ..ค่อยๆคืบเข้าไปยึดครอง..ในเขตที่เป็นประเทศกรีก..ทั้งหมด..และก็ต่อ..เข้าไปบางส่วน
ของ..บอสเนีย..โครเอเทีย..และ..เซอร์เบีย........ทางทะเล..ก็ไล่ยึด..หมู่เกาะต่างๆในทะเลเอเดรียติก..
..และ..เมดิเตอร์เรเนียน..ที่เป็นของพวกกรีก..แต่ไปสะดุดกึก..ที่เกาะโรดส์..ของกรีก..ที่เป็นเกาะใหญ่..
มีป้อมและ..การป้องกันอย่างดี..ทำให้ตีไม่ได้.......
.........เจตนาของ..เมเหม็ด..ก็คือ..จะตัดตอนการค้าจาก..อาฟริกา..เอเซีย(เส้นทางสายไหม)..จากการที่
เมืองเวนิส..เรียกว่า..ผูกขาดมาตลอด..โดยอาศัยเส้นทางเรือในทะเลเมดิเตอเรเนียน......
.........วิถีใหม่อีกอย่างที่เริ่ม..ดำเนินการโดยเมเหม็ดที่๒..ก็คือ...นโยบายกลืนชาติและศาสนา..พร้อมๆกับ
การสร้างเสริมกองทัพให้มากขึ้น..และ..แข็งแกร่งขึ้น..เพราะเขารู้ดีว่า..ต่อไปนี้..การศึกในยุโรป..มันจะไม่หมู
เหมือนอย่างเคย....
........ที่ผมบอกว่า..นี่เป็นนโยบายใหม่เพราะ..เดิมทีเดียวแผ่นดินที่..พวกเตอร์กไปตีได้มานั้น..เกือบทั้งหมด
ก็นับถืออิสลามเช่นกัน..เว้นแต่อียิปต์ก็นับถือเทพ...มันก็เลยไม่รู้จะกลืนชาติศาสนากันไปทำไม.....
.....แต่ตั้งแต่นี้ต่อไป..สุลต่านเมเหม็ดผู้พิชิต..ประกาศ..จีฮัด...เพื่อเข้าโจมตียุโรป..เพื่อล้มล้างพวกนอกคอก..
ที่ไปนับถือพระเจ้าองค์อื่น..ให้มานับถือพระเจ้าองค์เดียว..คือ..พระอัลเลาะห์..จะทำได้..ก็ต้องยึดให้หมด..
..ถ้าใครปฏิเสธ..อัลเลาะห์..โทษมีสถานเดียวคือ...ตาย...การประกาศ..จีฮัด..ก็เลยเป็นนโยบายหลักของ
..อาณาจักรออตโตมันไปโดยตลอด..สุลต่านที่สืบต่อมา..ก็ต้องยึดนโยบายนี้ตามกัน.....
......แต่จะทำให้..เห็นผล..ก็ต้องกลืนชาติและศาสนา..ไปพร้อมกัน.....หลังจากผ่านการกลั่นกรองแล้ว..
..จากสุลต่านและเหล่าเสนาบดี..ก็เลยได้แนวทางปฎิบัติ..ซึ่ง..แนวทางนี้..เตอร์กใช้ติดต่อกันมามากกว่า
๒๐๐ ปี..........
...............................
..............สุลต่านเมเหม็ดที่ ๒ แห่ง ออตโตมันเตอร์ก..หรืออีกชื่อว่า.." เมเหม็ด ผู้พิชิต ".....
...ผู้เป็นจุดเริ่มแรก..แห่งที่มาของเรื่องนี้..................
............................................
มาปูเสื่อนั่งรออ่านต่อนะครับ
............................................
.............แนวทางปฏิบัตินี้..เตอร์ก..ได้ศึกษาบทเรียน..วิธีการกลืนชาติศาสนา..ของพวกแขกโมร๊อคโค...
เมื่อตอนบุกเริ่มเข้าไปในคาบสมุทรไอบีเรีย(เสปน)..และเข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ไว้..เมื่อมากกว่า๓๐๐ปี..
มาแล้ว...การที่แค่เอา..สาวๆมาข่มขืน..เมื่อออกลูกมาก็บังคับให้ถือมุสลิม..หรือ..บังคับให้ทุกคนนับถืออิสลาม
..เอาหนุ่มๆที่จับตัวมา..บังคับเปลี่ยนศาสนา..แล้วเอามาฝึกทหาร..ให้กลายเป็นทหารแขก..เมื่อแต่งงานกับ..
คนพื้นบ้านตัวเอง..ลูกที่ได้มาใหม่..จะกลายเป็นมุสลิม..หรือ..แม้กระทั่ง..สาวๆที่เอามาเป็นนางบำเรอเป็นทาส
ของบรรดาพวกแขกทั่วไปและพวกทหารต่างๆ..จะได้รุ่นใหม่ที่กลายเป็นแขก..และจงรักภักดี...นั้น...เป็นแนว..
ความคิดที่ผิดพลาด..เพราะเมื่อ..เสปนตอนเหนือ(คาสตีล,อารากอน)รุกกลับมา..พวกที่ไอ้แขกมันหมายมั่นว่า
จะกลายเป็นพวกมัน..ก็พากัน..ถอดหมวก..ถอดผ้าคลุมหน้า..เอาสร้อยไม้กางเขน..ที่ซ่อนไว้มาคล้องคอ..
..กลับกลายเป็นคริสเตียน..แบบหน้าตาเฉย..ไอ้พวกที่เป็นทหาร..ก็กลายเป็นใส้ศึก..ส่งข่าว..เสปนใช้เวลา
หลายสิบปี..กว่าจะถอนรากถอนโคน..ไอ้พวกแขกโมรอคโค..ออกจากประเทศได้..แต่ถือว่าประสพความสำเร็จ
อย่างยอดเยี่ยม..เพราะ..เมื่อพวกแขกออกไปแล้ว...คนในประเทศตัวเองก็เป็นคริสเตียนเกือบทั้งหมด...สุเหร่า
ต่างๆ..โดนทำลายเกือบทั้งหมด....เพราะอะไรรึครับ.....
........ตัวหลักที่สำคัญ..มากๆมาก่อนอื่น..คือ..คริสเตียนที่มีอยู่เดิม..โดยเฉพาะผู้หญิงเสปนนั้น..เคร่งและยึดมั่น
ในศาสนาของตนเองมาก(โรมันคาธอลิก)..แบบที่ไม่มีทางทำให้เปลี่ยนแปลงได้...ดังนั้น..การถูกบังคับ
ให้มานับถืออิสลามนั้น..คือฉากบังหน้าที่คนเหล่านี้ต้องยอมทำตาม...เกือบทั้งหมดยังซ่อนกางเขนติดไว้
กับตัว..ซ่อนไว้ในหมอนมั่ง..การที่คนทั่วไปเห็น..หรือสัมผัส..ไม่ว่าสวดมนต์แต่งกาย..พวกนี้ก็ทำ..แต่เป็น
ฉากละคร..เพราะปากท่องบทสวดอิสลาม..แต่ในใจนั้นก็คือ..รูปพระคริสต์....
......ต่อให้..มีลูกกับแขก..หรือ..ลูกกับของพวกเดียวกัน...เด็กเล็กก็จะอยู่กับแม่เป็นหลัก..ไอ้ตัวแม่จะแอบ
ซ่อน..การสั่งสอนแนวทางพระคริสต์ไว้..และพร่ำบอก..ย้ำบอกกับ..ลูกๆกัน..ตั้งแต่พอรู้ความว่า..ลูกนะ..
เป็นคริสเตียน..เพราะแม่ยังเป็นคริสเตียนอยู่..และ..ซ่อนความลับไว้..ไม่งั้นแม่จะเป็นอันตราย..เด็กๆมันก็
รักแม่ทุกคนอยู่แล้ว..อยู่กับแม่เป็นส่วนใหญ่..พวกนี้เมื่อโตขึ้นมา..ก็เป็นอิสลามแต่เปลือก..ทุกคนจะมี..
กางเขนเล็กๆซ่อนไว้แบบเดียวกับแม่....สำหรับชุมชนต่างๆ..ฉากหน้าไปสุเหร่า..ทำ..ละหมาด...แต่ขอโทษ
มีการทำอุโมงค์ใต้ดิน..ทำเป็นโบสถ์คริสต์อยู่ใต้ดิน...โดยที่ไอ้พวกแขกก็ไม่รู้เรื่อง.......(วิธีการนี้..ตอนหลัง
พวกยิวเอามาใช้..เพราะ..กษัตริย์เสปน..เห็นไอ้พวกยิวมันเกาะกลุ่มกันมากและเห็นแก่ตัว..ก็เลยประกาศ
ให้ชาวยิวทุกคนที่อยู่ในประเทศ..ต้องทิ้งศาสนาเดิมเพื่อมานับถือ..โรมันคาธอลิก...ยิวจำนวนมากก็อพยพ
หลบหนีออกนอกประเทศไปเลย..แต่บางส่วนที่อยู่..ก็ต้องเปลี่ยน..แต่เช่นกันเป็นแค่เปลือก..ขนาดนักบวช
ยิว..ที่ไว้เปียสองข้างหูยังต้องถูกตัดทิ้ง..คือไม่ให้มีสัญญลักษณ์ความเป็นยิว..หลงเหลือ..โบสถ์ยิวก็รื้อใหม่
ดัดแปลงเป็นโบสถ์โรมันคาธอลิก..เครื่องหมายชาติยิว(ดาวหกแฉก)..ตะเกียง๗ช่อ..หมวก(อันเล็กๆคล้ายๆ
กะลามะพร้าวเอามาแปะหัว..ที่ผู้ชายชาวยิวใส่กัน)..พวกนี้โดนทำลายทิ้งหมด...แต่ขอโทษพอตกกลางคืน..
พวกนี้..ก็ไปรวมตัวใน..โบสถ์ใต้ดิน..ทั้งสวด..แต่งงาน..ทำศพ...พอข้อห้ามนี้เลิกไปหลังจากนั้นหลายปี...
ไอ้พวกนี้ก็กลับมาเป็นยิว..เหมือนเดิม..).........
.........นี้เป็นข้อมูลสำคัญ..ที่เมเหม็ดที่๒ กับเหล่าเสนาบดี..เอามาขบคิด..แล้วก็วิเคราะห์ออกมาได้ว่า...
..ไอ้ตัวการสำคัญ..คือ..แม่...ดังนั้น...มีอย่างเดียวคือ..ต้องพรากเด็กโดยเฉพาะผู้ชาย..มาจากแม่มันซะ
ก็หมดเรื่อง..ไอ้เด็กผู้หญิง..ช่างมันพอซัก ๑๓-๑๔ ก็จับเอามาขายเป็นทาส..ในเขตของตุรกี..ให้พวกแขกยำ
ซะ..พอมีลูกออกมา..เนื่องจากอยู่ในถิ่นแขก..ไม่ได้อยู่แถวบ้าน..ญาติพี่น้องทางแม่ไม่มี...มีแต่ญาติข้างพ่อ
มันก็จะกลายเป็น..แขกโดยสมบูรณ์ไปเอง..........ไอ้เด็กผู้ชายที่พรากเอามาแต่เด็กก็เอามันมาอยู่ใน
เขตตุรกี..แล้วบังคับหล่อหลอม..ให้มันนับถืออัลเลาะห์..และฝึกมันให้เป็นทหาร..ตั้งแต่เด็กจนโต..ให้
มันลืมชาติพันธุ์เก่า..ศาสนาเก่ามันซะ..เพราะมันไม่มีอนาคตในรูปแบบที่เลือกได้อยู่แล้ว..มันก็จะกลาย
เป็นแขกไป..ถ้ามันปลดประจำการ..กลับบ้านไป..มันก็เป็นแขกอยู่ดี..มันไปมีครอบครัว..ลูกมันก็จะนับ
ถืออัลเลาะห์..ตามพ่อไปเอง....เพราะพ่อพ่อมันมีวิถีเป็นแขกโดยสมบูรณ์ไปแล้ว....
..........................................
พวกแขกโหดมากๆเลย แล้วของชาติเรา สมัยอดีตทำแบบพวกแขกมั่งหรือป่าวครับ "การกลืนชาติ"
......ไม่หรอกครับ..เพราะศาสนาพุทธ..ไม่ได้บังคับใครไม่ให้นับถือ..ใคร..เรื่องกลืนชาติ...
..เราก็ไม่ได้พยายามกลืน..ใคร..เพราะการ"กลืน"..ต้องมาจากการบังคับขู่เข็ญ..ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง..
..ตั้งแค่..อยุธยาถึง..ต้นรัตนโกสินทร์..พวกมุสลิมปักษใต้..ป่านนี้กลายเป็นชุมชนเล็กๆไปแล้ว...
...เพราะเราสามารถใช้กำลังปราบปรามได้เด็ดขาด..และ..ไม่สามารถมาโวยวายได้..เพราะไม่มีสื่อ
และ..มีต่างประเทศมายุ่ง..ตอนนั้น..รัฐมลายู..ก็ยังเป็นของเราเป็นส่วนใหญ่..เพียงแต่เราถือว่า..
อยู่ในขัณฑสีมาของเรา..ก็ต้องเคารพกฎของเรา.....
..............................
..........ที่ผมต้องเอาเรื่องนี้มาเขียน..ก็เพราะ...มันไปเกี่ยวพันกับตัวละครคนนึง..ในเรื่องนี้..ต้องบอกไว้ก่อน
เดี๋ยวจะหาว่า..ออกทะเล................
...............ว่าแล้ว..ขบวนการก็เริ่ม..โดยการส่งทหารเข้าไปตรวจตามพื้นที่ยึดครอง..ตามชุมชน..เมือง..หรือ
หมู่บ้านในชนบท..ไล่ล่า..หาเด็กผู้ชายเอาแบบที่พอรู้ความและช่วยตัวเองได้..ประมาณ ๗ หรือ ๘ ขวบหรือ
เกินเล็กน้อยไม่เอาเด็กโต(เพราะมันเริ่มเป็นตัวของตัวเอง)..โดยคัดเอาเด็กที่แข็งแรงไม่พิการ..และอ่อนแอเป็น
หลัก..พวกเด็กอ่อนแอ..และ..พิการก็ปล่อยไว้ตามเดิม..(ให้เหลือไว้ทำพันธุ์..และ..สร้างบุคคลากรอ่อนแอ...
ในสังคมต่อไป...เรียกว่า..ตั้งแต่...กรีก..อัลบาเนีย..โคโซโว..บอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา..บางส่วนของ..โครเอเทีย
..บางส่วนของ..เซอร์เบีย..บางส่วนของ..บุลกาเรีย..บางส่วนของ..รูมาเนีย(ทรานซิลวาเนีย..และ..วาลาเคีย)
.....(แว่นแคว้นเหล่านี้..ตั้งอยู่ในตอนใต้ของยุโรป..ที่เราเรียกกันว่า..คาบสมุทรบอลข่าน...)
...บางแคว้นนั้น..พวกเตอร์กไม่ได้ยึดครองโดยตรงคือ..เข้ายึดครองบางส่วน..แล้วก็ข่มขู่..ให้เจ้าของแคว้นนั้นๆ
ยอมจำนนเป็นเมืองขึ้น..ส่งส่วย..แต่ยังปกครองตัวเอง..ได้ระดับหนึ่ง..โดยมีทหารของเตอร์ก..ไปตั้งฐาน..แต่ใน
เงื่อนไข..ก็คือ..ต้องส่งเด็กชายตามที่บอกไปแล้ว..มาให้โดย..พวกเตอร์ก..จะไปคัดเลือกเอง..แถม..เจ้าแคว้นก็
ต้องส่งตัวประกันคือ..ลูกชายเล็กๆ..มาด้วย..และผลของการนี้..ก็ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์..
ขึ้นมา..เพราะเรื่องนี้..มันไปเกี่ยวพันกับ..คนดังคนหนึ่ง...คนๆนี้..ต้องบอกว่า..คนในโลกนี้..ที่มีการศึกษาระดับ
มัธยมขึ้นไป..ต้องรู้จักเขาทุกคน..เพียงแต่..ชื่อของเขา..นั้น..ความจริงไม่ใช่ชื่อ..แต่เป็นนามสกุล..ของเขา....
.....เขาชื่อว่า..เจ้าชายวลาด เทเปช แห่งราชวงศ์ดราคูล(หรือ..ดราคูลเลีย)..ฉายาว่า..วลาดจอมเสียบ..
(..ไม่ใช่..ความหมายแบบ..เขาไปสอดแทรกในเรื่องที่คนอื่นเขากำลังทำอะไรกัน..แต่..หมายถึง..เสียบคน
(พวกเตอร์ก..และ..รูมาเนียขายชาติ)ไว้บนเสาไม้ประจาน)....เรารู้จักกันดีนามของ...
.........................แดร็กคูลา..............
...ราชวงศ์ดราคูล..(ความหมายเดียวกับ.. DRAGON ....ก็คือ..มังกร...เพราะราชวงศ์นี้ได้ตราตั้งประจำ
ราชวงศ์เป็นรูปมังกร ( The Order Of Dragon ) )..ปกครองแคว้นวาลาเคีย..ที่เป็นแคว้นใหญ่๑ใน ๓ แคว้น
ของ..รูมาเนีย..โดยอีก ๒ แคว้น คือ..ทรานซิลวาเนีย..และ..มอลดาเวีย......
...ทั้ง วาลาเคีย..และ..ทรานซิลวาเนีย..ก็..โดนพวกเตอร์กบุกตั้งแต่แรก..แต่ก็ต่อสู้อย่างหนัก..แต่ก็ทานไม่ไหว..
จนต้องยอมเป็นเมืองขึ้น และ..ส่งส่วย..ให้ เตอร์กเพื่อรักษาชาติไว้..แต่ก็ต้องยอมรับกฏ..ที่เตอร์กวางไว้ด้วย
..นอกเหนือจาก..ต้องยอมให้เตอร์กมาเอาเด็กชายตามเกณฑ์ที่เล่าไปแล้ว...แม้แต่ราชวงศืก็ไม่เว้น
...ก็คือ..การส่งตัวประกัน..ซึ่ง..แคว้นวาลาเคีย..เจ้าแคว้น(พ่อของเจ้าชายวลาด)..ต้องส่งลูกชายคนเล็กไป
เป็นตัวประกันที่อิสตันบุล..เพราะอยู่ในวัยแบบที่ผมว่าไว้..เขาชื่อ..เจ้าชายราดู....
(...เป็นไง..คล้ายกับ..พระนเรศวร..ตัวประกันหงสา..มั้ยครับ...แต่สภาพแวดล้อม..มันต่างกัน...เพราะ...
..พม่า..เป็นพุทธ..เหมือนเรา..อาหารการกินก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่..สิ่งแวดล้อมก็ใกล้เคียงกัน..และ..พระนเรศวร
ก็ไม่ได้โดดเดี่ยว..ก็..ยังคนบ้านเดียวกัน..ได้พูดคุย..ไม่ว่าชุมชนเชลยไทย..หรือ...พระพี่นางสุพรรณกัลยา..
..ทำให้เป็นสิ่งตอกย้ำให้..ไม่ลืมถิ่นกำเนิด..ชาติกำเนิด..แม้ว่าจะไปตั้งแต่เด็กเช่นกัน..(แต่เด็กไม่เท่ากับ..เจ้าชาย
ราดู..)..ราดูนั้น..ไปอยู่ที่อิสตันบุล..ก็ถูกเลี้ยงอย่างดี..สมศักดิ์ศรีแบบเจ้า..แต่เป็นเจ้าแขก..เตอร์กสอนทุกอย่าง
..แบบ..เตอร์ก..ทั้งศาสนา..ภาษา..วัฒนธรรม..การศึกการสงคราม..และ..ไม่มีโอกาศไปเจอ..คนบ้านเดียวกันเลย
..ความที่เป็นเด็กมาก..ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า..ไอ้พวกเตอร์กทำทารุณกรรม..กับชาติตนเอง..กับกอปรที่อาจเป็นคนหัวอ่อน
ด้วย..ผลคือ..โตขึ้นมา..กลายเป็น..เตอร์กสมบูรณ์แบบลงไปแม้กระทั่งจิตใจ.......นี่ความจริงเป็นแผนการของเตอร์ก
อยู่แล้ว..การที่เอาราดูไปนั้น..เจตนาไม่ใช่ให้เป็นตัวประกัน..แต่ต้องการแปลงให้ราดู..เป็นเตอร์ก..เพื่ออนาคตจะวาง
แผนยึดครองรูมาเนีย..และ..ส่งราดู..ขึ้นไปเป็น..กษัตริย์..แผ่นดินนี้..มันก็จะกลายเป็นเตอร์กโดยสมบูรณ์แบบ
ไม่ใช่แค่เมืองขึ้น.......ราดูนั้นเมื่อเป็นหนุ่มก็ทำการรบเป็นระดับแม่ทัพให้เตอร์ก..และ..เข่นฆ่าพวกฝรั่งต่างรวม
ถึง..ใน..วาลาเคีย..บ้านเกิดตัวเองด้วย..และภูมิใจในความเป็นเตอร์กมาก..เนื่องจากชื่อของเขาก็ถูกเปลี่ยน
ตั้งแต่เด็กแล้ว..เมื่อเข้ารับศาสนอิสลามมาสู่ตน...เป็น ราดูเบย์..
.........ส่วน..เจ้าชายวลาด เทเปช..พี่ชาย..นั้น..ก็คนละขั้ว..นี่คือ..วีรบุรุษของรูมาเนีย..เช่นเดียวกับ..เมอเซีย..
ผู้ฉลาดแฉลียว..และ..มิคเฮล ผู้ห้าวหาญ..ซึ่งคนเหล่านี้..ก็รบกับเตอร์ก..ต่อต้านการเข้ายึดครอง.....
...เพียงแต่...วลาด เทเปช นั้น..เป็นคนแกร่ง..และ..โหด..เพราะเขาเห็นว่า..เมื่อเตอร์กไร้ปราณี..กับคนบ้านเขา
..ไอ้แค่เอาไม้เสียบตูด..ทหารเตอร์ก..ตั้งไว้ดูเอาความซะใจ..มันยังไม่สาแก่ใจเขา..เขาต้องการไล่ไอ้พวกนี้..
ไปจากแคว้นวาลาเคียบ้านเขา...แต่ก็โดนพวกขุนนางที่ฝักไฝ่เตอร์ก..คอยลอบกัดตลอด..ด้วยจิตมุ่งมั่น..
และ..แข็งแกร่ง..เขาทำการรบชนะเตอร์กหลายครั้ง..จนกระทั่งเตอร์ก..ส่งน้องชายที่เป็นแม่ทัพเตอร์ก..เข้า
มาประจัญกับ..กองทัพของพี่ชาย..นั่นแหละ..เส้นทางของทั้งสองมันหลีกเลี่ยงไม่ได้..ชะตากรรมส่งให้..
ทั้งสองต้องมาเจอกัน............
"...........................................
.........เจ้าชาย วลาด เทเปช แห่ง แคว้นวาลาเคีย.....หรืออีกนัยหนึ่ง......แดร็กคูล่า..........
สนุก จน ต้อง ตามอ่านทุกวัน
........นี่ความจริงผมถอดใจแล้วนะ..ว่าจะเลิกเขียนต่อ..เพราะมาดูแล้วเว็บอร์ดนี้...
..เรื่องที่ลงๆกันมัน..คนละขั้วกับ..เรื่องของผมเลย..มีของผมที่จะวนอยู่ในยุคโบราณแค่..กระทู้เดียว
....และ..ก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไร..หลายๆวัน..ผมก็ว่าคนที่ผ่านมาอ่าน..ก็คงผ่านไป..ไม่เข้ารสนิยม..
..ก็คิดกำลังจะย้ายเรื่องไปลงที่อื่นอยู่.......พอดีเข้ามา..ดู..ก็คุณabsulation..เข้ามาpost..ก็ยัง
พอมีกำลังใจขึ้นบ้าง..แต่ถ้าจบเรื่องนี้แล้ว..ก็ไม่มั่นจะเขียนที่นี่ต่อแล้ว....
...ขอบคุณครับ..ที่เป็นกำลังใจให้...ครับ..ก็จะพยายามเขียนต่อ..แม้จะมีคนตามอ่าน..น้อย..ก็ยังดี..
....
สำหรับบอร์ดเล็กๆที่มีสมาชิกเฉพาะกลุ่มแบบนี้ ยอดเรตติ้งคนเข้ามาเปิดอ่านร่วม 8900 กว่าครั้งนี่ผมว่าไม่น้อยนะครับ ถ้าเปรียบเทียบกับหลายๆกระทู้แล้วถือว่าไม่ธรรมดาครับ ก็ขอเป็นกำลังใจให้น้า(ขออนุญาตเรียกน้านะครับ เพราะอายุท่านเจ้าของกระทู้วัย 60 แล้ว)ทำผลงานต่อไปครับ
ผมอุตสาปูเสื่อซื้อถั่วต้มรออ่านตั้งแต่จั๊วหัวเรื่องไว้ตั้งแต่วันที่ 1 กพ แล้วครับ รีเฟรซหน้าเฟสตลอด เพื่อรอบทความเมื่อไรจะอัพอีก
ยังตามไปอ่าน กุรข่า..นักรบเลือดดุ เพื่ออ่านรอฆ่าเวลา
อย่างน้อยบทความของคุณยังช่วยสร้างสีสันให้กับบอร์ดนี้อีกด้วย ที่ไม่ใช่แต่ข่าวสารใหม่ บทความสมัยเก่าบวกประวัติศาสตร์ เสริมความรู้
ยังไงขอเป็นกำลังใจให้ครับ
อย่าเพิ่งไปไหนเลยครับน้า ผมติดตามอ่านทุกวันเช่นกันครับ ข้อมูลที่น้าเอามาเล่าเป็นอะไรที่หาได้ยากตามบอร์ดทั่วไป แม้แต่ในหนังสือก็ตาม ขอเป็นกำลังใจให้ต่อไปครับ ปล.หากจะย้ายไปเขียนบอร์ดไหน ขออนุญาตแอดมินให้น้าเอาลิ้งค์มาแปะไว้ได้ไหมครับ ^^
แต่ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ในเวปนี้รออ่านบทความของคุณนะครับ รวมถึงผมด้วย อย่าพึ่งถอดใจเลยครับ กำลังใจอยู่รอบๆอีกเพียบครับ :)
........ขอบคุณ..ทุกท่านที่ให้กำลังใจเขียนต่อครับ....
.................
...............................
............ฝ่ายสอดแนม..ของวลาด..ตรวจสอบพบว่า..ผู้นำทัพครั้งนี้มา..คือ..ราดู..น้องชายของ..วลาดเอง
จึง..รีบส่งข่าวบอกให้ตัววลาดทราบ..ตามพงศาวดาร(เรื่องเล่าไม่เป็นทางการ)นั้น..บอกว่า..เจ้าชายวลาด
ส่งทหารลอบเข้าค่ายเตอร์ก..เพื่อขอนัดพบกับ..ราดูเป็นการส่วนตัว..วลาดนั้น..รักน้องชายคนนี้มาก..เพราะ
เล่นกันมาแต่เด็ก..และ..ทำหน้าที่เป็นพี่ชายที่ดี..ปกป้องน้องมาตลอด..เขาเองจึงอยากพบน้องชาย..ที่พลัด
พรากกันมากกว่า ๑๐ ปี...และอีกทางคือ(ความคิดตัวเอง)จะใช้ความเป็นพี่น้องชักชวน..น้องชายให้กลับบ้าน..
เลิกรับใช้พวกเตอร์ก..เพราะเชื่อในสายสัมพันธุ์ของพี่น้องว่า..น่าจะเหนือสิ่งอื่นใด..แต่พอเมื่อพบกันจริงๆ..
..ถึงได้รู้ว่า..สายไปแล้ว..ไม่ว่าจะพูดด้วยวิธีใด..เจ้าชายราดูนั้น..ไม่ใช่..ราดูคนเดิม..แต่เป็น..ราดูเบย์....
..แม่ทัพของเตอร์ก....สรุปว่า..การหล่อหลอมของเตอร์ก..นั้นเหนือกว่า..ความสัมพันธ์ของสายเลือด.......
........เจ้าชายวลาด..ต้องกลับไปพร้อมกับความโศกเศร้าที่เสียน้องชายที่ตัวเองเฝ้ารอคอยการกลับ
มา..ไปให้พวกเตอร์กซะแล้ว....แล้ว..หลังจากนั้น..กองทัพทั้งสอง..ก็ต้องมาเผจิญหน้าทำศึกกัน...
..รบกันแบบนองเลือด..ผลก็คือ..เจ้าชายราดู..ก็ต้องมาจบชีวิตที่บ้านเกิด..ซึ่งไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าใคร
เป็นคนฆ่า...แต่ผลของมันทำให้..เจ้าชายวลาดเจ็บแค้นมาก..เขาไม่ได้โทษ..ราดูน้องชาย..โดยตรง
แต่เขาโทษ..พวกเตอร์ก..ทำให้..วลาดยิ่งบ้าคลั่ง..และ..โหดเหี้ยมเข้าไปอีก...ซึ่ง..พระเจ้าไม่เข้าข้าง
เขา..ที่ทำเพื่อศาสนา..และ..ชาติ..ต่อมาเขาก็ต้องจบชีวิตลง..เพราะพวกเตอร์ก..ร่วมกับขุนนางทรยศ
...กลายเป็นตำนานของ..รูมาเนีย...ที่รูมาเนีย..เขาคือ..วีรบุรุษ..เขาไม่ใช่..แดร็กคูล่า..แบบที่..บราห์ม
สโตเกอร์..เอาชีวิตเขาไปยำ..ซะเละตุ้มเปะ..กลายเป็นผีดิบดูดเลือด....
..........ผมเอาเรื่องนี้มา..เพื่อยกตัวอย่างให้ดูถึง..ความหลักแหลมในความเจ้าเล่ห์..ของพวกเตอร์กว่า
มันมีผลขนาดไหน..ผลที่ตามมาชัดๆอีกอย่างคือ..ภายในเวลา ประมาณ ๑๐ ปีแรกของการเริ่มขบวนการ
นี้..ปรากฏว่า..กองทัพเตอร์ก..เพิ่มจำนวนขึ้นมหาศาล..เพราะเด็กเหล่านั้น..เกือบทั้งหมด..กลายมาเป็น
ทหารเตอร์ก..โดยอัตโนมัติ..ไม่ต้องเสียแรงปั๊มลูกกันแบบวินาศสันตะโร..ให้หมดกระสุน...พวกนี้ก็กลาย
เป็นเตอร์กสมบูรณ์แบบ..มีชื่อใหม่(แบบอิสลาม)กันทุกคน...พร้อมที่จะตายเพื่อชาติเตอร์ก...
....แล้วเตอร์กนั้น..ก็ทำขบวนการนี้..ต่อเนื่องคือ..ทุกปี..มันก็จะมารับเด็กใหม่ๆ..ที่อายุถึงเกณฑ์..ดังนั้น..
ทุกปีหลังจากชุดแรกเข้าประจำการ..จำนวนทหารเตอร์กก็จะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ..ยิ่งทำให้อำนาจทาง
ทหารเตอร์ก..เพิ่มพูลขึ้นเหนือใคร..เป็นที่หวาดหวั่น...ของวาติกัน..และ..อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์...
...ผลของมัน..ส่งต่อมาถึงปัจจุบัน..เพราะบางเผ่าที่ความยึดมั่นศรัทธาต่อ..ศาสนา(คริสเตียน)ของตน
ไม่แข็งแกร่งนั้น...ทำให้แว่นแคว้นของยุโรปที่ถูกเตอร์กปกครอง..บางแคว้น..ก็ต้องกลายเป็น..แคว้นมุสลิม
ไป..อย่างเช่น..ประเทศอัลบาเนีย..รัฐอิสสระโคโซโว..ประเทศบอสเนีย-เฮอร์เซโกวิน่า..เป็นต้น..
......ต้องท้าวความย้อนหลังไป..เดิมนั้น..ประเทศต่างๆที่ผมกล่าวๆมาทั้งหมดนั้น..นับถือศาสนาคริสต์..
นิกายออร์โทด็อกซ์...นิกายนี้เป็นนิกายแบบดั้งเดิม..เก่าแก่..นิกายโรมันคาธอลิกนั้น..เกิดขึ้นมาภายหลัง
โดยแพร่กระจายจากอิตาลี..โดยที่กระจายขึ้นไปด้านบน..และ..ตะวันตก..ของยุโรป..ส่วนด้านตะวันออก
ไปจนถึง..รัสเซียนั้น..จะเป็นออร์โทด็อกซ์...ตั้งแต่ต้นสมัยกลางมา..อิทธิพลของโรมันคาธอลิก..ก็เริ่มแผ่
เข้ามาทางยุโรปตะวันออก..ดังนั้น..แคว้นต่างๆในด้านตะวันออก..ที่อยู่ใกล้ก็ได้รับอิทธิพลไปด้วย...เช่น
โครเอเทีย..ฮังการี่..และก็ลามไปถึง..รูมาเนีย..โดย..ที่ออสเตรีย..เป็นตัวการหลัก....พวกโครอัทนั้น....
พรหมแดน..ด้านเหนือ..จะอยู่ติดกับออสเตรีย..ด้านตะวันตกติดกับ..อิตาลี่...จึงไม่ยากที่ได้รับอิทธิพล
ดังกล่าว...เมื่อเซอร์เบีย..ที่เหมือนญาติกัน..แบบไทยกับลาว..แต่ดันไปถือ..กันคนละนิกาย..ไอ้ความ
ผูกพันที่เคยมีก็ยิ่งห่างเหิน..โครอัท..ก็..ญาติดีกับ..ออสเตรีย..และ..ให้ความช่วยเหลือ..เนื่องจากเป็นนิกาย
เดียวกัน..แถม..ออสเตรียนั้น..เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล..เส้นทางใกล้สุด..ที่จะไปเมดิเตอร์เรเนียน
ก็ต้องอาศัยผ่าน..โครอัท..ดังนั้น..อย่าแปลกใจว่า..ทำไมทหารโครอัท..แบบนิโคล่าและพวก..ถึงไปรับจ้าง
ออสเตรีย..ปกป้องพรมแดน...และที่อธิบายมาจะได้เข้าใจว่า..ทำไมโครอัทถึงขอแยกตัวจากเซอร์เบีย..
จนวุ่นวายเกิดเป็นสงคราม..เมื่อร่วมยิ่สิบปีที่ผ่านมา..(ถ้ามีโอกาศผมจะเล่าที่มาที่ไปที่มากกว่านี้ภายหลัง)
.......ก่อนหน้านี้..ผมเล่าถึง..ผลการกระทำของเตอร์ก..ทำให้บางแคว้นกลายเป็น..ประเทศอิสลามในปัจจุบัน
..แลัวทำไม..บางแคว้น..ที่ถูกเตอร์กยึดครอง..ในเวลาไล่เลี่ยกัน..กับ..ไอ้ที่โดนมาตั้งแต่เริ่ม..ถึงไม่กลายเป็น
ประเทศมุสลิม...อย่างเช่น..กรีก..มาเซโดเนีย(มีเมืองโบราณรุ่นสมัยกรีก..เมืองหนึ่ง..ที่ชื่อ..Heraclea....
..คนที่ชอบจักรๆวงศ์ๆเทพเจ้ากรีก..น่าจะเอะใจนะครับ..เพราะมันคล้าย..Heracles..มาก..บางคนที่ไม่คุ้น
อาจงง..นี่คือชื่อในภาษากรีกของ..เฮอร์คิวลีส..ครับ...ทำให้นักโบราณคดี..หลายท่านต้องมาดู..เพราะแต่ก่อน
ไม่เคยเชื่อว่า..เฮอร์คิวลิส..มีตัวตนจริง..)..เซอร์เบีย..มอนเตเนโกร..นั้น..พวกนี้..นิกายออร์โทด็อกซ์เช่นเดียว
กับไอ้ประเทศที่กลายเป็นมุสลิมไปแบบที่ผมกล่าวมาแล้ว...มันอาศัยศรัทธาและความยึดมั่นในศาสนาของตน
ครับ.....คนในครอบครัว..ยึดมั่นและศรัทธา..ก็สามารถโน้มน้าวไอ้พวกที่เปลี่ยนศาสนาไปแล้ว..กลับมาได้..
โห เป็นแบบนี้นี่เอง ได้เปิดหูเปิดตาเลยครับ
.........................................
(เพิ่มเติมเกร็ดความรู้- ...มันง่ายกว่า..และ..ไม่ต้องเจ็บตัว..เหมือนตอนเปลี่ยนไปถืออิสลาม..พวกที่ไปเปลี่ยน
ตอนโตแล้ว..ต้องทำใจ..อย่างสมัยนั้น..เตอร์กมันบังคับเปลี่ยน..ทั้งเจ็บใจ..และ..เจ็บตัวอีกต่างหาก...แต่ไอ้
พวกที่เปลี่ยนเพราะอยากได้เมียแขกนี่ช่วยไม่ได้..เพราะมันอยากก็ต้องยอม..ยอมอะไรหรือครับ..คนอ่านส่วนใหญ่
จะทราบ..แต่เด็กรุ่นใหม่คนพุทธ..อาจไม่รู้..โดนขลิบหนังหุ้มปลายไอ้จู๋ครับ..บางคนบวมเป็นอาทิตย์..แถมช่วงแรก
ใช้งานไม่ได้อีกต่างหาก..ความจริงมันมีเหตุผล..เพราะศาสนานี้เกิดในประเทศอาหรับ..ซึ่งใครๆก็ทราบว่า..
น้ำ..มันน้อยแค่หากินก็แย่แล้ว..เดินทางในทะเลทรายเป็นอาทิตย์ถึงจะเจอโอเอซิส..มีแค่น้ำติดตัวไว้กินและทำ
อาหาร..ดังนั้นเรื่องอาบน้ำไม่ต้องพูดถึง..(เรื่องนี้ผมไม่ได้ว่าเอง..เพื่อนที่เป็นอาหรับ..สมัยตอนไปเรียนที่ยูโกสลาเวีย
เล่าให้ฟัง)..ดังนั้น..ไอ้จู๋มันก็จะหมักหมม..เพราะทำความสะอาดยาก(ยิ่งพวกหนังหุ้มไม่ค่อยเปิด..หรือ..เปิดไม่หมด
ยิ่งไปกันใหญ่)..นอกจากเป็นที่เก็บเชื้อโรคแล้ว..พายุทราย..ซึ่งจะต้องเจอระหว่างเดินทางมันพัดพาฝุ่นขนาดเล็ก
เข้าไปใต้ร่มผ้าด้วย..มันก็เลย ๒ เด้ง ..นอกจากจะมีผลให้เกิดโรค..กับตัวเอง..ยังพลอยเอาไปฝากทั้งโรคและขี้ฝุ่น
ผงทราย..ไปแถมให้เมียด้วย...บัญญัติศาสนา..ก็อยากให้ผู้นับถือ..มีวิถีเหมือนกับคนอาหรับ..ก็เลยต้องขลิบ
ไปด้วย..จะเห็นว่า..ศาสนายิวก็เช่นกัน..เพราะยิวมันก็กำเนิดใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายมาก่อน....เมื่อขลิบแล้ว..
ก็ทำความสะอาดง่าย..เพราะเอาผ้าสะอาดที่เก็บไว้อย่างดี..เช็ดซะ..มันก็กำจัดสิ่งแปลกปลอมได้แล้ว......)
..ซึ่งมันคงมาจากยีนส์ของเผ่าพันธุ์นั้นๆ..ดูอย่าง..กรีก..ที่มีความยอดเยี่ยมยิ่งกว่า..เสปน..เสปนนั้น..ไม่ได้โดนเอา
เด็กผู้ชายไปหลอมให้เป็นมุสลิม..อย่างพวกกรีกที่โดนก่อนเพื่อน..เด็กผู้หญิงสาว..ก็โดนเอาไปทำลูก..และบำเรอ
ความใคร่..บางส่วนที่ต้องไปเป็นเมียทาสของทหารเตอร์ก..ไม่ได้กลับบ้าน..ลูกก็กลายเป็นลูกครึ่งเตอร์ก..อยู่ที่โน่น
..และ..อีกจำนวนมาก..ก็โดนต้อนให้มาบำเรอความใคร่..แบบเวียนหน้ากันมา..ภายในเขตยึดครอง..(เป็นแผนการ
ยัดเยียดลูกให้เกิดมา..แล้วจะได้กลายเป็นชมชนมุสลิม..แล้วเข้าทดแทนคนกรีกรุ่นเก่า..และแล้ว.กลายเป็นเตอร์ก..)
..ใครท้อง..ก็ส่งกลับภูมิลำเนา..ซึ่งตอนนั้น..พวกเตอร์กรื้อหรือดัดแปลงโบสถ์ออร์โทด็อกซ์หมด..เปลี่ยนเป็น..สุเหร่า
แทน..เพื่อให้คนกรีก..มานับถือ..มุสลิม...(ลองคิดดูว่า..ถ้ามันทำอย่างงี้ในบ้านเรา..ซึ่งคนไทยนั้นปรับตัวง่ายอยู่แล้ว
สงสัยเรียบร้อย)..มีโรงเรียนศาสนา..สอน..ภาษาหรับด้วย..โรงเรียนสอนภาษากรีก..ไม่มี....มันครองแผ่นดินนี้เป็น
ระยะ..มากกว่า ๓๐๐ ปี..นานกว่า..แขกโมร็อคโค..ครองเสปน..ด้วยซ้ำ...แต่...
..........หลังจาก..กรีก..เป็นอิสสระ..เป็นไท...คนกรีกที่เป็น..มุสลิม..ที่ตอนหลัง..หน้าตาไปคล้ายพวกเตอร์ก..ก็เพราะ
ระยะ ๓๐๐กว่าปี..เชื้อพันธุ์เตอร์กมันเข้าไปแทรกเชื้อกรีก..เรียกว่า..หาเชื้อกรีกแท้ๆยากมาก...ใครเคยดูหนังกรีก..หรือ
ดูหนังเตอร์ก..คุณแทบแยกไม่ออกว่า..ใครเป็นใคร..(..ทางกลับกัน..เชื้อพันธุ์ฝรั่ง..ก็กระจายเข้าไปในคนเตอร์ก..ทำให้
คนเตอร์กภาคเหนือ..โดยเฉพาะที่อยู่ฝั่งยุโรป..ผิวจะค่อนข้างขาว..สีตา..ก็มีตั้งแต่น้ำตาลอ่อน..เทา..ฟ้า..และ..เขียว..
เบ้าตาไม่ลึกมาก.....จมูกตรง..ถึงค่อนข้างตรง..หรือ..โค้งน้อยๆ..........มีความคล้ายฝรั่งมาก..บางคนเหมือนเลย
..ผมสีน้ำตาล..ก็มีให้เห็นไม่น้อย.......เด็กเกิดใหม่..บางคน..ผมออกสีทองเลย......
...ยิ่งถ้าเห็นเด็กนักเรียนแล้ว..อย่างง..เพราะจะเห็นเด็กผมทอง..ปะปนอยู่ด้วย..(พอเริ่มเป็นหนุ่มสาว..สีผมจะกลับ
มาเข้ม..กลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน..หรือ..น้ำตาลเข้ม..ก็แล้วแต่ความเข้มข้นของยีนส์ฝรั่ง....)........
...ถ้าคุณไป..คอนแตนติโนเปิล..ในปัจจุบัน..หรือ..ดูรูปจาก Google..สภาพคนในเมืองหลวง..ผู้หญิงตุรกี..จำนวน
ไม่น้อย..จะย้อมผมสีทอง..นั่นอย่าไปตีความว่า..กระแดะ..อยากเป็นฝรั่ง..ซะทั้งหมด..แค่บางคน..แต่เป็นเครื่อง
หมาย..บอกให้รู้ว่า..พวกผู้หญิงเหล่านี้..ตอนเป็นเด็กเล็กๆ..นั่นผมทองครับ..แต่พอโตขึ้นเป็นสาว..กลายเป็นสีดำ
ซึ่งพวกนี้ทำใจไม่ได้..เพราะผมสีทองมันก็ดูดีกว่าสีดำ..อยู่แล้ว..ก็เลยย้อมกันตั้งแต่สาวเลย...ให้สังเกตว่า..ถ้าคนไหน
สีตา..เป็น..เทา..เขียว..ฟ้า..หรือ..น้ำตาลจางๆละก็..ใช่เลย..แบบที่ผมบอก....
...ผิดกับ..เตอร์กภาคใต้(ฝั่งเอเซีย)สายแท้..ที่ผิวสีน้ำตาล....ตาสีน้ำตาลเข้ม...จมูกค่อนข้างงุ้ม..และ..โค้ง...ผมดำสนิท
....และผลกรรมยังสนองเตอร์กต่อ...เพราะพวกเตอร์กเหนือ(ยุโรป)..เรียกว่าทำตัวแบบฝรั่ง..ไม่เคร่ง..กินเหล้า..กินหมู
...และในสังคมชั้นดี..คนมีการศึกษาดีนั้น..จะค่อนข้างเหยียด..คนเตอร์กภาตใต้..เรียกว่า..การแต่งงานข้ามภาคแทบ
ไม่เกิดขึ้นเลย..เพราะพวกเหนือ..ต้องการคงสายพันธุ์ลักษณะที่คล้ายฝรั่งยุโรปไว้..แต่..กับ..พวกฝรั่งนั้นพวกนี้สบาย
มาก....ไอ้พวกเตอร์กใต้ก็เกลียดเตอร์กเหนือ..ที่ไม่เคร่งทำตัวเป็นฝรั่ง..ครอบครัวก็ไม่สนับสนุนให้คนของตนเองไปแต่ง
กับพวกภาคเหนือ..)....
....
...ถ้าไม่บอกจะนึกว่า..ถ่ายเด็กฝรั่ง..แถว..อิตาลี..ฝรั่งเศษมาให้ดู...นี่เป็นเด็กเร่ร่อนชาวตุรกี..ที่ขาย..กระดาษทิชชุ่แบบซองไปเรื่อย..ดู..สีตา..ผม..โครงหน้า..จมูก..นี่แหละครับ..ผลการผสมกัน..
มั่วไปหมด....ภาพนี้ถ่าย..ที่อิสตันบุลครับ.....
.........
..........
.........
.นี่..ทั้งสามภาพ..ก็อย่านึกว่า..ไปถ่าย..ที่อิตาลี่..ก็แค่โรงเรียนไฮสกูลธรรมดา..ใน..อิสตันบุล
...ดูผิวพรรณ..หน้าตา..การแต่งตัว..สีผม...ไม่รู้ตรงไหนที่บอกว่าเป็นแขก...ผ้าคลุมหัว..ก็ไม่
มีใครใส่ซักคน..นี่ประเทศมุสลิมดั้งเดิมนะครับ..(..แต่ไอ้เด็กไทย..นี่ใส่กันจัง..สมัยผมเรียนหนัง
สือ..ผมก็มีเพื่อนเป็นเด็กผู้หญิงมุสลิม..ในโรงเรียนก็มีหลายคน..ไม่มีใครใส่ผ้าคลุมผมซักคน)..
......
...มาดูรุ่นใหญ่นี่ดีกว่า..นี่ก็เป็นถาพถ่ายในอิสตันบุล..ผู้หญิงยี่สิบกว่าคน..ใส่ผ้าคลุมหัว ๒ คน
...นี่คนตุรกีทั้งหมดนะครับ..เป็นการสัมนาอบรมจัดหางาน...ผมเห็นเวลาภาพในหนังสือพิมพ์ไทย
เดี๋ยวนี้..ถ้ามีแบบเดียวกันทำนองนี้..ในกรุงเทพเผลอๆ..มีคนใส่เยอะกว่านี้อีก...
....ดูหน้าตา..ผิวพรรณ..การแต่งกาย...ดูแล้วยังดูเป็นฝรั่งมากกว่าพวกเสปนด้วยซ้ำ...
...
ได้เปิดหูเปิดตาอีกแล้วครับ แต่สาวตุรกีในรูปนี่สวยจริงๆ
รออ่านต่อไปครับ
....นี่ผมเกรงใจ..คนอ่านทีเป็นมุสลิมในบ้านเรานะ..เพราะรูปยามราตรี..ใน..อิสตันบุล
...ยิ่งกว่านี้เป็น ๑๐ เท่าพวกสาวๆ..มีทั้งเมา..กินเหล้า..สูบยา..แต่งตัวกัน..เต้นแบบติดเรทเลย
..อย่างว่าครับ..เขาก็ถือว่า..อยู่ในยุโรป..ภาษาที่ใช้..ทั้งตัวเขียน..และ..การพูดเป็นของเขาเอง
...และ..เขาก็อยู่ในประชาคมยุโรป...วันหลังมีเกร็ดจะเล่าให้ฟังถือ..วิถี..ที่..ตุรกี..ไม่มีทางถอย
หลังไปอีกแล้ว...ทำไม..
เล่าต่อไปเลยๆเลยครับ อ่านอยู่ทุกวันครับ
.....................................
....เหตุผลหรือครับ...ก็เพราะ...ส่วนนึง..มาจาก..เด็กสาวฝรั่ง..ที่ถูกขนไป..ขายส่วนหนึ่ง..ส่วนหนึ่ง..ถูกนำไปเป็นเมีย
พวกทหารตุรกี..หรือ..พ่อค้าคหบดี..ที่ส่วนใหญ่รสนิยมชอบฝรั่งผมทองอยู่แล้ว....แล้วก็ต้องตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ตุรกี..
..ซึ่งส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด..จะอยู่ฝั่งเจริญ..คือ..ฝั่งยุโรป(..เมืองหลวงอยู่ฝั่งยุโรป..).....
....อีกส่วน..ก็คือ..เด็กผู้ชายที่เตอร์กเอาไปเป็นทหาร...โตขึ้นมา..ก็ได้เมียแขก..แถมรสนิยมสาวแขกตุรกี..ก็ชอบพวก
ฝรั่งผมทอง..เพราะหน้าตาสะอาดสะอ้าน..หล่อ..ขาว...
....อีกส่วนนึงคือ..เมื่อตุรกี..ต้องถอยออกจากที่ๆตนปกครองอยู่..บางครอบครัว..บางชุมชน..กลายเป็นมุสลิมจริงๆ
ก็เรียกว่า..อยู่ที่เดิม..ไม่ได้..เช่นใน..กรีก..เซอร์เบีย..รูมาเนีย..โครเอเทีย..เพราะเดี๋ยวโดนพวกครีสเตียนเล่นงาน..
ย้ายอพยพกลับ..เข้ามาในเขตตุรกี...ไอ้พวกนี้ยิ่งหนักเพราะ..ไม่ใช่ลูกผสมด้วยซ้ำ..เป็นฝรั่งแท้ๆ..แต่ชื่อเสียงเปลี่ยน
เป็นแขก..
...............พวกที่ผมว่ามาทั้งหมดนี่แหละ..ก็ผสมปนเปกับพวกเตอร์ก..หลายรุ่นทำให้เชื้อพันธุ์มั่วไปหมด..โดยเฉพาะ
ภาคเหนือ....
....สาเหตุที่ผมมาว่าเรื่องนี้..ไม่ใช่ว่าออกทะเลนะครับ....เพราะมันเกี่ยวข้องกับ...คู่ต่อกรของนิโคล่า..ทั้งสองคน...
..คนหนึ่ง...เป็นสุลต่าน..เป็นจอมทัพ..เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของชาติตุรกี...อีกคน..เป็น..มหาเสนาบดี..และเป็นแม่ทัพใหญ่
ของตุรกีในยุคนั้น
.....................
......ที่ผมจะกล่าวถึง..คนแรกคือ..ปาร์กาลี..อิบราฮิม ปาชา...ดูชื่อ..ก็ดู..เป็นแขกดี..แต่จริงๆไม่ใช่...ถึงแม้..จะไม่
ได้ถูกจับมาจากดินแดนปกครองของเตอร์ก..แต่ก็มาอยู่อาณาจักรอ็อตโตมัน..ตามสไตล์..ของพวกเตอร์ก...
...พื้นเพ..เป็น..คนกรีก..และ..นับถือ..คริสเตียนออร์โทด็อกซ์(เช่นเดียวชาวกรีกทั่วไป)..แต่พ่อไปทำมาหากินอยู่
แถบเมืองปาร์กาลี่..เป็นครอบครัวชาวประมง..เมืองนี้อยู่ในเขตปกครองของ..รัฐเวนิส..หรือ..แคว้นเวนิส...
..ซึ่งสมัยโน้น..เวนิสเป็นรัฐอิสสระ..ไม่ใช่เป็นแค่เมืองอย่างเดียวนี้..มีอาณาเขตที่กว้างไกล..และ..เป็นรัฐที่ร่ำรวย
ที่สุดในคาบสมุทรอิตาลี....
............ชื่อคริสเตียนเดิมไม่มีการระบุไว้..เขาโดนจับมาขายแต่เด็ก..แล้วอาจจะเพราะมีแววฉลาด..ได้ไปอยู่ในวัง
..โดนเปลี่ยนศาสนา..แล้วก็ต้องใช้ชื่อ..แบบอิสลามคือ..”อิบราฮิม”..แต่มักมีคนเรียกที่มา..เพื่อให้รู้ชัดเจนว่า..
ไม่ใช่เตอร์ก..ก็คือ..”ปาร์กาลี่”..เป็นชื่อเมืองที่เขาจากมา..เข้ามาประกอบด้วย.....เขาได้รับความไว้วางใจ..และ..
คงเพราะความฉลาดเฉลียว..ก็เลยได้เป็นเพื่อนเล่นกับ..เจ้าชายองค์หนึ่ง..ซึ่งต่อมาเป็น..สุลต่าน..ความผูกพันมี
กันมาตลอด..แบบเพื่อนรัก..ก็เรียกว่า..บัณฑิตคบบัณฑิต..พาไปหาผล....เจ้าชายองค์นั้น..เมื่อขึ้นครองราชย์..
ก็เอาเพื่อนสนิท..มาทำหน้าที่..เป็นหัวหน้าองค์รักษ์..และ..ที่ปรึกษาส่วนตัว..ซึ่ง..เวลาสุลต่านว่าราชการ..กับ
เหล่าเสนาบดี..อิบราฮิม..ก็ได้มีโอกาศเข้าร่วมแสดงความเห็นโดยตลอด..ซึ่งไม่เคยมีเช่นนี้มาก่อน..รวมถึง...
เหล่าเสนาบดี..ก็ไม่มองเรื่องความฉลาด..แต่มองเขาเป็นคนนอก..และ..เป็นฝรั่งต่างชาติ..แต่องค์สุลต่าน..
ไม่สนใจ...เขาใช้ความฉลาดเฉลียว..และ..การที่เขาเดินเรือกับพ่อมาตั้งแต่จำความได้..ทำให้เขารู้กว้างขวาง
..และ..มีมุมมองที่แตกต่างจากเหล่าเสนาบดี..แถมยัง..พูดเขียนได้ทั้ง..กรีก..อิตาเลี่ยน..ลาติน..และ..เตอร์ก...
รวมถึง..อาหรับ..(ซึ่งในวัง..นั้นให้การศึกษาภาษาอาหรับ..อย่างดี..ทั้งเขียน..อ่าน..พูด..เพราะตอนนั้น..เตอร์ก
ยังไม่มีตัวเขียน..แบบสมัยนี้..ต้องใช้อักขระอาหรับ..เป็นตัวเขียน)..ซึ่งเป็นที่พอใจ..ของสุลต่านเป็นอย่างยิ่ง..
..มีความก้าวหน้าขึ้น..ตลอด..นอกจากนี้เขายังมีความชำนาญ..เครื่องดนตรี..การแต่งบทกวี..บทกลอน...
...เรื่องการบ..นั้น..เขาก็ได้รับการฝึกมาอย่างดี..ตั้งแต่เด็ก..รวมถึงแผนการยุทธต่างๆ..เพราะเขาเรียนมาคู่กับ
..สุลต่านมาตลอด...เมื่อสุลต่านประกาศจีฮัด..ตามรอยบรรพบุรุษ..แทบทุกครั้งถ้า..สุลต่านนำทัพเอง..เขาก็จะ
ไปด้วยตลอด..ทำหน้าที่..ร่วมวางแผนการรบ...ความผูกพันของทั้งสองคนแนบแน่น..มาตลอด..จนถึง
ขนาด..สุลต่านยกน้องสาวแท้ๆแม่เดียวกันให้เขา..เป็นภรรยา..(..ความจริงคนทั้งสองแอบรักกันอยู่แล้ว)
...ซึ่งเป็นครั้งแรกที่..เจ้าหญิงในราชวงศ์..แต่งกับ..คนที่มีที่มาจากต่างชาติ..(ซึ่งก็ไม่แปลก..เพราะ
สุลต่านก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างมาก่อน..ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังภายหลัง)..........
.....นอกจากเขาจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น..เสนาบดีที่ไม่ใช่คนเชื้อสายเตอร์กคนแรกในประวัติศาสตร์
แล้ว..ภายหลังก็เลื่อนขึ้นไปเป็น..ตำแหน่งข้าราชการสูงสุด..คือ..มหาเสนาบดีด้วยซ้ำ....
...ก็เพราะทุกอย่างที่ประทานให้มา..ก็มาจากเพื่อนเขา..ก็คือ..สุลต่านนั่นเอง...และ..สุลต่านคนนี้..
ก็คือ..คู่กรณี..ของ..นิโคล่าอีกคน.....
......................
....นี่ครับ..ปาร์กาลี่ อิบราฮิม ปาชา...มหาเสนาบดี..หรือที่ตำแหน่งแบบฝรั่งว่า..แกรนด์วิเซียร์....
ของราชอาณาจักรอ้อตโตมันอันยิ่งใหญ่...เชื้อชาติกรีก..ที่ไม่มีความเป็น..กรีก..เหลือในใจแม้แต่น้อย
...........คู่กรณี...คนแรก..ของ..นิโคล่า.............
(..ผมเลือกรูปนี้..เพราะตามประวัติสืบค้นว่า..ภาพนี้..ใกล้เคียงตัวจริงมากที่สุด..วาดโดยศิลปินชาวตุรกี.
..ให้สังเกต..สีตา..ในภาพให้ดี..ศิลปินตั้งใจเขียน..ให้เห็นว่า..เป็นสีฟ้าน้ำทะเล...)
เป็นกำลังใจให้ครับติดตามอ่านอยู่ครับ
ผมไม่ได้อ่านทุกวันแต่ก็ตามครับ ว่างๆมาเปิดอ่านที ตอนนี้อ่านจบเท่าที่จขกท.เขียนละ
ผมว่าดีนะครับ กระทู้นี้อย่างที่จขกท.บอก มีเกร็ดเล็กน้อยซึ่งมันมาช่วยเสริมหรือปูพื้นความเข้าใจให้ลึกซึ้ง
ยอมรับว่าตอนจขกท.เพิ่งตั้งกระทู้ ผมไปเปิดเน็ทหาอ่าน เพราะขี้เกียจรอ ก็อ่านเรื่องก็ไม่มีไร แค่การรบ
แต่พอจขกท.มาต่อยอมรับว่าสนุกครับ ได้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ซึ่งมันก็เป็นคำตอบของสิ่งต่างๆที่เป็นผลลัพธ์มาจากสมัยโน้น
อีกอย่างตั้งกระทู้แนวนี้ในเว็บนี้ก็ไม่ถือว่าแหวกมาก เพราะที่ผ่านๆมาก็มีมาตลอด ทั้งเรื่องชาติพันธุ์ กับประวัติศาสตร์ การรบระหว่างอาณาจักร เขตเเดนต่างๆ
เรื่องที่ตุรกีไม่เคร่งศาสนาผมว่าไม่แปลกครับ ประเทศเขาเป็น secular อยู่แล้ว ชีวิตมันอิสระเปิดกว้างกว่าเยอะ ถึงมีม็อบกันวุ่นวายอยู่เมื่อปีสองปีก่อนนี่แหละ อิหร่านก่อนที่จะโดนมุสลิมปฏิวัติก็รุ่งเรือง เป็นรัฐ secular เสรีนิยม พวกอัฟกันก็เหมือนกัน พวกนี้แต่ก่อนรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมมาก เจอพวกตาลีบันใช้กฏชาเรียเข้าไป เรียบร้อย
หรืออย่างคนซาอุมาเรียนอเมริกา ใจแตกกันเป็นทิวแถว ได้อิสระ กินเหล้าเมาหยำเป บุหรี่ก็ดูดเอาๆ กันถ้วนหน้า
หรืออย่างไทยเป็นเมืองพุทธ ดูไปดูมาเหมือนเมืองบาป ฮา งานวัดกินเหล้าเล่นพนัน ฆ่าสัตว์ อาบอบนวด ซ่องโสเภณีเต็มเมือง คนที่เป็นพุทธในบัตรประชาชนก็ไม่มีความรู้เรื่องศาสนาพุทธซะเกือบหมด
...ขอบคุณครับ..ทุกท่านที่ให้กำลังใจ..และ..ติดตาม.....
..เรื่องของผมนี้..อย่างที่บอกครับ..ผมใช้ข้อมูล..จากทุกด้าน..ทั้ง..ตุรกี..ฝรั่งทั่วไป...
..เซอร์เบีย..โครเอเทีย..รูมาเนีย..ฯลฯ..เรียกว่าเยอะแล้วเอามาประมวล..ความน่าจะเป็น..
..วิเคราะหืความสมเหตุสมผล..ในการเลือกข้อมูล...แล้วเอามาร้อยเรียงแบบของผม
เองอีกที..ดังนั้น..บางท่านไปอ่านในเน็ต..เจอในทำนองคล้ายๆกัน..แต่ข้อมูลบางอย่างไม่ตรงกัน
..ก็อย่าแปลกใจครับ..รวมจากประสพการณ์ในคาบสมุทรบัลข่าน..ฮังการี่..ออสเตรีย..ของผมเองและ..ประสพการณ์ส่วนตัว..
ของผม..มันก็เลยเกิด..เป็นเรื่องนี้..ขึ้นมา..ที่ผมยกเรื่องความไม่เคร่งของ..ตุรกีนี้..ต้องถือว่า..มันเป็น
สิ่งแวดล้อม..ที่ผ่านมา..ทำให้เกิด..แต่..พุทธนั้น..เอาไปเปรียบ..กับ..อิสลามคงไม่ได้ครับ..เพราะ..
พุทธเรา..ไม่ได้เคร่งครัด..ตั้งแต่บัญญัติศาสนา..อยู่แล้ว..ข้อห้าม..ก้ห้ามเฉยๆ..ใครไม่ทำก็รับผลกรรม
..ที่จะมาเมื่อไหร่ไม่รู้..แต่อิสลาม..ข้อห้ามเคร่งครัด..และมีบทลงโทษ..จากทั้งผู้นำของศาสนาที่นั้นๆ...
รวมถึง..มีการลงโทษจากชุมชนที่อยู่ร่วมเป็นต้น...ครับ..ก็มุสลิมหลายประเทศ..ก็ใช้กฎของศาสนามาเป็น
กฏหมายด้วย...ซึ่งจะไม่มีในประเทศนับถือศาสนาพุทธ..อิหร่าน..พระเจ้าชาห์ถึง..จอดไม่ต้องแจวไงครับ..
เพราะศาสนาอิสลามอยู่เหนือผู้คน..ผู้นำศาสนาสามารถมีอิทธิพลชี้นำได้..เมื่อ..ผู้ปกครองทำศาสนาด่างพร้อย
...ศาสนาอิสลามก็เลยทำลาย..ผู้ปกครองคนนั้น..ซะ..ซึ่งของเขาทำได้...แต่พุทธเราทำไม่ได้.....
...ดังนั้น..ประเทศมุสลิมทั้งหลาย..จึงค่อนข้างเคร่งครัดในศาสนา..และ..กลัวประชาชนของตัวเองจะต่อต้าน
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนา..............แต่ไม่ใช่ที่...ตุรกีครับ......รัฐบาลตุรกีไม่กลัว..และไม่กลัวมานานแล้ว...
....แต่ที่ผมบอกไป..ว่าตุรกีนั้น..ไม่ว่ายังไง..ก้ไม่มีทางถอยหลังกลับ..ศาสนาก็ไม่มีทางทำลาย..วิถีของเขาอีก
ต่อไป..เพราะ..อะไร..ผมอาจจะแถมให้ในเกร็ด..หลังเรื่องนี้จบครับ...
จะลบรูป Avatar ยังไงเหรอครับ ขออภัยรูปมันใหญ่เกิ้น
........ผมก็ไม่ใจนะครับ..แต่เคยลบมาแล้ว....
...ก็ไปที่..แก้ไขโพรไฟล์...แล้วไปติ๊กที่..ช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ..ข้างรูป..ที่มีคำว่า.."ลบ"..ที่รูปavatar เดิม
..แล้วก็..ใส่..ของใหม่..เข้าไป...หรือ..ทำเป็น ๒ ขั้นตอน..ลบก่อนให้ทางเว็บลบทิ้ง..
...แล้ว..ค่อยใส่ไปใหม่..
..............................................
........จะเห็นได้ว่า..คู่กรณีทั้งสองฝ่าย..สถานะที่ดำรงอยู่ขณะนั้น..ต่างกัน..แบบ..ฟ้า กับ เหว...
...ฝ่ายเตอร์ก..จอมทัพ..คือ..สุลต่านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเตอร์ก...แม่ทัพใหญ่คือ..มหาเสนาบดีที่
ฉลาดเฉลียว......
..ฝ่ายออสเตรีย(โครอัท)..คือ..ตำแหน่ง..กัปตัน ( Captain ) ...ผู้รักษาการป้อม..ของ..เมือง...
...เรียกว่า..ถ้าขึ้นบนเวทีมวย..อยู่คนละมุม..มีผู้ประกาศแถลงออกไมค์แนะนำ..คู่ชก..รับรอง
โดนโห่แน่นอน..เพราะมันเอาเปรียบกันเหลือเกิน...........
.......ถ้าเอ่ยชื่อสุลต่านผู้นี้..ตามเรื่องที่เล่าแบบค่อนข้างจะเชื่อถือได้คือ..ทุกครั้งที่..โป๊บแห่ง
วาติกัน..ผู้เป็นประธานแห่งโรมันคาธอลิกทั้งปวง..ในขณะนั้นได้ยิน..จะออกอาการ..สะดุ้ง..ทุกครั้ง
..เพราะอะไรทราบมั้ยครับ...เพราะตั้งแต่เขาผู้นี้..ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ..และ..ประกาศจีฮัดกับ
ประเทศในยุโรปนั้น...เขาประกาศไว้ก่อนเลยว่า..เป้าหมายสำคัญอันดับแรก...เขาจะยึด...
นครวาติกัน..ที่เป็นหัวใจของโรมันคาธอลิกทุกคน...แล้วจะเปลี่ยน..มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
ที่ยิ่งใหญ่..ให้เป็น..สุเหร่า..บนยอดมหาวิหาร..เขาจะเอา..จันทร์เสี้ยว..สัญญลักษณ์ของ
อิสลาม..ไปติดไว้แทน..กางเขน.....(ทวดของเขาก็เคยทำมาแล้ว..คือ..เปลี่ยนมหาวิหาร
เซนต์โซเฟีย..แห่งกรุงคอนแสตนติโนเปิล...กลายเป็น..สุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนั้น...
ก่อนที่จะสร้าง..บลูมอสค์..ขึ้นมาในภายหลัง...)
..........เขาคือ...คู่กรณีสำคัญ..ของ..นิโคล่า...........
...สุลต่านสุไลมานที่ ๑...หรือ..ที่เรียกกันว่า...”สุไลมานผู้เยี่ยมยอด” ( Suleiman the Magnificent )
...ผู้ที่ทำให้อาณาจักรออตโตมัน..ขยายดินแดน..ออกไปกว้างใหญ่..กว่า..ยุคใด..สมัยใด..ของชาติตุรกี
...และ..ขยายพื้นที่เข้าไปยึดครองในยุโรป..มากกว่า..ทุกยุค..
..............เขาเป็นกษัตริย์เตอร์ก..ที่บรรดา..ชาติยุโรป..กลัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์..เพราะคำว่า”เยี่ยมยอด”
นั้น..มันรวมทุกเรื่อง..รบเก่ง..ฉลาด..เจ้าเล่ห์เพทุบาย..ลูกหลอกหล่อเพียบ..เอาจริงเอาจัง..และ..ขาดไม่ได้เลย
คือ..โหด....ความรอบรู้มากมาย..หลายศาสตร์.....
...เขาทำในสิ่งที่บรรพบุรุษเขาตั้งใจ..จะทำ..แล้วทำไม่ได้..หลายเรื่อง..อย่างเรื่องการถล่มยึดเกาะโรดส์..ปราการ
ทางทะเลด่านหน้าของ..วาติกัน..และ..คาบสมุทรอิตาลี่...ถล่มเมืองหลวงฮังการี่..(ขณะนั้น..คือ..บูดา ( Buda )
...คือ..ยุคนั้น..เมืองหลวงของฮังการี่..มีอยู่ฝากเดียว..ของแม่น้ำดานูป..เป็นฝากที่เป็นเนินเขา..เรียกว่า บูดา...
ซึ่ง..สร้างปราสาทขนาดใหญ่..มีกำแพงล้อมรอบ..แข็งแรง...ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้น..จะเป็นที่ราบ..เรียว่า..เปสต์..
( Pest ) เป็นที่ราบ...ยุคหลัง..เมืองหลวงก็ขยายเขต..รวมกับ..ฝั่งตรงข้ามด้วย..ก็เลยเอาชื่อมารวมกัน...
กลายเป็น..บูดาเปสต์ ( Budapest ) ..อย่างในปัจจุบัน..สมัยโน้นผมก็ท่องอยู่ที่นี่..๔ วัน ๓ คืน..สมัยที่คนไทย
หาคนไทยไปเที่ยวแทบไม่มี....เมื่อตอนที่ยังเป็นประเทศกลุ่มสังคมนิยมอยู่..กว่า ๒๐ ปีมาแล้ว).....
...ยึดฮังการี่..ทั้งประเทศเอามาเป็นเขตแดนของตัว..เป็นคนแรกยกกองทัพเข้าล้อมเมืองหลวง..ของ..ออสเตรีย
กรุงเวียนนา...กินอาณาเขต..ครอบคลุมชายฝั่งตะวันตกของทะเลดำ....สั่นคลอนเศรษฐกิจของเวนิส..และ..ยุโรป
....ยิ่งตอนหนุ่มๆนั้น..ชอบนำทัพรบเอง..ตลอด..โดยมี..อิบราฮิม..เป็นคู่คิด.....
.........ที่ผมเคยบอกก่อนหน้า..ว่า..น้องสาวของเขาที่เป็นเจ้าหญิงเตอร์ก..ยกให้เพื่อน..ที่เป็นเชื้อชาติกรีก..คน
นอก..เป็นครั้งแรก..ของประวัติศาสตร์นั้น..ทำได้..เพราะตัวสุไลมานทำมาก่อน...นั้น......มันมีที่มาคือ....
ตัวเอง..ก็ยกตำแหน่งราชินี..ให้กับ..เมียสนมที่เป็นเชื้อชาติยูเครน..มาก่อน...เรื่องนี้เป็นตำนานที่เละตุ้มเปะ
ของราชสำนักออโตมัน..มีการชิงรักหักสวาท..หักหลังวางแผนฆ่า..ล้างแค้นกันไปมา.เรียกว่า..ทุกรูปแบบ..น้ำเน่า
ยิ่งกว่า..นิทานจักรๆวงศ์ๆของไทยที่ฉายช่อง๗สีอีก...เรียกว่า..ฝ่ายใน..ในยุคนั้นป่วนข้ามยุค..ไปถึงรุ่นหลังด้วย
ซ้ำ..และ..เป็นยุคที่..พระพันปี(แม่ของสุลต่าน)..และ..ราชินี..มีอำนาจและ..โยงข้ามมายุ่งกับเรื่องของราชสำนัก
...แต่การขึ้นมาสู่อำนาจของ..ร็อคเซเลน่า(หรือ..บางทีเรียกว่า..อเล็กซานดรา)นี้..น่านับถือมาก..จากทาสที่
พ่อแม่โดนพวกตาร์ตาร์(มองโกล)ฆ่าตาย..แล้วถูกจับนำมาขายเป็นทาส..เข้ามาในวังแบบ..ทาสต่างชาติ..
เกรดต่ำกว่า(นี่เดิมก็นับถือ โอโทด็อกซ์ คริสเตียน)พวกสนมที่เป็นชาวเตอร์กซะอีก..โดนดูถูกเหยียดหยาม
กระทำทารุณกรรมสารพัด..แต่..ผันตัวกลับมาเป็น..ผู้หญิงที่มีอำนาจสูงสุดในอาณาจักรอ็อตโตมันได้นี่
...ตรงนี้ต้องคาราวะอย่างนอบน้อมเลย..เธอยอดมาก.......
....ผมจะไม่เล่ารายละเอียดในที่นี้..เพราะมันคนละเรื่อง..ถ้าเล่าก็ยาวเฟื้อยเลย....ผมก็จะข้ามไปแล้วกัน....
....แต่ผลของที่เมีย..เป็นฝรั่ง..ลูกก็เลยออกมาเป็นลูกครึ่งฝรั่ง..แล้ว..สุลต่านคนที่สืบต่อจากสุไลมาน..ก็กลาย
เป็นสุลต่าน..ที่มีสีนัยตาเป็นสีฟ้า..ผมสีน้ำตาลอ่อน..ทำให้คนเรียก..เรียกฉายาของ..สุลต่านเซลิมที่๒ ว่า..
...สุลต่านผมบลอนด์......
.......สุไลมานนั้น..มีความคิดทันสมัย..และ..มองการรบแบบสากล..ใช้อำนาจของ..ระเบิด..และ..ปืนใหญ่...
เป็นอำนาจเด็ดขาด..ในการรบ..มีการสร้างปืนใหญ่ขนาดมหึมาไว้ใช้..มีการสร้างกองทัพเรือ..ที่แข็งแกร่งมาก
ปรับปรุง..ทุกอย่างเพื่อการรบตลอดชั่วชีวิต..ของเขา..ที่อยู่ในการสงคราม..สิ่งที่เขาเสียใจมากในชีวิตก็คือ..
ทำไม่ได้อย่างที่พูด..เรื่องยึดครองยุโรป..และ..เปลี่ยนโบสถ์เซนต์ปีเตอร์..ให้เป็นสุเหร่า..นั่นแหละครับ...
............................
..........
...ภาพของ..สุลต่านสุไลมานที่๑ แห่งอาณาจักรอ็อตโตมันอันยิ่งใหญ่..หรือ.."สุไลมานผู้เยี่ยมยอด"..
( Suleiman The Magnificent ) เจ้าของชาวเตอร์กทั้งปวง.....
...ภาพนี้..เป็นภาพหายาก..และ..ถูกนำมาเปิดเผยหลังสุด..เพราะอยู่ในมือของ..ฝรั่ง..วาดโดย.ตีเตียน..
ศิลปินชาวเวนิส..ที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกับ..สุไลมาน...เป็นภาพของสุไลมาน..ที่หนุ่มที่สุด..ที่เคยมี..คาดว่า
..น่าจะขึ้นครองราชได้ไม่นาน............
..............................
.............นโยบายของสุไลมานนั้น..ถือว่า..ฉลาดมาก..แข็งกร้าว..ผสม..ไว้ด้วยความลู่ลม..ตามความจำเป็น..
..เขาแม้จะประกาศจีฮัด..สงครามศาสนา..แต่ขณะเดียวกัน..เขาก็แยกแยะ..เรื่องการค้า..และการเสริมสร้าง
อาณาจักรของตนเองให้ร่ำรวยจากทางนี้ด้วย...คือ..ในบรรดายุโรป..นั้น..สุไลมานญาติดี..กับแคว้นรัฐเดียว
คือ..เวนิส..และ..การประกาศอะไร..ให้..วาติกัน..หรือ..เหล่าอาณาจักรมันอันศักดิ์สิทธิ์คู่กรณีนั้น..ส่วนใหญ่
ก็จะสื่อสารผ่านทาง..ทูตของเวนิสที่ประจำคอนแสตนติโนเปิล..การสืบข้อมูลทางยุโรป..ก็ได้ฑูตของตัวเอง..
ประจำที่เวนิส..ทำการช่วยเหลืออีกแรง..นอกเหนือจากเรื่องของการค้า...เวนิสนั้น..มีความสำคัญต่อยุโรปมา
นานมากแล้ว..เพราะเป็นจุดเชื่อมโยงการค้าทางทะเล..จากอาฟริกา..และจากเอเซีย(..อาศัยเส้นทางสายไหม
ทางบกก่อน..แล้วมาลงเรือ..อีกที)..ก็ดูจากที่..มาร์โคโปโล..นั้นก็เป็นคนอยูที่เวนิส..อาศัยเส้นทางสายไหม..
ไปถึง..มองโกล...นั่นแหละครับ....ในคาบสมุทรอิตาลีอีกแห่ง..ที่เป็นเมืองท่าก็คือ..เมสสิน่า..แม้การล่องเรือใช้
เวลาสั้น..แต่สินค้าที่เดินทางทางบก..ไม่เร็วเท่าทางเรือ..เวนิสอยู่ตอนบนสุด..ห่างจากเทือกเขาแอลป์..ไม่มาก..
จากเวนิส..การเชื่อมไปประเทศต่างๆในยุโรปนั้น..สั้นกว่า..เมืองท่าอื่น..ที่นี่จึงเรียกว่า..ประตูยุโรปนั่นเอง...
....ก่อนหน้านั้น..สินค้าจากเส้นทางสายไหม..ส่วนใหญ่..จะลงเรือ..ที่ริมฝั่งตะวันออกของทะเลดำ..แล้วล่อง
ผ่าน..ช่องแคบดาร์ดาร์เนล..และ..บอสฟอรัส..เพื่อเข้าสู่เมดิเตอร์เรเนียน...ซึ่งแม้ว่า..ช่องแคบทั้งสอง..ตุรกีจะ
ควบคุมได้หมด..แต่..เส้นทางเดินเรือ..ก็ยังมีอุปสรรค..เพราะเกาะโรดส์นั้น..อยู่ในแนวเส้นทางเดินเรือ..และ
..เตอร์กยังยึดไม่ได้..ซึ่งความจริงมันไม่ได้เป็นอุปสรรคมากมายอะไร..แต่เตอร์กจริงๆนั้นคือ.งเจ็บใจมากกว่า
เพราะ..ตั้งหลายรุ่น..มาแล้ว..ทั้งๆที่เกาะขนาดไม่ใหญ่มาก..แต่ยึดไม่ได้ซะที..และ..ทำให้เตอร์ไม่สามารถ
ประกาศศักดาได้เต็มภาคภูมินั่นแหละ...เตอร์กนั้น..เปิดเส้นทางค้าขายของตนเอง..โดยตั้งแต่บุกขึ้นฝั่งยุโรปได้
..ก็เล็งไปที่..อัลบาเนีย..เพราะ..ช่องแคบในทะเลเอเดรียติก(..อยู่ติดด้านเหนือของเมดิเตอร์เรเนียน..กั้นระหว่าง
คาบสมุทรอิตาลี่กับ..คาบสมุทรบัลข่าน)นั้นอยู่ที่อัลบาเนีย..นอกจากจะเป็นการตั้งฐานของตัวเองใกล้อิตาลี
แล้ว..ยังอาศัยเป็นจุดเปิดเส้นทางสายไหม..โดยไม่ต้องผ่านเมดิเตอร์เรเนียน..เพื่อนำสินค้าไปค้าขายที่เวนิสได้
โดยสะดวก....นั่นแหละครับ..ที่เตอร์กให้ความสำคัญกับเวนิส..ดังนั้นในยุคสุไลมาน..ก็มีฑูตเดียวในยุโรปที่..
เรียกว่า..สามารถเดินเข้าวังของสุไลมานดดย..ไม่ต้องมีกองทหารคอยควบคุม....
.....พูดถึงพวกฑูต..ที่จะเข้าพบสุลต่านได้นั้น..สำหรับอ็อตโตมันแล้วถือว่าระเบียบเฉียบมาก..ไม่มีสิทธิอ้างหรือ
จุ๊ยได้ไม่ว่าชาติใดเหมือนกันหมด..ถึงมาเป็นคณะ..แต่มีเพียงแค่หัวหน้าฑูต..เท่านั้น..ที่เข้ามาในโถงได้..คนอื่น
นั้น..ถูกปลดอาวุธทุกอย่างในตัว..และ..มีกองทหารควบคุม..อยู่ด้านนอก..ไปไหนไม่ได้..ส่วนฑูตนั้น..จะมีเจ้า
หน้าที่ล็อกแขนสองข้างแบบประคอง...เดินเข้าโถงมา..พอมาถึงใกล้ๆเจ้าหน้าที่จะกดหัว..ให้คุกเข่าก่อน...
..แล้วถึง..จะพูดอะไรได้...แม้แต่ฑูตฝรั่งเศษ..ที่ขึ้นชื่อเรื่องความจุ๊ย..ความกร่าง(..ก็มันมาหาพระนารยณ์ของ
เรา..มันก็ไม่ยอมคุกเข่า..แต่เวลาฑูตเราไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์...เราหมอบกราบ)..มาที่นี่..ถึงกับโวยวาย
ไม่ออก..เพราะสามารถตายได้โดยทันที..ต้องยอมตามกฏของอ๊อตโตมัน.......
...........สุไลมานนั้น..ฉลาดที่เข้าใจเรื่องการเมืองในยุโรป..รู้ว่า..ฝรั่งเศษนั้นไม่ถูกโรค..ก็คือ..คอนอำนาจกัน
กับอาณาจักรออสเตรีย..ดังนั้นหลายครั้ง..ในการทำการรบ..ที่มีการเกี่ยวข้องกับออสเตรีย..โดยเฉพาะการ
รบที่ฮังการี่..เพื่อยึดประเทศนั้น..สุไลมาน..ก็ได้ปืนใหญ่..และ..หน่วยทหารปืนใหญ่เป็นกองพัน..เข้าร่วมด้วย
แต่..สุไลมานนั้น..ก็เคยพูดกับเหล่าเสนาบดีว่า..การที่เขาญาติดีกับฝรั่งเศษนั้นเป็นการเฉพาะกิจ..เพราะถ้า
เขายึดออสเตรียได้..เขาก็ยึดเยอรมันได้ไม่ยาก..แล้ว..กรรมก็จะสนองฝรั่งเศษที่ทรยศกับเผ่าพันธุ์ของตัวเอง
เพราะถึงเวลานั้น..ฝรั่งเศษก็ไม่มีทางรอดไปได้......
.......เป้าหมายหลักอีกอันของสุไลมาน..ก็คือทำลายราชวงศ์ฮัปส์เบอร์ก(ออสเตรีย)..เพราะเป็นกว้างขวาง
คอ..และคอย..ถือโอกาศเข้ามาแผ่อำนาจอยู่ในคาบสมุทรบัลข่านอยู่ตลอด..โดยเฉพาะ..ในโครเอเทีย..และ
ฮังการี่...ทำให้เขาเตรียมแผนการบุกกรุงเวียนนา..กะรวบรัด..ให้มันหมดเรื่องไปเลย..ซึ่งนี่ก็เป็นจุดชนวนแรก
ที่มาของเรื่องนี้..ที่จะโยงต่อมาจนถึง..การปะทะ..กับนิโคล่า..กันในภายหลัง.....
.................
.....นี่คือ..แผนที่แสดงขอบเขตอาณาจักรของออตโตมันอันยิ่งใหญ่.......
..สีเหลือง..แสดงอาณาจักรต่างๆที่ไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของ..เตอร์ก..
..สีเขียว..และ..แดง...แสดงขอบเขตที่เตอร์กยึดมาได้ก่อนยุคของ..สุไลมานที่๑....
..สีม่วง......แสดง..ขอบเขตที่เตอร์ยึดมาได้..ในยุคสมัยของ..สุไลมานที่๑
ผมเข้ามาอ่านเรื่อยๆนะครับ
เเต่ที่ผมเเทบไม่ค่อยเม้น เพราะผมคิดว่าเว๊บนี้เม้นยาก ฮะๆ
ผมชอบมากเลยครับ ติดตามอยู่หาอ่านยากที่มีเเต่เนื้อๆนะครับ ผมว่าลึกๆ คนในอบร์ดนี้ชอบเเนวนี้นะ
ผมว่าคนอ่านบอร์ดนี้ก็อาจจะมาจาก pantip ยุทโธปกรณ์ นะครับซึ่งมาเเนวนี้อยู่เเล้ว
..........ขอบคุณครับ..คุณParachutes...
....เดี๋ยวก็..จะมี..เรื่องปืนใหญ่..ของเตอร์ก..แทรกอยู่ในเรื่องนี้..แถมด้วย..ปืนใหญ่ที่หุ้มปากประบอกด้วยเงิน..ที่สำคัญที่สุด
ในประวัติสาสตร์ฝรั่งเศษ....อันนี้ผมคิดไว้แล้วว่าจะเขียนด้วย....
.....โอ้ว..เรื่อง ๓๐๐ นั้น..เกิดก่อนหน้านี้เป็นพันปี..ครับ...นั่นมันเป็นการปะทะระหว่าง..สปาตาร์(กรีก)..กับ..เปอร์เซีย (อิหร่าน )..ครับ
...ไม่ได้แปลงหรอกครับ..เป็นประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน..เกิดบน..คาบสมุทรบอลข่านเช่นเดียวกัน..แต่ ๓๐๐ นั้น..เกิดใน..ประเทศกรีก
..ส่วนเรื่องนี..การปะทะกัน..เกิดในเขต..ประเทศออสเตรียครับ(ตอนบนสุดของคาบสมุทรฯ)...
ขอบคุณบทความดีๆ ครับ
แต่ก็สงสัยว่าชาวกรีกนับถือศาสนาคริสต์ ถึงยังเหนี่ยวแน่นอยู่ได้เพราะอะไร
...ขอบคุณครีบ..ที่ติดตามอ่าน...
..แต่ผมสงสัยว่า..จะอ่านไม่ละเอียดนะครับ..ลองย้อนกลับไปอ่านอีกครั้ง..นะครับ
...ผมบอก..และ..อธิบายไว้อย่างค่อนข้างละเอียดแล้ว
...........................
............การเดินทางไปถล่มกรุงเวียนนา..ครั้งแรกนี่..เตรียมการอย่างดี..และ..ตระเตรียมกำลังพลมากกว่า
๖หมื่น..เครื่องรบพร้อมทุกประการ..และที่หมดห่วงอย่างนึงคือ..๑ ในกำลังหลักของฝ่ายอาณาจักรโรมันคาธอลิก
คือ..ฝรั่งเศษ..ไม่ไปร่วมแน่..ในยุคของสุไลมานนั้น..มีการติดต่อ..กันลับๆตลอดเวลา..แม้กระทั่งการณ์นี้..เขา
ก็ได้รับการสนับสนุนลับๆ..ส่วนของดินระเบิด..ลูกปืนใหญ่..และ..ปืนใหญ่บางส่วน...จากฝรั่งเศษ..ดังนั้น..
พวกที่เหลือ..อย่างเยอรมันบางกลุ่ม..โบฮีเมีย(เช็ค)..และ..บางส่วนของกองกำลังจากเสปน..ซึ่ง..แค่กำลังสนับ
สนุนย่อยๆ..เท่าที่โป็บและ..จักรพรรดิชารลส์ที่๕ จะขอร้องมาได้..แค่หลักพัน..เทียบกับของสุไลมานไม่ได้แน่....
.......เท่าที่ผ่านมาไม่ว่า..สุไลมานลุยไปที่ไหน..เป็น..แหลกหมด..ก็เลยพูดง่ายๆว่า..หลงตัวเองว่า..กูยอด..
ลืม..ในหลายเรื่อง..เพราะ..เวียนนานั้น..ไม่ได้อยู่ใน..คาบสมุทรบัลข่าน..ที่ตัวเองคุ้นเคย..สภาพพื้นดิน...
สภาพภูมิอากาศ..สิ่งแวดล้อมต่างๆ..มันไม่เหมือนกัน..ออสเตรียนั้น..เรียกว่าเข้าไปอยู่ในส่วนกลางของยุโรป
..แค่ชายแดนด้านใต้..ที่ติดกับ..ตอนบนของคาบสมุทรบอลข่าน..
...กลยุทธที่เคยประสพความสำเร็จ..ก็แทบไม่ได้ปรับปรุงเพราะคิดว่า..มันเจ๋งแล้ว.....
........นี่แหละครับ..ที่คนโบราณว่าไว้..ว่า...ความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป..โอกาศที่มันจะย้อนมาเล่นงานตัวเอง..
ก็สูงขึ้นด้วย...เพราะมั่นใจตน..มักจะแปรผันโดยตรง..กับความประมาท..ยิ่งมั่นใจมาก..ก็ยิ่งประมาทมากขึ้น..
.......ขาดการไตร่ตรองที่รอบคอบ...การข่าวไม่เข้มข้น..และไม่ดีพอ...ดังนั้น..ผลที่ส่งมามันก็จะเลวร้ายสู่ฝ่ายตัวเอง
........ไอ้กรุงเวียนนา..นี่ก็แปลกครับ..เป็นเมืองหลวงแต่เสือกไม่ตั้งอยู่กลางๆประเทศ..นี่คือ..คนที่ไม่ได้ศึกษาให้
ถ่องแท้...ก็เพราะ..เมืองใหญ่ก็ต้องตั้งอยู่ที่ๆอุดมสมบูรณ์..คราวนี้อาณาจักรออสเตรียนี่...ภูมิประเทศมันเอียง..
ด้านตะวันตกเฉียงใต้..มันติดกับ..เทือกเขาแอลป์..แล้วพื้นที่มันก็เทเอียงลงมา...หา..แม่น้ำดานูป..ซึ่งมีความ
อุดมสมบูรณ์..เมืองหลวงที่ต้องอาศัยความอุดมสมบูรณ์..ก็เลยต้องมาตั้งอยู่ใกล้..ขอบเขตของอาณาจักรเอง..
...เขตที่อยู่ในอิทธิพลของอ๊อตโตมันนั้น..อยู่ห่าง..กรุงเวียนนาแค่ประมาณ..๑๕๐ กิโลเมตร..เท่านั้นเอง.....
....นี่คือ..สาเหตุที่ทำไม..สุไลมานจึงสามารถ..บุกถึง..กรุงเวียนนาได้โดยง่าย..และ..เช่นเดียวกันคือ..ไม่จำเป็น
ต้องไปไล่ตีเมืองรองๆ..หลายๆเมืองให้เสียเวลา...พุ่งจากเขตแดนตัวเอง..ไม่นานก็ถึงแล้ว...
...ทำไม..สุไลมานมั่นใจในการรบครั้งนี้มากเพราะ..ก่อนหน้านี้ ๓ ปี..ที่..โมฮัคส์..ในดินแดนฮังการี่...สุไลมาน
กำชัยชนะ..อย่างเด็ดขาด..ในการรบเปิดเต็มรูปแบบ..ในทุ่งกว้างกับ..กองกำลังผสมของอาณาจักรโรมันอัน
ศักดิ์สิทธิ์(เว้นแต่ไอ้ฝรั่งเศษจอมชั่ว..ที่แอบให้การสนับสนุน..สุไลมานอยู่)..มาแล้ว..สู้กันด้วยอาวุธทุกชนิด.
.กองกำลังทั้งสองฝ่ายมีมากกว่า แสน..คน....ผลของการรบครั้งนี้..ได้สร้างความพรั่นพรึงให้กับแว่นแคว้นต่างๆ
ในยุโรป..และ..ไม่อยากจะต่อกรกับสุไลมานอีก..นั่นคือเหตุผล..ที่กำลังเสริมที่จะมาช่วยครั้งนี้..มันน้อยมาก..
.......นี่เป็นส่วนนึง..ที่..สุไลมานนำกำลังพล..มาแค่..หกหมื่นกว่าคน..เพราะสุไลมานเชื่อมั่นว่า..เขาสร้างความ
กลัวให้คู่ต่อสู้..ก่อนที่จะเผชิญหน้ากัน..มันจะบั่นทอนกำลังใจศัตรู..ซึ่งเป็นหลักการของเขาอยู่แล้ว...
..........อีกอย่างที่ทำให้สุไลมานได้ใจ..ตอนที่ระหว่างเดินทัพใกล้จะถึงเวียนนา..สายแจ้งข่าวมาว่า..กษตัริย์
เฟอร์ดินานด์นั้น..ระเห็จไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว...ปล่อยให้ลูกน้องสู้เอาเอง..โดย..พี่ชาย..จักรพรรดิชารล์ที่๕..จักรพรรดิ
แห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์(..ปกติก็จะอยู่ที่..เสปน..เป็นหลัก..)..ก็ส่ง..หน่วยรบ..มาช่วยเหลือแบบขอไปที..
จิ๊บๆ..จากเสปน..เช็ค(โบฮีเมีย)..เยอรมัน..แค่หลักพัน..คนเท่านั้น..เรียกว่า..ทิ้งทุ่น..ไม่ได้มีความพยายามอย่าง
เต็มที่อะไร..และ..ไม่ได้ห่วง..สามัญชนกว่า ๒,๐๐๐ คนตาดำๆ..ที่อยู่ในกำแพงเมือง...จะต้องโดนพวกเตอร์ก..
ฆ่าทิ้ง..หรือ..กระทำทารุณกรรม...ทหารหลักที่เหลืออยู่..ก็คือ..กองกำลังรักษากรุงเวียนนา...เมื่อรวมกับ..พวกที่
ถูกส่งมาช่วย..ก็มีแค่..หมื่นกว่าๆ...ตัวเขาเอง..มีกำลังอยู่ในมือมากกว่า ๖ หมื่น...เรียกว่า..งานนี้..ขนมกรุบชัดๆ
...............แต่ข้อดี..ก็คือ..ผบ.กองกำลังนั้น..ไม่ประมาท..เมื่อรู้ข่าวก็..ระดมให้..ชาวบ้าน..และทหาร..เก็บพวก..
ธัญญพืช..สัตว์เลี้ยง..ในแนวเส้นทาง..ที่สุไลมานจะเดินทัพมา..รวมถึง..รอบๆบริเวณนอกกำแพงเมือง..เก็บเข้า
ในเขตกำแพงทั้งหมด..เรียกว่า..ไม่มีอะไรเหลือ..ให้พวกเตอร์ก..ได้เอาไปเป็นอาหารได้....อย่าลืมนะครับ..
สมัยโน้น..ไม่มีรถยนต์..ข่าวสารอาศัยม้าเร็ว..ที่ห้อไม่หยุด..แต่การเดินทัพนั้น..มีทั้งทหารราบ(พลเดินเท้า)..
ทหารม้า..ทหารปืนใหญ่..ดังนั้น..การเดินทาง..ย่อมช้าเป็นธรรมดา...เรียกว่า..เวียนนา..รู้ล่วงหน้า..เป็น
เดือน...(อย่างว่า..ว่า..ข่าวมาตั้งแต่เริ่มเดินทาง..เพราะฑูตเวนิสพอทราบ..ก็ต้องรีบให้ลูกน้องขึ้นเรือ
เร็วมาขึ้นฝั่งอิตาลี..แล้วไปแจ้ง..วาติกัน...จากวาติกัน..ก็กระจายข่าวโดยม้าเร้วส่งต่อไป).....
......กำแพงเมือง..ป้อมต่างๆ...ก็ซ่อมแซม..และเสริมส่วนด้อย..รวมถึง..การเตรียมอาวุธเพิ่มเติม..โดยเฉพาะ
ดินปืน..ลูกกระสุน..น้ำมันดิน..พวกลูกธนูก็เช่นกัน..เนื่องจากตอนนั้น..เป็นต้นคริสศตวรรษที่ ๑๖..การรบนั้น
ไม่ใช่ว่า..ทุกคนจะมีปืนยาว..เพราะการสงครามที่ใช้ปืนยาว(ปืนคาบศิลา)มันพึ่งมีกันมาไม่นาน..ธนู..หอก..
ดาบ..เรียกว่า..ยังเป็นอาวุธหลักอยู่............
...........ดังนั้น..เมื่อสุไลมานมาถึงนั้น..กรุงเวียนนา..ก็พร้อมรบแล้ว....
.....อีกจุดที่มีความสำคัญกับ..การรบครั้งนี้..ก็คือ..ชัยภูมิที่ตั้ง..ของกรุงเวียนนา..โดยเฉพาะ..กำแพงเมือง
ด้านหลัง..นั้น..อยู่ใกล้กับ...เนินเขาที่มีความสูงพอสมควร..ที่เรียกกันว่า..เวียนนาวู๊ด..(ตอนที่ผมไปกรุงเวียนนา
เมื่อร่วมสามสิบปี..ที่แล้วนั้น..ผมไม่ได้ไปดูแต่พระราชวังในเมือง..แต่ผมไปย้อนรอย..ประวัติศาสตร์..การล้อม
เวียนนาทั้งสองครั้ง..ผมได้ไปที่เวียนนาวู๊ด..ขึ้นไปบนเขา..ซึ่งบริเวณใกล้ๆกันนั้น..เมื่อตอนการล้อมกรุงเวียนนา
ครั้งที่สองของพวกเตอร์ก...กษัตริย์แจน โซบีสกี้..วีรบุรุษของโปแลนด์..ผู้นำกองกำลังผสม..ได้นำปืนใหญ่ขึ้นไป
ตั้งบนเขา..ถล่มพวกเตอร์กจนเละตุ้มเปะ..มาแล้ว...จุดที่ผมดูนั้น..ก็เห็นกรุงเวียนนาได้ทั้งเมือง..)
.........................
.........................
.........นักวิชาการเห็นว่า..สุไลมานประมาท..และ..ไม่รอบคอบ..เรื่องการทำแผนที่..เมืองเวียนนา..ของฝ่ายสายสืบ
ที่ส่งมาที่นี่ก่อนหน้า..เพราะอาจจะเห็นว่า..กำแพงเมืองด้านหลังนั้น..ติดอยู่ใกล้ป่า..และ..ไม่มี..การเคลื่อนไหว
แถบนั้น..จึงไม่ได้ให้ความสนใจ..เปลี่ยนความจริงนั้น..มีประตูขนาดเล็กอยู่..แต่ไม่ได้ใช้กัน..และนี่เองที่ผลของการ
รบเปลี่ยน....(แถมเตอร์กยังไม่เข็ด..หลังจากนี้อีกร้อยกว่าปี..เมื่อมาล้อมอีกครั้ง..ก็ไม่ได้ให้ความสนใจจุดนี้อีก..
ทำให้ ..แจนโซบิสกี้..แห่งโปแลนด์..ซึ่งมาเสริมตอนที่..เวียนนากำลังแย่..ลักลอบเข้ากำแพงเมือง..ไปร่วมประชุม
และวางแผนการเล่นงานพวกเตอร์ก..จนยับเยิน...).......
.....ที่ผมเอาเรื่อง..การปิดล้อมกรุงเวียนนามากล่าวถึงนี่..ก็ไม่ใช่เป็นการออกทะเล..นะครับ..เพราะผลการครั้งนี้
ทำให้เกิด..ศึกที่มาของเรื่องนั่นเอง......
............เมื่อ..กองทัพสุไลมาน..มาถึง..นั้น...เขาตั้งกองทัพ..ประจัญหน้า..กับส่วนกำแพงหน้าเมือง...ซึ่งเป็นทัพ
หลวง...โดยตั้งหลังแนวยิงปืนใหญ่ของตน..ในระยะที่..ปืนใหญ่สามารถยิงถล่ม..กำแพงเมืองได้...และตัวเขาเอง
ก็รู้ว่า..ประสิทธิภาพ..ปืนใหญ่ของเขาเหนือกว่า..ออสเตรีย..คือ..ระยะการยิงไกลกว่า...เรียกว่า..ปืนใหญ่ออสเตรีย
ที่อยู่บนเชิงเทินกำแพงเมือง..ยิงยังไงก็ไม่ถึงส่วนที่เป็นที่ตั้งหลักของกองทัพ....อีก ๒ ส่วนคือ..ปีกซ้าย..และ..ขวา..
ก็ตั้ง..อยู่ในลักษณะเดียวกัน...คือ..ล้อม ๓ ด้าน..ส่วนด้านหลัง..ไม่มีแม้แต่..หน่วยลาดตระเวณ..ไปแถบนั้น....
....เพราะเขาเองคิดว่า..น่าจะใช้เวลาไม่เกินเดือน..ก็คงเรียบร้อย..เน้นกำลังสามด้าน...
........อีกอย่าง..ก็เพราะเตอร์กอาศัยอำนาจการยิงปืนใหญ่..เป็นหลัก..ในการเข้าถล่มกำแพงเมือง..(..ยุคนี้ไอ้หอรบ
แบบโบราณเขาเลิกใช้แล้วนะครับ..อย่าสับสนยุคสมัย..เพราะมีปืนใหญ่มาแทนที่..มันไม่เปลืองทหารที่จะไปถูก..
น้ำมันราด..หรือเผาไฟ..แบบโบราณ..)..และ..ปืนใหญ่เตอร์กนั้น..มีขนาดใหญ่..ถ้าไปล้อมด้านหลังด้วย..จะต้อง
นำปืนใหญ่..บุกเข้าไปในป่า..และ..เข็นปืนใหญ่..ขึ้นเขา..ซึ่งจะลำบากมาก...
...คราวนี้มาดูลักษณะของภูมิประเทศที่..เวียนนาประกอบด้วย..กรุงเวียนนา..ตั้งอยู่ในที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำดานูป
...ด้านหน้ากำแพงเมือง..ก็..แถบๆที่กองทัพเตอร์กตั้งอยู่นั้น..เป็นที่ลุ่มแบบที่ว่า..ชื้นแฉะ..ถ้ามีฝน..ตกลงมามากๆ
....ซึ่งก็ไม่รู้ว่า..สายสืบ..ทำรายละเอียดไปให้รึเปล่า..แต่อีกไม่นาน..ไอ้นี่แหละที่สร้างปัญหา..ให้สุไลมาน...
..........ปัจจัยอีกอย่าง..ที่ไม่พูดไม่ได้..ก็คือ..ตัวอิบราฮิมนั้น..เขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูง..และเป็นประเภท
ไม่เห็นหัวคนอื่น..ตอนที่ตำแหน่งต่ำ..ก็คอยเสนอแนะ..แบบหักหน้าเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่..อยู่บ่อยๆ..โดยอาศัยว่า
เป็น..คนสนิทสุไลมาน..ก็จึงทำให้เหล่าเสนาบดีคนอื่น..นอกจากจะรังเกียจว่าเขาเป็นคนต่างชาติที่มาแย่งตำแหน่ง
สำคัญ..ของคนเตอร์กแล้ว..ยังมนุษยสัมพันธ์ห่วยด้วย..เหล่าเสนาบดีเตอร์กส่วนใหญ่ก็จ้องจับผิด..เขาอยู่..แต่..
เขาก็รอดมาได้..จนโตขึ้นไปเป็นมหาเสนาบดี..แม้ว่าตอนนี้จะเริ่มมีพวกบ้าง..ก็เสนาบดีเล็กๆที่คอยเอาใจอิบราอิม
เพื่อหวังตำแหน่ง..และ..อำนาจ..แต่ก็อีกหลายส่วน..ก็..ยังจ้องหมั่นไส้..และ..รังเกียจเขาอยู่เช่นเดิม..เพราะยิ่ง
ตำแหน่งใหญ่..เขายิ่งกร่าง...ไปสร้างรูปหล่อ..หรือ..แกะสลักตัวเขาเองไว้หลายที่......
........เตอร์กนั้น..มียุทธการเด็ดอยู่อย่างในการล้อมป้อม..หรือ..กำแพงเมือง...เรียกว่าเป็นต้นตำหรับเลย.....
..คือ..การขุดอุโมงค์จากแนวของตัวเข้าไปถึงฐานของกำแพงเมือง..แล้วลำเลียงดินปืนใส่ถังไม้โอ๊ก...ค่อยกลิ้ง
เข้าไป(จำนวนหลายถัง)จนสุดทางในแต่ละแนว..(ไม่ได้มีอุโมงค์เดียวนะครับ..ทำทีหลายอุโมงค์เลย)แล้ว...ลากสาย
ชนวนจุดระเบิดมาจุด..ซึ่งการระเบิดจะทำให้กำแพงเมือง..ทลายลงมา....เรียกว่า..เขาทำกับ..เมืองที่ไม่ได้ตั้งอยู่
บนเขา..หรือ..หิน...
.........เรียกตอนช่วงแรกๆนั้น..เตอร์กแย็บด้วยการ..ยิงปืนใหญ่ดาหน้าถล่มกำแพงเมืองด้านหน้า..ก่อน..ซึ่งการ
ถล่มด้วยปืนใหญ่..พร้อมๆกันนั้น..ก็แฝงนัยไว้ด้วย..เพราะอาศัยควันปืนใหญ่..ช่วยบัง..จุดที่หน่วยขุดอุโมงค์เริ่ม
ทำการขุด..การขุดอุโมงค์นี่ทำทั้งวันทั้งคืนนะครับ..กลางวันอาศัยควันปืนใหญ่บัง..พอกลางคืนก็สบายหน่อย..
ขุดกันเต็มที่....
....แรกๆนั้น...ฝ่ายออสเตรีย..ก็ไม่ทราบจริงๆว่า..ฝ่ายเตอร์แอบขุดอุโมงค์เข้ามาหากำแพงเมือง...เพราะต้องคอย
รับมือกับลูกกระสุนปืนใหญ่..ชาวบ้งชาวบ้านต้องคอยช่วยซ่อม..กำแพง..เชิงเทิน..บางส่วน..รวมทั้ง
อาคารด้านในกำแพงบางส่วน..เรียกว่า..ช่วยกันทั้งกลางวันกลางคืนเช่นกัน...(..ไอ้คำว่า”บางส่วน”..นี่
มันคือ..บางส่วนจริงๆ..หลายคนอาจแปลกใจว่า..โอ้โห..โดนถล่มด้วยปืนใหญ่..แบบนี้..มันพังกันแหลก
เรอะ..อ๋อ..ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ..ทำไม..เดี๋ยวตอนหน้าๆจะแถลงไข..ให้ฟัง..)
..................................
.........
...ภาพจำลอง..ปืนใหญ่..และ..การเตรียมยิงของพวกเตอร์ก....
....
....ปืนใหญ่ของเตอร์ก..สมัยยิงถล่ม..ยึดกรุงตอนแสตนติโนเบิล..(เมเหม็ดที่ ๒)..ทำด้วยทองเหลือง(BRONZE)...
.....ครับถูกต้อง....
...เดี๋ยวตอนหน้า..คงจะมีเรื่องปืนใหญ่เตอร์ก..มาเล่าให้ฟังกัน...
..เตอร์กเป็นชาติที่รุกรานคนอื่นตลอดเวลา..ดังนั้นสิ่งต่อรองของเขาคือ
อำนาจทางการรบ...ซึ่ง..ตัวที่เปล่งแสนยานุภาพได้ดี..ก็คือ..ปืนใหญ่....
..เขาจึงต้องคิดค้น..พัฒนา..อยู่ตลอด..ตั้งแต่..ตัวปืน..จนถึง..ลูกกระสุนปืน...
...ภาพล่างที่เห็นอันล่างนี้..เป็นปืนใหญ่หนัก..ของเขา..ซึ่งขนาดลำกล้อง..เอาคนยัดลงไป
ได้เลย...ยิงได่ไกลมาก..ให้สังเกต..รูปด้านบนประกอบ...เตอร์กคิดรูปแบบที่ไม่เหมือนคนอื่น..สำหรับ
ปืนใหญ่หนัก..เพราะ..ปืนใหญ่หนักของเขา..ท้ายปืน..จะราบเรียบ..ก็เพราะมันจะทำหน้าที่ถ่ายแรง
ไปสู่แผ่นไม้ขนาดใหญ่หนา..ที่ประกบติดท้ายปืนไว้..แล้วไม้นี้..จะถ่ายแรงสู่ฐานปืนอีกที....
...เพราะ..แรงสะท้อนจากการยิงของปืนแบบนี้..จะมาก...ถ้าใช้..การถ่ายแรง..แบบใช้.."เพลาปืน"..
เป็นหลักแบบของไทย..หรือ..ฝรั่ง...จะทำให้การยิงต่อเนื่อง..มีปัญหาเพราะ..เพลาปืน..อาจหลุดจากฐาน
ได้..แม้จะมีแผ่นเหล้กปะกับ..ล้อคเพลาไว้ก้ตาม...ไม่งั้นอาจต้องแก้โดย..ทำเพลาปืนเพิ่ม..อีก ๒ ตัว...
..และ..ฐานปืน..จะต้องใช้ไม้ใหญ่มากและ..แข็งแรง...สาเหตุหลักในการชำรุดเพราะ..เมื่อมีแรงสะท้อน
กลับมา..มันไม่ได้..มีแต่แรงถอยหลังอย่างเดียว..มันมี..แรงยก..ด้วย..เพราะเมื่อเราบังคับลำกล้องไว้
..มันจะเกิดแรงต้านและกลายเป็น..แรงยก..ปืน..ขึ้นมา..ก็เหมือนกับ..คุณยิงปืนพกนั่นแหละ..ปืนจะกระดกขึ้น
...ดังนั้น..แรงที่ส่ง..มาที่เพลาปืน..จึงมีทั้งสองแรง...แผ่นเหล็กที่รัดเพลาปืนไว้..ก็ต้องรับทั้งสองแรงด้วย
(แรงถอยหลัง..ส่วนนึงจะถ่ายเข้าที่ร่องบาก..รับเพลาปืน..ที่ฐานปืน..)..ซึ่ง..ถ้ายิงไม่ต่อเนื่องมากๆ..อาจพอรับ
ได้..แต่ก็จะชำรุด..บ้าง..แต่ถ้ายิงต่อเนื่องมากๆ..อาจทำให้ปืนหลุดออกจากฐานได้....
....ของเตอร์กแก้ไขปัญหา..ของแรงยกขึ้น..โดยมีแผ่นเหล็กโค้ง..รัดลำกล้อง..หลายอัน..ยึดไว้กับฐานปืน...
....ทำให้..แก้ไข..ปัญหาได้ดี..ปืนใหญ่หนักของมัน..ยิงต่อเนื่องได้..ทั้งวัน(สังเกตได้..ว่า..เขาจะมีการทำร่องหรือช่องไว้..ช่วยระบายความร้อนด้วย...และ..สามารถคล้องโซ่..ยกป์นในการเคลื่อนย้าย..แทน..หูระวิง..แบบ
ของไทยได้ด้วย...
...คาดว่า..ตอนหน้า..ผมก็จะเริ่มเรื่องปืนใหญ่..ของเตอร์ก..เขามาเขียนประกอบด้วย...
...............
......
...นี่เป็นภาพ..ปืนใหญ่หนัก..ของไทย..คือ..ปืนพระพิรุณแสนห่า...
ให่สังเกต..เพลาปืน..และ..รอยบากครึ่งวงกลมที่ฐาน..แต่ในรูปนี้ยังไม่ได้ติดตั้งตัวแผ่นเหล็กรัดเพลาปืนด้านบน
..นี่เป็น..ตัวรับแรง..ถอยหลัง..และ..แรงยก..จากการยิง....
...นี่เป็นปืนใหญ่หนัก..ของไทยอีก..กระบอก..ที่ตั้งบนฐานปืนจริง....จะสังเกตฐานปืน..ที่แตกต่างจาก
ของเตอร์ก...(ปืนตัวนี้..เป็นปืนลักษณะเดียว..กับ..ของเตอร์กตามรูปที่ผมpostไว้..คือ..เป็นปืน
แบบที่..เราเรีนกว่า..GUN..คือ..ปืนใหญ่วิถีราบ...ไม่ใช่ ..Howitzer..หรือ..ปืนใหญ่วิถีโค้ง..)
โหปืนเตอร์กใหญ่มากก แสดงว่าเมื่อก่อนเขาเป็นเจ้าเทคโนโลยีด้านนี้เลยใช่ไหมครับ
...................................
.....ท่านผู้อ่านอย่าเอาเรื่องจากที่ดูในหนังมาปน..กับ..เรื่องจริงนะครับ..ปืนใหญ่ที่ระดมยิงมาที่กำแพง..ถ้า
เป็นในหนัง..เขาต้องการให้คนดูสะใจ..ก็เลยให้มันระเบิดตูมๆ..หินเหินกระจายกันว่อน...แต่จริงๆ..แล้วที่
มันโดนกำแพงจริงๆ..ถ้ากำแพงป้อมในสมัยกลางในยุโรปโดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆนั้น..หินจะมีขนาดใหญ่มาก
ครับ..ขนาดก็ไม่น้อยกว่า ๒ X ๓ ฟุต..หนาก็ร่วม ๒ ฟุตเห็นจะได้..และ..ก็ตัดแต่งเรียบเข้ากันสนิท..ทำจาก
หินแกรนิต..เป็นส่วนใหญ่..ลูกปืนใหญ่ที่ยิงจากระยะไกลนั้น..เป็นลูกเหล็กหล่อกลมๆตันๆ..ส่วนใหญ่..เส้น
ผ่าศูนย์กลาง..ก็..ไม่เกิน..๑ ฟุต..แต่ปืนใหญ่พวกเตอร์กนั้นทรงอานุภาพ..และ..มีขนาดใหญ่กว่าของยุโรป
..บางตัว..ลูกปืนใหญ่..ขนาดเกิน ๑ฟุต..ถึง ๑ฟุตครึ่ง...แต่ไม่ว่ายังไง..มันก็จะทำได้แค่..ทำให้หินแตกไปบ้าง
หินกระเทาะบ้าง..มันทำลายกำแพงจริงๆไม่ได้หรอกครับ..เจตนาของมันจริงๆคือ..
๑ . ข่มขวัญ..สร้างสงครามประสาท..
๒. ทำลาย..ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเชิงเทิน...
๓ .ทำลายอาคาร..บ้านเรือน..หรือ...พระราชวัง..ที่เก็บเสบียง
๔. ป้องกันไม่ให้..ปืนใหญ่ที่อยู่บนเชิงทินป้อม..ยิงลงมาได้สะดวก..
๕. ทำลาย..ประตูกำแพงของป้อมนั้นๆ...(เรื่อง..ประตูกำแพงเมือง..หรือ..ป้อมนั้น..ผมจะชี้แจงในรายละเอียด
อีกครั้ง..ต่อไปข้างหน้า..)
ต้องเข้าใจด้วยนะครับ..นี่หมายถึง..การยิงแบบทั่วไป..ที่ทำการยิงแบบระยะไกล....
..แต่ถ้าการยิงแบบที่เข็นปืนใหญ่..มาใกล้กำแพง..(ประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ หลา)..นั้นจะเป็นอีกแบบ..และ
ใช้ลูกปืนใหย่อีกแบบด้วย..ที่ผมจะกล่าวถึงต่อไปภายหลัง....
...จึงขอให้เข้าใจด้วยตามนี้....การยิงปืนใหญ่..ที่ลูกมันระเบิดได้จริงๆ..จาการบันทึก..ว่าใช้กันครั้งแรกโดย
..หน่วยทหารปืนใหญ่ของ..ชาวเวนิส..เมื่อศตวรรษที่๑๔..เป็นลูกเหล็กหล่อที่กลวง..และใส่ดินปืน..ไว้ข้างใน
....แล้วมีรู..ต่อชนวนออกมา........
...ต้องเข้าใจว่า..เมืองเวนิส..เป็นเมืองแห่งวิทยาการ..ย่อมมีการประดิษฐ์คิดค้นของแปลกกันเรื่อย..ซึ่งนี่ก็
เป็นการทดลองโดยทหารปืนใหญ่ของเวนิสเช่นกัน..แต่ไม่เวอร์คครับ..ควบคุมการระเบิดยาก..บางทีลูกพ้น
ลำกล้องนิดเดียวก็ระเบิดแล้ว..คนยิงก็มีสิทธิตายได้.....เจตนาของผู้ค้นคิด..ก็ไม่ได้..เจตนาให้มันระเบิดทำลาย
อะไร..คือยิงขึ้นฟ้า..ให้มันระเบิดกลางอากาศเพื่อ..ข่มขวัญ..เพราะ..มันจะทำให้พวกม้า..และทหารฝ่ายตรง
ข้ามตกใจเสียขวัญ..ผู้อ่านบางท่านอาจคิดว่า..อ้าวแล้วมึงทำไมไม่เอาเศษเหล็ก..เศษตะปู..ปนไปกับดินปืน
ในลูกปืนใหญ่..จะด้วยละ..มันจะกระจายไปทำลายข้าศึกได้จำนวนมากๆ..เชื่อผมเหอะ..คงมีคนคิดแบบนี้
แล้ว..แต่ปัญหา..คือ..มันควบคุม..การระเบิดได้ยากจึงอันตรายมาก...ไม่คุ้ม..เผลอๆกลายเป็นศพเอง...
.....แนวความคิดนี้..จึงไม่มีการเอามาใช้อีก..จนถึง..ปลายศตวรรษที่ ๑๘ ถึงเริ่มมีการลองกันใหม่...
..แต่พอ..ศตวรรษที่ ๑๕ นี่แหละครับ..แนวความคิดที่..จะใช้ปืนใหญ่..ทำลายข้าศึกได้จำนวนมากๆ..ก็
เกิดผล...แต่ไม่ใช่ลูกตกกระทบแล้วระเบิด..แบบในหนัง(..ในหนังใช้การตัดต่อปืนใหญ่ยิงไป..แล้วภาพ
ก็ตัดมาที่ลูกตก..พอดีกับการจุดเอ๊ฟเฟคระเบิดที่ติดตั้งไว้..ที่จุดนั้นๆ..มันก็เลยเนียน..แล้วไอ้ที่เห็นเป็น
หินมันก็ไม่ใช่หิน..).......
.....ผมว่า..ผู้อ่านหลายท่านคงคุ้น..กับ..ปืนลูกซอง..ไม่ว่า..จะลำกล้องเดี่ยว..ลูกซองแฝด..ลูกซองปั๊มพ์
...ว่าการทำงานของมันเป็นยังไง..ที่เราจะพูดถึงนี่..คือลูกกระสุนแบบที่ว่า..”ลูกปราย”..นะครับไม่ใช่..
“ลูกโดด”....ท่านอื่นอย่าว่ากัน..เพราะผมว่าบางท่านที่..ไม่คุ้นเรื่องปืนบังเอิญมาอ่าน..เดี๋ยวจะ..งง..
ผมก็ต้อง..อธิบายเล็กน้อย...ลูกกระสุนปืนลูกซองแบบที่เรียกว่า”ลูกปราย”..นั้น..คือ..เขาจะใส่...
ลูกตะกั่วกลมๆ..จำนวนตั้งแต่ ๖ เม็ดขึ้นไป..จนถึง ๒๕ เม็ด...ลงไปในตัวกระสุน..ซึ่งขนาดลูกตะกั่ว
ก็จะแตกต่างกัน..คือ..ถ้าน้อยเม็ดก็ ลูกจะใหญ่..ถ้ามากเม็ด..ลูกก็จะเล็ก..เพราะขนาดตัวลูกกระสุนที่ใช้
กับปืนลูกซองไม่ว่ายี่ห้อไหนแบบไหน..มันก็จะใกล้เคียงกัน..แตกต่างกันเล็กน้อยในความยาว...
...อย่าง ..ลูกใหญ่ขนาดเกือบ ๑ ซม....ไล่ไปจนถึง..ขนาดเม็ดถั่วเหลือง......การใช้งานก็ต่างกัน..ลูกเยอะ
มันก็จะกระจายกว้าง..แต่อำนาจการทำลายก็จะน้อยกว่า..ลูกใหญ่....
......นั่นแหละครับ..หลักการเดียวกัน..ก็คือ..เขาทำลูกปืนใหญ่ให้มันกลวงแล้ว..ใส่ลูกเหล็กกลม..จำนวน
มาก( ๒๕ ถึง ๓๐ ลูก)..เข้าไป..และที่นี่..ลูกปืนมันก็ไม่กลมแล้ว..แต่เป็นทรงกระบอกเพื่อจะบรรจุลูกเหล็ก
ได้จำนวนมาก..แต่ลูกเหล็กที่ว่านี่มันไม่ได้เล็กเหมือน ลูกซอง..แต่มัน..ขนาดลูกปิงปอง..เลย..
สำหรับ..กล่องที่รรจุลูกเหล็ก ( CASE ) นั้น..ก็จะเป็นกล่องที่ทำด้วย..ดีบุก..หรือ..ตะกั่วบางๆ..ให้แข็งแรง
พอแค่..เมื่อเอาลูกเหล็กใส่เข้าไปเต็มแล้ว..ไม่แตก..หรือชำรุด..ก่อนใส่เข้าปากลำกล้องปืน....
..ซึ่งฝรั่งเรียก..ลูกกระสุนแบบนี้ว่า..CANISTER .......หรือ..ลูกกระสุนบรรจุในกระป๋อง(..อันนี้ผมคิดเอาเอง
นะครับ..เพราะคำว่า..แคนิสเตอร์..มันก็คือ..แคน..ที่แปลว่า..กระป๋อง..นั่นเอง )..หรือ GRAPE shot
...ลูกมันบรรจุลงไป..ในกระบอก..เหมือนพวงองุ่น..นั่นเอง..แต่ผมเรียกมันว่า..”ลูกปรายยักษ์”
.........................
.................
นี่ครับ..ขนาดของมัน..ลูกปรายยักษ์.....
................
....นี่แสดงให้เห็นการบรรจุลูกปราย..เข้าในกระป๋อง..แล้วเอากระป๋องนี่..ใส่แทนลูกปืนปกติ.
...มันอยู่รวมกันเหมือนพวงองุ่น..เขาเลยเรียกอีกอย่างว่า..GRAPE SHOT...
...อันนี้ไม่ใช่ของเตอร์ก..เป็นของไอ้กัน..ใช้ในสงครามกลางเมือง..หลังเตอร์กใช้มากกว่า ๒๐๐ ปี....
..ที่เรียกว่า CANISTER...
กำลังจะบอกให้แอดมินฯปักหมุดเลย เพราะกระทู้เริ่มหล่นลงมาข้างล่าง
หากระทู้ไม่เจอ ปรากฏปักไว้เรียบร้อย
ขอบคุณ แอดมิน ครับ ผมหาไม่เจอ จริงๆครับ แก่แล้ว แฮ่ๆๆ
............ขอบคุณ..คุณTOEYTEI ในความหวังดี..และ..หวัดดีครับ..คุณjeab......
....พอดี..ช่วงนี้มันเฉื่อยๆ..นะครับ..คนแก่..บางวันทำอะไรเพลินๆ..ก็ลืมไปว่า..เราเขียน
กระทู้ต่อเนื่องอยู่..มาคิดได้..ก็ใกล้นอน...ตื่นเช้ามาก็ลืมเลย..เพราะปกติผมจะเขียน..
ตอนเย็นๆ..หัวค่ำ.......
........ต้องขอโทษผู้อ่านหลายท่านด้วยครับ..ที่เข้ามาเก้อ...ผมก็ขอแถม..ด้วยเรื่อง
ที่เคยบอกว่า..จะพูดถึง..เป็นการสอดแทรก..เล็กน้อย..คือ...มันไม่ได้..อยู่ในเรื่องนี้
..แต่มัน..เกี่ยวพัน..เพราะ..มันเรื่องของ...ปืนใหญ่...
...ที่ผมเคยเล่า..ว่า..จะเล่าเรื่อง...ปืนใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุด..ของฝรั่งเศษ....
..ทุกปี..ในการยิงครั้ง..ประวัติศาสตร์นั้น..จะมีการจำลอง..เหตุการณ์..และเป็นวันหยุด
เฉลิมฉลอง..ของฝรั่งเศษ...ทั่วประเทศ......
........เพราะ..การยิงของ..ปืนใหญ่ ๒ กระบอกนี้..เขาถึงกันว่า..เป็น..สัญญาณ..แห่ง..
การปฏิวัติเพื่อ..ประชาธิปไตย..ของ..ฝรั่งเศษ..และ..ของโลก...
( หลายท่านอ่านอาจคิดว่า..MAGNA CARTA ..ของอังกฤษ..น่าจะคล้ายกัน..แต่นั่นไม่ใช่
ประชาธิปไตยครับ...เพราะ..เป็นข้อตกลงของ..กษัตริย์(..จอห์น )..กับ..เหล่าขุนนาง(..พวกบารอน)
...เกิดเพราะ..กษัตริย์จอหน์..ไปขูดรีดพวกขุนนาง..พวกนี้เดือดร้อน..ทนไม่ไหว..เลยต่อต้าน..
..ประชาชน..แค่เป็น..ข้ออ้าง..เพราะเป็นผลต่อเนื่อง ).......
...เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ..ผมไม่ได้เขียนในWORD..แล้วเอามาแปะ..ถ้าเขียนนานแล้ว..พอpostแล้ว
หลุด..เพราะเว็บ..สั่งไปให้ LOGIN ใหม่
........ก่อนเข้าเรื่อง..ต้องขอขอบคุณ..ADMIN..ที่ปักหมุดให้เป็น..กระทู้แนะนำด้วยครับ...
........................
....................................
.......มันเป็นเหตุการณ์..ในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม คศ.๑๗๘๙ ที่กรุงปารีส..ฝรั่งเศษ....
..ผมว่าผู้อ่านหลายท่านที่ชอบประวัติศาสตร์..คงทราบแล้วว่า..ผมพูดถึง..ปืนใหญ่อะไร..และ..เป็นวันอะไร
..เมื่อ..ประชาชน..เดินขบวน..เรียกร้องประชาธิปไตย..แต่ละคน..ก็หาอาวุธ..เท่าที่จะหาได้..ไม้มั่ง..มีดมั่ง.
ฆ้อน..ก็ว่ากันไป..ปืน..ก็มีบ้างแต่ไม่มาก...แต่ที่ที่เขาลากมา..นำขบวนมาเลย..คือ..ปืนใหญ่..ที่ติดตั้งกับ
ฐานที่มีล้อ..๒ กระบอก....มาที่..คุกบาสตีล..เพื่อ..เรียกร้องให้ปล่อยตัว..นักเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตย..
ที่ถูกจับขังคุกที่นั่น...เมื่อถูกปฏิเสธ..เสียงคำรามจาก..ปืนใหญ่ ๒ กระบอก..ก็ระเบิดขึ้น......
.....นี่เป็นสัญญาณ..ว่า..ไม่มีการถอยกลับ..เดินหน้าอย่างเดียว..เพราะก่อนหน้านี้..เจ้าหน้าที่ชั้นสูง..
และ..พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ไม่คิดว่า..จะมีอะไรมาก..เดี๋ยวก็เลิก...ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่แล้ว...
...ประชาชน..บางส่วน..ที่นอนอยู่ที่บ้าน..รวมถึง..บางคนที่พลอยฟ้าฝน..เดินมากับเขาด้วย..ได้ยินเสียง
คำรามของ..ปืนใหญ่ของพวกเขา..ก็มีกำลังใจหึกเหิม..ขึ้นทันที..หลายคน..ละแวกใกล้เคียง..ก็ออกจากบ้านมา
ร่วม...พวกที่อยู่ที่นั่นก็โห่ร้องด้วยความยินดี..และ..เดินหน้าบุกเข้าไปปะทะ..กับกองกำลังป้องกัน..แล้วตั้งแต่
วินาทีนั้น...เดินหน้าไม่มีถอยกลับ..ก็นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง..การปกครอง..ของฝรั่งเศษ..ทำให้กลายเป็น
ประเทศแรกที่ปกครองด้วย..ระบอบ..ประชาธิปไตย....
.....หลายท่านที่อ่าน..ก็คงทราบ..ที่มาของ..ปืนใหญ่ ๒ กระบอกนี้...เพราะมีคนเคยเขียนไว้แล้ว..หลายคน..
ทั้งไทย..อังกฤษ..และ..ฝรั่งเศษ...มาหลายปีแล้ว..แต่อย่าเพิ่งร้องยี้ครับ..เพราะผมบอกแล้วว่า..ผมเขียนเรื่อง
ให้ท่านอ่าน..ไม่ได้ลอกใคร..แต่เอาเฉพาะข้อมูลรายละเอียดเจาะลึกหลายๆแห่ง..เอามาประเมิน..และ..ประมวล
...แล้วเอามาร้อยเรียงให้ท่านอ่าน....
..............ปืนใหญ่ ๒ กระบอกนี้..เป็นแบบHOWITZER..หรือ..ปืนใหญ่วิถีโค้ง..แบบฐานเคลื่อนที่ได้...
..ขนาดต้องเรียกแบบทางการ..คือ..ใช้กับลูกปืนใหญ่มาตรฐาน ๑๒ ปอนด์ (น้ำหนัก ๑๒ ปอนด์ ก็ ๔ กิโลกรัมกว่าๆ)
....เป็นปืนใหญ่..ที่ทำด้วย บรอนซ์..หรือ..ทองเหลืองผสม..ลำกล้องเดิมนั้น..ตีหุ้มด้วยแผ่นเงิน..และ..มีตรารูปช้าง..
ทำด้วยทองคำแท้..ฝังติดอยู่ด้านบนด้วย..(มีหลักฐานชัดเจน..ว่าเดิมเป็นแบบนั้น..เพราะอยู่ในคำบอกเล่าของคนที่
เป็นผู้นำในการบุก..ผมจะเล่ารายละเอียดทีหลัง)..แต่ปัจจุบัน..แผ่นเงินหุ้มนั้น..คงไม่อยู่แล้ว..เพราะช่วงปฏิวัตินั้น..
วุ่นมาก..และ..คนยากจน..พวกปฏิวัติบางคน..อาจลอกออกไปแล้ว....
.........พอบอกถึง..ตราช้าง..หลายท่านก็คง..ร้อง..อ๋อ..แล้ว...ใช่ครับ..ช้าง..เป็น..สัญญลักษณ์..ของ..สยาม...
..ปืน ๒ กระบอกนี้..ผลิต..โดยฝีมือของช่างสยาม..ซึ่งตอนนั้น..มีฝีมือมาก..ถึงขนาดผลิตออกไปขายได้..มี..คุณภาพ
ดีเยี่ยม..ไม่แพ้ฝรั่ง...แต่ ๒ กระบอกนี่..พิเศษเพราะ..สั่งดำเนินดารสร้างโดย..สมเด็จพระนารายณ์มหาราช..เพื่อ..
ให้เป็นของขวัญในการเจริญสัมพันธไมตรี..กับ..พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งราชวงศ์บูรบอง..ของฝรั่งเศษ..
....ไม่จบครับ..เขียนไปเขียนมา..มันยาว..ยังไม่ได้ไปไหนเลย..เดี๋ยวมาต่อตอนหน้า...เหมือนหนังชีวิตเลย
....ภาพแสดงเหตุการณ์ วันที่ ๑๔ ก.ค. ๑๗๘๙ ....ปืนใหญ่ที่เห็นในรูป ๒ กระบอกนี่แหละครับ...ที่เป็นที่มาของเรื่อง.....
..ทุกวันนี้ของทุกปี..ก็ยังมีการจำลองเหตุการณ์..กันอยู่....
...............................
...เอ้าต่อกันเลยครับ........
...จะเป็นกรรมเก่า..ของราชวงศ์บูรบองนี้หรือไง..ไม่ทราบ..หรือเพราะ..ไอ้พวกฝรั่งล่าเมืองขึ้นมันค่อนข้างดู
ถูกประเทศเล็กๆแถบเอเซียแบบบ้านเรา...ไอ้หลุยส์นี่..ก็เลย..เห็นว่าของที่ให้มานี่..มันก็ยังงั้นๆ..แค่ออกโชว์
ว่า..กูก็ทำเป็น...ก็เลย..เอาปืนใหญ่ ๒ กระบอก..จากสยาม..ไปรวมกับ..ของพื้นๆที่มันได้รับมา..ในส่วนเก็บ
ที่เป็นโรงเรือนของคลังของสัพเพเหระของกษัตริย์..ที่ไม่ได้อยู่ในส่วนของพระราชวัง......ทั้งๆที่ผมว่า...
...ตอนที่สภาพสมบูรณ์นั้น..ต้องสวยมาก..และ..แปลก..เพราะปืนใหญ่หุ้มเงิน..นี่มันจะไปหาจากไหนได้..
..แล้วลวดลาย..ประกอบปืน..ก็คงต้องสวยงามแน่..เพราะธรรมเนียมคนไทยนั้น..ถ้าผู้ได้รับมีเกียรติคุณ
ระดับกษัตริย์..ไทยเราไม่ยอมเสียหน้าอยู่แล้ว......
......มามองอีกแบบมันก็สมน้ำหน้า...ของที่มึงทิ้งขว้างไม่แยแส..กลับมากัดตอบลูกหลาน..ของมึงเอง..
(หลุยส์ที่ ๑๖ ).....
...ก่อนหน้าวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญนั้น..ปฏิกิริยาของชาวฝรั่งเศษ..กำลังรุนแรงทุกย่อมหญ้า..สัญญาณ
การปฏิวัติใกล้เข้ามา..กลุ่มผู้นำ..หลายคนก็โดนทางการจับเข้าคุก..ทหารบางหน่วยก็เริ่มลังเล..จนถึง..
วันที่ ๑๔ กลุ่มผู้นำ..ได้กระจายออกไปให้ผู้นำย่อยไปรวบรวมคนที่เห็นด้วย..เดินขบวนแล้วไปรวมกันที่..
บริเวณหน้าคุกบาสตีล..เพื่อทวงคนคืนจากทางการ...แต่ชาวบ้านนั้น..ไม่ได้มีปืนไม่ว่า..ปืนยาว..หรือ..ปืนสั้น
..ที่มีก็เป็นส่วนน้อย..กับทหารบางส่วนเล็กน้อย..ที่มาเข้าร่วม..ก็มีแต่ปืนยาว..จำนวนน้อยมาก..และ..ทั้งๆที่
รู้ทั้งรู้ว่า..กองทหารที่ป้องกันคุกบาสตีล..นั้นอาวุธครบมือ..มีจำนวนมาก..ปืนใหญ่ก็มีหลายกระบอก..แล้ว..
คุกก็ใหญ่โต(ดูในรูปได้)..แข็งแรงมากมาก..ผนังทำจากหิน...เรียกว่า..เดินตามกันไปเพราะใจ..ทั้งๆรู้ว่าไม่มี
ทางสู้..นี่..ทั้งผู้หญิง..และ..ผู้ชายนะครับ..ไม่ใช่มีแต่ผู้ชาย....
.....แต่ก่อนหน้านี้ ๑ วัน..มีกลุ่มต่อต้านกลุ่มหนึ่ง..บุกเข้าไปที่..โรงเก็บดังกล่าวที่ผมว่า...เนื่องจากมีทหารบางคน
..ที่เข้าร่วมเป็นส่วนนำด้วย..จึงแนะนำกัน..ให้ไป..หาอาวุธที่นั่น..(อย่าแปลกใจว่า..ตอนนั้น..เมืองกำลังวุ่น....
ทหารส่วนสำคัญๆ..ก็ถูกเรียกไปป้องกันพระราชวังกัน..ที่ไหนไม่สำคัญ..ก็อาจจะให้ทหารเฝ้า..ซัก ๒ คน..
ไอ้ทหารแค่นี้..พอเห็นชาวบ้านหลายร้อย..ดาหน้าบุกเข้ามา..มันก็ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น..คือ..เผ่นดีกว่า..ไม่งั้น
โดนเหยียบตายแน่..)..เขาเรียกว่า..สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ..ทหารคนนึง..ยศเป็นนายสิบทหารราบ..ตอนหลัง..โดน
ย้ายไปอยู่โรงซักผ้าในวัง..คนนี้..ไม่ใช่ธรรมดา..เพราะหลังจาก..เหตุการณ์ครั้งนี้...เขาก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ..และ..กลาย
ไปเป็น..นายพลให้กับ..นโปเลียนโบนาบารต์...ออกรบทำชื่อเสียง..คือถ้าไม่ได้เข้าร่วมครั้งนี้..ก็คงแก่ตายในโรงซักผ้า
..แค่นั้น..เขาคือ..ปิแอร์-ออกุสต์ ฮูแลง.......เขากับพรรคพวกก็เข้าไปรื้อ..หาพวกปืน..ยาว..สั้น..ที่มีอยู่บ้างบาง
ส่วน..แต่..ปรากฎพบส่วนใหญ่จะใช้ไม่ได้..คือเก่าเก็บ..แล้วตัวเขาก็เหลือบ..ไปพบของสำคัญ..เข้า ๒ ชิ้น..และมัน
เตะตา..เขามาก..เพราะมันไม่ใช่ปืนใหญ่ธรรมดา..แต่มันแวววาว..เพราะหุ้มเงินที่ปากกระบอก...
(คาดว่า..เขาได้อ่านป้ายกำกับ..หรือ..จารึกบนแผ่นเงินหุ้ม..แล้ว..เขาจึงให้รายละเอียดของปืนกับคนอื่นได้)
แม้ว่าเขาจะเคยเป็นทหาราบ..แต่เขาก็เคยฝึก..และ..เคยยิงปืนใหญ่มาก่อน..เมื่อทำการตรวจสอบแล้ว..เขาพบว่า..
ปืนใหญ่ทั้งสองกระบอกอยู่ในสภาพดี..และก็คงได้..พบลูกกระสุนปืนใหญ่จำนวนหนึ่งด้วย(..เพราะการให้ปืน
ใหญ่ไปนั้น..ทางไทยคงต้องเผื่อไว้ก่อนว่า..ทางฝรั่งมันอาจจะอยากลองว่า..ใช้ได้จริงรึเปล่า)...ก็เลยจัดการ..
ให้พรรคพวก..ทั้งหมด..ช่วยกันลาก..และ..ขนปืนใหญ่ทั้งสองกระบอก..ไปเก็บไว้.....เพื่อเอาไปใช้งานวันรุ่งขึ้น
..(วันที่ ๑๔ ก.ค.)
............ก็ไม่จบเช่นเดิม..ต้องต่อไป..ตอนหน้าครับ.......
โอ้ว สยามเราก็ไม่ธรรมดามีส่วนรวมในประวัติศาสตร์สำคัญของเค้าด้วย
เปิดหูเปิดตาอีกแล้วครับ
วิทยาทานแก่ลูกหลาน....อย่างผม จะเข้ามาตามอ่านนะครับ
ขอบคุณมากๆครับ
........................................
......ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ตามรายการบันทึกของขวัญที่เราส่งไปให้..และรายการที่บันทึกจากทางราชสำนักฝรั่งเศษ
เอง..เรื่องปืนใหญ่ทั้งสองกระบอก..เราบอกว่าเป็นปืนใหญ่ที่หุ้มลำกล้องด้วยเงิน...ทางฝรั่งเศษ..นี่หนักกว่า..ตามบัญชี
บอกไปว่า..เป็นปืนใหญ่ทำด้วยเงิน...ดังนั้น..แน่ๆ..ก็คือ..”หุ้มลำกล้องด้วยเงิน”..ซึ่งจากหลักฐานทั่วไปถือว่า..แปลก..
เพราะ..ไม่มีใครทำกัน..มีแต่พี่ไทยนี่แหละ..ที่เจ๋งสุด....
....กลับไปที่..ปารีส วันรุ่งขึ้น...เมื่อมันทั้งสองกระบอก..เดินทางไปถึง..หน้าประตูคุกบาสตีล..ปรากฎว่า..กระบอกหนึ่ง..
มีการเปลี่ยนแปลงซะแล้ว.....เป็นยังไง..มาตามเหตุการณ์ในวันที่ ๑๔ ก.ค. ๑๗๘๙...BASTILLE DAY..
.....เมื่อระหว่าง..ทางนั้น..ฮูแลงได้ให้..ชาวบ้านที่ร่วมขบวนมาด้วยกัน..ลากปืนใหญ่ทั้งสองกระบอก..มาด้วยเชือก..
(.มีภาพที่จิตรกร..เขียนภาพในวันนั้นบางภาพ..ปรากฏว่าเป็นรูปผู้หญิงชาวบ้าน..ที่เป็นคนลากปืนใหญ่..ด้วยซ้ำ..)
.....พร้อมกับตะโกน..ร้องเพลง..เชิญชวนชาวบ้านระหว่างทางมาร่วมด้วย..ปรากฏตามบันทึกของผู้เข้าร่วมขบวนการ
บางคน..บอกว่า..ก็เพราะ..ชาวบ้านเห็นว่า..กลุ่มนี้..มีปืนใหญ่มาด้วย..เท่านั้นเองกำลังใจ..ก็มา..ไม่ใช่มีแค่สากกระเบือ
เอาไป..สู้กับปืน..คนก็ตะโกนโห่ร้องรับด้วยความยินดี..หยิบฉวยมีด..ไม้..เท่าที่หาได้ที่บ้าน..เดินตามขบวนมาเป็นตับ
..โห่ร้อง..ร้องเพลง..ผสมด้วย..การสาปแช่ง..พระเจ้าหลุยส์(ไม่ใช่..หลุยส์วิตตอง..นะครับ..คนละคน..คนละยุคกัน..)
..กันมาตลอดทาง...
..ขณะเดียวกัน...ที่บริเวณหน้า..คูป้องกันตัวคุก(ขุดล้อมกำแพงคุก)..ตรงตำแหน่ง..ประตูทางเข้านั้น..ก็เริ่ม..
ยิงกันบ้างแล้ว..โดยฝ่ายชาวบ้านนั้น..ก็มีทหารบางหน่วยผสมกับชาวบ้าน..เป็นกองกำลัง...มีแต่ปืนยาว..ยิงสู้กับ..
...ทหารป้องกันป้อม..ที่เปิดประตูด้านหน้า..แต่อยู่หลังคูที่ขุดไว้..ระดมยิงเข้าใส่.งฝ่ายต่อต้าน..ซึ่งฝ่าย
ทหารที่มีอาวุธครบมือ..และ..จำนวนมากกว่า..กับ..มีปืนใหญ่ด้วย..และ..ตามบันทึกมีหลักฐานยืนยันว่า..
ปืนใหญ่..ของทหารป้องกันคุกนั้น..ยิงลูกกระสุนขนาด ๒ ปอนด์มา..โดนผู้ต่อต้านบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
..นอกเหนือ..จากกระสุนปืนยาว...
.......ไอ้กระสุนขนาด ๒ ปอนด์ที่ว่า..ก็คือ..หนัก ๒ ปอนด์หรือ..เกือบ ๑ กิโล..มันไม่ใช่ลูกปืนยาวครับ...
...มันคือ..”ลูกปรายยักษ์”หรือ..GRAPE SHOT..คล้ายๆกับที่ผมเล่าไปแล้ว..แต่ที่ว่า..แบบนี้นั้น..จำนวน
ลูกเหล็ก..ที่บรรจุ..ก็แค่..สิบกว่าลูก..แต่ขนาดมัน..แต่ละอันก็ใกล้เคียงกับ..ส้มบางมด..(ต้องคนมีอายุ..
หน่อย..เด็กหนุ่มยุคนี้จะไม่รู้จัก...คือ..มันเล็กกว่า..ส้มเดี๋ยวนี้..แต่ใหญ่กว่า..ลูกมะนาว...)..ซึ่งตามหลัก
ฐาน..ก็เป็นดังนั้น..เพราะทหารปืนใหญ่ฝรั่งเศษ..ก็มีลูกกระสุนปืนใหญ่..แบบนี้..ใช้อยู่ด้วยในยุคนั้น...
.........
....เหตุการณ์ที่นั้นฝ่ายกำลังผสม...บุกเข้าไปก่อนพยายามข้ามคู..แล้วทหารป้องกันคุก..ก็เปิดประตู
ถล่ม..ด้วยอาวุธต่างๆ..จนฝ่ายกำลังผสม..เดินหน้า..ข้ามคูไม่ได้ซักที..เจ็บระนาว..ทำท่าแย่..แต่ยังไม่
ไปไหน..เอาพวกเกวียนบรรทุกของ..มาเป็นแนวกำบัง..ก็มี..ซึ่งตอนนั้น..ผู้นำกองผสม..นั้น..ก็คือ...
..................สตานิสลาส-มารี มิลลารด์..คนนี้เดิม..ก็เคยอยู่หน่วยอาสารักษาดินแดน..(ก็คล้ายบ้าน
เรา..มีการฝึกแบบทหารเช่นกัน..)..มาก่อน....หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้..เขาเป็นหัวหน้าที่นำกอง
กำลังปฏิวัติ..บุกเข้าพระราชวังแวร์ซาย..ของพระเจ้าหลุยส์..และมีส่วนสำคัญ..ในกองกำลังปฏิวัติ..
..และ..ภายหลัง..ก็ได้เป็นผู้นำกองกำลังรักษาดินแดน..ต่อมา.....
.....ขณะ..ที่ทั้งสองฝ่าย..หยุดพัก..มีแค่การยิงกันประปราย..นั้น..สตานิสลาส..ก็ได้ยิงเสียงโห่ร้องใกล้
..เข้ามา..แล้วก็ปรากฏภาพผู้คนจำนวนมาก..เดินโห่ร้อง..ตามถนน..เข้ามาสมทบ..กับกองกำลังผสม
..ซึ่ง..พวกนี้..มาแบบพระเอก..โดยมีกองกำลังรักษาดินแดน..มีอาวุธครบมือ..นำมาก่อน..ผู้ที่นำชุดนี้
มาคือ...แอนโตน-โจเซฟ แซงเตอร์...ซึ่ง..ภายหลัง..ได้เป็น..นายพลของหน่วยอาสารักษาดินแดนแห่ง
กรุงปารีส...พี่ท่านมาถึง..ก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง..วางแนวยิง..เริ่มยิงเข้าใส่ทหารป้องกันคุกทันที....
....เรียกว่า..ยังยันกันอยู่ทำอะไรไม่ได้..หลังจากพวกกองอาสาฯ...ซึ่งตอนนี้ที่ลาน..ควันจากปืนฝ่ายกำลัง
ผสม..ก็ตลบไปหมด..เงาคนจำนวนมากก็เริ่มโผล่ออกมาจากม่านควัน..ให้แสตนิสลาสเห็น...แต่ที่..
แปลกคือ..พวกนี้..ลากอะไรมาด้วยไม่ทราบ..(เวลาจินตนาการ..ต้องนึกภาพแบบสโลว์โมชั่น..กลุ่มคน
ที่เป็นเงาตะคุ่มที่เดินอยู่ในม่านควัน..เข้ามาช้าๆ..ค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆ..)..ซึ่ง..แสตนิสลาส..ก็แปลกใจ..
เพราะ..ตั้งแต่..กำลังของแอนโตน..เข้ามาประจำที่แล้ว..เจอกลุ่มพวกนี้เป็นหางแถว..แถมลากอะไรมา
ด้วย......
...................................
..................................
.................................
.....ภาพบน..ปิแอร์ เอากุสต์.ฮูแลง...
....ภาพกลาง...แสตนิสลาส มารี มิลลารด์..
....ภาพล่าง....แอนโตน โจเซฟ ซังแตร์....
......................
...........................ให้สังเกตคำว่า..”ลาก”..ให้ดี..คือใช้เชือกลาก..ซึ่งมันมีความสำคัญ..ซึ่งผมจะกล่าวถึง
ภายหลัง.....
..................ฮูแลง..เดินนำขบวนชาวบ้าน..ทั้งชาย..หญิง..และ..ทหารบางส่วน..ภาพสิ่งที่ถูกลากก็เข้ามา
สู่สายตา..ของแสตนิสลาส..ชัดขึ้น..มันคือ..ปืนใหญ่ ๒ กระบอก......
.....ฮูแลง..เมื่อมาถึง..เขาก็สังเกต..แสตนิสลาส...จากบุคคลิก..และ..ตำแหน่งยืนที่โดดเด่น...เขาก็รู้ด้วย
ตนเองว่า..คนนี้คือ..หัวหน้าของกลุ่มที่กำลังทำการบุกอยู่...เขาจึงแนะนำตัวเอง..
....” ผมชื่อ..ฮูแลง”..แล้วเขาก็สาธยายที่มาที่ไปของเขา..(ตามที่ผมเล่าไปตอนที่แล้ว)..แต่สายตา..ของ..
แสตนิสลาส..นั้น..จ้องไปที่ปืนใหญ่..ทั้ง ๒ กระบอก..ฮูแลง..ก็เลยรีบเอ่ยขึ้น..
......” ๑๒ ปอนด์ ครับ “...ที่เขาเอ่ยอย่างนี้..เพราะเขาก็ทราบว่า..แสตนิสลาสรู้อยู่แล้วว่า..เป็นอะไรและ..
คงเข้าใจดี.(.คล้ายๆกับ..ที่เราถือปืนลูกโม่อยู่กระบอกหนึ่ง...แล้วมีคนมอง..เราก็บอกเขาไปเลยว่า..
..........” สามห้าเจ็ด ครับ”....ทำนองเดียวกัน....คือ..เราบอก..ขนาดของลูกกระสุนแทน..เพียงแต่....
สมัยโบราณนั้น...เขาไม่ได้บอกเป็น..ขนาดลำกล้อง...แต่เขาบอกเป็น..ขนาดน้ำหนักของลูกกระสุนแทน
เพราะ..มันก็มีมาตรฐานเช่นกัน..ว่า..ลูกขนาดหนักเท่านี้..ขนาดลูกมีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าไหร่.....ขนาดรูลำกล้อง
ปืน..มันก็จะเท่าๆกัน..)......
.....แต่..แสตนนิสลาส..ก้เอ่ยขึ้นว่า..”..อันนี้..ทำด้วยบรอนซ์(บ้านเรา..สัมฤทธิ์..หรือ..ทองเหลืองผสม)..ดูใช้งานได้ดี
..แต่..ผมสงสัย..ไอ้กระบอกนั้น..มันอะไร..กัน..”.......
......แต่ผมเคยบอกไว้ตอนที่แล้วว่า...ผ่านมาหนึ่งวัน..มาถึงตอนนี้..กระบอกนึงแปรสภาพไปแล้ว..ในตอนที่แล้วนั่น
แหละครับ..หลักฐานของคำถามนี้..เลยเป็นจุดสำคัญ..ที่ทำให้รู้ว่า...กระบอกที่แสตนิสลาส..เอ่ยขึ้นอันแรกนั้น..
..คือ..กระบอกที่ถูกแปรสภาพ....แปรยังไง...ก็ง่ายๆ..ก็เขาเองไม่เห็น..อะไรผิดปกติ..มันก็เหมือนปืนใหญ่ทั่วไป..
....ทั้งๆที่..มันไม่เหมือน..เพราะ..ปืนใหญ่ทั้งคู่..หุ้มลำกล้องด้วยเงินแท้..สีสันความแวววาว..ความสวยงาม..มัน
จะดูเป็นปืนใหญ่ธรรมดาไปไม่ได้....เหมือนกับ..ที่เขาว่าถึงอีกกระบอกว่า..นั้น..มันอะไร..อย่างที่ผมบอกยังไม่มี
ในโลกมาก่อน..ที่..ปืนใหญ่จะเป็นแบบนี้....................
......ก็เพราะ..กระบอกแรกนั้น...โดน..คนที่อยู่ในกลุ่มของฮูแลง..แอบทำการลอกเอาแผ่นเงินที่หุ้ม..ไปแล้วนั่นเอง
...ลองนึกถึง..ว่า..ปืนใหญ่มาตรฐาน ๑๒ ปอนด์..นั้น..ยาวประมาณ ๖ ฟุต..ขนาดลำกล้องภายนอก..ใหญ่กว่า
ต้นขา..ฝรั่งผู้ชาย...เงินที่หุ้ม(ซึ่งสมัยอยุธยา..นั้น..ของใช้งานที่หุ้มเงินนั้น..แผ่นเงิน..หนาไม่น้อยกว่า ๑ มม...
อย่างเช่น..ด้ามดาบ..เป็นต้น..)..มันจะมีปริมาณมาก..และ..หนักขนาดไหน...หนักกี่..กิโลกรัม....
...มูลค่าเงินนั้น..เป็นน้องแค่..ทองคำ..ยิ่งยุคข้าวยากหมากแพง..แบบฝรั่งเศษตอนนั้น..ชาวบ้านจน..เป็นขี้...
ใครจะไม่อยากได้..แล้วไอ้คนเอาไปนะ..มันก็คิดว่า..ที่มันเอาไปนี่..มันไม่ได้ทำให้คุณภาพปืน..แตกต่างไป..
...ก็แค่เอาไปใช้ยิง...มันจะเป็นอะไรไป....
.....ผมสันนิษฐานว่า..ตอนคืนก่อนหน้านี่แหละ..อย่าลืมนะครับ..ที่บอกไปว่า..ในกลุ่มคนพวกนี้..มีแต่..คนจน
..ซึ่งมีทั้ง..หัวขโมย..ฆาตกร..จับกังรับจ้างแบกหาม..โสเภณี..หาเงินกันไปเป็นแต่ละวันเท่านั้น..พวกนายจ้างนะไม่มา
ร่วมหรอก..ตอนนั้น..เกือบทั้งหมดในปารีส..ทั้งคนรวย..และ..พอมีฐานะ..ขนสมบัติหนีออกจาก..กรุงปารีสไปก่อน
หน้าแล้ว..ขืนอยู่นอกจากจะถูกปล้นหมดตัว..ยังมีสิทธิ์ตายสูง....
.......หลายคนในนั้น..คงช่วยกันจัดการ..แต่ผมว่า..อาจบังเอิญที่..ฮูแลงมาเห็นเข้า..ก็เลยเหลือรอดไป..
ให้ปรากฏเป็นหลักฐานในประวัติศาสตร์ได้..เพราะยังไง..ฮูแลง..มันเป็นทหาร..ย่อมรู้จักในเกียรติ..และ
เคารพ..ในอาวุธ..กับ..รู้ประวัติปืนคู่นี้แล้ว...คงมีแต่ฮูแลงที่รู้..เพราะ..คนฝรั่งเศษชั้นล่างนั้น..ส่วนใหญ่
ก็ไม่ได้เรียนหนังสือ..จะอ่านไม่ออก..เขียนไม่ได้..เวลาจะเขียนจดหมาย..หรือ..จะร้องเรียนอะไร..จะต้อง
ไปจ้างพวกที่มีความรู้ทำให้..ซึ่งคนรับจ้างเขียนหนังสือ..ในยุโรปนั้น..เป็นอาชีพ..ที่คนมีการศึกษานิยมกัน
เพราะ..ถ้าหางาน..ตามที่ตัวเองทำไม่ได้...ก็ต้องมาทำงานแบบนี้แทน..บ้านเรายังได้เปรียบหน่อย..เพราะ
ลูกหลาน..ที่เป็นผู้ชายที่ไปบวชพระ..ก็พลอยได้เรียน..ภาษาไปด้วย..ก็อาศัยพึ่งพาลูกหลานเอา..แต่ถ้า..
ลูกหลานตัวเอง..ไม่มีคนรู้หนังสือ..ก็ต้องไปจ้างเขาเหมือนกัน..สมัยรัชกาลที่ ๔-๕-๖..ก็ยังมีคนทำอาชีพนี้
อยู่ด้วยเช่นกัน....
..................................
อยากเห็นปืนใหญ่ทั้งสองกระบอกนี้จังเลยครับตอนที่สมบูรณ์อยู่คงสวยหน้าดู
......................
...............ฮูแลงนั้น..เป็นทหารที่แอ็คทีฟ..ความจริง..ช่วงระหว่างแนะนำตัวกับ..แสตนิสลาสนั้น..เขาก็สั่ง
การหน่วยจู่โจม..ของเขา..(คงเตี๊ยมกันไว้แล้ว..ว่า..จะต้องทำยังไงบ้าง)..โดยใช้นกหวีดของเขาเองช่วยใน
การสั่งการ(..แสดงว่า..ฉลาด..เพราะระหว่างชุลมุนทั้งเสียงปืนใหญ่(ฝ่ายตรงข้าม)..เสียงปืนยาว..เสียงผู้
คนจำนวนมากที่..ตะโกนสั่งการกัน..มั่วไปหมด..มันคงแยกแยะยาก..)..หน่วยของเขา..ก็ดำเนินการไปกา
ไม่ท่อนยาว..มาจำนวนมาก..ไปพาดข้ามคู..ที่ใกล้ประตูใหญ่เพื่อทำเป็นสะพาน..ให้หน่วยปืน..เข้าประชิด
กำแพงคุกด้วย...ซึ่งความสามารถแบบนี้..ก็คงไม่ต้องสงสัยว่า..ทำไม..จากนายสิบ..ถึง..ขึ้นเป็นนายพล..
ในยุคของนโปเลียนได้........
..............กลับมาที่..คำตอบ..ของฮูแลง..ที่ตอบให้..แสตนิสลาส..ที่กำลังข้องใจอยู่ว่า..ที่เขาเห็นนะ..มันเป็นอะไร
......”....อ๋อเราพบมันที่..โรงเก็บ(คลังพัสดุของกษัตริย์)ของของพระราชาครับ..นี่เป็นของขวัญจาก..
..พระราชาประเทศสยามที่มอบให้พระเจ้าหลุยส์ที่๑๔..(ฮูแลงคงไม่กล้า..บอกว่าความจริงทั้งสองนั้น
มาจากที่เดียวกัน..และ..เหมือนกัน..แต่ความเป็นจริงมันหนีไม่ได้..หลังจากเหตุการณ์ที่คุกบาสตีล...
เมื่อมีการฉลองชัยกัน..ทุกคนในระดับหัวหน้า..ก็ทราบว่า..ปืนทั้งสองกระบอกนั้นความจริง..เป็นปืน
จาก..พระราชาสยามทั้งคู่..และ..เหมือนกัน..ซึ่งผมก็คาดว่า..หลังจากการใช้งานที่คุกบาสตีลแล้ว....
แผ่นเงินหุ้มอีกกระบอกที่ยังเหลือ..ก็คง..ถูกขโมยไป..เช่นเดียวกัน...)..ผมรู้ว่ามันสวยเกินไปที่จะใช้งาน
..แต่ภายใต้แผ่นเงินที่หุ้ม..และ..รูปช้างทองคำที่ประดับ..รวมถึง..อื่นๆ(..คาดว่า..คงจะเป็นลวดลายที่แกะสลัก
...modpong)...นั้น..เนื้อโลหะที่ใช้ทำนั้นสมบูรณ์แบบดีมาก(..ก็สามารถสังเกตที่ปลายปากกระบอกได้..เพราะแค่
หุ้มรอบ..และความที่เป็นทหารที่มีประสพการณ์..ทำให้ฮูแลงสามารถยืนยันเรื่องเนื้อโลหะของปืนที่ดีได้..modpong)....
....เป็นปืนแบบเก่า(..ก็ระยะเวลาจากที่ปืนกระบอกนี้..เดินทางมาถึง..จนถึงเหตุการณ์วันนี้..มันห่างกันเป็นร้อยปี...
...ไม่ใช่ว่า..สยามไม่ทันสมัย..คือ..ทันสมัยในยุคโน้น... modpong )....แบบยิงช้า..(คือ..ต้องใช้สายชนวนต่อลงไป
ที่รังเพลิง..ดังนั้น..ต้องเวลาพอสมควรหลังจากที่เราจุดไฟที่ชนวนแล้ว..ปืนถึงจะยิง..ซึ่งในรุ่นหลังจะมีตัวช่วยไม่ต้อง
ใช้สายชนวน..หลังจากจุดไฟไม่นาน..ปืนก็จะยิงได้เลย...modpong )...แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ยิงลูกปืนขนาด ๑๒ ปอนด์
ได้ก็แล้วกัน..เฮ้ยเด็กๆ..มาฝึกยิงปืนใหญ่กัน..บอกให้คนอื่น..เอาเกวียนที่ตั้งขวางตรงหน้าประตูใหญ่ออก...เอาปืน
เข้าประจำที่.....”...สังเกตความแอ็คทีฟ..ของ..ฮูแลงได้จาก..การที่เขากำลังพูดกับ..สตานิสลาส..อยู่..แล้วเขาก็เปลี่ยน
คนที่พูดด้วยทันที..โดยไม่สนใจว่า..แสตนิสลาส..เขาจะคิดยังไง...ก็คงไม่ต้องคิดอะไรหรอกครับ..เพราะ..ฮูแลงไม่ได้
สนใจเขาแล้ว..เริ่มงานทันที.........
...............ผมว่า..พวกกบฎตอนนั้น..น่าจะคิดคล้ายคนไทย..คือเรื่อง..เทพีนำโชค..หรือ..ของที่ทำให้โชคดี...เพราะ...
เมื่อปืนของเราทั้งสอง..เข้าประจำที่..ก็คำรามสะท้านคุกบาสตีล..ไม่หยุด..ทุกคนที่กำลังท้อว่า..การบุกไม่คืบหน้า...
ก็มีความหวังทันที..ที่ได้ยิงเสียงปืนใหญ่..ของฝ่ายตนเอง..เรียกว่า..กำลังใจมา..ทุกครั้งที่ยิงก็มีเสียงเชียร์..คงแบบ
เชียร์มวยเลยมั้ง...ประชาชนที่อยู่ใกล้ๆคุกได้ยินเสียงเฮ..ของคนร่วมพัน..มันก็มัวนั่งกลัวอยู่ที่บ้านไม่ได้แล้ว..ก็พากัน
ออกมาร่วมขบวนมากขึ้นอีก..และแน่นอน..ฝ่ายตรงข้ามคือ..ทหารป้องกันคุก..ก็กลับกัน..เพราะทีแรกคงคิดว่า..
..มึงไม่มีทางเข้ามาได้..สามสี่วัน..มันก็คงเลิกไปเอง..ที่ไหนได้...เสือกมีปืนใหญ่เข้ามาเสริม..คนก็มากขึ้น....
กำลังใจ..ก็เริ่มถดถอยทั้งนายทั้งบ่าว..เสียงคนด้านนอกดังสนั่นหวั่นไหว...ว่ากันตามข้อมูลว่า..ในคุกเอง..ก็มี
ปืนใหญ่ ถึง ๑๔ กระบอก..แต่อาจเป็นปืนใหญ่ขนาดเบา(ลูกซัก ๘ ปอนด์..อะไรทำนองนี้..)..เสียงมันไม่แน่น
เท่าลูก ๑๒ ปอนด์....แถม..ยิงปุ๊บ..เฮปั๊บ...ยังกะ..เซียนมวยมุมน้ำเงิน..เชียร์มวยรอง..พอแทงเข่า..ทีก็เฮกันลั่น
..................ปืนทั้ง..สองกระบอกนั้น..ไม่ใช้สักว่ายิงนะครับ..เพราะ..ฮูแลงตวบคุมเอง..เขายิงอัดเข้าไป..ที่ประตู
เข้าไปที่ๆกองทหารตั้งเรียงรายเป็นแถว..และ..มีปืนใหญ่ที่ตั้งประจัญหน้าอยู่ด้วย.......เมื่อ..เทพีนำโชคมา...
..หรือ..ปืนใหญ่สยามสำแดงเดช..เหตุการณ์..ก็เริ่มพลิกกลับ..จนไปสู่ชัยชนะ..ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะจริง..ครั้งแรก
ต่อ..พระราชาของเขา..และ..ต่อเนื่องไปจนถึง..การบุกพระราชวังแวร์ซาย..แล้ว..ราชวงศ์บูรบองก็ล่มสลายลง..
พระเจ้าหลุยส์ที่๑๖..พระนางมารีอังตัวเนต..โดนตัดคอ..ด้วยกิโยติน...(ลืมบอกไปว่า..ผู้บัญชาการคุกนั่นหนัก
กว่า..เพราะโดนลากไปกับพื้น..ระหว่างทางคนก็กระทืบมั่ง..แทงมั่ง..ฟันมั่ง...เรียกว่ากว่าจะตายนี่ดูไม่จืด...
..แล้วจบที่..ตัดคอ..แล้วเอาไม้ยาวเสียบหัว...แห่ไปตามถนน...).....
....นักเขียนฝรั่งเศษเอง..หลายท่านก็บอกตรงกันว่า..จุดเปลี่ยนของการปฏิวัติฝรั่งเศษนั้น..คือ..เหตุการณ์ที่คุก
บาสตีล...เขาถึงถือเอาเป็น..วันชาติฝรั่งเศษ...
...........คนฝรั่งเศษจำนวนหนึ่ง..เขาจึงเรียกปืนใหญ่สยามนี้ว่า...” La Coupe Canon “ ดังรูปที่ผมเอามาลงนี้
...ซึ่งถ้าจะแปลเป็นไทย..ก็คงทำนองว่า..”..ปืนใหญ่แห่งชัยชนะ..”...เพราะจริงๆแล้ว..coupe..มันหมายถึง..
ถ้วยรางวัล ( cup )..ผู้ที่ชนะ..ก็ได้รับถ้วย..ซึ่ง..มันจะมีเรื่องวิเคราะห์ต่อ..เกี่ยวกับรูปนี้..อีกยาวพอสมควร..
.....
...ที่เขียนไว้ด้านบนสุด..นั้น La Fete Nationale...นั้น..แปลว่า..การเเฉลิมฉลอง..แห่ง..ชาติ.....
....ใต้รูป..ระบุวันที่..๑๔ ก.ค. ๒๐๑๔ ก็คือ..วันแห่งบาสตีล(..วันชาติฝรั่งเศษ..)...นั่นเอง....
..ผมว่าเป็นใบโปสเตอร์..ของ..ร้านอาหารในปารีส..ที่ทำออกมาเมื่อปีที่แล้ว..เพื่อใช้เฉพาะวันนั้น..
...และ..ปืนแห่งชัยชนะ..ก็หมายถึง..ปืนใหญ่ที่ถล่มคุกบาสตีล..นั่นเอง...
ปืนใหญ่ขนาด ๑๒ ปอนด์(..แบบติดตั้งบนเรือ) สร้างหลัง..ปืนใหญ่จากสยามกว่า ร้อยปี(ค.ศ.๑๘๐๕)
ให้สังเกตว่า..นี่เป็นแบบ..ไม่ต้องใช้สายชนวน...จุดแล้ว..จะยิงเร็วกว่า..แต่เสียง..และ..อานุภาพ
ใกล้เคียงกัน..ขนาดของปืนก็จะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่..
..............................
......................................ผมสนใจประวัติศาสตร์..มาตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย..แต่เสือกดันไปเรียนสายวิทย์..
..สมัยนั้น..จนจบมาทำงานเป็น๒๐ปี..แหล่งสำคัญการหาข้อมูล..ก็คือ..หนังสือ..แหล่งหาความรู้ที่หาซื้อ
ดูไม่ได้(บางที..ก็ได้..แต่แพงซื้อไม่ไหว)..ก็คือ..หอสมุดแห่งชาติท่าวาสุกรี..ห้องสมุดเอยูเอ..ตรงข้ามสนามม้า
ฝรั่ง...อินเตอร์เนต..ยังไม่มี(..หรือมีแล้วไม่ทราบ..แต่แค่คนส่วนน้อยที่รู้จัก..ปี ๒๕๓๕ ผมยังไม่รู้จักเลย..)..
.....ผมทราบเรื่องนี้..น่าจะจาก..บทความของ..หม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย..เพราะท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ..
อะไรที่เกี่ยวกับฝรั่งเศษ...และ..ต่อมาก็เป็น..บทความของ..นายแพทย์สำราญ วังศ์พ่าห์..ผู้เชี่ยวชาญ
ศึกษาเรื่องปืนใหญ่ไทยโบราณ..แต่ที่ได้เห็นแว๊ปๆและจำแทบไม่ได้แล้ว..ก็คือ..จากข่าวพระราชสำนัก
ที่สมเด็จพระเทพฯเสด็จเยือนกรุงปารีส..และได้ไปที่พิพิธภัณฑ์ทหารอินวาลิเดส..ที่กรุงปารีส..โดยที่
ทางเจ้าหน้าที่ๆนั่น..พาพระองค์ท่านไปชม..ปืนใหญ่ทั้งสองกระบอก..และเล่าประวัติฯเคร่าๆ....
เมื่อร่วมยี่สิบกว่าปีแล้วมั้ง..ปีสองห้าสามกว่าๆนี่แหละ...ที่สำคัญคือ..พระองค์ทรงถ่ายรูปไว้ด้วย..
...ส่วนของ..หมอสำราญนั้น..ก็จำพอคลับคล้ายคลับคลาว่า..ท่านก็ถ่ายรูปมาเช่นกัน....
....แต่ที่แน่ๆ..ในภาพความทรงจำผม..ไม่มีเงินที่หุ้มลำกล้องเหลืออยู่แล้วทั้งสองกระบอก....
..........ครับ..ปัจจุบัน..ก็ยังคงอยู่ที่นั่น..แต่ไอ้ที่แปลกใจ..คือ..นักประวัติศาสตร์ไทย..หรือแม้แต่..
คนที่สนใจ..นั้น..ที่มีโอกาศไปดูงาน..ฝึกงาน..หรือเรียนที่นั่น..ไม่มีใครเคยคิด..อยากไปชมบ้างเหรอ
..หรือ..ไปชมแล้ว..ไม่ได้ถ่ายรูป..(ที่นั่นเขาไม่ได้ห้ามถ่ายรูปนะครับ..)..หรือ..ถ่ายไว้แต่ไม่ยอมเอามา
เผยแพร่..ให้คนรุ่นหลังดู..ผมพยายามหารูปมานาน..ตั้งแต่เริ่มเล่นอินเตอร์เนทเป็น..ก้พยายามหา
รูปปืนใหญ่คู่นี้..มาตลอด...ก็หาไม่ได้.ตลอดเวลาหลายปี...บางทีอาจอยู่ในหนังสือ..แต่เดี๋ยวนี้ผม
ก็ไม่ได้เข้าหอสมุดแห่งชาติแล้ว..ก็เลยหมดโอกาศ.......
.............จนมาเมื่อปลายๆปีที่แล้วนี่เอง..ถึงได้ไปพบ..รูปนี้เข้า....แล้ว..มันบังเอิญมาตรงกับ..ข้อมูล
ที่ผมรู้มา..จำได้มั๊ยครับ..ที่ผมบอกให้จำข้อความตรงนั้นไว้...ผมอาศัยการวิเคราะห์ความเป็นไปได้
ก่อนหน้านั้น..แล้วว่า..ปืนใหญ่ที่เขียน..ในรูปวาดหลายๆรูป(รวมกับ..ที่ผมเอามาลงไว้ด้วยนั้น)....
......มันไม่ใช่ครับ....คำว่า”ไม่ใช่”..นี่ความหมายคือ..ฐานปืนต้องไม่ใช่แบบ..”ล้อเกวียน”..(คือ..
ใหญ่กว้าง..มีซี่ล้อ..คล้ายๆกับ..ล้อเกวียนบ้านเรา..)...เพราะ..ตามข้อมูลนั้น..ที่ผมเอานั้นเป้นการ
บันทึกจากคำบอกเล่าของคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นจริงๆ.....ก็คือ..ข้อมูลที่ว่า..ปืนใหญ่ทั้งสอง
กระบอกนี้..ใช้เชือกลากมา...
.....ถ้าฐานปืนแบบล้อเกวียนนั้น..เขาไม่ใช้เชือกลากกัน..เพราะมันมี..”หาง”..เอาไว้ยึดกับเกวียน...ได้..
..และ..หางนี้ก็..เอาไว้สำหรับให้คนลากปืนได้..โดยยกขึ้น..จะสองคน..หรือ..สี่คนก็ได้..เพราะหางมันยาว
อย่างที่..ผมเอารูปมาpostไว้นี่...ไม่ต้องเอาเชือกมาผูกลากให้มันยุ่งยาก..เพราะปืนใหญ่ขนาด ๑๒ ปอนด์
นี่..ใช้คน ๔ คนก็ลากได้สบาย..ถ้าเหนื่อย.งก้สับเปลี่ยนคนมาลาก....
..........ฐานปืนใหญ่ที่ต้องใช้เชือกลาก..ก็คือ..ฐานปืนใหญ่ล้อตัน..แบบในภาพ...ปืนใหญ่ลักษณะนี้...
..ส่วนใหญ่..จะมีใช้กันอยู่ ๒ ที่..คือ..ปืนใหญ่ที่อยู่ในเรือ..หรือ..ปืนใหญที่อยู่บนเชิงเทิน..หรือ..กำแพงเมือง
...ฐานปืนใหญ่..แบบนี้จะเตี้ย...และไม่มีหางไว้ให้ลาก..ต้องใช้เชือกลากอย่างเดียว....(..ดูในวิดิโอ..เมื่อตอน
ที่แล้วก็ได้ครับ..นั่นเป็นปืนใหญ่ ๑๒ ปอนด์ ( 12 POUNDER )..ที่ติดตั้งบนเรือรบ..นี่เป็นแบบล้อตันเช่นกัน
ต้องใช้เชือกลาก..)
"................
.........นี่ครับ..ฐานปืนใหญ่แบบล้อเกวียน..ซึ่งในภาพวาดทั้งหมดที่เกี่ยวกับ..การถล่มคุกบาสตีล..จะวาดกัน
เป็นแบบนี้...ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้..ใช้คนจับหางมันซัก ๔ คน(ข้างละ ๒ )..ก็เอาไปได้..หรือจะเพิ่มตรงปลายอีกคน เป็น
๕ คน ก็ได้..แบบนี้มันต้องยกครับ..เพราะมีแค่ ๒ ล้อ ...ไม่เหมือนแบบล้อตันที่มี ๔ ล้อ..ไม่ต้องยก..ลากไปได้เลย...
น่าทึ่งดีครับ ฝรั่งเศสปฏิวัติโดยใช้ปืนใหญ่ของไทย สมัยก่อนไทยหล่อปืนใหญ่เองได้ มาสมัยนี้ไทยต้องซื้อปืนใหญ่ฝรั่งเศสมาใช้
เรื่องแจนโซบิสกี้ก็น่าสนใจนะ คนโปแลนด์สามารถเอาชนะออตโตมานซึ่งเป็นมหาอำนาจยุคนั้นได้อย่างไร อยากให้เล่าต่อ
..
........ขอบคุณครับคุณ ZAKULLLที่สนใจ...ครับ...เรานะทำอะไรเองแล้ว..ขายออกนอกตั้งหลายอย่าง...
....เช่น..เครื่องคลือบ..โถ..ไห..ชาม..ถ้วย..ขายไปตลอด..เอเซียตะวันออกเฉียงใต้..และไปถึง..ญี่ปุ่น..เกาหลี..มาตั้งแต่
สมัย..สุโขทัย..จนถึง..อยุธยา......
.....หล่อปืนใหญ่ขาย..ไปเจอแม้กระทั่งที่..อินเดีย..ตั้งแต่สมัยอยุธยา....
.....ต่อเรือกลไฟเอง..เดินทางไปค้าขาย..ได้เอง..ในสมัยรัชกาลที่ ๓....
.....ผลิต..ปืนเล็กยาวของตัวเอง..คือ..ปลย.๖๖ ..สมัยรัชกาลที่๖.....
.....สร้างเครื่องบินรบเอง....แถมยิงเครื่องฝรั่งเศษ..ตกตั้งหลายลำ..
....ทำไม้บรรทัดคำนวณการยิงปืนใหญ่ได้เอง..เป็นชาติแรก..ขนาด ผบ.ทหารปืนใหญ่
อเมริกันในเวียตนาม..ต้องส่งลูกน้องมาศึกษา..และ..เอารูปแบบไปพัฒนาต่อ..ก่อนยุคที่
มีคอมพิวเตอร์..(พ.ศ.๒๕๑๑ กองพลเสือดำ ผลัดที่ ๑ กรมทหารปืนใหญ๋...
..ผู้คิดค้น..คือ..พลเอกสัมผัส พาสนยงภิญโญ(ขณะนั้นยศ พันเอก..เป็น ผบ. กรมทหารปืนใหญ่)
.....................
.........ดูแล้วน่าจะเป็นมหาอำนาจ..นะ..แต่..อะไรถึงทำให้..ตกต่ำลง..ก็ไปคิดเอาเอง
....แฟคเตอร์..มัน..เยอะมาก....
.....................
.....เรื่องของ..กษัตริย์แจน โซบีสกี้...นี้ผมจะต่อให้เป็น..เกร็ดนะครับ..หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว..
....ไม่ใช่เตอร์ก..ไม่กลัวแก..เตอร์กขยาด..แจน โซบีสกี้..มานาน..เพราะความองอาจกล้าหาญ
...และ..ประสพการณ์..การรบ...เพียงแต่เตอร์ก..ประมาท..คิดว่าคงไม่มาร่วมด้วย..เนื่องจาก
ตอนนั้น..แกแก่แล้ว..ในค่ายเตอร์กนั้นขวัญเริ่มเสีย..มาตั้งแต่สายสืบ..ทราบข่าวว่า..โซบีสกี้..มาด้วย
แล้ว....ที่ไหนได้...ขนาดแก่หงำเหงือก..ยังขี่ม้านำหน้า..ไล่ฟัน..ไล่ยิงเตอร์กเฉยเลย....
....เพิ่มเติม..กรมทหารปืนใหญ่..ของกองพลเสือดำ ผลัดที่ ๑ .....
เมื่อปี ๒๕๑๑ ประเทศเวียตนามใต้....
...ผบ. กองกำลัง ของ อเมริกัน..ซึ่งจะส่ง..จะส่ง..นายทหารติดต่อไปตาม..หน่วยทหารของ..ทุกชาติ..ที่มาร่วมรบ
...แล้ว..ประเมินขีดความสามารถ..ส่งข้อมูลกลับ..ไปต้นสังกัด...นั้น..
ในยุคที่..พลเอกสัมผัส..เป็น ผบ.กรม....
...ผลการประเมิน..ขีดความสามารถ..(ประสิทธิผล..ความเร็วในการยิง..ความแม่นยำ..)
...หน่วยปืนใหญ่ของไทย...มาเป็นอันดับ ๑ ครับ..เหนือกว่า..อเมริกา..ออสเตรเลีย..เกาหลี..เวียตนามใต้..คือเหนือกว่า..ทุกชาติที่มาร่วมรบ..
..ข้อมูลนี้..ไม่ได้มีการประกาศเป็นทางการ..แต่..ผบ.หน่วยปืนใหญ่ของอเมริกา..เป็นคนบอกกับ..พ่อของผมเอง..
..(พ่อผม..ไปเวียตนาม..ผลัดเดียวกัน..และ..เป็น..ผู้บังคับบัญชา..ของ..พลเอกสัมผัส)...
....นั่นคือ..เหตุผลที่..ทหารปืนใหญ่อเมริกา..มหาอำนาจ..ต้องส่งนายทหาร..มาศึกษา..ถึง..ต้นตอแห่งความสำเร็จ..
......ที่ผมเอามาเล่าแถม..นั้น..เพื่อให้คนไทย..หรือ..ทหารเหล่าปืนใหญ่ของไทย..ส่วนใหญ่..ที่ไม่เคยทราบมาก่อน
..จะได้ภาคภูมิใจ...ท่านพลเอกสัมผัสก็ทราบ..แต่ท่านเป็นคนถ่อมตน..และเรื่องนี้..ก็ไม่ได้แพร่กระจายไป..มีแต่
ระดับ..บังคับบัญชา..ที่ทราบ.....
.........................
..........................................นั่นเป็น ๑ อย่างที่มีความเข้าเค้า......................
...ส่วนที่ ๒ รูปนี้จากสภาพสีสัน..และ..สัญญลักษณ์ที่ระบุในรูป..น่าจะเป็นรูปที่อยู่ในยุคต้นๆ..ของการถ่าย
ภาพ..แล้ว..มีการทำแถบวัด..ความยาว..อยู่ติดไว้ด้วย...ซึ่ง..จะเห็นว่า..ความยาวของตัวปืนใหญ่(ฐานไม่เกี่ยว)
..นั้นจะออกมา..ประมาณ ๖ ฟุต กว่าๆ...ซึ่งขนาดปืนใหญ่..ในศตวรรษที่ ๑๘-๑๙..นั้น..ปืนใหญ่ขนาด ๑๒ ปอนด์
( 12 POUNDER )...นั้น..ก็จะมีความยาวประมาณนี้..ทำให้ทราบว่า..ปืนใหญ่ในภาพ..เป็นปืนใหญ่..ขนาดเดียว
กับ..ปืนใหญ่สยาม.....
...ส่วนที่ ๓ การที่ร้านอาหารร้านนี้..ทำป้ายโปสเตอร์เชิญชวน..มากินดินเนอร์ใน..วันชาติของเขา..และมีการระบุ
ชื่อชัดเจน..ว่า..เป็นปืนใหญ่แห่งชัยชนะ..เขาจะรูปถ่ายเก่าปืนใหญ่สวยดูดีๆ..ยังไงก็ไม่หายากอยู่แล้ว..มาทำ..
มันไม่ดีกว่าเหรอ...ทำไมถึงเอารูปนี้มา..แสดงว่าเขาต้องการให้ความเคารพ..และชื่นชม...ไม่อยากมั่ว..เพราะถ้า
เจอคนรู้จริง..อาจโดนต่อว่าได้..ด้วยลักษณะนิสัยนั้น...คนฝรั่งเศษมันขี้วีน..และ..ขี้โวยวายอยู่แล้ว..อย่าไปคิด
เอาเปรียบ..หรือ..หลอก..มันง่ายๆมันไม่ยอม..เพราะปกติมันเป็นพวกชอบเอาเปรียบคนอื่น...
....ส่วนจุดที่ดูแปลกตาในรูปคือ..ฐานไม้แบบล้อตัน..ของปืนกระบอกนี้..ทำไมมันดูธรรมดา..
(..เรื่องเขรอะ..กระดำกระด่างไม่แปลก..เพราะผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก..ย่อมเขรอะได้...)..
....ซึ่งพิจารณาดูแล้ว..ด้วยความที่เป็นคนนิยมในศิลปไทยโบราณ..บอกได้เลยมา..ไม่ใช่แบบ
ที่คนไทย..จะทำไปเพื่อ..ถวายกษัตริย์ที่ถือว่า..สถานะเสมอกัน..แน่ๆ..มันผิดธรรมเนียมไทย..
ทีตัวปืนใหญ่ทำซะเลิศเลอเพอร์เฝ็ค..แล้วฐานมันจะดูบ้านๆแบบนี้..มันเป็นไปไม่ได้...
...แต่ถ้าดูเรื่อง..การซื้อขายปืนใหญ่สมัยอยุธยานั้น..เราจะขายเฉพาะตัวปืน..เรื่องฐานนั้น..
ผู้ซื้อก็ไปทำเอาเอง..เพราะ..เขาอาจเลือกแบบล้อเกวียน..หรือ..ล้อตัน..นั้นมันก็ขึ้นกับการใช้
สอยปืนนั้นๆ.....ผมจึงคิดว่าทางบ้านเรานั้น..อาจจะส่งไปเฉพาะตัวปืน..ก็เป็นได้.....
....เพียงแต่..ไอ้พระเจ้าหลุยส์มันไม่ได้ใส่ใจ..มันก็ลูกน้องให้ไปใส่ฐานพอแค่ให้ตั้งได้..เพราะ
มันไม่ได้เอาไปโชว์..แต่เอาไปเก็บไว้เฉยๆ..รวมกับของสัพเพเหระอื่นๆ....ดังนั้นลูกน้องก็ง่ายๆ
เจอฐานปืนใหญ่ขนาด ๑๒ ปอนด์เหลือๆ..ที่ติดตั้งได้เหมือนกัน ๒ กระบอก..ก็เอาไปติดตั้ง..แล้วก็
ส่งเข้าโรงเก็บ..แค่นั้นจบ...
.........ผมเองก็ไม่สามารถยืนยันได้..ได้แค่การวิเคราะห์ความน่าจะเป็นเพียงแค่นี้.....
....ชื่อ..”สยาม”..ในฝรั่งเศษนั้น..ก็มีถาวรวัตถุ..ที่ใช้ชื่อนี้..อยู่ ๒ ที่นะครับ..ชื่อเหมือนกัน..แต่อยู่คนละที่กัน
....๑. Rue de Siam หรือ ถนนสยาม..อันแรกนั้น..อยู่ที่เมือง Brest เมืองท่าที่ฑูตไทย..ไปขึ้นท่า..ที่นั่น
..ในการเจริญสัมพันธ์ไมตรี..กับ..พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔
.....๒. Rue de Siam ชื่อเดียวกันเลย..แต่เป็นถนนที่อยู่ในกรุงปารีส..ที่อยู่ติดกับ..สถานฑูตไทยซึ่ง..
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์..เอกอัครราชฑูตไทยพระองค์แรก..เป็นผู้ทำเรื่องขอทางฝรั่งเศษ..ให้ได้ชื่อนี้มา
.......ก็เป็นความรู้เอาไว้ประดับสมองครับ....
......................
.....กลับมาต่อเรื่องเดิมครับ...จากตอนที่แล้ว..ที่พูดถึง..”ลูกปรายยักษ์”..ไป......
......ก็นึกเอาว่า..มันคือ..ปืนลูกซองยักษ์..ที่ยิงลูกปรายยักษ์..จำนวนเม็ดพอๆกับ..ขนาด SSSSG (มาตรฐาน
อังกฤษ)..คือ..ปริมาณ ๒๕ ถึง ๓๐ เม็ด..กระจายออกไป..ผล..หรือครับ..สามารถ..เป้าหมายได้มาก...แต่
ระยะทำการ..ไม่เกิน ๔๐๐ หลา..ด้วยลูกเหล็กขนาด..ลูกปิงปองนั้น..ไม่ว่า..คน..ม้า..โครงสร้างอาคารที่
เป็นไม้..หลังคา...อาคารชั่วคราว..เพิง..ไม่เหลือครับ....ผู้ค้นคิดนั้น..ผมไม่แน่ใจว่า..กับ..ผู้ที่นำเอาไปใช้อย่าง
ประสพความสำเร็จ..รึเปล่า..นั่นก็คือ..พวกเตอร์กเจ้าเก่า..ของเรานั่นเอง....
.....เนื่องจาก..เตอร์กเป็นชาติที่..แทบจะทำมาหากินอย่างอื่นไปเป็นนอกจากทำสงคราม..ดังนั้น..เตอร์กจะ
ระดมความคิด..และ..ตั้งใจผลิต..ค้นคว้าเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นพิเศษ..อย่างเรือรบ..ที่บรรทุกปืนใหญ่
ขนาดเล็ก..ลำตัวแคบ..ที่เอาไว้แล่นตามลำน้ำ...เป็นใหญ่ที่มีขนาดใหญ่..และ..มีอำนาจทำลายสูง..จึงอาจ
มีสิทธิที่พวกนี้..จะคิดได้เอง...ฝรั่งได้เห็นผลของมันเป็นเรื่องเป็นราว..ตอนที่เมเหม็ดที่๒..ถล่มยึดกรุง
คอนแสตนติโนเปิล...เมื่อ..เคลื่อนปืนใหญ่เข้าใกล้..กำแพงพอสมควร..เตอร์กก็ใช้ยิง..ขึ้นไปบนเชิงเทิน...
..นอกจากจะ..ทำลายทหารที่อยู่บนกำแพง..และ..เชิงเทินได้..ครั้งละมากๆ..ส่วนที่ข้ามกำแพง..หล่นเข้าไปใน
เมือง..ก็ยังไป..เล่นงานทหารที่อยู่ด้านล่างได้อีก...ซึ่งพวกเตอร์กนั้น..ใช้ลูกปรายยักษ์..ผสมกับ..ปืนใหญ่ปกติ
...ผลดีเกินคาด..มีส่วนสำคัญให้..กรุงคอนแสตนติโนเบิล..ต้องแตกลง......
.....ที่ผมว่า..มันยอดเพราะ..มันทำลายขวัญทหารได้มาก..เพราะทหารจะไม่รู้เลยว่า..จะโดนเมื่อไหร่..แบบว่า..
อยู่ดีๆ..ก็เห็นเพื่อนล้มต่อหน้า..จับทิศทางไม่ได้..เพราะทหารฝรั่งยุคนั้น..ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน..ยิ่งยิงแบบ
เจ้าสัว..(เตอร์กไม่ขี้เหนียวอยู่แล้ว..เรื่องลูกกระสุนปืนใหญ่)..สลับกันยิงกระบอกต่อกระบอก..ตั้งเรียงแถวหน้า
กระดานสักสิบกระบอก..ยิงครั้งละห้ากระบอก..สลับกัน..ลองนึกสภาพ..มันก็..นรกดีๆ..สำหรับคนที่อยู่บนกำแพง
..และ..อยู่ในเมือง...ไอ้ลูกโดด..ลูกกลมๆ..นะถ้ามันโดนคน..ก็..ตายสัก..คนสองคนที่อยู่ใกล้ๆกัน...ไอ้นี่ลงมาเป็น
..ฝนเหล็ก..ขนาดของมัน..โดนตรงไหน..ก็ได้..รับรองว่า..หยุดทันที..กระเด็น..กระดอน..ไม่ว่า..ม้า..หรือ..คน...
.......ซึ่ง..ทำให้..ฝรั่งยุโรปเริ่ม..รู้จักพิษสงของมัน..และ..สร้างความครั่นคร้ามเป็นอย่างยิ่ง..เป็นไปตามประสงค์
ของเตอร์ก..ตามม็อตโตของพวกนี้คือ...”มึงจะสยองสั่นประสาทด้วยความหวาดกลัว..เมื่อรู้ว่า..กูจะมา”
.......และ..หลังจากนั้น..พวกเตอร์ก..ก็ใช้มาตลอด..ถือว่า..เป็นทีเด็ดของพี่ท่านเลย..นอกจาก..จะเอาไว้ถล่มเมือง
แล้ว..ทีเด็ด..ก็คือ..สงครามเปิด..ประเภทยกทัพมาเจอกันในทุกกว้าง..แล้วแปรขบวนทัพ..เข้าห้ำหั่นกัน......
...ที่..โมฮัคส..นั้น..สุไลมานใช้ไม้เด็ดนี้..จัดการกับ..พลทหารเดินเท้า..และกองอัศวินขี่ม้า..มาแล้ว......ในสงครามเปิด
กับ..อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์...ที่ผมเคยพูดถึงมาแล้ว....ก็แค่..ตั้งไอ้ลูกซองยักษ์นี่...ไว้แนวหลัง..แนวหน้ารบไป
สักพัก...ก็ทำทีถอย..สู้ไม่ได้...รีบถอยอย่างรวดเร็ว....ผตน.(ผู้ตรวจการหน้า)..เห็นว่า..พวกเดียวกันพ้นแนวแล้ว..ก็สั่ง
ลูกซองยักษ์ระดมยิง..แบบเรียงหน้ากระดาน...ยิงเป็นฉากม่าน...ด้วยการยิงสลับ..กระบอกเว้นกระบอก..จากแถว
หน้ากระดาน..ปืนใหญ่..ที่เรียงรายติดกันเป็นตับ..ยิงแบบต่อเนื่อง
..........ผลก็คือ....มีแค่..ไอ้แค่..แถวหน้า..แถวสองแถว..ที่ไล่ติดตูดพวกเตอร์กที่ตามมา..ที่รอดจากลูกปรายยักษ์
(..แต่ไม่รอดอยู่ดี..เพราะพวกเตอร์ก..มันก็หันหลังกลับมารุมสกรัม..จนเหี้ยน..)..ไอ้ที่ไล่ตามมาเป็นพรวนไม่รู้กี่แถว
หน้ากระดาน..แบบฮึกเหิม...ก็เจอกับ..ฝนเหล็ก..ที่มาเป็นห่า(..เพราะ..ปืนที่ยิงออกมานั้น..มันอยู่ใกล้กัน..ดังนั้น
อำนาจการทำลายมันจึง..ครอบคลุมเป็นแผ่น..กระจายเต็มท้องฟ้า..)..มันคงคล้ายกับที่เราเดินๆเล่น..แล้วไปเจอ
พายุลูกเห็บนั่นแหละครับ...ไอ้พวกที่โดนก็พวกนึง..แต่ผลของมันคือ..การที่ข้างหน้า..หยุดกระทันหัน..เพราะเห็น
เพื่อนข้างหน้า..ไม่ว่าจะเป็นทหารเดินเท้าที่กำลังวิ่งไล่ตี..หรือ..ไปกันใหญ่สำหรับ..ทหารม้าที่กำลังควบไล่...
(พวกแถวหน้าๆ..จะไม่เห็นแถว..ปืนใหญ่..ที่ดักรอ..เพราะ..ทหารเตอร์กที่กำลังถอยนั้น..จะช่วยบังไว้ในตัว..และ..
แนวปืนใหญ่..ก็อยู่ห่าง..อีกทั้งสมาธิทุกคนก็จะอยู่ที่ทหารเตอร์กที่กำลังถอยร่น...)
มันเหมือนกับ..รถแข่ง..ที่วิ่งมาเหยียด..ไปกันเป็นแผง..แล้ว..ไอ้ที่อยู่แถวต่อมา(ขณะนั้น..ที่อยู่พ้นแนวกระสุน)
ติดเบรกมือทันที...
.............มันก็ชนกันวินาส...เรียกว่า..ชนตูดกัน..เรียงกันเป็นตับ..ไอ้ที่ถูกชน..ถูกเหยียบ..ก็ตายกันอีกไม่รู้เท่าไหร่..
..เรียกว่าเกิดโกลาหลอลหม่านไปหมด..แล้วนึกสภาพว่า..ไอ้แถวหน้าที่หยุด..มันไม่สามารถจะหยุดได้ตามประสงค์
(เพื่อไม่ให้เข้าไปในระยะยิง)..เพราะแรงดันแรงปะทะจากด้านหลัง..อีกไม่รู้กี่แถวต่อกี่แถวดันมันเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อย
..แล้ว..ไอ้พวกนี้ทั้งหมด..ก็ค่อยๆเคลื่อนเข้าอยู่ในระยะยิง..อีกไม่รู้กี่แถวต่อกี่แถว....
...........แล้วนึกสภาพไอ้หน่วยที่ว่านี่..เห็นเหตุการณ์แบบนี้..มันก็ไม่รอให้..ผบ. สั่งถอยหรอก..มันก็หางจุกตูดหนีตาย
กันหมด..ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าไอ้ข้างหน้าที่เห็นนะโดน..อะไรตาย...
........แล้วไอ้ขบวนรบ..ที่เหลือ..มันจะไม่รวนเรอะ.....
.........................
ขอบคุณมาก สำหรับความรู้เรื่องปืนใหญ่
ตอนเด็กในอำเภอที่บ้านเจอปืนใหญ่เหล็กโบราณ ลูกปืนเป็นลูกเหล็กกลมแต่มีรูกลวงข้างใน คนแก่บอกว่าเวลายิงเข้าเอาดินปืนบางส่วนยัดไว้ข้างในลูกปืนเหล็กและอีกส่วนหนึ่งยัดไว้ที่ในลำกล้องจากนั้นเอาลูกปืนเหล็กใสในลำกล้องอีกทีแล้วจุดชนวนยิง เวลาลูกปืนตกไปยังเป้ามันก็จะแตกกระจาย
ผมยากถามท่านว่าปืนใหญ่โบราณชนิดเรียกว่าอะไรครับ เวลาลูกปืนตกไปยังเป้ามันก็จะแตกกระจาย จริงหรือเปล่า
ขอบคุณทุกคำตอบ
..............ถ้าจะเรียกกันง่ายๆแบบไทย..เราเรียกว่าแบบ..”ลูกแตกกลางอากาศ”...หรือ..ระเบิดกลางอากาศ...
ไม่ใช่..กระทบแตก..ตามที่เล่ามาเป็นปืนใหญ่ทำด้วยเหล็ก..ก็น่าจะเป็นปลายอยุธยา..หรือ..ต้น..รัตนโกสินทร์
...ลูกปืนชนิดนี้..เราเรียกันตามภาษาทางการ..คือ..SHRAPNEL CASE..ให้เกียรติกับ..เฮนรี่ ชราปเนล..ซึ่ง
เป็นทหารปืนใหญ่..ของอังกฤษ..ผู้ค้นคิด..แม้ว่าตอนหลัง..จะมีการพัฒนา..รูปแบบการทำงาน..ขึ้นมาและมีคนพัฒนา
ต่อ....ถ้าเล่าจริงๆ..ที่มาที่ไปนี่ยาวนะครับ..เอาเป็นว่า..ไว้จบเรื่องนี้ก่อน..ผมจะเล่าต่อในเกร็ด..แล้วกัน...
.....รูที่เห็นที่ลูกปืนนั้น..จริงๆจะต้องมีเกลียวนะครับ..เพราะจะต้องบรรจุฟิวส์..หรือ..ชนวนที่มีปลอกหุ้ม...
...เมื่อยิงออกไปการระเบิดทำให้..ชนวนเริ่มติด..และไฟมันเดินตามรูชนวน..ไปถึง..ดินปืนที่อยู่ภายในลูกปืน
...เมื่อ..ลูกปืนยิงออกไป...ระยะหนึ่ง..ลูกก็จะระเบิดออก..ส่งลูกเหล็กทั้งหลาย..กระจายออกไป....
..ซึ่งก่อนที่เขาจะใส่ชนวน..เขาจะกรอก..ดินปืน..ปนกับ..ลูกเหล็กจำนวนหนึ่งเข้าไปก่อน..แล้วถึงจะใส่ปลอก
ชนวนลงไป..ในชนวนก็จะใส่ดินปืน..หรือ..ชนวนลงไป..ซึ่งตอนบนสุดจะเป็นไม้หรือกระดาษชุบดินปืนติดไฟได้ดี
เป็นตัวล่ออยู่ด้านนอก...เริ่มทดลองใช้กันครั้งแรกในก่อนสงครามสมัยยุคนโปเลียนไม่กี่ปีครับ..ยุคเบื้องต้นที่คิดค้นได้นี่เป็น
ทรงกระบอก..และปลอกทำด้วยตะกั่ว..ลูกจะกระจายไปด้านหน้าแล้วพัฒนาต่อมาเป็นลูกกลมเหล็กครับ..
.....แต่การทำงานมันไม่แน่นอนร้อยเปอร์เซนต์นะครับ..
แรกๆจึงไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่..ถ้าชนวนชื้น..ลูกก็ไม่ระเบิด..ยิ่งบ้านเรายิ่งหนัก....
ถ้าเจอหน้าฝน....แต่ตอนสมัยสงครามโลกครั้งที่๑..มันก็พัฒนาต่อ..มาเป็น..กระสุนปืนใหญ่ในยุคปัจจุบัน..
....
......
....จะเรียกอีกอย่างว่า..SHRAPNEL CANNON BALL ก็ได้ครับ..ตรงกลางที่โหว่เป็นทางยาว
นั่นคือ..ชนวนครับ..ที่เห็นเป็นสีขาวๆ(..อันนี้ทำไว้โชว์ว่ารายละเอียดมันเป็นยังไง)..ก็จะเป็นดินปืน
.........................
....นอกจากนี้..มันยังทำหน้าที่..คล้ายๆกับ..ปืนใหญ่วิถีราบ ( GUN ) ผสมกับ..ปืนใหญ่วิถีโค้ง ( HOWITZER )..
ได้อีก..(ปืนใหญ่วิถีราบ..ก็นึกถึง..ปรส.(ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง)..นั่นแหละครับ..อยู่ในกลุ่มเดียวกัน..แนว
กระบอกปืน..ขนานพื้น....ไม่ยกตั้งมุม..แบบวิถีโค้ง..)..คือเมื่อปรับแนวปากกระบอก..ให้มันค่อนข้างราบ...
...มันก็สามารถ..ยิงทหารเดินเท้า..หรือ..ทหารม้า..ที่กำลังบุกเข้ามาโดยตรง..ได้แบบเฉียบขาด..ยิงแบบเรา
ยิงปืนลูกซอง..ไม่ได้ให้ตั้งยิงให้มันโค้งตกใส่...ยิงแบบเดียวกัน..คือ..สลับยิงกระบอกเว้นกระบอก...
...การรบที่..โมฮัคส์นั้น..ฝ่ายพวกฝรั่งนั้น..มีกำลังมากกว่าด้วยซ้ำ..แต่ต้องมาตายกันเกือบหมด..มากกว่าหมื่น
คน..ซึ่งเป็นชัยชนะที่..สุไลมานประทับใจ..และ..ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของเขา...องค์ประกอบ ๑ อย่างในชัยชนะ
ก็..ไอ้ลูกปรายยักษ์นี่แหละครับ.....
.....เตอร์กนั้น..ค้นคว้าประดิษฐ์ปืนใหญ่แปลกๆอีกมาก..ก่อนหน้าที่จะได้ไอ้ลูกปรายยักษ์นี่..ก็ทำป์นใหญ่แบบ
รวงผึ้ง..มาก่อน..คือ..มีลำกล้องติดกันเป็นพวง..ซัก ๑๐ ลำกล้อง..เพราะหวังจะได้การยิงแบบครอบคลุม..แต่
ไม่เวอร์ค..เพราะต้องบรรจุลูก..ทีละกระบอก..ทำให้การยิงช้า..และ..ไม่ต่อเนื่อง..และอย่างเก่งก็ได้ทีละ..สิบลูก
..สู้ไอ้ลูกปรายยักษ์..ไม่ได้......
.....ลูกกระสุนปืนใหญ่อีกแบบ..ที่ใช้กันทั่วไป..รวมถึงในยุโรปด้วย...คือ..ลูกปืนใหญ่แฝด...ถ้าเอาลูกมันวาง
ที่พื้น..มองเผินๆ..จะคล้ายดัมเบล..ที่ใช้ออกกำลังกายกล้ามแขน..คือ..ประกอบด้วย..ลูกปืนใหญ่ ๒ ลูก..
แล้วยึดมันไว้ด้วยโซ่..ที่สั้นๆ..พอจะให้มันแกว่งได้รัศมีกว้างพอควร...
.....ลูกแบบนี้..ระยะทำการก็ไม่ไกล..เหมือน..ลูกปืนใหญ่ปกติ..เพราะมันมีตั้งสองลูกอยู่ในรังเพลิง..แต่ข้อดี
มันคือ..อำนาจทำลายที่มีวงกว้าง...มันก็เหมือนกับ..คุณข้วางไม้..ไปไกลๆ..ไม้มันไม่ได้พุ่งเป็นลูกธนู..แต่มัน
แกว่ง..รอบตัว..ก็เช่นกันกับไอ้นี่..เนื่องจากมันแกว่งรอบตัว..มันก็สร้างแรงแหวี่ยงของมันไปด้วย..มันเจออะไร
มันก็ช่วยกันกระแทก..เป็นแบบทวีคูณ..เหมาะสำหรับ..ทำลายโครงสร้าง...ที่นิยมกัน..คือ..ปืนใหญ่ในเรือรบ
..เพราะ..มันสามารถเปิดรูข้าง..ลำตัวเรือ..ได้..ขนาดเป็น ๒-๓ เท่า..ของลูกปกติ..ทำให้เรือจมได้ง่ายขึ้น...
..ซึ่งพวกเตอร์ก..ก็เอาไปใช้ในกองเรือรบของพวกเขาด้วย.....
.......ผมพูดถึง..ปืนใหญ่หนักของเตอร์ก..ไปในช่วงตอบคำถาม..นั้น...และ..ได้บอกไปด้วยว่า..ตัวมันนั้น..จะ
เป็นประเภท..GUN หรือ..ปืนใหญ่วิถีราบ..ที่มีอำนาจการทำลายรุนแรง...สำหรับ..กำแพงป้อมที่ไม่ใหญ่โต..
มากมาย..รวมถึง..ประตูกำแพง..ป้อมที่ไม่ใหญ่มากนัก...เมื่อเคลื่อนไอ้นี่..ไปในระยะทำการ..มันก็สามารถ
ทำลาย..โดยการยิงย้ำไปเรื่อยๆ...แต่พื้นที่และการป้องกันต้องอำนวยนะครับ..ไม่งั้นโดนระดมยิงจากปืนใหญ่
บนเชิงเทิน..คนยิงคนบรรจุ..ตายหมด.......มันถูกออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ...ด้วยลูกขนาดเส้นผ่า
ศูนย์กลางมากกว่า ๑ ฟุต...เป็นที่ครั่นคร้ามของฝรั่งยิ่ง..เพราะตอนนั้น..ฝรั่งเองยังไม่ได้มีปืนใหญ่ขนาดนี้..
(แต่ถ้า..ไอ้ปืนยักษ์นี่..มายิงกำแพงพระนคร..ที่สนามหลวง..ของเรานี่..ไม่เหลือครับ..เพราะกำแพงเมือง
บ้านเรา..สร้างด้วยอิฐ..ความแข็งแรง..มันต่างจากกำแพงหินอย่างฟ้า..กับ..เหว..)
....แต่สำหรับ..เมืองสำคัญ..ที่มีกำแพงเมืองใหญ่..และ..แข็งแรง..นั้น..มันก็ยังเหลือกำลังสำหรับพวกนี้....
(อย่างที่ผมเล่าไปแล้ว..)..ผู้อ่านหลายท่านก็คงคิดว่า..ก็ยิงประตูกำแพงมันซิ....นั่นแหละครับ...ผมกำลังจะ
พูดถึง..ประตูกำแพงเมือง..หรือ..ประตูกำแพงป้อม................
...............ถ้าชอบดู..หนังประเภทอัศวิน..จะเห็นประตู ๒ แบบ..คือ
๑. แบบ ๒ บาน...เปิด-ปิดบาน..แนวนอน..เหมือนประตูบ้านทั่วไป....เพียงแต่มันใหญ่ยักษ์เท่านั้น..ตัวอย่าง
ก็ที่..วังหลวง..ติดสนามหลวง..นั่นแหละครับ..คล้ายๆกัน..แต่ของฝรั่งมันจะแข็งแรงกว่า..และ..หนักกว่า....หนา
กว่า....เปิด-ปิด..โดยทหารเฝ้าประตู..และ..ตัวสำคัญ..คือ..สลัก..ที่เป็นไม้..ที่ทำหน้าที่ล็อค..ทำด้วยซุงตัดเป็น
สี่เหลี่ยมผืนผ้า...วางใส่..หรือ..สอดเข้ากับ..ขาเหล็กที่ยึดติดกับตัวประตู..ทั้งสองข้าง....
.....เวลาที่มีแรงมากระแทกให้เปิด...ตัวที่รับแรงที่ถายมาจากบานประตู..ก็คือ..สลักไม้ซุงนี้นั่นเอง....
....ประตูแบบที่ ๑ นี้..ส่วนใหญจะใช้กับ..กำแพงเมือง..หรือ..ป้อมที่ขนาดไม่ใหญ่มาก..ลงไปถึงขนาดเล็ก..
คือ..เรียกว่า..แบบทั่วๆไป........บานประตู..จะหนาและหนักมากไม่ได้..เพราะใช้แรงคนโดยตรง..ในการดัน
ปิด-เปิด...เลยทำให้..ประตูแบบนี้..จะไม่แข็งแรงมากพอ..ซึ่งถ้าเจอ..ไอ้ปืนยักษ์เตอร์ก..ไปยิงใกล้ๆ..มีสิทธิ
กระจุยได้..แล้วอีกอย่าง..ไม้ซุงผ่าซีกที่เป็นสลักมันก็ต้องรับศึกหนักแต่ผู้เดียว....มันก็จะต้านไม่ได้..ตัวบานเอง
ก็ไม่แข็งแรงพอที่จะต้าน..แรงกระแทกหนักๆ..ต่อเนื่องได้.....
...............
ยังอ่านไม่จบครับ แต่มาให้กำลังใจ จขกท ก่อน แล้วจะตามอ่านครับ
........ก่อนอื่น..ขอขอบคุณคุณ hongse_c ที่เป็นกำลังใจให้ครับ..นักเขียนก็ต้องการแค่นี้ละครับ...
...........................................................
............................................................
...........................
............๒.บานเหล็กขัดเป็นตาราง..เลื่อนขึ้นลง..แนวดิ่ง....บานแบบนี้เป็นบานเสริม..ซึ่งปกติแล้ว..จะทำซ้อน
อยู่กับ..แบบที่ ๑. เป็นแบบ..บานเดียว..ปิด-เปิดด้วยระบบ..รอก..ประกอบเพลา..ที่ยึดติดกับโซ่ที่..ติดไว้กับ
ด้านขอบบน..ของประตู..ส่วนบังคับนี้..จะอยู่ด้านบนของประตู..ซึ่ง..จะมี ๑ หรือ ๒ ตัวแล้วแต่ความใหญ่..
และหนักของประตู...ถ้า..ประตูต้องการความแข็งแรงสูง..ก็จะใช้เหล็กแผ่นอย่างหนาทั้งดุ้นเลยอย่างเดียว..
..อาจจะหนา..มากกว่า..๑ ซม...ตีเว้นห่างกัน..ทั้งแนวนอนและตั้ง..ยึดติดกันด้วยหมุดเหล็ก..ส่วนปลายของ
แถวเหล็กแนวตั้ง..จำทำให้ปลายแหลม..เพื่อฝังปักลงใน..ร่องที่พื้นประตูที่รองรับไว้..(ถ้าประตูไม่ใหญ่มาก
..หรือ..ไม่ต้องการความแข็งแรงสูงมากนัก..เขาก็ใช้เหล็กบางหน่อย..แล้วยึดหมุดปะกับกับ..แท่งไม้เนื้อแข็ง
อีกที...)...ประตูแบบนี้..จะแข็งแรงเพราะ..มันอยู่ในร่อง..ที่ฝังอยู่ในกำแพง..แรงปะทะที่เกิดก็จะกระจายทั่ว
ทั้งผืน..และ..ถ่ายเข้าขอบกำเพงและพื้น..ถ้ามันโดนจนโก่งมากๆ..บานมันจะไปติดกับ..ประตูแบบที่๑..ซึ่ง
จะมาช่วยถ่ายแรงไปได้...ดังนั้น..การทำลายประตูแบบนี้..จึงยาก...
.....ประโยชน์ของมันอีกอย่างคือ..ยามด้านในมันสามารถมองเห็นด้านนอกได้..อย่างเวลากลางคืน..นั้น..
เขาก็เปิดประตูแบบที่ ๑ ไว้ไม่ต้องปิด..แต่เลื่อนบานประตูแบบที่ ๒ ลงมาเพราะถือว่า..ไม่ให้ใครเข้าออกอีก
..เวลา..กลางวันก็เลื่อนมันขึ้น..ถ้ามีข้าศึกล้อม..ก็ปิดทั้ง..แบบที่๑..และ..แบบที่ ๒....
........ดังนั้น..พวกที่ล้อม..ถ้าไม่โง่..ก็ไม่ต้องมัวไปกังวลกับ..การยิง..หรือ..กระทุ้งเปิดประตู..เพราะจะใช้เวลา
นาน..และ..เป็นเป้าให้โดนฆ่า..ไปเปล่าๆ..เพราะไม่ว่าจะใช้..ปืนใหญ่ยิง..มันก็ต้องยิงในระยะใกล้..อาจจะ
๒๐๐ หลา..ซึ่งเข้ามาในระยะ..ของปืนยาว..ธนู..ธนูเพลิง..และ..ลูกไฟ..ที่จะทำลายได้ง่าย......
......................
................ด้วยเหตุดังกล่าว..สุไลมาน..ก็ไม่ได้คิดจะเข้าเมืองทางประตู..สู้วางแผนทำลาย..กำแพงดีกว่า...
...ปรากฎว่า..เหตุการณ์แบบเดิม..ก็คือใช้ปืนใหญ่ขนาดเล็ก..( 6 pounder , 8 pounder )..ถล่ม..ทุกวัน..
แล้วก็ใช้ม่านควัน..บังการขุดอุโมงค์..ความจริง..บนหอคอยที่ใช้กล้องส่องทางไกล..(กล้องตาเดียวยาวๆ
ยืดหดได้..แบบหนังโจรสลัด..นั่นแหละครับ)..รวมถึงบนยอดหลังคามหาวิหารเซนต์สเตฟาน..ที่เป็นจุดสูงสุด
ของเมือง..ก็เห็นทำนองเดียวกัน..คือ..กลุ่มจำนวนมาก..เคลื่อนไหวอยู่หน้าแนวยิงปืนใหญ่..แต่เนื่องจากมันไกล
และมีควันบัง..ก็เลยไม่สามารถระบุเจตนาได้..พอมาถึง..ปลายกันยา..ก็เกิดฝนห่าใหญ่ขึ้นมา..เรียกว่า..ตกกัน
๒ วัน ๒ คืนไม่มีหยุด...เป็นไงละครับ..ค่ายเตอร์กก็อ่วมอรทัย..ทั้งม้าทั้งคน..อยู่กันแทบไม่ได้..ดินรอบเมืองน้ำขัง
..อุโมงค์เรอะ..จมน้ำครับ..เรื่องขุดอุโมงค์..ก็เลยหยุดไป..รออีกหลายวันครับ..กว่า..น้ำใต้ดินจะลดระดับ..ไหล
ลงแม่น้ำดานูป..ด้านหลังเมือง(..ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังกำแพงเมือง..ใกล้เวียนนาวู๊ด..ซึ่งไม่มีหน่วยของเตอร์กล้อม
อย่างที่ผมเคยบอกไป..หลายตอนก่อนหน้านี้..)..เรื่องฝนตกนี่..สร้างความเครียดให้เตอร์กอีกอย่างคือ...
..ดินปืนครับ...ต้องเอาเต๊นท์ทหาร..บางส่วนมาทำที่คลุมกันฝน..ไอ้ทหารที่ไม่มีเต๊นท์..ต้องไปยัดรวมกับตามเต๊นท์
ต่างๆ..แน่นเอี้ยดไปหมด..กำลังขวัญทหารก็เริ่มแย่..(ที่เรามีรายละเอียดเหล่านี้ได้..เพราะมีการเจอบันทึก..จาก..
ขุนนางพลเรือน..ที่หน้าที่เหมือนเสมียนหรือพวกที่ช่วยด้านเอกสารส่วนของสุไลมานเองทำการบันทึก..ไว้ตลอด..
ตั้งแต่เริ่ม..ซึ่งจากหลักฐานบางช่วงนั้น..ทำให้เห็นว่า..ถ้าไม่ใช่พวกทหารแล้ว..คนเตอร์กเองมันก็ไม่ได้เหี้ยมโหด
มากมาย..เพราะมีการบันทึกด้วยความสลดที่..ระหว่างทางที่ทัพเดินผ่าน..แล้วทหารเตอร์กกระทำทารุณกรรม..
และ..สังหารโหด..ฆ่าตัดคอ..พวกชาวไร่ชาวนา..)...ก็ลองนึกสภาพที่ทหารร่วมแสน..ส่วนใหญ่ออกไปไหนไม่ได้
ต้องมานั่งจุมปุกยัดเยียดกันอยู่ในเต๊นท์แคบๆ..มองแต่สายฝน..ความหึกเหิมเริ่มถดถอย....
...........หลังจากระดับ..น้ำใต้ดินลดลง..พวกเตอร์กก็เริ่มขุด..โกยดินโกยเลน..ออกจากอุโมงค์เป็นการใหญ่..แต่
ขณะเดียวกัน..ส่วนการยิงปืนใหญ่นั้นลดจำนวนการยิงลงมาก...พอควันน้อย..ไอ้พวกสังเกตการณ์ของออสเตรีย
..ก็..เลยเห็นว่า..เตอร์กกำลังทำอะไรอยู่..แต่ก็พอรู้ว่า..มันกำลังขุดอุโมงค์อยู่..ฝ่ายเสนาธิการก็เลยวางแผน..ต้อง
ไปยับยั้ง..การขุดอุโมงค์..ทั้งๆที่พวกออสเตรียไม่มีไอเดียว่า..ว่าเจตนาจริงๆคือ..อะไร..แต่มันต้องมุ่งหน้ามาทางเมือง
..และเป็นแผนร้ายได้...และ..ส่วนสอดแนมเห็นว่าช่วงหลังหมดฝนใหม่ๆ..นี่..การระวังป้องกัน..ของค่ายเตอร์ก..ไม่
เข้มแข็งและ..หนาแน่น..เหมือนก่อนหน้า..ก็คงมีสาเหตุอย่างที่ผมบอกไปด้วย..พวกระดับนายกองต่างๆ..มันก็คงเซ็ง
ด้วย..อยู่มาเป็นเดือนไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน...
...................ดังนั้น..ก็จึงเป็นโอกาศเหมาะ..ของหน่วยซุ่มโจมตี..ของออสเตรีย..ที่วางแผนปฏิบัติการ...
................................
.........................
..
...ภาพแรก..ก็คือ..ประตูแบบที่ ๒ ซ้อนกับ..ประตูแบบที่ ๑ ..ถ่ายจากด้านนอก
...ภาพสอง...ก็คือ..ประตูแบบที่ ๑ ที่เสริมความแข็งแรง..ด้วยการคาดเหล็กประกับยึดติดแผ่นไม้
...เสริมความแข็งแรง....ถ่ายภาพจากด้านนอก..เช่นกัน...
...ภาพที่สาม..ก็ทำนองเดียวกัน..กับ..ภาพแรก..แต่ถ่ายจาก..ด้านในมองออกไปด้านนอก...
....สังเกตว่า..ประตูแบบที่ ๒ จะต้องอยู่..ด้านนอกเสมอ....
.................................
...................เลือกเวลาโพล้เพล้..สำหรับการปฏิบัติการ..หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็ว..(ที่ฝรั่งเรียกว่า..GARRISON )...
ของออสเตรีย..ก็ออกจาก..ประตูลับ..ด้านหลัง(ที่ไม่มี..หน่วยรบของเตอร์กอยู่)..ค่อยๆลัดเลาะ..ตามพุ่มไม้..ด้านข้าง
..แล้วค่อยๆคืบคลาน..กันไป..โดยต้องคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของยาม...ไปด้วย.....จนไปถึงใกล้ๆ..ก็อาศัยเนินดินช่วย
..บริเวณ..ปากอุโมงค์..ที่อยู่ห่างแนวปืนใหญ่พอสมควร..การคุ้มกันมีทหารจำนวนน้อย..กอปรกับคงเพลียจากเจอ
ฝนเข้าไปงอมพระราม..ส่วนใหญ่..จะเป็นคนงานซะมากกว่า..ที่กำลังง่วนขุดอุโมงค์..เพราะสุไลมานเร่งรัดมา...
..หน่วยจู่โจม..ของออสเตรีย..ค่อยๆลอบฆ่ายาม..และ..เข้าโจมตี..คนงานที่กำลังทำงาน..พบว่า..มีการขุดอุโมงค์
กันหลายอุโมงค์..ซึ่งพุ่งตรงไปหา..กำแพงเมืองด้านหน้า..ของ..เวียนนา...คนงานส่วนใหญ่ไม่มีอาวุธ..ก็ตายเป็น
จำนวนมาก..ส่วนทหารที่คุมก็ตายเกือบหมด..แต่ก็มีคนเล็ดรอดไปส่งสัญญานให้พวกเตอร์กได้..หน่วยจู่โจมนี้..ก็ไม่
ได้เข้าไปในอุโมงค์..ได้ลึกเท่าไหร่..หัวหน้าก็ส่งสัญญาณว่า..เตอร์กรู้ตัวแล้ว..จึงส่งสัญญาน..ให้ถอนตัวกลับเข้าเมือง
..แต่ด้วยประสงค์หลักคือ..หาข่าว..พวกเขาจึงจับเชลย..คนงานไป..ด้วยจำนวนหนึ่ง..เอาตัวกลับไปพร้อมกัน....
..(.แต่ระหว่างจู่โจม..หัวหน้าหน่วย..เห็นถังไม้บรรจุดินปืน..ที่เรียงรายไว้บางส่วน..ก็พอทราบเจตนาบางส่วนแล้ว
...ว่า..มันต้องขุดไป..เพื่อเอาระเบิดไประเบิด..กำแพงเมืองแน่..เพียงแต่ไม่รู้ว่าส่วนไหน...)
.....หน่วยนี้ทำงานดีมาก..ถอนตัวเร็ว..ทหารเตอร์ก..ไล่ตามมาไม่ทัน..พอใกล้ถึงตัวเมืองเขาก็ส่งสัญญาณให้..ทหาร
ป้องกันกำแพงเมืองทันที..ฝ่านทหารป้องกันกำแพงจึงระดมยิงฉาก..ป้องกัน..เหล่าทหารเตอร์กที่ไล่ตามมา..ปรากฏ
ว่า..เหล่าทหารเตอร์ก..โดนยิงตายไปจำนวนไม่น้อยและไม่สามารถผ่านห่ากระสุนของพวกออสเตรียได้..ต้องถอน
ตัวกลับ..โดยเกือบทั้งหมด..ก็ลอบกลับเข้าเมืองที่ประตูลับได้อย่างปลอดภัย.......
.....ก็เป็นเรื่อง ๒ ขั้วคือ..หน่วยจู่โจมของออสเตรีย..ได้รับการสรรเสริญ..ที่ทำงานได้สำเร็จ..แม้ตอนนี้จะไม่รู้
ว่า..มันจะระเบิด..บริเวณไหน..แต่ก็มีไอ้พวกคนงานหลายคน...อยู่ในมือที่จะคาดคั้นเอา..ความจริงได้....
........ส่วนอีกขั้ว..ก็คือ...ตั้งแต่หัวหน้าเวรยาม..ไปจนยัน..ลูกน้อง..โดนสุไลมานสั่งประหารเรียบ..เพื่อไม่ให้ทหาร
คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง..ในการละเลย..วินัยทหาร..และ..คำสั่ง..ก็สมเหตุผลนะ..ผมว่า..เพราะ..บริเวณที่ทำการ
ขุด..นั้น..มันมีแค่กองเศษดิน..ไม่มีต้นไม้..เป็นที่โล่ง...ถือว่าหละหลวมเอง...และ..ถือเป็นการหยามน้ำหน้า..ของ
สุไลมานผู้ยิ่งใหญ่..ไม่เคยมีหน่วยทหารชาติใด..ที่ลักลอบเข้ามา..ในเขตของกองทัพเขาได้มาก่อน...
............ส่วนในกรุงเวียนนา..หน่วยทรมาน..ก็เริ่มดำเนินการ..ใครเคยดูหนังฝรั่งในยุคกลางของยุโรป..คงนึกออก
..ว่า..พวกนี้มีเครื่องทรมาน..หลากหลายมาก..ทั้งเหล็กแหลมตอกในซอกเล็บ..เครื่องบีบนิ้วมือ..เครื่องยืดตัว..
(ยืดแขน..และ..ขาพร้อมๆกัน)..เครื่องบีบกระโหลก..โอ้ย..สารพัดครับ..ตอนที่..ผมไปที่ปราสาทที่ THUN CASTLE
อยู่ใน..สวิส..(ลุยเดี่ยว..กระเป๋าใบเดียว)..ลงไปในชั้นใต้ดิน..ปราสาท..ก็เห็นเครื่องมือเหล่านี้..ของจริงมาแล้ว..
..ก็เรียกว่า..สยองใช้ได้เลย..เพราะ..บรรยากาศมันให้..มันทึมมาก..รอบตัวมีแต่ผนังปราสาทที่เป็นก้อนหิน..และอับ
.........ก็ไม่แปลกใจหรอกครับ..เนื่องจากมีเชลยหลายคน..ก็อาจมีบางคนทนไม่ไหว..ตายไปก่อน..แต่ความอดทน
มันไม่เท่ากัน..ก็เลยสารภาพ..ต้องคิดซะก่อนนะครับ..ถึงมันจะรักชาติยังไง..มันก็รักชีวิตตัวเองมากกว่า...
...สารภาพแล้ว..ยังมีลุ้น..เพราะพวกนี้ไม่ใช่ทหารบางคนเป็นเชลย..หรือทาส..มาก่อน..เขาจับมาทำงานกุลี....
....ถ้าสารภาพแล้ว..ออสเตรีย..มันชนะศึก..มันยังมีโอกาศรอด...สูง..แต่ถ้าเตอร์กชนะ..ก็มีสิทธิตายได้..ถ้าหนีไม่ได้..
ฐานะ..เปิดเผยความลับทางทหาร....
....แต่ถ้าไม่สารภาพ..ก็ตายแน่ๆ..เพราะพวกออสเตรียมันก็จะทรมาน..ไปเรื่อยๆจนตายไปเอง..
...................................
.......................................
...........................
.........................
....เอามาให้ดู..พอหอมปากหอมคอ..ถ้าเป็นคุณ..คุณจะเปิดปากสารภาพมั้ย.....
ติดตามอ่านมาตลอด มาให้กำลังใจครับ
ต่อเลยครับกำลังน่าติดตามเลย
.......ผมมัวแต่ทำโน่นทำนี่อยู่ตอนหัวค่ำ..ก็เลยลืมไปเลย..นึกขึ้นมาได้..ก็ดึกแล้ว..เลยเวลาที่ผมจะมานั่งเขียน..
...แต่พอเข้าเว็บ..เห็นPOSTของ..คุณANGER..เข้าก็เลยเปลี่ยนใจ..เพราะอุตส่าห์มาให้กำลังใจ....เลยรีบกลับ
ไปเขียน..ใน WORD..กลับมาพอจะPOST..เอ้า..คุณ YUKIKASE..เข้ามาอีกคน..
....ก็ขอบคุณครับ..ทั้งสองท่านที่ให้กำลังใจ..และ..ติดตามผลงาน..ก็สนองให้ท่านหน่อย..แม้จะดึก..แต่ของ
พวกนี้..อยู่ในหัวอยู่แล้วครับ..พอมีแรงกระตุ้นหน่อย..มันก้..ไหลออกมาได้เอง...
...............................
..................ปรากฏว่า..สิ่งที่ได้รับทราบจากเชลย..ก็ได้แค่พอเคร่าๆ..คือ..เขาขุดอุโมงค์ให้ถึงกำแพง..และ..ขยาย
เป็นห้องเพื่อเอา..ถังบรรจุดินปืนเข้าไว้ในห้อง..เพื่อจุดระเบิดฐานกำแพง..เพื่อให้กำแพงทรุดลงมา..แต่..ตำแหน่ง
นั้นกว้าง..ไม่สามารถยืนยันได้..แต่ก็เป็นบริเวณส่วนหน้า..ของกำแพงเมือง..ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากแนวประตูเมือง....
.....................เนื่องจากกรุงเวียนนานี่..ถือว่า..เป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่..ของยุโรปมาตั้งแต่สมัยกลางเพราะ..
อาณาจักรของราชวงศ์ฮัปปสเบอร์กมีอำนาจ..เมืองหลวงก็พลอยใหญ่ไปด้วย..ดังนั้น..กำแพงเมืองด้านหน้าก็..
มากกว่า..๒-๓ กิโลเมตร...เมื่อระบุว่าใกล้ๆประตู..ก็..ซ้ายหรือขวาไม่ทราบ..ดังนั้นก็ถือว่า..ช่วยได้บ้างแต่ก็ไม่ทราบ
..แน่นอน..เรียกว่า..ทางออสเตรียต้องใช้วิธี..เหวี่ยงแห...แต่มันจะใกล้ถึงกำแพง..เมื่อไหร่..จะทราบได้ไง..
.....นั่นแหละครับปัญหา..ข้อมูลที่ได้ก็ทราบว่า..ใกล้มากแล้ว..และ..ไม่ใช่จุดเดียว...แต่มีตั้งแต่ ๒ จุดขึ้นไป...
.......เรื่องข้อมูลนั้น..ฝ่ายทรมานให้ความเชื่อมั่น..ว่าเป็นข้อมูลจริง..เพราะคนทรมานย้ำไว้ก่อนว่า..ถ้าข้อมูลที่มึง
บอกเป็นจริง..มึงก็มีสิทธิรอด..เพราะมึงไม่ใช่ทหาร..แต่ถ้าเป็นเท็จ..ต่อให้พวกมึงชนะ..หรือ..แพ้..กูอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
..ดังนั้น..ไม่ต้องรอให้ใครชนะ..กูฆ่ามึงก่อนแน่..ดังนั้น..ทางเลือกมีทางเดียวคือ..ข้อมูลที่ได้ต้องจริงมึงถึงจะรอด...
......ฝ่ายหน่วยป้องกันเมือง..ประชุมวางแผน..หาวิธีป้องกัน..และ..หาตำแหน่ง..ของห้องบรรจุระเบิด...
............ก็ได้ผลสรุปว่า...ให้ส่งคนไปในอุโมงค์ที่ติดกับฐานกำแพงซึ่งวิ่งยาวตลอดแนวกำแพง..ตลอดแนว..ซ้าย
และ..ขวาของประตู...หลายกลุ่ม..ครอบคลุมระยะ..หลายร้อยเมตร...พร้อมกับ..ถังไม้โอ๊ค(ใส่ไวน์)..บรรจุน้ำจนเต็ม..
....โดยแต่ละกลุ่มจัดคนเฝ้าผลัดเปลี่ยนกัน..๒๔ ชั่วโมง...โดยต้องมีคน ๒ คนขึ้นไปดูผิวน้ำ..โดยมีการจุดคบเพลิง
ไว้ใกล้ๆ..ถ้าผิวน้ำ..กระเพื่อมเมื่อไหร่ให้แจ้งหน่วยเหนือทันที..ก็คือ..ใช้หลักการแรงสั่นสะเทือน..จากการขุดนั่นเอง
..คนเรา..ต่อให้นั่ง..หรือ..นอน..ก็จะไม่ทราบถึงแรงสั่นสะเทือนน้อยๆ..แต่ผิวน้ำนั้น..แม้จะสั่นน้อยๆ..น้ำจะกระเพื่อม
..เมื่อ..มีแสงไฟส่องที่ผิวน้ำนั้น..มันจะเห็นได้ชัดเจน..(..ซึ่งผมยอมรับว่า..เวลาหน้าสิ่ว..หน้าขวานแบบนี้..ถือว่า..
คนที่คิดวิธีนี้..เก่งมาก..)........
.........ขณะเดียวกัน..ตอนนี้..สุไลมานสั่งเร่งให้ขุดให้เสร็จให้เร็วที่สุด..และ..มีการระวังอย่างเคร่งครัด..โดยส่งกอง
กำลังเฝ้าตามแนวชายป่า..และ..คอยจ้องดูความเคลื่อนไหวด้านนอกกำแพงเมืองตลอด..ทำเอา..หน่วยจู่โจมที่คิด
จะป้องกันโดยการไป..ทำลายอุโมงค์หมดสิทธิ์..เพราะเตอร์กเฝ้าตลอด ๒๔ ชั่วโมง..อุโมงค์ก็ระดมขุดต่อ ๒๔ ชั่วโมง
เช่นกัน..ปรากฏว่า..แค่ ๒ วันหลังจาก..การโจมตี..อุโมงค์ก็ขุดถึงกำแพง......ซึ่งทางเตอร์กก็นกรู้ว่า..ไอ้พวกออสเตรีย
ต้องรีดความลับจากเชลยได้...แต่ถึงแม้จะรู้ตำแหน่งเคร่าๆ..พวกเตอร์กมันก็มีการขุดอุโมงค์หลอกไว้แล้ว...ให้พวก
ออสเตรียจับทางไม่ถูก..เพียงแต่..อุโมงค์ที่เลือกจะระเบิดนั้น..จะขยายห้องให้กว้าง..แล้วเอาถังบรรจุดินปืนจำนวนมาก
เข้าไปใส่ไว้ให้เต็ม..เสร็จแล้วต่อสายชนวนออกมา..พร้อมกับอัดดินที่ขุดกลับไปในอุโมงค์โดยเหลือช่องเล็กๆด้านบน
เพื่อเป็นทางเดินของสายชนวน..ดินที่อัดกลับไปนี่..จะอัดเป็นระยะทางยาว..เพื่อให้..เมื่อเวลาระเบิดทำงาน..แรงระเบิด
มันจะได้อัด..เข้ากำแพงได้เต็มที่..และป้องกัน..แรงระเบิดที่จะย้อนกลับมาด้านพวกเตอร์กได้ด้วย.....
....เหมือนกับ..การทำงานแข่งกับเวลา..ทำไม..สุไลมานต้องรีบร้อนขนาดนั้น..มีเหตุผลครับ..นั่นคือ...
.......๑. มาเป็นข้อแรกเลย..คือ..เรื่องอาหาร..ตอนนี้..อาหารเริ่มขาดแคลน..ไม่สามารถหาได้จากละแวกใกล้เคียงได้เลย
..เนื่องจากอันแรก..ที่บอกไปหลายตอนล่วงหน้านี้..ว่า..ส่วนหนึ่งทางกรมการเมือง..ได้ให้ผู้คนพร้อมกับอาหาร..และ..
สัตว์เลี้ยงเข้ามาอยู่ในเมือง...เหลือ..เป็นส่วนน้อย..ที่ไม่ยอมเข้ามา..และไอ้พวกเตอร์กฆ่าหมดแล้ว..สัตว์เลี้ยงจำนวนน้อย
ที่มีอยู่มันก็หมดไปนานแล้ว..ข้าวสาลี..ข้าวบาร์เลย์..ธัญญพืชพวกนี้..ก็โดนเกี่ยวเก็บเข้าเมืองไปก่อนหน้านี้แล้ว...
....ขณะนี้..อาหารก็ต้องเริ่มแบ่งปันกันแล้วภายในกองทัพของเตอร์ก..ถ้านานวันไปอีก..ทหารมันจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหน
ไปรบ....เพราะ....................กองทัพเดินได้ด้วยท้อง..นั่นเอง....ขนาดม้าศึกยังหาอะไรกินแทบไม่ได้..หญ้า..เย้อ..ก็ล่อ
จนเหี้ยน..แล้วมันก็ไม่งอกใหม่แล้ว..เพราะอยู่ในช่วงฤดูใบไม่ร่วง..ต้นไม้..ต้นหญ้ามันเริ่มพัก..เพื่อรอหน้าหนาว...
......๒....นี่เข้ามาเดือนตุลาแล้ว..อีกไม่ถึงเดือน..หน้าหนาว..หิมะ..จะลง...เรียกว่า..ถ้าถึงตอนนั้นเมื่อไหร่..พวกเตอร์ก
ก็ง่อย..แน่นอน..เพราะลำพัง..พวกนี้อยู่ในพื้นที่ไม่หนาวจัด..แถบเมดิเตอร์เรเนีย..นั้นอากาศหน้าหนาวก็สบายๆ..พวก
ฝรั่งมีเงิน..มันหนีหนาวก็ไปพักผ่อนกันที่นี่...แต่คนเตอร์ก..ที่อยู่แถบนี้..ไม่คุ้นกับอากาศที่หนาวติดลบแบบออสเตรีย..
...แถม..ถ้าหิมะลงหนัก(ซึ่งก็มีโอกาศสูงอยู่แล้ว..)..ก็จบเห่..ทหารม้าก็แทบใช้การไม่ได้..แถมพวกเตอร์กก็ไม่ได้เตรียม
เสื้อกันหนาว..มาด้วย..ก็คือสรุปว่า..แข็งตายทั้ง..คน..ทั้ง..ม้า...พวกออสเตรีย..ไม่ต้องทำอะไรเลย..มาคอยเก็บศพทหาร
เตอร์กที่แข็งตายแทน...........
............................................
............................................
.........๓. กำลังขวัญทหาร..และ..ความขัดแย้งกันของระดับผู้บังคับบัญชา..ความเครียด...............ทุกอย่างตอนนี้มันมา
ประสานเสียง..กัน..พร้อมหน้า..เป็นเหตุการณ์ที่..สุไลมาน..กับ..อิบราฮิมปาชา..ไม่เคยเจอมาก่อน...เพราะที่ผ่านมาไม่ว่า
ลุยไปทางไหน..เป็นราบ..ประความสำเร็จทุกสมรภูมิ..ขนาดสงครามเปิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด..ของยุโรปยุคกลางตอนปลาย..
ที่มีจำนวนทหารเข้าร่วมรบกันทั้งสองฝ่าย..มากกว่า..๓แสนคน..รบนองเลือดที่สุด..กำลังของเขาน้อยกว่าด้วยซ้ำ..เขายัง
ชนะอย่างเด็ดขาด..และ..สวยงามมาแล้ว..มี่ยุทธภูมิที่..MOHACS..ที่ให้กษัตริย์ในยุโรป..ต้องสยองขวัญเมื่อได้ยินชื่อเขา..
...ไม่มีกษัตริย์ในยุโรปชาติไหน..ไม่รู้จัก..ชื่อ..สุไลมาน..แม้แต่กษัตริย์อังกฤษ...และที่..สมรภูมิโมฮัคส์นี้..เขาทำให้..อาวุธ
อย่างหนึ่ง..ได้รับการกล่าวขานว่า..เป็น..”ราชาของสนามรบ”...เป็นครั้งแรก...นั่นคือ..การนำปืนใหญ่เข้ามาร่วมรบ..เป็น
จำนวนมาก..ทั้งแบบ GUN (วิถีราบ).. HOWITZER (วิถีโค้ง)..ผสมสาน..การถอย..การรุก..อย่างลงตัว(..ตามที่ผมเคยเล่า
ไปแล้ว..)....จนเป็นปัจจัยหลักตัวจริง..ที่ทำให้ฝ่าย..อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต้อง..พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ..ทหารตาย
มากกว่า..หมื่นคน........ก็ยากขนาดนี้..สุไลมานยังผ่านมาได้..
..........แต่พอมาถึง..ที่นี่..กลายเป็นหนังคนละม้วน..ปืนใหญ่หนักทำอะไรไม่ได้..จะเข็นไปใกล้ๆถล่มประตูเมืองก็ไม่ได้..
ดิน..น่วม..ลองนึกสภาพใครอยู่แถวรังสิต..อ่างทอง..อยุธยา..ตอนปีที่น้ำท่วมใหญ่..แล้ว..น้ำลงใหม่ๆ..เรียกว่าร่วมเดือน
ดินอยู่ในสภาพที่น่วม..ดังนั้นปืนใหญ่..ก็เข็นเข้าไปใกล้ไม่ได้.....ก็เลยจบ...มันไม่ง่ายเหมือนอย่างเดิม...
....จากบันทึกลับ..ของ..เจ้าหน้าที่พลเรือนที่ทำการบันทึกไว้..ก็บอกว่า..ในกระโจมสุลต่านที่วางแผนการรบกัน..ก็ทะเลาะ
กันวุ่นวายไปหมด..ต่างคนต่างโทษกัน..ต่างคนต่างเสนอแผนต่างๆให้มั่วไปหมด..ระดับนายกองต่างๆก็งุ่นง่านเพราะวันๆ
ไม่รู้จะทำอะไร..ปืนใหญ่ที่เคยยิงตลอดตอนมาใหม่ๆ..ก็แทบไม่ได้ยิง..เพราะต้องประหยัดลูกกระสุนไว้..เดี๋ยวเวลาบุกใหญ่
แล้ว..จะมีกระสุนไม่พอ.....
.........นั่นแหละครับเหตุผลหลักๆที่..สุไลมานต้องรีบบุกให้เร็วที่สุด.........
.......................ส่วนฝ่ายออสเตรียนั้น..ก็เริ่มวางแผนกัน..แบ่งกำลัง..สองจุด..ที่น้ำมันสั่นไหว..มากๆ..เพราะรู้เช่นกันว่า..
สุไลมานต้องรีบบุก..เพราะคาดการณ์ได้เช่นกันว่า..มีเหตุผลอะไรที่ต้องรีบบุก..และรีบระเบิดกำแพง....
...ทั้งสองจุด..นี้..วางกำลังส่วนใหญ่..ที่เหลือ..จากบนกำแพงเมือง..และ..เชิงเทินต่างๆแล้ว..มาอยู่ที่นี่กันหมด..เพราะ
..การออกไปทำลายอุโมงค์..ทำไม่ได้แล้ว..และรู้ว่า..กำแพงต้องแตกยุบแน่..เหลืออย่างเดียว..ต้องยันให้ได้..ซึ่งกอง
กำลังก้พร้อมตลอด ๒๔ ชั่วโมงเวรยาม..เคร่งครัด..กอปรกับ..ชาวเมืองทั้งชายหญิง..ต้องเตรียมอุปกรณ์..ขนซ่อมหิน..
ไว้..ชาวเมืองนั้นมีส่วนมาก..อย่างพวกผู้ชาย..นั้น..ก็ช่วยบรรจุลูกปืนใส่ดินปืน..เรียกว่า..ยิงไปปุ๊บ..ส่งปืนไปให้..เขาก็
ส่งกระบอกใหม่..ให้ยิงต่อเนื่องได้เลย..อันนี้..ได้เปรียบ..เพราะ..ทำให้ยิงต่อเนื่องได้..และ..ไม่ต้องไปแบ่งทหารไปทำ
หน้าที่ดังกล่าว....(ปืนคาบศิลา..นะครับ..อย่าลืมยิงได้ทีละนัด..แล้วต้องใส่ดินปืน..และ..บรรจุลูก..แถมด้วยการกระทุ้ง
...ซึ่งมันเสียเวลามาก...ไม่ใช่ปืนเล็กยาวแบบสมัยสงครามโลก..).....
...........อาวุธอีกอย่าง..ของออสเตรีย..ที่ทำเตรียมไว้เยอะสดๆร้อนๆ..ก็คือ..หอกที่ยาวกว่าปกติ..คือเรียกว่า..ต่างฝ่าย
ต่างแทงกัน..แล้ว..ของออสเตรีย..ถึง..หน้าอกก่อน..พวกพลหอกนี่..ไม่ใช่ทหารอย่างเดียว..พลเรือนผู้ชายชาวบ้านที่ยัง
แข็งแรง..ก็อาสา..มาช่วยด้วย....
.......หทารบน..กำแพง..เชิงเทินทุกด้าน..ก็พร้อมรบกันหมด..รอเสียงระเบิด..อย่างเดียว..และ..ที่เตี๊ยมกันไว้ก่อนล่วงหน้า
ก็คือ..ถ้าจุดไหนใน ๒ จุดนี้..ที่กำแพงไม่ระเบิด..ให้รีบกรูกันไปที่อีกจุดเลย..โดยไม่ต้องสั่งการ..เพราะข้อมูลรู้แน่ๆว่า..
จะมีการระเบิด เพียงแค่จุดเดียว.....แต่ที่แน่ๆ..ต้องปิดความลับ..ไม่ให้ทหารบนกำแพงทราบว่า..ต้องมีพวกมึงกลุ่มนึง
ที่ตายแน่ๆ..จากกำแพงที่ยุบตัวลงมา..เพราะจะทำให้ระส่ำระสาย..กลัวตายกันหมด..ไม่มีใครกล้าเฝ้าบนกำแพง...
.......บริเวณดังกล่าว....
..............ปรากฎว่า..หลังจากจับการเคลื่อนไหวที่โคนกำแพงได้..แค่วันเดียว..ทุกอย่างทางเตอร์กก็พร้อม....กำลัง
ทัพหลวงเตรียมพร้อมบุก..หน่วยที่ล้อมด้านปีกซ้าย..และ..ปีกขวา..เป็นตัวสนับสนุน...........
.............แล้ว..สุไลมานก็สั่ง...จุดชนวนทันที...............
.....................เสียงดังกึกก้องไปหลายสิบไมล์....เพราะสุไลมานอัดดินระเบิดไว้เยอะมาก..เนื่องจากกำแพงกรุง
เวียนนานั้น..สูง..และ..ใหญ่ยักษ์มาก......ก็เป็นไปอย่างทั้งสองฝ่ายคาด..คือ..กำแพงยุบตัวลงมาทันที..เพราะ
ฐาน..โดนทำลาย..ส่วนบนที่น้ำหนักมากไม่มีอะไรรองรับด้านล่างก็จึงทลายลงมา.......
สนุกและได้รับความรู้มากมากครับคุณ modpong นาน นานจะได้อ่านซีรีย์เรื่องยาวอย่างนี้ ขอบคุณครับที่เขียนมาให้แฟนแฟนในบอร์ดได้อ่นกัน อยากจะขอบคุณนานแล้วครับตั้งแต่ นักรบกุรข่าแล้วครับแต่บอร์ดนี้โพสตอบยากมากครับเลยได้แต่เป็นผู้อ่านวันนี้เลยลองโพสดูลองอยู่นานเลยครับ ขอบคุณครับ
.......ขอบคุณครับ..คุณJAMM..ที่ใช้ความพยายาม..ในการให้กำลังใจผม..และติดตามบทความผม..ทั้งสองเรื่อง...
..ผมว่าเดี๋ยวนี้..ยังดีขึ้น..กว่าแต่ก่อนนะครับ..สมัยผมเขียนเรื่อง.."กุรข่า นักรบเลือดดุ"..นั้นยากกว่านี้..พอจบเรื่อง
นี่..ผมโล่งอกเลย....แถมสมัยก่อน..ไม่มีให้แก้ไขข้อความอีกต่างหาก...นั่นแหละ..ผมเลยหายไป..หลายปี..
......ตอนนี้..ใช้ EDITOR ตัวใหม่ค่อยยังชั่วหน่อย..แต่ที่ผมจับจุดของปัญหาการPOSTไม่เข้า..จุดใหญ่ได้..คือ
เวลาครับ..เพราะเป็นมาหลายครั้ง..ที่เผลอ..คือ..เวลาครับ..ถ้าคุณ..หลังจากที่..กรอกตัวหนังสือ..แล้วEDITOR..ขึ้นมา
..แล้ว..น่าจะประมาณ ๕-๑๐ นาทีได้..คุณจะPOST..หลังเวลานั้น..ไม่ได้..วิธีแก้..ต้องใช้การก๊อปปี๊..ข้อความ..คือการ
กด CtrI กับ C ในแถบอักษรที่เราลากครอบคลุมไว้..ครับ..ทุกครั้ง..ถ้าจะเขียนข้อความยาว..ถ้าไม่เข้า..เราจะได้เอา
มาPASTEใหม่..ได้เลย..ไม่ต้องเสียอารมณ์..เพื่อเขียนใหม่ทั้งหมด...แต่ถ้าเขียนใน..NOTE PAD หรือ WORD....
แล้วก๊อปปี้มาลงจะสะดวกกว่าครับ....
.....
...อ้อลืมไป..จะบอกว่า..เรื่องนี้ยาวมากครับ..แล้ว..พอจบแล้ว..ก็จะมี..เกร็ดที่สืบเนื่องต่อ..รวมถึง..เรื่องของ..
วีรบุรุษของโปแลนด์...ที่เพื่อนสมาชิก..ขอมาอีกครับ..ไม่ต้องห่วงว่า..ผมจะรีบหลีกหน้าไปไหน...
ก่อนอื่นต้องขอบคุณท่านmodpongเป็นอย่างมากครับ
สมัครมาเพื่ออ่านและให้กำลังใจท่านผู้เขียนครับ ได้ทั้งความรู้และความบันเทิง หายากมากครับที่จะเขียนบทความได้แบบนี้ครับ
....ขอบคุณเป็นอย่างมากครับ..คุณ PAC FA..ที่ให้เกียรติผม..ที่เป็นแรงจูงใจ..สมัครมาเป็นสมาชิก
..เพื่อ..จะได้เขียนข้อความมาให้กำลังใจผม..โดยเฉพาะ..ถ้าผมเป็นอเมริกัน..ผมคงพูดกับคุณว่า..
..............YOU MAKE MY DAY..........
...ครับ..ขอบคุณอีกครั้ง..กับ..กำลังใจที่มอบให้..นักเขียนอิสสระ..อย่างผม....
..ทำให้ผมกำลังใจ..ที่จะผลิตผลงานที่ให้สาระ..แก่ผู้อ่านต่อไป..และ..รักษาคุณภาพให้คงอยู่ตลอดไป
...ไม่เสียหลายกับ..มากกว่า..สี่สิบ..ปีที่ค้นคว้าเรื่องราวทาง..ประวัติศาสตร์..และนำบางส่วนมาถ่ายทอด
...ให้กับผู้อื่น....
..............ขอบคุณจากใจจริงครับ....
รอติดตาม อย่างตั้งใจเลยครับ
...............................ผลคือ..กำแพงส่วนที่ถูกระเบิดนั้น..ยุบตัวลงมาครึ่งหนึ่ง..แต่ขอโทษเพราะ..กำแพงเมืองเวียนนา..
นี่สูง..และ..หนา....มันลงไปแค่นั้น..แล้วก็จบ....ส่วนที่ยุบเป็นทางยาวประมาณ ๓๐ กว่าเมตร..แสดงให้เห็นว่า..สุไลมาน
นั้น..ก็อัดดินระเบิดเต็มที่เลย...สภาพกำแพงส่วนที่ยุบนั้น..กลายเป็น..สภาพ..ปิรามิด..หัวตัด..เศษหินกระจายลาดออกไป
ทุกทิศทุกทาง..ข้อดีคือ...กรมการเมืองได้ประชุมชาวบ้านร้านช่อง..ไว้แล้ว..ให้เตรียมตัว..ว่า..มันจะเกิดอะไรขึ้น...ซึ่งมี
ผลดี..จากความรอบคอบ..ถ้าไม่บอกก่อนลองนึกว่า..สภาพการระเบิดขนาดนี้..แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น..ชาวบ้านจะโกลา
หนขนาดไหน...ทหารคงต้องแบ่งส่วนไปคอยควบคุมฝูงชน..กำลังป้องกันเตอร์กที่จะบุเข้ามาก็จะลดลงไป......
......ส่วนผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องนั้น..เขาให้อพยพ..จากบริเวณหน้ากำแพงเมืองก่อนหน้านี้อยู่....ปรากฏว่า..ก็เป็นไปตามที่
เตี๊ยมกันไว้...กองกำลังจากจุดที่ไม่ระเบิด..ก็รีบกรูกันเข้ามาที่จุดระเบิดทันที.....ส่วนที่เฝ้าอยู่จุดระเบิดอยู่แล้วก็รีบกรู..
กัน..ปีนลาดของเศษก้อนหินที่ทลายมา..ขึ้นไปพร้อมกัน..อยู่บนยอดปิรามิด..ตลอดแนวยุบตัว ๓๐กว่าเมตร..โดยที่ทหาร
ด้านบนกำแพง..ก็รีบกรูกัน..เข้ามาเสิรม..ก็อย่างที่บอกครับ..วิธ๊การคือ..ทหารบนกำแพง..ทั้งสองข้างจะยิงทั้งปืนยาว..
ธนู..จะยิงใส่พวกเตอร์ที่กำลังปีนขึ้นมา..ส่วนปืนใหญ่..จะยิงพวกทหารที่อยู่ด้านล่าง..ที่จะหนุนเนื่องตามมา...
...ส่วนที่บนส่วนยอดปิรามิดหัวตัดนั้น..ก็จะเป็นหน่วยที่ใช้หอกยาวพิเศษ...ซ้อนกัน..หนาแน่น..เต็มพื้นที่..ด้านหลัง
พวกเขา..ก็จะเป็น..พวกปืนยาว..และ..ธนู..ที่จะคอยยิงสกัด..พวกที่เล็ดรอดมาได้..แต่ขณเดียวกัน..พวกนี้..ก็พร้อมจะ
เปลี่ยนหน้าที่..เพราะถูกสั่งไว้แล้ว..คือ..พลหอกด้านหน้าตาย..ต้องทิ้งปืนหยิบขึ้นไปทดแทนที่ทันที..เพื่อให้แนวหอก..
แข็งแรงและแน่น..ไม่มีช่องโหว่ตลอดเวลา.....
......ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า..ออสเตรียนั้น..ทำได้ตามแผน..ตามเป้า..ผู้คนไม่อลหม่าน...และจัดเตรียมวางแผนรับมา
อย่างเลิศ......
.............ตอนนี้มา..ดูฝ่ายเตอร์กบ้าง...สุไลมานนั้น..ไม่ได้นำการบุก..แต่ยืนสังเกตการณ์..อยู่หลังแนวรวมกับพวกฝ่าย
เสธ.ต่างๆ..รอสัญญาณ..ก็ง่ายๆ..ถ้า..ธงพระจันทร์เสี้ยว..สามดวง..ไปโผล่ที่กำแพง..เมื่อไหร่..ก็สั่งเดินทัพใหญ่ทันที..
....ตอนนี้..กองทัพม้า..ก้ต้องปล่อยให้ม้ายืนขี้ไปตามปกติ...เตรียมพร้อมรอคำสั่ง..เพราะทำอะไรตอนนี้ไม่ได้..เป็นหน้าที่
ของทหารเดินเท้า....แต่พอเริ่มก็แย่แล้ว...เพราะเมื่อสิ้นเสียงระเบิดกำแพง..ทหารเดินเท้ากับ..ทหารปืนใหญ่ขนาดเล็ก..
ก็..กรูกันเข้าไปที่แนวยุบตัว...ไอ้พวกชุดแรกๆวิ่งไปก็ยังดี..แต่ปรากฏว่าไอ้พวกวิ่งตามหลังไปชักแย่..เพราะอะไรหรือ
ครับ..ก็..อย่างที่บอกไปตอนก่อน...น้ำท่วมขัง..น้ำเพิ่งลดไปไม่ถึงอาทิตย์..ผิวดินด้านบนก็ดูแห้ง..แต่ข้างล่างมันยังไม่
แห้ง..เราคนไทยภาคกลางคงนึกออก...ดินมันโดนกระแทกย่ำจากการวิ่ง..โดยคนจำนวนมาก..มันก็กลายเป็นปลัก
ควาย..ไงครับ..ลองนึกถึงตอนท่านเรียนหนังสืออยู่..ไปแตะบอล..หลังฝนตกใหญ่ตกนาน..ซักสามสี่วัน..ยังไงก็ยังงั้น
....พื้นสนามหน้าโกล์..กลายเป็นปลักควาย..คุณจะเดินจะวิ่งก็ลำบากไปหมด..มันดูดเท้า....
...แล้วคนเป็นพันทยอย..วิ่งตามหลังกันไป..สู่เป้าหมายด้านหน้าที่กว้างแค่ ๓๐ เมตร..อะไรจะเกิดขึ้น..การรุกมันก็ไม่
ต่อเนื่อง..เพราะติดและขลุกขลักไปหมด...ปืนใหญ่ล้อเกวียน..ลากๆไปซักพัก..ก็ล้อจมดิน...ช่วยอะไรได้ไม่มาก...
.........แล้วปรากฎว่า..ยังไม่ถึงกำแพง..ทหารออสเตรีย..ก็ระดมยิงลงมาทั้งปืนยาว..ปืนใหญ่..แถมเงยหน้าขึ้นไปบนช่อง
..พวกออสเตรีย..พรืดเต็มช่องไปหมด..แล้วไอ้ที่ต้องปีนกองหินชันๆ..หักเป็นชิ้นใหญ่ๆ..นะมันง่ายที่ไหน..เพราะช่องว่าง
มันเยอะ...เดี๋ยวเท้าก็ผลุบลงไปช่องมั่ง..ขาแข้งหัก..ขึ้นไปต้องคอยดูเท้าตัวเองไปด้วย..แถมซ้ำร้ายไปกว่านั้น...
......ไอ้ปิรามิดที่ว่านี่ไม่ใช่เตี้ย..เพราะกำแพงมันยุบลงมาแค่ครึ่งเดียว..ครึ่งเดียวที่ว่านี่..สิบกว่าเมตรนะครับ..มันง่าย
ซะที่ไหน...เรียกว่า..ยังปีนไปไม่ถึงครึ่งทาง..พวกเตอร์ก..ก็เริ่มตายกันเป็นเบือแล้ว..โดนกระหน่ำยิงอย่างหนัก...
....ลองนึกสภาพ..ว่า..ไอ้พวกออสเตรีย..มันมีคนคอยบรรจุกระสุน..ดินปืน..เปลียนปืนให้ตลอด..มันก็ยิงได้ต่อเนื่อง
..ไอ้ทหารเตอร์กที่อยู่ข้างล่าง..ที่ยิงขึ้นไป..นั้น..ไม่มีคนทำให้..ต้องทำเอง..ทหารออสเตรีย ๑ คน ยิงมา..ได้ ๕ นัด..
ด้วยเวลาเดียวกัน..ทหารเตอร์ก..ยิงได้ ๑ นัด....คิดเอาแล้วกัน..ว่าไอ้พวกเตอร์กมันจะได้เปรียบตรงไหน...
...แล้วสภาพที่..ทหารเตอร์กมาตุงกันที่ฐานปิรามิด..เพราะไอ้พวกข้างบนไปต่อไม่ได้..มันยืนต่อกันแน่นไปหมด..
....เหมือนสมัยก่อน..ที่ไปเวลาไปเชียร์บอลไทยแข่งที่สนามศุภฯ..พอเริ่มเปิดประตู..คนแห่กันมาตุงไปหมด..เพราะ
เข้าไปได้..ทีละไม่กี่คน.....สภาพคล้ายกัน..เพราะผิดแผน..การรุกไม่คืบหน้า..ทหารออสเตรีย..มันไม่ต้องมีฝีมืออะไร..
ยิงเข้าไปที่กลุ่มพวกเตอร์ก..ยิงยังไง..ก็ถูก........ส่วนทหารถือหอกด่านหน้าของออสเตรีย..บนยอดปิรามิดหัวตัดนั้น
..ก็ตายไปไม่น้อย..เหมือนกัน..แต่..ส่วนน้อยมาก..จาก..หอกเตอร์ก..ส่วนใหญ่จะตาย..จากลูกกระสุนพวกเตอร์ก..ที่
กระจายอยู่รอบฐานปิรามิดด้านนอก..แต่ก็ไม่ใช่ยิงสะดวก..เพราะมันปะทะกัน..ดังนั้นกลุ่มคนนั้น..มันมีทั้งออสเตรีย
และ..เตอร์ก..จึง..ช่วยได้บ้างเพราะยิงลำบาก..แต่อย่างที่บอกครับ..พอทหารหอกแนวหน้าของออสเตรียคนไหนตาย
ปุ๊บ..ไอ้พวกที่ช่วยยัน..ช่วยแทงเสริม..ด้านหลังก็เลื่อนตำแหน่ง..ขึ้นไปทดแทนทันที..แล้วตำแหน่งเดิมของตัวเอง..ก็มี
คนข้างหลังถัดไปเลื่อนขึ้นไปทดแทน..ไล่กันไป..ดังนั้น..กำแพงหอก..ตั้งแต่เริ่มจน..จบ..ประสิทธิภาพไม่มีลดครับ...
..
...นี่คือตุ๊กตาจำลอง..หน่วยป้องกันของ..ออสเตรีย..มีทั้งแก่..และ..หนุ่ม..เรียกว่า..เกณฑ์กันมาหมด..
ให้สังเกต..หอกพิเศษ..ที่ผมพูดถึง..จะเห็นนะครับ..เมื่อเทียบกับสัดส่วนความสูง..ของคนนั้น..ยาวมาก..ภาพยังคลุม
ไม่หมดเลย...ซึ่งมันยาวกว่า..หอกปกติทั่วไป..มันจึงได้เปรียบแบบที่ว่า.."..ยาวกว่า..ถึงก่อน.."
.................................
การปะทะกันคงประมานนี้ครับ
........ขอบคุณ..คุณRECON..ที่ช่วยเอาคลิปมา..มาเสริมให้ได้..บรรยากาศด้วยครับ....
.................................
.........................แต่ไม่ใช่ว่า..เตอร์กจะมีแค่นี้..นอกจากพลปืนจาก..ส่วนล่าง..ที่คอยยิง..ทหารบนกำแพงทั้งสองข้าง
ช่องปิรามิดที่คอยยิงถล่มทหารเตอร์กที่กำลังปีนป่ายแล้ว..พลธนูจากทหารม้า..ส่วนหนึ่ง..ก็จะเป็นตัวช่วยด้วย..แต่
พลธนู..นั้นไม่ได้มีพวกที่ยิงธนูสังหารอย่างเดียว..ยังมีกลุ่มที่ยิงธนูเพลิง..เพื่อจะให้ข้ามกำแพง..ลงไปเผาบ้านเมืองใน
กำแพงให้อลหม่านด้วย...แต่ก็ต้องทราบกันไว้อย่างนึงว่า..ประเทศแถบนี้..ก็รบกับพวกเตอร์กมาร่วมร้อยปีแล้ว..ก็เรียก
ว่า..ได้ประสพการณ์..ไปเยอะ..ก็หาวิธีป้องกัน..ในหัวข้อนี้ไว้ด้วย........
......สำหรับ..พวกฝรั่งรบกันเองนั้น..การป้องกันธนูที่ยิงข้ามกำแพง..และ..ธนู..ที่จะมาทำร้ายทหารบนกำแพง..เขาก็
จะสร้างโครงสร้างไม้บังส่วนด้านหน้าของกำแพงไว้..(เป็นผนังไม้เลย)..และเว้นช่องไว้เป็นระยะ..เพื่อให้ทหารฝ่ายตน
ยิงโต้ตอบไปได้..โดยเหนือผนังนี้..ก็..จะมีหลังคาเป็นจั่ว..ครอบ..ทางเดินบนกำแพงไว้..เรียกว่า..กำแพงยาวแค่ไหน..
ก็ทำครอบยาวไว้แค่นั้น..หลังคาก็ใช้เป็นพวกไม้แผ่นแทนกระเบื้อง...ซึ่งหลังคาบนกำแพงเหล่านี้..ในยุคนี้เหลือไม่มาก
เพราะ..เป็นไม้..ผุพังไปซะเยอะ...ข้อเสีย..คือ..ไม่คล่องตัวครับ...เพราะ..ทหารฝ่ายตัวเอง..มุมมอง..การสังเกตการณ์
และ..การทำการยิงแคบ....และที่สำคัญ..คือ..กันไฟไม่ได้...แถมเป็นเชื้อไฟอย่างดีด้วย...
.......ส่วนหลังคา..บนกำแพง..ของพวกฝรั่งที่เคยรบกับเตอร์กมาแล้ว..จะไม่ใช้แบบนี้..เพราะเท่ากับการฌาปนกิจ
ตัวเอง..เพราะเวลาเตอร์กเข้าโจมตี..แบบที่ว่า..นี่จะใช้ธนูไฟ..เป็นหลัก..และ..ธนูเตอร์กเป็นแบบCOMPOSIT..ซึ่ง
ได้รูปแบบ..และ..เทคนิคมาจากธนูของมองโกล..จะยิงไกลมาก....ถ้ากำแพงไม่สูง..ธนูเตอร์ก..สามารถยิงข้าม..
หลังคาได้เลย...เรียกว่า..ทั้งบนกำแพงและในเมือง..ก็โดนเผา..กันโดยทั่วถึง.....
.....หลังคาบนกำแพง..ที่เขาทำไว้สู้กับเตอร์กนั้น..เขาไม่ทำเป็นจั่วครับ..แต่เป็นหลังคาแบบที่เรียกตามภาษาช่างว่า
..LEAN-TO ROOF ..หรือ..คนไทยเรียกว่า..แบบ”เพิงหมาแหงน”...ที่ปกติ..ด้านหน้ายกสูง..และ..ลาดต่ำลงมา
..ด้านหลัง...แต่แบบนี้กลับกัน..ผมเรียกของผมเองว่า..แบบ”เพิงหมาหงอย”...คือเวลา..หมาหงอย..มันจะคอตก..
..เพราะ..แบบนี้..ด้านหน้าหรือด้านที่หันไปนอกกำแพง..จะเป็นส่วนต่ำที่สุดของหลังคา..หลังคาจะลาดขึ้นไป..
จนสูงสุดที่ปลายหลังคา..ด้านหน้า..เขาก็จะไม่มีผนังไม้ป้องกัน..เปิดโล่งเพื่อให้มองและยิงได้..ความคล่องตัวที่
ดีกว่า..มุมยิงเยอะกว่า..แต่มันจะเตี้ย..เจตนาจริง..เขาไม่ได้ทำไว้ป้องกันทหารบนกำแพง..แต่ทำไว้ป้องกันลูกธนู
ที่จะข้ามกำแพงลงมาใน..เมือง..หลังคานั้น..ก้จะใช้กระเบื้องแบบหลังคาโบสถ์..ซึ่งมันไม่ติดไฟ....
....นอกจากนี้..ข้อดี..เมื่อทำหลังคาลาดด้านเดียว..นั้น..มันทำให้ยกความสูงของหลังคา..ได้มากกว่า..หลังคาจั่ว
ครับ....ซึ่ง..หลังคาแบบนี้..โอกาศที่ลูกธนูเพลิง..จะข้ามหลังคาไปได้ยากมาก..ยิ่งกำแพงกรุงเวียนนานั้นทั้งสูง
และใหญ่..จึงยิ่งป้องกันได้ดีขึ้นอีก...แต่ถึง..แม้บางส่วนที่เตอร์ก..ธนูเพลิง..ข้ามช่องยุบของกำแพง..(ไอ้ปิรามิด
หัวตัดที่ผมพูดถึง)..ที่พลหอกของออสเตรียอัดกันอยู่เต็มนั้น...พวกออสเตรีย..ก็เตรียมพร้อมกันอยู่แล้ว..เนื่อง
จากเป็นพื้นที่..ที่ไม่กระจายกว้าง..พลเรือนทั้งหลายที่ยังมีเรี่ยวแรงทุกคนได้รับ..มอบหมาย..ให้ทำหน้าที่ดับไฟ
..ก็จะหลบ..ในชายคาที่ป้องกันตัวได้..พอธนูเพลิงตกลงกันที่ไหน..ก็ช่วยกันดับไฟ..ในกรุงเวียนนานั้น..ไม่มี
ปัญหา..เรื่องน้ำอยู่แล้ว..เพราะอยู่ริมแม่น้ำดานูป..บ่อน้ำเต็มเมืองไปหมด..ทุกคนก็จะมีถังไม้บรรจุน้ำไว้..
เตรียมพร้อม....มีไหม้ก็มีบ้าง..และก็ควบคุมเพลิงไม่ให้ลุกลามไปได้..ซึ่งต้องยกความดีให้กับ..พลเรือนที่ร่วม
มือกันอย่างดี..STERN..ที่เป็นกรมการเมืองได้บันทึกเรื่องความร่วมมือของชาวเมืองเป็นอย่างดี..........
...การที่..กรุงเวียนนารู้ข่าวเร็ว..ก็จึงมีเวลาตระเตรียมการป้องกันล่วงหน้า..วางแผน..และวางหน้าที่กัน..
ประสานกันได้ดี..ทั้งทหารและ..พลเรือน.......
.........สำหรับบน..กำแพงส่วนที่ไม่โดนระเบิดนั้น..ก็มีพลเรือน..ที่ขึ้นไปช่วยดับเพลิงด้วยนะครับ..เพราะบางที
ธนูเพลิง..มันก็ยิงเสยช่องเข้ามาได้....และนั่นหมายถึง..ทหารเตอร์กต้องเข้ามาใกล้กำแพง..เพราะถ้ายิงในระยะไกล
..ชายหลังคาจะบัง..(..คือ..ถ้าไม่มีหลังคาเลย..ธนูเตอร์กได้เปรียบ..เพราะสามารถยิงในระยะไกลได้..แต่ธนูออสเตรีย
ต่อให้อยู่ข้างบนกำแพง..ก็ยิงไม่ถึงเตอร์ก..เพราะคันธนูเป็นไม้ชิ้นเดียว..แรงส่งไม่พอ..)..พอมาระยะใกล้..นอกจาก
พลธนูของออสเตรีย..สามารถจะยิงพลธนูของเตอร์กได้แล้ว..พวกหน้าไม้..ก็ย้งสามารถยิงได้ด้วย(..ฝรั่งนั้นชอบใช้
หน้าไม้กัน..ข้อเสียคือ..มันยิงได้ไม่ไกล..สั้นกว่าธนูเยอะ..)......
.....ข้อดีอีกอย่างการที่มีพลเรือนมาช่วยนั้น..คือ..การลำเลียงคนบาดเจ็บครับ..เพราะทหารจะต้องทำการสู้รบ
ตลอดเวลา..ถ้ามัวต้องมาลำเลียงคนบาดเจ็บ..อำนาจการยิง..ก็ต้องลดลง..ถ้าไม่ช่วย..คนที่บาดเจ็บแบบที่..
ถ้ามีการช่วยเหลือทันท่วงทีจะรอดได้..ก็กลายเป็นมีสิทธิตายได้..เพราะการรบมันรบกันทั้งวัน...เมื่อมีหน่วยเสริม
แบบนี้..พวกทหารก็ไม่ต้องมาพะวงกับ..เพื่อนที่บาดเจ็บรบได้เต็มที่.....
.............................
...........
....รูปนี้..ถ่ายจากด้านในกำแพง..จะเห็นว่า..ชายหลังคาบนกำแพง..ด้านที่อยู่ด้านใน..จะสูง..ด้านหน้า
กำแพง..จะต่ำกว่า..แต่ที่เห็นนี่เขาปรับปรุงซ่อมกันแล้ว..(ภาพนี้..เป็นกำแพงที่อื่นนะครับ..ไม่ใช่ที่...
เวียนนนา )..เอามาให้ดูพอเป็นไกด์..กำแพงกรุงเวียนนา..สูง..ใหญ่กว่านี้มาก..ส่วนที่หอด้านบน..
..นั่นถ้าโดน..ธนูเพลิง..เข้าไปซัก ๒๐-๓๐ ดอก..ก็ ฌาปนกิจหมู่..เลย
..ในภาพนี้..บูรณะใหม่..หลังคาไม่ใช่กระเบื้องเป็นชิ้นๆแล้ว..ใช้แบบใหม่แทน...สมัยยุคกลางนั้น
จะเป็นกระเบื้องครับ
กำลังสนุกเลย ติดตามครับ
ติดตามอยู่นะครับ
......รับทราบครับผม..ทั้งคุณ ABSULATION และ คุณ SINGHA รู้สึกเป็นเกียรติที่..สนใจติดตามครับ..
.................................................
.................................
....ไอ้พวกเตอร์กส่วนที่ขึ้นไปถึงยอดปิรามิดได้..มันก็ต้องทิ้งปืน..หันมาใช้ดาบ..เพราะมันเป็นการบแบบตลุมบอน..
ส่วนหนึ่ง..ไอ้พวกทหารที่ใช้หอก..ก็เป็นส่วนหนึ่ง..แต่ปรากฎว่า..ไปเจอกำแพงหอก..เหมือน..หลังตัวเม่น..ของออสเตรีย
เข้า..ก็เรียบร้อย..ดาบ..เจอ..หอก..แน่นอน..หอกถึงก่อน...หอกเติร์ก..ไปเจอหอกที่เตรียมมาพิเศษไว้ต้อนรับ..หอกออสเตรีย
ก็ถึง..ก่อนอีก....ลองนึกสภาพว่า..กองศพทหารเตอร์ที่หุ้มปิรามิด..มันจะหนาขนาดไหน...ก็..เรียกว่า..ขึ้นไปก็ตาย..เจอหอก
..อยู่ข้างล่างก็ขึ้นไปไม่ได้..เพราะพวกตัวเองไปไม่พ้นแนว..ก็กลายเป้นเป้าให้..พวกออสเตรียยิงเอา....
......ต้องอธิบายเพิ่มเติม..เรื่องหอกพิเศษของออสเตรีย..ก่อนเดี๋ยวจะงง..ว่า..แล้วไอ้เตอร์ก..ทำไม..มันไม่ทำหอกยาวๆมั่ง
....หอกยาว..ของ..เตอร์กนั้น..เป็นอาวุธประจำกายของทหารเดินเท้า..ที่ไม่ใช่หน่วยปืน..ดังนั้น..ต้องมีความคล่องตัว..
ในการพกพา..และ..การถือวิ่ง..เข้าปะทะ..ซึ่ง..หอกยาวทั่วไป..นั้น..ไม่ว่า..เตอร์ก..หรือ..ฝรั่งก็ยาวพอๆกันครับ..เพราะ
ต้องคำนึงถึงการใช้งาน...เตอร์กนั้นไม่ได้รู้มาก่อนว่า..ออสเตรียมีแผนเด็ดไว้ป้องกันแบบนี้..
...การที่...ทางออสเตรียทำได้..ก็เพราะ..มันเป็นหอก..ที่ผู้ใช้ไม่ได้ถือวิ่งไปไหน..เรียกว่าปักหลักอยู่กับที่..เพราะถ้าวิ่ง
แล้วเอาหอกยาว..แบบนี้ไปใช้แทงคนอื่นนะ..ทำไม่ได้หรอกครับ..เพราะน้ำหนักมันมาก..และ..เกะกะ..อาจทำให้เสีย
ศูนย์ได้...รวมถึงไม่คล่องตัวในการดวล....
...........ทหารเตอร์กที่ถือหอก..ก็จะมีอาวุธอื่นแค่..ดาบ..กับระดับหัวหน้ากลุ่มอาจแถม..ปืนพก ๑ กระบอก...
..........ทหารเตอร์กหน่วยปืน...จะมีอาวุธอื่น..ก็คือ..ดาบ..กับระดับหัวหน้า..ที่จะมีปืนพก ๑ กระบอกเช่นกัน..
....สำหรับ..หอกยาวพิเศษนี้..นอกจากจะใช้ที่นี่แล้ว..ก็ยังมียุทธภูมิ..ที่สร้างจุดเปลี่ยน..ของผลในการรบ..อีก ๒ แห่ง
คือ..ยุทธภูมิที่..เสตอร์ลิ่ง..และ..เบนน็อคเบิร์น..โดยผู้ที่ใช้ก็คือ..พวกสก็อต..(ใครเคยดูหนัง..เรื่อง..BRAVE HEART..
ที่..เมล กิ๊บสัน แสดงจะได้เห็น..)แต่ของ..สก๊อตนั้น..ใหญ่และ..ยาวกว่า..ของออสเตรียครับ..เพราะจุดประสงค์หลัก
ไม่ได้เอาไว้..หยุดคน..แต่เอาไว้หยุด..ม้า..ที่ควบมาโดยเหล่าอัศวินของอังกฤษ..ซึ่งการใช้..ก็ไม่ได้ถือ..คือตั้งเฉียงไว้
กับดิน..โดยคนใช้แค่ประคองเอาไว้..เท่านั้นเอง..รอให้ม้ามัน..กระโจนเข้ามาหา..ซึ่งได้ผลดีทั้งสองครั้ง..ทหารม้าที่
ขึ้นชื่อของอังกฤษ..ถึงกับ..ละลาย(..ศัพท์ทหาร..นะครับ..ไม่ใช่สำนวนผม )......
.....ของออสเตรีย..นี่ยังถือ..กวัดแกว่งทิ่มแทงได้....นี่คือจุดได้เปรียบ..ของการตั้งรับครับ..ชัยภูมิ..คนตั้งรับเป็นคน
เลือก...ถ้ารู้จัก..เอาชัยภูมิมาดัดแปลงกับขบวนการตั้งรับ..แบบออสเตรีย..นั้น..ก็ไม่กลัว..ฝ่ายบุก....
.....คราวที่แล้ว..ที่ผมเคยเล่าเรื่อง..ปืนใหญ่ของเตอร์กที่ใช้ลูกปรายยักษ์..จัดการฝรั่ง..มาก่อนหน้าศึกนี้ไม่กี่ปี..
ทำไม..ไม่เอามาแผลงฤทธิ์บ้างละ....ก็อย่างที่บอกครับ..ว่า..ระยะยิงหวังผล..มันสั้น..แค่ประมาณ ๓๐๐ หลา..
....แต่เนื่องจาก..กลุ่มกระสุนมันกว้าง..เมื่อ..ช่องโหว่ที่..กำแพงนั้น..มีทั้งทหารของตัวเอง..ขึ้นไปลุยพรืดไปหมด..
มันก็ช่วยไม่ได้..ขืนยิงไป..อาจโดนพวกเดียวกันเอง..ด้วย..กอปร..กับ..การนำเอาปืนใหญ่เข้ามาตั้งใกล้นี่..ก็เป็น
เป้านิ่ง..และ..อยู่ในระยะหวังผลของปืนยาว..รวมถึง..ปืนใหญ่ขนาดเล็ก( 6 pounder และ 8 pounder)..ของ
ออสเตรีย..ทำลายได้..ซึ่งพบว่า..ในการรบครั้งนี้..ปืนใหญ่ขนาดเล็กของเตอร์ก..ที่พยายามเอาเข้ามาใกล้..ชำรุด
และ..ไม่ได้ลากกลับไปจำนวนมาก..เรียกว่า..แทบช่วยเหลืออะไรไม่ได้..ซึ่งระหว่าง..เตอร์กบุกนี้..ปืนใหญ่ขนาด
กลางที่ตั้งอยู่ใกล้ค่าย..ก็ยิงเข้ามาช่วยก่อกวน..แต่ก็เป็นจุดที่..ห่างจาก..จุดระเบิดกำแพง..ซึ่งก็แทบไม่มีผลอะไร
กับการบุกของ..พวกเขา....
.......................
.........คนที่..เคยดูหนัง..เรื่อง..”๓๐๐” ก็คงนึกสภาพพอออกว่า..ต่อให้มี..จำนวนมากอย่างกองทัพเปอร์เซีย..ของเซอร์ซี..
..จะต้องผ่านทางแคบอย่างที่..เทอร์โมไพเล..นั้นยากขนาดไหน..ทหารสปาตาร์ ๓๐๐ คน..ยังยันอยู่ได้เป็นวัน.....
...ก็เพราะ..หลักการของ”คอขวด”..นั่นเอง....
...........นั่นแหละครับ..ผลของการบุกครั้งแรกของเตอร์กมันก็คือ....ไม่ได้ไปไหนเลย...ไม่มีทหารเตอร์กซักคน..ที่ก้าว
ข้ามกำแพง..มาได้...ทหารฝ่ายข่าว..ที่คอยแจ้งศึก..กับการสังเกตการณ์..ด้วยกล้องส่องทางไกล..ของระดับบังคับ
บัญชา..ไม่ว่า..จะเป็น..สุไลมานเอง..อิบราฮิมปาชา..และ..ระดับรองลงไป..จึงสรุปกันได้..ออกคำสั่งให้..หน่วยบุก
..ถอยกลับมาที่ค่าย..ลากคนบาดเจ็บจำนวนมาก..ทยอยกลับมากันอย่างลำบากยากเย็น..ทิ้งศพที่ทหารเตอร์กที่
ตายกันเกลื่อนกลาดไปหมด...เรียกว่า..จากฐานถึง..ใกล้ยอดปิรามิดหัวตัดนั้น..มีแต่ศพทหารเตอร์ก..ทับถมกัน
เต็มไปหมด.......
...................................
ขอบคุณครับ ชอบมาก ติดตามตอนต่อไปครับ
ขอบคุณ..คุณAMBERครับ..สำหรับความนิยมต่อบทความนี้ของผม....
...ผมเองนั้น..สนใจ..เรื่องความเป็นตัวตนของมนุษย์มากกว่าเครื่องมืออิเล็กโทรนิคส์..
...ความสามารถของมนุษย์เดี๋ยวนี้..ลดลงเพราะ..เทคโนโลยี..เข้ามาแทนที่..ผมเข้า
มาเขียนในที่นี่..แล้วก็หวั่น..ว่า..กูมาผิดที่..รึเปล่า..เพราะบทความทั้งหมด..ยกเว้นของผม
นั้น..คือ..เรื่องของเทคโนโลยีล้ำยุค..ที่เกี่ยวข้องกับการทหาร..การรบ..ซึ่งความเห็นส่วนตัวของ
ผมนั้น..มันก็เข้าใจว่า..คนเขาก้าวกันล้ำยุคสมัย..ใครก้าวไม่ทันก็เสียเปรียบ..มันช่วยไม่ได้...
...แต่ผมว่า..คนรุ่นใหม่..ก็ควรสนใจในอดีตด้วย..อดีตที่คนใช้..WIT..ไหวพริบ..ปฏิภาณ..ในการแก้ไขปัญหา
...ใช้..SKILL หรือ..ทักษะที่เกิดจาก..การทำจริง..กับของจริง..หลายๆครั้ง..จนเกิดความชำนาญ..(ไม่ได้ใช้..
แบบจำลองคอมพิวเตอร์โปรแกรม...แบบสมัยนี้..เอามาฝึกฝน..)...............
..ใช้ INSTINCT หรือ สัญชาติญาณ ในการ.ช่วยตัดสินใจ.....
ใช้..GUT สำนึกรู้ของตนเอง..ใช้..INTELEGENCE..ความฉลาด..คิดได้..ใช้..MANA..ความมุ่งมั่น..ความอึด..
...ซึ่งแต่ละคน..มันมีไม่เหมือนกัน..ซึ่งสามารถแยกแยะ..คุณภาพของมนุษย์ได้..โดยเฉพาะ..การทหาร..การรบ..
..เป็นการยกย่อง..ความเป็นมนุษย์ในอดีต..ที่เหนือกว่า..มนุษย์ปัจจุบันที่มุ่งเน้นเทคโนโลยี..คอมพิวเตอร์..
ที่นำมาช่วยคิด..หรือ..ตัดสินใจแทน..ตัวตนของมนุษย์..ซึ่งผมเห็นว่า..ถ้ามันมากไป..ความสามารถของมนุษย์
ที่พึ่งพาพวกนี้..มากกว่าตัวตนของตัวเอง..ความสามารถของคนเหล่านี้..มันค่อยๆจะลดลงไปเองเรื่อย...ยิ่งพึ่ง
มาก..ยิ่งโง่มาก...ซึ่งเด็กรุ่นใหม่นั้น..ผมสังเกตคนรอบข้าง..และ..คนรู้จัก..มันก็เป็นอย่างงี้กัน...นั่นเพราะส่วนใหญ่
ไม่ค่อยได้ให้ความสนใจในอดีต..กัน...บางอย่างของในอดีต..เขามาเห็นเข้าหรือได้สัมผัส..คนรุ่นผมถือว่าธรรมดา
..แต่คนรุ่นใหม่..แปลกใจว่า..เขาคิดได้ยังไง...ยิ่งเรื่องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า..สำหรับคนรุ่นใหม่ยิ่งแย่...
เมื่อเทียบกับคนรุ่นเก่า..ที่เขาสามารถคิดดัดแปลง..ให้รับกับสถานการณ์..นั้นๆได้...เพราะคนรุ่นใหม่..ไม่พยายาม
ใช้สมองคิด..แต่มุ่งที่จะพึ่งคนอื่น..ไม่ว่าจะเป็นทั้งอินเตอร์เน็ต..หรื่อ..เพื่อนทางLINE..ว่า..ใครเคยเจอแบบนี้บ้าง..
แล้วแก้ไขยังไง..แล้วก็ไปพึ่ง..คนที่เขารับทำให้....โดยไม่พยายามที่จะคิดด้วยตัวเองก่อน...นั่นทำให้รอยหยักในสมอง
มันค่อยๆหายไปเรื่อยๆ...(คิดเอง..แก้ไขปัญหาเอง..ทำเอง..ไม่เป็น..).
.............ทำไมเรา..ยกย่อง..บารอนแมนเฟร็ดริชโทเฟ้น(..เรดบารอน..)ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ ..ทำไมเราไม่รู้จัก
..ยอดนักบินในสงครามอิรัค..ก็นั่นแหละครับ..คือที่ผมกล่าวมา..เพราะ..เรดบารอน..ใช้..ตัวตน..ของตนเอง..ในการบ
...ทุกอย่างเกิดจาก..สมองสั่งการ..โดยใช้ตัวของตัวเอง..ในการประเมินสถานการณ์.....
......ไม่ใช่..ยอดนักบินของอเมริกันในสงครามอิรัค..ที่มีไอ้โน่น..ไอ้นี่..ช่วยตัดสินใจ.........
.....นั่นแหละครับ..อีกร้อยปี..คนก็ยังคงยกย่อง..เรดบารอน..แต่ขณะที่..การรบทางอากาศในสงครามอิรัค..จะไม่มีคน
พูดถึงอีก.....
........นี่แหละครับ..บทความของผม..ตั้งแต่..กุรข่า..นักรบเลือดดุ..จนมาถึง..บทความนี้..และต่อๆไปของผม..
..จึงเป็นแบบนี้...เพราะผมยกย่องความสามารถ..ความเป็น..มนุษย์..ของคนในอดีต..มากกว่าเทคโนโลยีที่พยายาม
แย่ง..ความเป็นมนุษย์..ความสามารถของมนุษย์..ออกไปจาก..ตัวตนของผู้ที่เสพมัน.....
..............................
...ที่กล่าวมาทั้งหมดนี่..เป็นความเห็นส่วนตัวของผม..ไม่ได้มีเจตนา..จะให้ใครเชื่ออย่างผม..เพียงแต่เป็นการอธิบาย
หลักการของผมเท่านั้น..ที่มาว่า..ทำไมผมถึงเขียนเรื่องแบบนี้..ไม่ได้จะมาเปิดประเด็นอะไรครับ...
...................................
ขอบคุณ คุณmodpong ที่เขียนบทความดีๆมาให้อ่านน่ะครับผมติดตามมาตั้งแต่ตั้งกระทู้แล้วละครับแต่ไม่ค่อยมีโอกาศได้ล็อคอิน
คุณmodpongครับ หลังจบศึกออสเตรียแล้ว รบกวนช่วยอธิบายเรื่อง 800 ปะทะ 120,000 เพิ่มเติมด้วยน่ะครับ ผมยัง งงๆ อยู่
แล้วปืนไฟในยุคนั้นเป็น แบบ Flintlock(ปืนคาบศิลา,ตามความเข้าใจของผม) หรือ แบบMatchlock(ปืนไฟ,ตามความเข้าใจของผม)ครับ
แบบ Flintlock(ปืนคาบศิลา,ตามความเข้าใจของผม)
........หวัดดัครับ..คุณTOMCAT..ขอบคุณครับ..ที่สนใจ..จบศึกเวียนนา..ก็ยังไม่ได้เข้าเรื่องโดยตรงหรอกครับ
..เพราะ..ผมว่าถึง..เตอร์ก..เพียงอย่างเดียว..ผมจะพูดถึง..ชาติของคู่ปรับ..คือ..โครเอเทีย..ก่อน..แล้วค่อยไล่
เรียง..มาถึง..ตัว..นิโคล่า..ครับ..อ่านบทความผม..ต้องใจเย็นครับ..เพราะผมจะอ้อมไปอ้อมมา..แต่ที่ผมอ้อมนั้น..
จะเป็นความรู้ทั้งสิ้น..แบบไม่เหมือน..บทความอื่นๆครับ..อีกนานครับ..กว่าจะปะทะกัน....
.......ขอบคุณมากที่..เอารูปมาลง..ผมว่าจะเขียนถึง..เหมือนกันเมื่อมีโอกาศ...พอดีถามมาก่อน..ผมจะว่า..เคร่าๆ
แล้วกัน..แล้ว..จะอธิบายในเกร็ดอย่างละเอียดอีกครั้ง......
.....ปืนทั้งสองชนิด..นี้..ฝรั่งเรียกว่า..MUSKET.....
...ปืนแบบ MATCHLOCK เกิดขึ้นก่อนครับ..(คนไทยเรียกว่า..ปืนนกสับ..เพราะ..ไอ้ตัวที่มันคาบชนวน..นั้นคยไทยว่า..
มันเหมือนนก..เมื่อเหนียวไก..ไอ้หัวนกที่คาบชนวนไว้..มันก็จะสับลงมา..ที่จานใส่เราดินปืนล่อไว้...ก็เลยกลายเป็น..ปืนนกสับ..)
....สมัยในสงครามที่ผมเล่า..นี้..ยังเป็นแบบ ..MATCHLOCK...อยู่ครับ.......
....ส่วนปืนแบบ FLINTLOCK ..เกิดขึ้นทีหลัง..เริ่มใช้เมื่อต้นศตวรรษที่ ๑๗..ครับ...
(คนไทยเรียกว่า..ปืนคาบศิลา..เพราะ..ปืนแบบนี้..ไม่ใช้สายชนวนแล้ว (..ความจริงจะเรียก..ชนวนก็ไม่ถูก..เพราะมันเป็นเชือก
เฉยๆ..ที่เวลามันติดไฟ..แล้ว..มันจะคุแดงๆ..เหมือนธูป..ก่อนยิง..คนยิงต้องเอาปากเป่าให้ไฟมันโชนๆ..)...ไอ้นกตัวนี้ไม่คาบ
เชือก..แต่คาบ..หิน..หินที่เรียกว่า..FLINT..นั่นแหละครับ..เมื่อยิง..ตัวนกที่คาบหิน..จะพาหินครูดไปกับ..แผ่นเหล็ก..ที่เห็นเป็นงอๆ..มันจะเกิดประกายไฟขึ้น....
แล้ว..ขณะเดียวกัน..มันจะจุดดินปืน..ในจานที่เราใส่ดินปืนล่อไว้..ประกายไฟจะติด..ที่ดินปืน....หิน..ก็คือ..ศิลา..นั่นแหละครับ
(..แต่FlintLock..ในรูป..เป็นรุ่นที่มีกระเดื่องที่จานปิด..ซึ่งรุ่นนี้..เวลาขึ้นนก..จานปิด..จะไม่เปิด..แต่จานจะเปิด
ด้วย..ปลายปากนกมา..กระแทกกระเดื่อง..ทำให้จานปิดดินปืนมันกระเด้งเปิดขึ้น...FlintLock..มีการพัฒนาหลาย
รูปแบบมากครับ..)
..ที่มาของชื่อ..)
....ส่วนชื่อฝรั่ง..MATCH..ก็คือ..สายเชือกติดไฟ....FLINT ก็คือ..หินเหล็กไฟ....ทั้งสองตัว..ก็จะถูกตัวสับ..จับล็อกไว้(ดูในรูปได้)
..ก็หมายถือ..ยึด..หรือ..LOCK นั่นเอง....
............เอาไว้แค่นี้ก่่อนครับ..ถ้าเล่าจริงๆ..ยาว.....
.........................
....เพิ่มเติม..เสริมความรู้ให้อีกหน่อยครับ.....
.....คำว่า..."ขึ้นนก"..ที่ใช้กับปืน..ก็มีที่มาจากปืนแบบนี้ละครับ...เนื่องจากเรามองว่า..มันเหมือน.."นก"..ที่ภาษาอังกฤษใช้
ว่า..HAMMER (..หรือ..ฆ้อน..)..เวลาเราจะยิง..เมื่อก่อนจะยิง..ไอ้..นก..ตัวนี้มัน..นอนก้มหัวอยู่..เราก็ต้อง..ยกมัน..ขึ้น..
..ก็คือ..ยกขึ้น..ตัวนก...หรือ..เอาขึ้น..ตัวนก...ไปๆมาๆ..คำก็สั้นลง..เหลือแค่.."ขึ้นนก"..
...ต่อมา..ก็เป็น.."ง้างนก"....ก็คือ..ง้าง HAMMER ของปืนนั่นเอง...
....
...................................
.............เมื่อ..ทหารเตอร์กถอนตัว..กลับฐานที่มั่นตัวเอง..ก็แน่นอน..ว่าทั้งทหารและชาวกรุงเวียนนา..ก็โห่ร้องยินดี
..กันยกใหญ่..บางส่วนก็แลองกัน..อีกหลายส่วนที่ไม่ได้พักคือ..ฝ่ายพยาบาลคนบาดเจ็บ..ซึ่งก็มีไม่น้อย..ต้องทำงาน
กันต่อ..พวกที่ตายก็เอาศพไปเผา..เพราะเก็บไว้ไม่ได้จะเป็นบ่อเกิดเชื้อโรค...ทหารที่เหนื่อยล้าก็ได้พักผ่อน..
....แต่ระดับผู้บังคับบัญชา..ไม่ได้พักเพราะ..ต้องรายงานผล..ความเสียหาย..รวมทั้งประเมินการต่อสู้ครั้งที่ผ่านมา..
...จุดด้อยที่ต้องปรับปรุงแก้ไข...เพื่อประกอบข้อมูลในการวางแผนการรบครั้งใหญ่..ที่อีกไม่กี่วันต้องเจอแน่....
.........พวกออสเตรีย..ประเมินได้อยู่แล้วว่า..อีกไม่กี่วันต้องเจอศึกหนักกว่า..ครั้งนี้แน่..พวกส่วนสนับสนุนเดิมที่ล้อม
อยู่ทั้งหมด..ต้องร่วมเปิดศึกเต็มรูปแบบแน่..เพราะอะไร..ที่พวกเขาคาดการณ์ได้แบบนั้น..ก็เพราะ..
....เขาคิดเหมือนที่..สุไลมานคิด..เพียงแต่ต่างกันเล็กน้อย....
๑. ออสเตรีย..ก็..ประเมินได้จาก..ข้อมูลอื่นที่..ได้จากเชลย..ครั้งก่อน..คือ..เรื่องอาหาร..มาอันดับแรก...
...เขารู้ว่า..ต้องเริ่มแบ่งปันอาหารกันแล้ว..จะยืดเยื้อ..ต่อไปอีกไม่ได้..เพราะทหารจะไม่มีอะไรกิน.....
๒. ข้อมูลที่ได้..ก็มีเพิ่มเติมมาคือ..ทหารเตอร์ก..นั้นไม่ได้เตรียมอุปกรณ์กันหนาวมาด้วย..ซึ่งขณะนี้มันปลาย
ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว..จะเข้าหน้าหนาว..อีกไม่กี่วัน (ตุลาคม )..ถ้ายืดเข้าถึงหน้าหนาว..ทั้งคน..และ..ม้า..แข็งตายแน่
..ไม่ต้องคิดเรื่องบุกแล้ว..แถมถ้าจะถอนตัวก็ไม่ทัน..เพราะกองทัพจะอ่อนแอมากๆ..จากปัจจัยดังกล่าวที่ผ่านมา..
..ผลร้ายจะยิ่งทวีคูณกับ..กองทัพเตอร์ก....
๓. ด้วยความหยิ่งทะนงในฝีมือ..ของตัวสุไลมานที่ปราบมาทุกทิศ..มันคงยอมรับไม่ได้..กับความล้มเหลวครั้งนี้
..ต้องทำการกู้หน้า..ด้วยการเกเต็มหน้าตัก..เท่าที่มีอยู่..เอาชนะให้ได้......ไม่ว่ากำลังใจของฝ่ายตนพร้อมหรือไม่ก็
ตาม...เพราะตัวเขาคือจอมทัพสูงสุด..ต่อให้คนอื่นคัดค้าน..เขาก็สั่งให้รบได้..ใครปฏิเสธ..คือ..ตาย..เท่านั้นเอง.....
............ดังนั้น..ส่วนที่ออสเตรีย..รีบทำก็คือ..การซ่อมแซม..ฐานที่มันสำคัญ..และอุปกรณ์รบ..ไม่ว่าหลังคากันธนู
บนกำแพง..ที่หลายส่วนถูกทำลายด้วยลูกปืนใหญ่..ปืนใหญ่ที่ชำรุด...การหล่อลูกปืน..ลูกธนู..ทำดินปืนเพิ่ม..ฯลฯ....
.......เรียกว่า...ออสเตรียนั้น..ประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้อง..และวางแผน..รวมถึง..การเตรียมปฎิบัติตามแผน..
ต่างๆ..อย่างพรั่งพร้อม..รอศึกใหญ่..ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง..ในไม่กี่วันนี้แล้ว....
........ข้างฝ่ายเตอร์กนั้น..สาหัส..สากรรจ์..เพราะล้มเหลว..ส่วนหนึ่ง..ถือว่าการประเมินศัตรู..ต่ำเกินเหตุ....
...เพราะไม่นึกว่า..ออสเตรีย..จะมีแผนเด็ด..จาก..กำแพงหอก..ที่ไม่ว่า..จะทำยังไง..ก็ไม่มียุบ..กำลังที่ใช้บุกคิดว่า
พอกำแพงยุบ..ก็..หวานหมู..ขนมกรุบ..ส่งกำลังไปแค่..ไม่กี่หมื่น..ก็น่าจะพอ..ยังไงพวกตน..ก็ต้องเข้าไปเปิด..ประตู
เมืองได้แน่...การสนับสนุนจากธนูเพลิง..ปืนใหญ่..พลปืน..ล้มเหลวหมด...การเคลื่อนที่เข้าตีมีปัญหา..ไม่คล่องตัว
..จากการลืมคิด..เรื่องดินมันน่วม..การขนปืนใหญ่..เข้าไปสนับสนุน..ทำได้แค่บางส่วน..ยิ่งตัวสำคัญคือ...
.....การที่เอาปืนใหญ่หนักวิถีราบ ( BIG GUN )...เข้าไปถล่มทำไม่ได้เลย..ต้องจอดขึ้..อยู่ที่ค่าย...คือ..ถ้าปืนใหญ่
หนักเข้าไปนั้น..ออสเตรีย..เสร็จแน่นอนครับ..เพราะ..มันจะทำลาย..กำแพงหอก..ของออสเตรียได้..โดยการยิงต่อ
เนื่อง..เพราะสุไลมานเอา..ปืนพวกนี้มาหลายกระบอก..และ..ก็จะสามารถ..ทำให้ความสูงของกำแพง..ส่วนที่ยุบ..
ค่อยๆเตี้ยไปเรื่อยๆได้..นอกจากนั้น..เมื่อเอาลูกปรายยักษ์มาใช้กับ..ไอ้นี่..ไอ้พวกอยู่หลังกำแพง..ก็อยู่ไม่ได้แน่
นอน..เพราะถ้าอยู่ก็ตาย.....ซึ่งพวกที่อยู่หลังกำแพงหรือ..ที่อยู่ส่วนที่ลาดกองหินนั้น..ก็คือ..ตัวที่เสริมให้กำแพง
หอกหนาแน่น..ตลอดเวลา..ถ้าพวกนีทยอยโดนลูกปรายยักษ์..ตาย..ก็จะไม่มีใครมาเสริม..และกำแพงหอกก็โปร่ง
...ทหารเตอร์ก..ก็สามารถข้ามกำแพงได้..เรียกว่า..ถ้ายอดปิรามิดหัวตัดนั้น..โดนเตอร์กยึดได้เมื่อใด..ออสเตรีย
ก็เตรียม..เก็บฉากได้..เพราะเตอร์กจะกรูข้ามมา..ต่อให้ทหารออสเตรียบน..กำแพงด้านข้างยิงใส่ขนาดไหน..ก็ยาก
เพราะทหารเตอร์ก..มันจำนวนมหาศาล..และถ้าพวกนี้..คอยแต่จะยิงพวกเตอร์กที่ยึดยอดได้..ก็จะกลายเป็นเป้า
..ให้ทหารเตอร์กที่ใกล้กำแพงยิงใส่..โดยง่าย..
............นี่คือ..สิ่งที่รบกวนสุไลมาน..การที่เขาเอา BIG GUN เข้าไปยิงไม่ได้..ก็ไม่สามารถเปลี่ยน..ทิศทางของ
การรบได้..นักวิชาการหลายท่านเห็นว่า..สุไลมานเชื่อมั่นตัวเองมากเกินไป..โดยที่..ระเบิดกำแพงเพียงจุดเดียว
..ถ้า..เขาระเบิดพร้อมกัน..ได้สักสามจุด...การรบจะจบที่การบุกครั้งแรกทันที..เพราะออสเตรียมีคนไม่พอที่จะ..
ไปป้องกันทั้งสามจุดพร้อมกันได้..ถ้าได้..ก็จะเป็นการต้านทานที่อ่อนแอ..เพราะตัวหนุนเสริม..จะมีไม่ต่อเนื่อง...
..กรณีแบบนี้..ก็ชนะศึกได้..โดยไม่ต้องใช้ BIG GUN....
...........สรุปคือ..หมูเอง..จองหองดีนัก......
...........................................................
ขอบคุณครับ ผมชอบประวัติศาสตร์ ได้รู้ความเป็นไปเป็นมาในอดีต
เรื่องที่คุณmodpong เขียนมา หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ครับ
...หวีดดี..และ..ขอบคุณ..สำหรับคำชมเชย..ของคุณ AMBER ครับ...
...................................................
...........................................................
.................ผู้ที่เขียนบันทึกที่ในค่ายเตอร์กนั้น..จดบันทึกถึง..สภาพเวทนาภายในค่าย..ที่มีจำนวนคนเจ็บ..
หลายร้อย..ส่งเสียงกันระงม..พวกที่รบมาเสร็จ..ก็..สลบสไล..หมดแรง..แถมอาหารก็มีแบ่งปันน้อย..ป่วยไข้..
กันเพิ่มขึ้น....๘ระที่ในกระโจม..ของสุไลมาน..ก็..มีแต่เสียงทะเลาะถกเถียงกัน...สุไลมาน..ก็ถูกบีบจากขุนพล
ส่วนใหญ่..ซึ่ง..ประเมินกันแล้ว..ด้วยข้อมูลคล้ายๆกับที่ออสเตรียประเมิน..คือ..หน้าหนาวใกล้เข้ามา...อาหาร
ไม่เพียงพอแล้ว..เครื่องกันหนาวก็ไม่มี..อาวุธหนัก BIG GUN..ก็เข้าไปช่วยไม่ได้....ทหารอ่อนเพลีย..หมดเรี่ยวแรง
..เพราะ..แทบจะไม่มีอะไรให้กิน...สภาพจิตใจแย่..ฯลฯ...สรุปคือ...
..................ถอนทัพกลับบ้าน..ดีกว่า....รบไปก็ไม่ชนะ..ไม่เห็นแนวทางที่จะพลิกสถานการณ์ขึ้นมาเป็นต่อได้......
....ถ้ารบไป..นอกจากจะไม่ชนะแล้ว..ไพร่พลก็จะตายเพิ่มเป็นจำนวนมาก...และ..จะทำให้การกลับบ้านช้าลง
หนีหนาวไม่ทัน..ระหว่างทาง..ก็คงต้องมีทหารและม้าตายเพิ่ม..จากความหนาว..มากขึ้นไปอีก.....(เดินทางกลับ
นี่..หลายเดือนนะครับ..กว่าจะถึง..อิสตันบุล)...
.....แต่ฝ่ายเสียงข้างน้อย..ที่มีสุลต่านสุไลมาน..เป็นผู้นำ..ไม่เห็นด้วย..เพราะ..จะเป็นความด่างพร้อยของกองทัพที่
ยิ่งใหญ่ของตน..เสียหน้า..ทำให้พวกออสเตรียเหิมเกริม..และ..การรบที่ผ่านมายังไม่ได้ทุ่มกำลังเต็มที่..ถ้าทุ่มเต็มที่
อาจพลิกสถานการณ์ได้....
.....ดังนั้นฝ่ายขุนพลเห็นว่า..สุลต่านยืนยันแบบนี้..ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะรบอีกครั้ง...แต่ก็มีข้อต่อรองคือ....
...ถ้ามีการบุกครั้งใหญ่ครั้งนี้..ก็ต้องเป็นการบุกครั้งสุดท้าน..ไม่ว่า..ผลจะออกมาเป็นยังไง..ถ้าไม่สำเร็จ..ก็ถอนทัพ..
....ซึ่งสุไลมานกับ..อิบราฮิม..นั้น..ความจริงนะเข้าใจในปัญหาอยู่แล้ว..แต่ศักดิ์ศรีมันค้ำ..ก็เลยตกลง..ตามนั้น...
...แต่..ต้องใช้เวลาหลายวัน..เพราะ..ทหารที่รบกลับมา..อ่อนเพลียกัน..ต้องรอฟื้นฟูให้ค่อยยังชั่วหน่อย....
.........ฝ่ายทางออสเตรีย..ก็..เร่งดำเนินการแบบที่ผมว่าไปแล้ว...กันเต็มสตีม..เรียกว่า..ไม่มีการพักกัน....
..ทางฝ่ายเตอร์กซะเปล่า..ที่ได้พัก..มีแต่พวกเสนาธิการ..ที่ไม่ได้พัก..ประชุมวางแผน..ประเมินสถานการณ์..
ตลอด...
.....แล้วช่วงปลายตุลา..สุไลมานก็พร้อม..เข้าโจมตีอีกครั้ง..ส่วนที่ยังเหมือนเดิมคือ..สภาพดินที่ยังไม่พร้อม..
ทำให้..เอา BIG GUN เข้าร่วมไม่ได้..แต่ที่แตกต่างคือ..กองทัพที่ล้อมเมืองเมืองนั้น..จะโจมตีพร้อมกัน..เต็ม
รูปแบบ....
.....ทางออสเตรียนั้นคาดอยู่แล้วว่า..ศึกครั้งนี้หนักแน่..การป้องกัน..ต้องกระจายตัวออก..รอบๆกำแพง..ที่
เตอร์ก..ตั้งทัพอยู่ทั้งสามด้าน...ชาวบ้านทุกคน..ไม่ว่าแก่หนุ่ม..ต้องจับอาวุธมาช่วยกัน..ทั้งหมด...แต่เนื่องจาก
ที่ผ่านมา..พวกออสเตรีย..ตายไม่มาก..จึง..ทำให้..ปัญหายังเกิดไม่มาก..แนวที่กำแพงยุบตัวลงมา..ลักษณะ
ป้องกัน..ก็ต้องใช้..รูปแบบเดิม..ผู้หญิงเด็กโต..ต้องช่วยกัน..คอยดับเพลิง..บรรจุกระสุน..
.........แม้ว่า..พวกออสเตรีย..คนน้อยแต่ได้เปรียบคือ..สภาพจิตใจ..เพราะเขาต่อสู้เพื่อบ้านตัวเอง..ครอบครัว
ตัวเอง..และ..การชนะครั้งที่แล้ว..ก็สร้างความเชื่อมั่นเต็มที่ว่า..สู้ได้...
.....แต่ฝ่ายเตอร์กนั้น..จากบันทึกก็ทราบว่า..ก่อนจะถึงศึกใหญ่นั้น..เหล่าทหารผู้น้อย..ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะรบ
..อาหารก็ไม่อิ่มท้อง..สภาพร่างกาย..ก็ไม่สมบูรณ์..และไม่แกร่ง..อย่างที่จะเป็น...และท้อถอย....
..........นี่แหละครับ..ที่ตัดสินผลการรบ..ก็คือ..สภาพจิตใจ....และทหารผู้น้อย..ก็ไม่รู้ว่า..ระดับสูงเขามีข้อตกลง
กัน..ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย..ถึงไม่สำเร็จ..ก็กลับบ้าน...
...เพราะปล่อยให้พวกนี้..รู้ไม่ได้..เพราะผู้บังคับบัญชาก้รู้อยู่แล้ว..ว่าพวกนี้..ตอนนี้มันไม่อยากรบอีกแล้ว...
ถ้าขืนรู้..มันก็จะสู้แบบเหยาะแหยะ..ไอ้ที่ควรเสี่ยง..กูก็ไม่เสี่ยงแล้ว..แพ้ไม่เป็นไร..ยังไงกูก็ได้กลับบ้าน..
....แต่การไม่รู้ข้อตกลงนี้..ก็มีผลเสียเช่นกัน..เพราะมันไม่รู้ว่า..จะต้องบุกอีกกี่ครั้ง..ใครๆก็รู้ว่า..สุลต่านนั้น
..เป็นคนดื้อ..และ..เอาแต่ใจตัวเอง...แพ้ไม่เป็น...มันก็เลยยิ่งทำให้..พวกทหารยิ่งหมดอาลัยตายอยาก..เข้าไป
ใหญ่...ความมุ่งมั่น..ก็หดหาย..ไม่รู้ว่าจะต้องมาตายเพราะความหนาว..หรือ..โดนปืน..โดนหอก.......
............และแล้ว..การบุกครั้งสุดท้ายของสุไลมานก็เริ่มขึ้น.......
...........................
เข้ามาอ่านทุกวันครับ สุดยอดของสารคดีประวัติศาสตร์ ติดตามได้แบบไม่เบื่อ
ขอบคุณท่านmodpong
........ก่อนอื่น..ขอขอบคุณ..คุณ PAC FA ที่เขียนชม..บทความของผม..รู้สึกดีครับ..ที่เป็นประโยชน์
กับ..ตัวผู้อ่าน..ผมก็หวังว่า..จะเป็นเช่นเดียวกับ..ผู้อ่านอื่นเช่นกัน......
.......นับว่า..เป็นกำลังใจอันดี..สำหรับผม..ที่จะเขียนเรื่องแบบนี้ต่อไป..เรื่อยๆ..จนหมดแรงไปเอง..
...ขอบคุณจากใจจริง..ครับ...
..........................................
............................................
...........................
...............ปรากฏว่า...แม้จะระดมบุกทุกด้าน..แต่กลยุทธ์ก็แทบเหมือนเดิม..เพียงแต่เพิ่มคน..เพิ่มอำนาจการยิง..
..เรียกว่า..สุไลมานหมดน้ำยา..ไม่สามารถใช้สมองมาแก้ข้อบกพร่องของตนได้..แถมข้อมูลจากทางแขกที่บันทึก
จากในค่ายนั้น..ก็บอกว่า..นักรบที่ออกไปรบวันนั้น..ไม่ได้เหี้ยมหาญ..เหมือนเดิม..ถ้าจะเรียกศัพท์สมัยนี้ผมว่า..
..”พกใจไปครึ่งเดียว”....แม้จะทุ่มกำลังเต็มสตีม..ประสิทธิภาพมันไม่เต็มสตีมด้วย...ก็แค่เรียกว่า..ดีขึ้นกว่าเดิม
ไม่มาก..ทั้งๆที่ทุ่มเต็มหน้าตัก...ขณะที่..ในเวียนนา..คืนก่อนหน้าศึกใหญ่..หลวงพ่อและ..คณะสงฆ์..ออกมาสวด
ขอพรพระคริสต์..และ..พระผู้เป็นเจ้า..ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่..เจ้านาย..ทหาร..ซึ่งอยู่ประจำตำแหน่งต่างๆ..ทั่วกรุงเวียนนนา
ก็สวดมนต์พร้อมกัน..เสียงกระหึ่ม..ไปทั่วกรุงเวียนนา..ซึ่งSTERN..ที่จดบันทึกนั้นบอกว่า..มันเป็นอะไรที่ประทับใจ..
..และ..ทำให้ขวัญ..กำลังใจ..เต็มเปี่ยม.....
.......ก็นี่แหละครับ..ไอ้กำลังใจปวกเปียก..แต่คนเยอะ..มาเจอกำลังใจเกินร้อย..แม้จะคนน้อย..ผลก็คือ..
...เตอร์ก..ตายมากกว่าครั้งแรก..เยอะ..และก็ไม่สามารถ..ก้าวข้ามกำแพงไปได้..แม้แต่คนเดียว........
........สุไลมานยอมรับสภาพ..และ..ถอนทัพทันที..ทิ้งพวกบาดเจ็บไว้อีกไม่น้อย..ให้ตกเป็นเชลย...ทำไมสุไลมาน..
ไม่รักลูกน้องเหรอ..ก็ไอ้ส่วนใหญ่ที่เอามารบ..นี่มัน..คนเตอร์กแท้ๆที่ไหนละครับ..มันก็..พวกกรีก..เซอร์บ..อัลบาเนีย
ฮังการรี่..รูมาเนีย..บุลกาเรีย..ที่มันจับไปตั้งแต่เด็กๆ..แล้วเอาไปเปลี่ยนศาสนา..และ..ฝึกให้เป็นทหาร..มารบนั่น
แหละ..เตอร์กมันฉลาดมาอยู่แล้วตามนโยบายของ..เมเหม็ดที่๒ ทวดของสุไลมาน..และใช้รูปแบบนี้ต่อมาเรื่อยๆ
..อย่างที่ผมเคยเล่าไปแล้ว..ทุกครั้งที่ทำการรบ..จะมีทหารเตอร์กแท้ๆ..ไม่ถึง ๑ ใน ๓ ด้วยซ้ำ..นั่นมันถึง..ยกทัพ
ขนาดมหาศาลครั้งละเป็นแสนได้บ่อยๆ...มันจึง..ไม่สนใจ..พวกนี้เท่าไหร่..ถือว่าหมดค่าแล้ว..แล้วเอาไปด้วยก็
เป็นภาระ..เปลืองอาหาร..อีกต่างหาก...............
.....เรียกว่า..ขากลับนี่..หฤโหดมาก..ตามที่แขกจดบันทึกเล่าเพราะ..หิมะเริ่มตกพอดี...ทหารที่บาดเจ็บน้อย..
หรือมาก..ก็ตายเกือบทั้งหมด..เพราะทนอากาศหนาว..และ..ขาดอาหารไม่ไหว..นี่รวมไปถึงพวกม้า..ที่หาอะไร
กินระหว่างทางไม่ได้..เพราะเจอแต่หิมะขาวโพลนไปหมด..กว่า ๒ เดือน..ที่ต้องเดินทางฝ่าหิมะ..แม้แต่ทหาร
ที่ไม่บาดเจ็บ..ก็ยังตายไปเอง..จากความหนาว..และ..ขาดอาหาร..ในช่วงเดือนท้ายๆ...ม้าที่ตาย..ก็ถูกแล่เอา
มาเป็นอาหาร..ตัวไหนท่าทางแย่ก็ฆ่าเอามาเป็นอาหาร...เรียกว่า..เมื่อถึง..อิสตันบุลนั้น..เหลือม้าอยู่ไม่มาก...
........สุไลมานได้ประสพการณ์..ที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต..และตามหลอกหลอนเขาตลอด..ความล้มเหลวครั้งแรก
และ..เป็นการล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่....บวกกับ..ความคลั่งแค้น..ที่เป็นคุณสมบัติของเขา..เขาสาบานกับตัวเอง
ว่า..เขาจะต้องกลับไปยึดกรุงเวียนนา..ให้ได้....ทำให้เขาครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาที่ค่อยๆผ่านไป..และเริ่มวางแผน
เตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่...เพื่อจะกลับไปอีกครั้ง......
..............ฝ่ายกรุงเวียนนา..พอเห็นกองทัพที่ปิดล้อม..ถอยกลับไปหมด...ก็ฉลองชัยกันสุดชีวิต..ระฆังทุกโบสถ์
ในกรุงเวียนนา..ตีพร้อมกัน..สนั่นทั้งเมือง..แม้คนที่บาดเจ็บจากการรบ..ก็ยังยิ้มได้..และร่วมฉลองชัยกัน...
...ทหารก็ยกย่องพลเรือน..พลเรือนก็ยกย่องทหาร..นี่คือ..ตัวอย่างความร่วมมือ..เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน....
ที่..สามารถ..ทำให้กรุงเวียนนา..รอดพ้นจาก..การที่จะต้องถูกเปลี่ยนให้เป็นเมืองมุสลิม..โบสถ์เซนต์สเตฟาน..
ที่เป็นมหาวิหารของเมือง..ถูกยึดได้..ต้องโดนทุบทิ้งสถานเดียว..เพราะ..เป็นทรงโกธิค..สูงหลังคาแหลม..ซึ่ง
เตอร์กไม่ชอบ...
.......นักประวัติศาสตร์ประเมินไว้ว่า..ถ้า..กรุงเวียนนาโดนยึด..ภายในระยะเวลาไม่เกิน..๓๐ ปี..ยุโรปจะถูกยึด
ทั้งหมด..ไม่พ้นแม้อิตาลี่..และ..ฝรั่งเศษ..ที่สมคบคิด..กับเตอร์กเอง..ก็ไม่รอด...เมื่อยุโรปโดนหมด..เป้าหมาย
ต่อไป..ก็คือ..อังกฤษ..ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น..ไม่มีทางที่อังกฤษ..จะรับมือเตอร์กได้เลย....เพราะเตอร์ก..จะเกณฑ์
พลจากประเทศที่ถูกยึดครอง..รวมกันเอามาถล่มอังกฤษ...ซึ่งแน่นอนครับ..ไม่มีทางรอด....
.......และเมื่อ..วาติกันโดนยึด..อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ก็ล่มสลาย..ศาสนาคริสต์..ก็จะค่อยๆเสื่อมลงไปเอง..
.....วาติกัน..จึงได้..ประกาศชัยชนะของสงครามศาสนาครั้งนี้..และ..ยกย่องทหารและ..ชาวกรุงเวียนนนาทุกคน
เป็น..ทหารของพระคริสต์..ส่งทูตเดินทางไป..อวยพร..ที่กรุงเวียนนา..สร้างความปลาบปลื้มให้กับทุกคน..
...............................
สุดติ่งมะปลิงมะไฟจริงๆครับ ขออีกครับ
....ขอบคุณ คุณ YUKIKAZE ครับ..สำหรับคำชื่นชม..ต่อบทความนี้..
..ผมกลับเข้าไปที่..กระทู้เก่าของผม..กุรข่า..นักรบเลือดดุ..ที่หล่นไปอยู่ที่..หน้า ๕๗ แล้ว..
ก็..ภูมิใจ..ในตัวเอง..ว่า..กระทู้ที่..คนมาPOST..ขอให้ปักหมุด..แต่ทางเว็บไม่ได้..ปักหมุดให้..อย่างกระทู้นี้นั้น
..ผมเขียนเมื่อ ๒ ปีกว่ามาแล้วนั้น..คนเข้ามาอ่าน..เกือบ สองหมื่นสี่พัน..ครั้ง..นับว่า..ไม่เลวทีเดียว..
....คราวนี้..กระทู้นี้..ปักหมุดให้ผม..ผมก็ต้องรักษา..ความมีเนื้อหา..สาระ..และ..ความสม่ำเสมอ..
ไปตลอด..เพื่อ..ไม่ให้..ผู้ที่ปักหมุดให้ผม..ผิดหวัง..ก็..ขอขอบคุณอีกครั้ง...
.....ผมว่า..ผมคงเขียนที่นี่..ไปตลอดปีนี้..ค่อนข้างแน่...ก็ติดตามกัน..ต่อไปเรื่อยๆ..แล้วกัน..
....แม้ว่า..กระทู้นี้..เนื้อหาจะไม่..ดุเดือด..เลือดพล่าน..แบบ..กุรข่า..นักรบเลือดดุ...แถม..ยัง
มีอ้อมไป..อ้อมมาเยอะหน่อย..แต่มันก็เกี่ยวข้อง..กันบ้างครับ..บางที..ก็ไม่ใช่เรื่องรบ..แต่ก็
เป็นความรู้ทั้งนั้น..เพื่อมอบให้ผู้อ่านแบบ..ที่ท่านจะไม่เจอเหมือนที่อื่น..เพราะถ้าเจอรายละเอียดก็ต่างกัน
...เพราะผมค้นคว้าหลายแหล่ง.มาก..แล้วเอามาประเมินข้อมูลน่าเชื่อถือ..ก่อนที่จะใช้สำนวนและรูปแบบ
การเขียน..แบบของผมเอง..ร้อยเรียงเอามาให้ท่านทั้งหลายอ่านอีกที....
.....ถ้ามันจะยืด..จะยาดหน่อย..ก็ไว้อ่านเล่นเพลินๆแล้วกัน..สาระทั้งนั้นครับ...
อ่านจบละ ไม่ได้อ่านนาน ไม่ว่าง เมื่อกี้ล่อไปเป็นชม.เลย
อ่านแบบเป็นเหมือนอ่านหนังสือหรือฟังวิทยุสดๆ
ผมว่าแบบนี้สนุกดีครับ เรื่องหลากหลาย อย่างเรื่องปืนใหญ่ไทยในฝรั่งเศสก็เล่นเอางง
อารมณ์เหมือนอ่านนิตยสารสารคดีประวัติศาสตร์แล้วมีหลายๆเรื่องหลายสกู๊ปในเล่มเดียว
เรื่องยอดวิวผมว่ากว่าเรื่องนี้จะจบก็แซงกุรข่ากระจายล่ะครับ นี่ก็จะสองหมื่นอยู่แล้ว ตอนนี้สมาชิกเว็บก็เยอะกว่าแต่ก่อนด้วย
ขอบคุณมากครับ มีคนอ่านเยอะแต่ไม่ได้เข้ามาโพส เพราะไม่อยากจะขัดจังหวะ จบจากเรื่องนี้ต่อเรื่องอื่นเลยครับ ผมเองยังอ่านไม่จบเลยครับ เพราะอ่านจากคอมฯ มองนาน ๆ แล้วมันปวดตาครับ ต้องค่อย ๆ อ่านไป ผมขออนุญาตปิ้นออกมาทำเป็นรูปเล่น แล้วมานั่งอ่านได้ไหมครับ ถ้าทำได้ถือเป็นสมบัติชิ้นงามของผมเลย... เรื่องราวแบบนี้จะหาจากที่ไหนได้ ขอบคุณมากที่ให้ความกรุณาครับ...
..................................
....ขอ..ขอบคุณ..คุณTOEY TEI และ..คุณ ทอแสง ..ที่POST มาให้กำลังใจ..และ..ชื่นชมในบทความนี้ครับ
...และ..เรื่องจะPRINT ออกมาเป็นเล่ม..แล้วเก็บไว้อ่านก็ไม่มีปัญหาครับ..ของผมไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ..
...ถือว่า..ถ้ามันสร้างประโยชน์ให้คนทั่วไปได้..ก็ทำให้ผมมีความสุขแล้ว...เชิญเลยครับด้วยความยินดี
.................................
...............................
............นี่ถือว่า..โชคดีที่การศึกครั้งนี้....มีคนที่ร่วมทัพอยู่ทำบันทึกส่วนตัว..และมีคนมาค้นในภายหลัง..หลาย
ร้อยปี..หลังจากนั้น..ไม่ต้องแปลกใจครับ..บันทึกแบบนี้..โผล่มาในสมัยสุไลมาน..ไม่ได้เด็ดขาด..ถูกตัดหัว
สถานเดียว..เพราะมันบันทึก..ความล้มเหลวของเขา..รายละเอียดในการรบครั้งนี้..ที่คนเตอร์กรู้ก็เพียงแค่..
ล้อมอยู่นาน..แล้วก็ถึงหน้าหนาว..ทำการรบลำบาก..เลยกลับ..แค่นั้นครับ..ไม่ได้แสดงความล้มเหลวอะไร..
แค่ไปถึงช้าไปหน่อย..เลยไปเจอหนาว....
...............ยิ่งสงครามกับ..นิโคล่า..ในภายหลังนี่..ไปกันใหญ่..กลับไปเขียนว่า..เป็นสงครามเล็กน้อย..ไม่สำคัญ
อะไร..ในรายละเอียดที่ผมเล่าใน..ภายหลัง..ยิ่งบิดเบือนผลการรบ..เข้าไปใหญ่..ซึ่งผมจะเล่ารายละเอียดภายหลัง
..............................................................................................
.........ครับ..นี่แหละ..คนเราที่เคยยิ่งใหญ่..ก็อยากให้คนที่เขาเคยเชื่อถือ..เห็นความยิ่งใหญ่ตลอดไป..โดยบิดบัง
..ความล้มเหลวบางอย่างในชีวิต..ไม่ให้ใครทราบ...เพื่อความอมตะ..ที่จะได้มีคนยกย่องตลอดกาล......
....................................................................................................
..................ผมเอ่ยถึงเรื่องของเตอร์ก..สุไลมาน..และ..อิบราฮิมปาชา...คู่ปรับของ..นิโคล่า..มานาน..พอสมควร
...ต่อไปนี้..ผมก็จะเริ่มกล่าวถึง..ชาติโครเอเชีย..ที่เป็นชาติพันธุ์ของ..นิโคล่า..บ้าง.......
................ผมว่า..คนไทยมีจำนวนน้อยมาก..ได้คุ้นเคย..และ..เคยไปประเทศนี้..ยิ่งสมัยที่ผมไปเมื่อยี่สิบกว่าปี
ก่อน..ยิ่งน้อยมากๆเลย..เพราะเป็นประเทศสังคมนิยม..ที่มีความสัมพันธุ์แนบแน่นกับ..รัสเซีย...และเป็นกลุ่ม
ประเทศกึ่งต้องห้าม..ข้าราชการที่เดินทางไปเรียน..หรือ..อบรมที่นั่น..จะต้องไปเข้าคอร์สรักษาความลับ..ที่..
สวนมิสกวัน..เสียก่อน..ที่เป็นหน่วยงานหนึ่งของ..กอรมน. ..เป็นอาทิตย์ครับไม่มียกเว้น..ผมก็เป็นหนึ่งคนในนั้น..
...ประเทศสังคมนิยม..สมัยก่อน..สังเกตง่ายครับว่า..ประเทศไหนเป็น..ก็คือ..ดูที่อาวุธ..ยุทโธปกรณ์...ถ้าปืนยาว
ประจำตัว..เป็นเอเค๔๗(อาร์ก้า)..ปืนพก..เป็น..โตคาเรฟ..อาวุธยิงรถถัง..เป็น อาร์พีจี...รถถัง..เฮลิคอปเตอร์..
..เครื่องบิน..(มิกรุ่นต่างๆ)....ฯลฯ..นั่นแหละครับใช่..เรียกว่าไม่ต้องไปถามให้เมื่อย..เป็นประเทศกึ่งต้องห้าม
สำหรับ..คนไทยทั้งสิ้น....
.....อันนี้เป็นเกร็ดความรู้..ว่า..ไอ้ประเทศที่แยกมาจากยูโกสลาเวียเดิม..นี่..มันมีส่วนสำคัญ..อะไรกับโลกบ้าง..
นอกจาก..สงคราม..ที่ต้องให้ชาวบ้านเขามาวุ่นวายด้วย..(..ซาราเจโว..บอสเนีย..จุดที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑
..และสงครามบอสเนีย..โคโซโว..)....แล้ว..มันมามีอะไร..กับ..ไทย..บ้าง...
....ผมตอบอันหลังก่อนแล้วกัน..เพราะ..คนผู้หนึ่งที่เป็น..ชาวโครอัท...ที่สร้างแรงบันดาลใจ..ทำให้..ในหลวงของเรา
สร้าง..พระราชนิพนธ์..อย่างยาว..เกิดขึ้นมา..ในรูปแบบภาษาไทย..ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงเขียน..ทั้งประวัติ..
..แง่มุม..ต่างๆ..ความเป็นตัวตน..ของคนผู้นี้...เรียกว่าเป็นรูปแบบสารคดีอัตตประวัติชีวิต..ได้เลย...
....พระราชนิพนธ์นั้น..ชื่อว่า..................”ติโต”........................
...ซึ่งเป็น..ชื่อเรียกของ..อดีตผู้นำอันยิ่งใหญ่ของยูโกสลาเวีย..ผู้รวมชาติรวบรวมแคว้นต่างๆ..ก่อให้เกิดเป็น..
....................ประเทศยูโกสลาเวีย.................เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สอง.......
....เขามีชื่อเต็มว่า...โจเซฟ บรอช ติโต........................คนรุ่นผมจะรู้จักคนผู้นี้ดีเพราะแกดังมาก........
............ต่อไป..ก็จะกล่าวถึง..อันแรกคือ..แล้ว..ส่วนที่สำคัญต่อโลกนะมีมั้ย........
....อันนี้แหละ..ที่..คนส่วนน้อยจะรู้ทั้งๆที่มันสำคัญต่อโลกมาก..แต่บุคคลคนนี้..ไม่ได้มีชื่ออยู่ใน...
บุคคลสำคัญทางวิทยาศาสตร์..ของโลก..ในยุคทีผมเป็นนักเรียน..ก็ไม่รู้ว่าทำไม..เหมือนกัน....
..ผมมารู้จักเอา..เมื่อทำงานแล้วด้วยซ้ำ..................
..............คนๆนี้..เป็นคนเซิร์บ..หรือ..เซอร์เบีย..ครับ....ทั่วโลกยกย่องว่า..เขาคือ..อัจฉริยะของโลก..
...ระดับนั้น..เทียบได้กับ..ไอน์สไตน์...ที่บอกอย่างี้ได้..ก็เพราะ..ใช้ไอน์สไตน์เป็นเครื่องชั่งคือ...
..เขาคิดใน..สิ่งที่ไม่เคยคิดได้มาก่อน..แบบที่ว่ามีเค้าโครงให้เป็นจุดเริ่มต้น..แบบเดียวกับ..ไอน์สไตน์..
............เขาชื่อเต็มๆว่า......นิโคล่า เทสล่า........................(ผมว่าหลายท่าน..อ่านมาถึงชื่อนี่..งง...
มันเป็นใครวะ.....).....
............สิ่งที่เกิดจาก..ความคิดของ..ไอน์สไตน์...นั้น..หลายประเทศในโลกนี้..ไม่มี..และ..ไม่ได้ใช้....
...แต่สิ่งที่เกิดจาก..ความคิดของ..เทสล่า...นั้น..ทุกประเทศในโลกนี้..มี..และ..ได้ใช้............นั่นคือ...........
กระแสไฟฟ้าสลับ..หรือ..ALTERNATING CURRENT..หรือ..ไฟฟ้า AC....นั่นเอง...
....ไฟบ้าน ๒๒๐ โวลท์..นี่แหละครับ..ที่จ่ายเป็น AC....
เทสล่านี่คือคนที่อีลอน มัสก์เอามาเป็นชื่อรถใช่ไหมครับ
บางคนยังนึกว่าเทสล่าเป็นเจ้าของบริษัท ฮา
ผมว่ามันคนละแนวกับไอน์สไตน์ครับ เพราะไอนสไตน์เป็นนักฟิสิกส์ นักคณิตฯ นั่งคิดทฤษฎีที่จะอธิบายปรากฏการณ์ในธรรมชาติ ส่วนเทสล่าเป็นนักประดิษฐ์ เอาวิทยาศาสตร์มาประยุกต์สร้างสิ่งของขึ้นมา
แต่เอาจริงเทสล่า ถ้าไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องพวกนี้ คนรู้จักน้อย ก็งงเหมือนกัน
.....หวัดดีครับ..คุณ TOEY TEI ......
.....ผมคิดว่า..คงเป็นแบบนั้นครับ..เรื่องชื่อนะ..เพราะ..ชื่อของแก..นั้น..ไปเป็นอะไร..หลายอย่างมาก...
....ใช่ครับ..คนละแนว..แต่ที่ผมว่านี้..คือความเป็น..อัจฉริยะ..ในการคิดค้น..ครับ....
...เรื่องที่ผมพูด..เรื่องเทียบชั้นกับ..ไอน์สไตน์นี่..ไม่ใช่ผมพูดเองนะครับ..แต่เป็นการยกย่องของ..
นักวิทยาศาตร์..ของฝรั่งเขา...ที่กล่าวถึง..อัจฉริยะภาพของเขา......อย่างผมไปยกเอาเองไม่ได้หรอกครับ
...ความหมายนั้น..อาจหมายถึง..IQ ..ด้วยครับ..
....แกเป็น..คนที่สร้างทฤษฎีเช่นกันครับ..เพราะถ้าเราส้รางอะไรหรือ..อ้างอะไร..แล้วเราไม่มีทฤษฎี..หรือ..แนวคิด
..ที่เชื่อถือได้..ออกมา..พวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็จะไม่ยอมรับ.....เพียงแต่ไม่ใช่
ทฤษฎีหลัก..ก็อย่าง..เรื่องไฟฟ้ากระแสสลับ..มันก็เกิดมาจากทฤษฎีของเขา..แล้วเขายังสร้างทฤษฎีต่างๆอีกมากมาย..
..ที่เป็นทฤษฎีรอง..เพราะผลเหล่านั้น..ทำให้เกิดการจดลิขสิทธิ์..ของเขามากมาย.....และจริงๆเขาก็เป็นนักคณิตศาสตร์
ด้วยครับ....และเขาก็..ได้แสดงให้คนเห็นถึงความสามารถเขา..ตั้งแต่อายุ ๑๔ คือการ..คำนวณแบบอินทิเกรต..ในใจ...
.....คือเรียกว่า..ตั้งโจทย์..จะยาก..อินทิเกรดหลายชั้น..เขาก็สามารถคิดในใจได้..ตอบได้ถูกต้อง..จนได้ทุนการศึกษา..
ครับ....ซึ่งแค่นี้ก็แสดงถึง..อัจฉริยะภาพของเขาได้....
.........ขอบคุณครับ..ที่แสดงความคิดเห็นครับ..
...นี่คือภาพของเขา..นี่เป็นภาพที่ไม่ได้ตัดแต่งนะครับ..เขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถของสิ่งเขาประดิษฐ์ขึ้น
..ก็คือ..เครื่องสร้างกระสไฟฟ้าผ่านอากาศ(ไม่ต้องใช้สายไฟ)..เรียกว่า..หลอดไฟฟ้า..ไม่ต้องต่อกับอะไร..มัน
ก็ติดเองได้..แถมยังไม่เป็นอันตรายกับ..คนที่อยู่ในรัศมีทำการด้วย...
..........................................................
..........สมัยผมเป็นเด็ก..หนังสือเรียนบอกว่า..คนคิดกระแสไฟฟ้า..หรือ..คนให้กำเนิดไฟฟ้า..คือ..
โธมัส อัลวา..เอดิสัน...แค่นั้นหละครับ..จบ........
...ทั้งๆที่..ความจริง..เอดิสัน..แค่เอาไกด์..หรือ..แนวความคิด..และ..ทฤษฎี..ของคนอื่น..ที่เขาคิดมาก่อน..
ไม่ว่า..มาร์โคนี่..หรือ..คนอื่น...มาสร้าง..กระแสไฟฟ้า..ที่แบบ DIRECT CURRENT ..กระแสไฟฟ้าตรง..
หรือ..ไฟฟฟ้า DC..ที่เรารู้จักกันดี..(..เช่น..ถ่านไฟฉาย..หรือ..ถ่าน..ต่างๆที่จ่ายไฟฟ้าเป็น DC )....
...ผมคิดว่า..คนรุ่นนี้..คงไม่น้อยที่รู้จักเขา..แต่รุ่นผม..หรือ..อ่อนกว่าสัก..สี่ห้าปี...ไม่รู้จักเขาหรอกครับ..
ถ้าไม่ได้เรียน..สายอาชีพที่กี่ยวกับ..ไฟฟ้า....ผมถือซะว่า..เอาเขียนให้คนไม่รู้จักรุ่นผม..ได้รู้จัก..ก็แล้วกัน
......ก่อนหน้านี้..จนมาถึงยุคของเอดิสัน..ที่เริ่มสร้างโรงผลิตกระแสไฟฟ้าแบบตรง..ให้กับเมือง..เท่าที่นัก
ประวัติศาสตร์..ค้นคว้ามา..ไม่ได้เคยมีใครมีไอเดีย..หรือ..ทฤษฎี..ที่ใกล้เคียง..มาให้ไอเดีย..กับ..เทสล่า..
เลย...เขา..คิดทฤษฎี..ของเขาขึ้นมาเอง..นั่นเขาจึงถูกให้ยกระดับ..เป็นหนึ่งใน..อัจฉริยะของโลก..เทียบเคียง
..อยู่ในแถวหน้า..เช่นเดียวกับ..ไอน์สไตน์...
............................
........มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านกล่าวทำนองเดียวกันว่า..ถ้าไม่มีนักวิทยาศาสตร์ชาติเซอร์เบีย
..คนนี้..โลกจะหล้าหลังไปอีกหลายสิบปี..ที่พูดอย่างงั้นได้เพราะ..กระแสไฟฟ้า DC เพิ่งมีขึ้นมาไม่นาน..และ
คนส่วนใหญ่..ไม่ได้เดือดร้อนแถมยังเห่อการใช้ไฟฟ้า..การมีหลอดไฟฟ้าใช้..กันได้ไม่นาน..โดยเอดิสัน..ก็
รวยเละเทะ...เรียกว่า..กว่าคนจะตระหนักว่า..กระแสไฟฟ้า DC นั้นมันมีจุดด้อยมากมาย..ทั้งลงทุนสูง..
..การจ่ายกระแสไฟ..ทำได้ระยะสั้น..ต้องตั้งโรงไฟฟ้า..เต็มไปหมด..และ..ไม่สามารถจะนำไปใช้..กับจักรกล
ที่ต้องใช้แรงขับเคลื่อนมากๆได้...เอดิสันได้รับรางวัลและการสรรเสริญไปทั่ว..ขณะที่เทสล่า..นักวิทยาศาสตร์
หนุ่ม..เพิ่งอพยพมาอยู่ในอเมริกาใหม่ๆ..แถมเข้ามาทำงานในบริษัทของเอดิสันด้วยซ้ำ..เขากลับเสนอกระแส
ไฟฟ้า AC ที่เขาบอกว่า..จะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกขึ้นมา..แรกๆก็มีแต่คนหัวเราะเยาะ..
........เทสล่าเขาบอกว่า..ทฤษฎีกระแสไฟฟ้าสลับนั้น..อยู่ดีๆเขาก็คิดขึ้นมาได้เอง..นอกจากนี้..เครื่องผลิตกระแส
ไฟฟ้าพลังน้ำ..เขาก็เป็นคนคิด..แล้วเขาก็คิดอะไรอีก..เต็มไปหมด..ไม่ว่า..เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากพลังน้ำ..ทีทุก
ประเทศ..ต้องใช้กัน..มอเตอร์ไฟฟ้าจากกระแสไฟฟ้า AC ที่มีกำลังขับเคลื่อนสูง.. เป็นต้น..แต่ที่..เจ๋งสุดคือ....
.......เขาสร้างหอสูง..แล้วส่งกระแสไฟฟ้าผ่านอากาศรอบๆ..โดยไม่เป็นอันตรายต่อคน..สามารถส่งกระแสไฟฟ้า
แบบไร้สายได้มากกว่า..สิบไมล์..โดยที่เขาบอกว่า..ถ้าทำแบบนี้..กระจายไปทั่วโลก..คนในโลก..ก็จะมีไฟฟ้าใช้ฟรี
ทั่วถึงกัน..โดยไม่ต้องไปเดินสายไฟฟ้าให้วุ่นวาย..แต่เวสติ้งเฮาส์นายทุนของเขา..ส่ายหน้าโบกมือลา..บอกว่า..
แล้วยังงี้..อั๊วก็ไม่ได้กะตังค์อะไรเลยซิ..โครงการดังกล่าวเลยพับฐานไป..เพราะไม่มีนายทุนคนไหนเอาด้วย...
...และสังเกตดูว่า..ชื่อของเขา...”นิโคล่า”...เหมือนกับ..”นิโคล่า”..พระเอกของเรื่องนี้..สะกดเหมือนกันด้วย....
............................ผมเอาเรื่องนี้มาเล่าเคร่าให้ฟัง..เพื่อให้รู้ว่า..ภูมิภาคแถบนี้..ก็มีส่วนในการสร้างโลก..เช่นกัน...
.....สำหรับ..ชาวโครเอเทีย..นั้น..เดิมทีเดียว..ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ..พวกนี้เป็นเผ่าสลาฟ ที่เป็นเผ่าใหญ่ของรัสเซีย
...ซึ่งถ้าพูดจริงๆมันก็ไม่ถูก..เพราะรัสเซีย..นั้น..เดิมทีเป็นเชื้อสายเผ่าย่อยของไวกิ้ง..ที่เรียกว่า..พวกรัส..เคลื่อนย้าย
ลงมารุกรานทางใต้..เขามาในพื้นที่ๆเป็นรัสเซียปัจจุบัน..และ..มารุกราน..พวกสลาฟ..ทำให้พวกสลาฟ..เกิดการเคลื่อน
ย้ายกัน..พวกสลาฟนั้น..ก็ได้แก่..โปแลนด์..เช็ค..สโลวัค..ฮังการี(บางส่วน)..รูมาเนีย(บางส่วน)..บุลกาเรีย..อัลบาเนีย..
เซอร์เบีย..โครเอเชีย..บอสเนีย..เป็นต้น......
.......โครเอเชียนั้น..อยู่ในกลุ่มของ..พวกสลาฟใต้...เช่นเดียวกับ..เซอร์เบีย..และ..บอสเนีย...ลักษณะแตกต่างอย่างเห็น
ได้ชัดของพวกสลาฟใต้..ก็คือ..สีผมจะเข้ม..เป็นสีน้ำตาลเข้ม..เป็นส่วนใหญ่..ขณะที่พวกสลาฟเหนือ..สลาฟตะวันตก..
อย่าง..โปแลนด์..เช็ค..และ..สโลวัค..นั้นจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนไปถึงสีทอง...
....ส่วนรูปร่างพวกนี้จะคล้ายกันครับคือ..ถ้า..ยังเป็น..หนุ่มสาว..รูปร่างจะสูงโปร่งไหล่กว้าง...คุณลองดู..นักกีฬาดังๆ
ของโลกนี้..ที่เป็นคน ๒ เผ่านี้ได้เลย..จะเป็นหุ่นแบบนี้หมด..และที่ต่างจากฝรั่งทั่วไปคือ..ความสูงครับ..ยิ่งผู้ชาย
นี่..๖ ฟุต ๔ นิ้ว..ถือว่า..เป็นเรื่องธรรมดา...สมัยผมไปอยู่ที่นั่น..เรียกว่า..มีปมด้อยเลย..เวลาไปขึ้นรถเมล์...หรือ
เดินเล่นตามถนน..ที่มีคนเยอะๆ..ผมสูง ๑๗๘ ซม. สำหรับคนยุคผม..นะถือว่า..สูง..อยู่เมืองไทย..เวลาขึ้นรถเมล์
สมัยเรียนหนังสือ..ถือว่า..สูงกว่าคนทั่วไป..ไปอยู่..โน่น..อาทิตย์แรก..ช็อคเลย..ไปยืนบนรถเมล์...หัวผมอยู่แค่..
ไหล่..ไอ้พวกนี้เอง..ทีแรกๆ..นึกว่า..เป็นบางคน..ปรากฏว่า..อยู่ไป..อยู่ไป..จึงต้องยอมรับ..ไม่ว่ามันจะมาจาก
ภาคไหน..ก็เป็นแบบนี้..ผมท่องเที่ยวไปที่ต่างๆ..มันก็เป็นแบบนี้กัน....อยู่ที่นี่ผมกลายเป็น..ไอ้เตี้ย..เพราะสูงเท่า
กับเด็กมัธยมต้น..เท่านั้น....
...........................................................
มาติดตามอ่าน และให้กำลังใจ...
ไปตามอ่าน นักรบกุรข่า ซะเพลิดเพลิน ไปเลยครับ
ขอบคุณครับ
.....หวัดดีครับ..คุณAMBER.....
.................................................
.......................................
...........................................................
.......พอพวกนี้..ซัก ๔๐-๕๐ มันก็จะเริ่มมีเนื้อ..และอ้วนขึ้น..คราวนี้มันก็เลยกลายเป็น..ยักษ์เลย...ตัวใหญ่มาก..
..ไม่เหมือนกับ..พวกสายไวกิ้ง..หรือ..แสกนดิเนเวียน..ที่..ตัวหนาใหญ่..มาตั้งแต่..หนุ่มสาว...
.....พวกนี้เข้ามายึดพื้นที่..บริเวณที่อยู่ปัจจุบัน..ตั้งแต่สมัย..คริสศตวรรษที่ ๖-๗ ..ซึ่งเดิมทีเดียว..เป็นเขตปกครองของ..
อาณาจักรโรมันตะวันออก..ซึ่งพบ..เมืองที่มีโคลีเซี่ยม(..โรงละครเปิดแบบโรมัน)ที่พวกโรมัน..สร้างไว้ด้วย..รวมถึงพวก
แหล่งอาบน้ำร้อน..ของพวกโรมัน....เมื่อพวกนี้มาถึงนั้น..ก็เป็ฯยุคเสื่อมและ..ล่มสลายของโรมันตะวันออก..ผู้คนกระจัด
กระจาย...พวกนี้มา..ก็จึงไม่ได้มีการต่อต้าน..อะไร..เพราะ..ชุมชนหลักๆ..ไม่มี..พวกโครอัท..มาถึงก่อน..ก็เลยเลือก
ชัยภูมิที่ดี..คือ..ติดกับทะเลเอเดรียติก..ที่อนู่ทางเหนือของเมดิเตอร์เรเนียน..ฝั่งตรงข้ามทะเลก็เป็นประเทศอิตาลี..
ทั้งๆที่พวกนี้มาจากที่ปิด..คือ..มีแผ่นดินล้อมรอบไม่เคยเห็นทะเล..เพียงแต่รู้ว่า.....ทะเลจะนำความมั่งคั่งมาให้..
..นี่เรียกว่า..เปิดฉากก็เป็นเรื่องกันแล้ว..เพราะพวกเซอร์บ(เซอร์เบีย)..อพยพตามลงมา..ปรากฎว่า..ไอ้พวกโครอัท
..เอาที่ดี..ไปครองซะแล้ว...เขาเรียกว่า..ไอ้สองชาตินี้..มันมีเหตุที่จะไม่ถูกโรคกันมาตั้งแต่โบราณกาล..พวกเซอร์บ
เลย..ไม่มีทางออกทะเล..เพราะโดน..พวกโครอัทขวางไว้..
.....ชนเผ่าพวกนี้เดิม..อารยธรรมยังต่ำกว่า..พวกอนารยชน(..ที่โรมัน..ใช้เรียกพวกอื่น..ที่ไม่ใช่ตน)..อย่าง..เยอรมันเนีย
..ที่อยู่ด้านบน..(..ออสเตรีย..ก็..อยู่ในกลุ่มเยอรมันเนียด้วย..ใช้ภาษาแบบเดียวกัน..)...เพราะความที่พื้นที่เดิมอยู่นั้น
แร้นแค้น..และ..อยู่กันเป็นกลุ่มเล็กๆ..ไม่ได้รวมกันเป็นแคว้น...แต่ที่บ่งบอก..ความเป็นสลาฟใต้..ของกลุ่มประเทศ
ยูโกสลาเวียเก่า..ก็คือ..ภาษาครับ...ก็ทำนองเดียวกับ..คนไทย..ภาคต่างๆ..รวมถึง..คนลาว..และ..คนไทย
ที่อยู่นอกประเทศ...(ตอนที่พ่อผมอยู่เวียตนามเมื่อปี ๒๕๑๑ นั้น..กองพลเสือดำได้ให้..ความอนุเคราะห์..
ช่วยเหลือ..กับ..คนไทยเผ่าหนึ่งคือ..”ไทยดำ”..พ่อผมยังแปลกใจว่า..เวลาพูดคุยกัน..ไม่ต้องใช้ล่ามเลย..
..พ่อบอกว่า..ฟังเข้าใจง่ายกว่า..คนอีสานบ้านเฮาเยอะ...คนไทยดำเหล่านี้..อยู่กันอย่างแข็งแกร่ง..เพราะ
ญวณ..มันพยายามกลืนชาติ..แต่เขา..มีกฏของเขาเอง..คือ..ห้ามมีครอบครัว..กับ..ญวณ..ถ้าใครฝืน..จะถูก
ไล่ออกจากเผ่า..)...
.........ถ้าเป็นคนชอบกีฬา..ก็คงทราบว่า..พวกเซอร์บ..โครอัท..สโลวาเนีย..บอสเนีย..นี่มีความสามารถใน..
การกีฬา..หลายประเภท..และก็เป็นระดับ..โลก...สังเกตนามสกุลมั้ยครับ..พวกนี้..นามสกุลตัวสุดท้าย..
...ส่วนใหญ่..จะลงท้ายด้วยตัว..” C “ ..แต่เวลาอ่านออกเสียงจะคล้ายกับ..ช..ช้าง..บ้านเรา...คือ..ทั้งภาษา
..ชือ..นามสกุล..คุณจะแยกไม่ออกครับ..ว่า..ใคร..เป็น..เซอร์เบีย..ใครเป็น..โครอัท....
.......แต่แปลกครับ..ไอ้ที่ทำให้พอแยกได้..คือ..อารมณ์..ผมอยู่นานจน..พอแยกแยะออก...คือ..พวกเซอร์บนี่
อารมณ์จะออกก้าวร้าว..และ..ดุดันกว่า..ความเป็นมิตรไมตรี..น้อยกว่า...พวกโครอัท..นี่ก็คงเป็นอีกสาเหตุ
ที่..๒ ชาตินี่มันเลยเข้ากันไม่ค่อยได้...เวลาผมไปท่องเที่ยวในเขตแคว้นซอร์เบีย(ยุคนั้น..เขาแยกเป็นแคว้น..
แต่อยู่รวมเป็นประเทศเดียวกัน)..เรียกว่า..ต้องทำใจครับ..เพราะไอ้พวกนี้หารอยยิ้มยากมาก..และชอบ..
เอ็ดตะโรใส่กัน...
............อาจเป็นเพราะลักษณะนิสัย..ที่ค่อนข้างดีหน่อยของโครอัท..ก็เลยผูกมิตรไมตรี..กับเพื่อนบ้านได้ดี
กว่า...และ..รับวัฒนธรรมอื่นเข้ามาได้ง่ายกว่า...เพราะตั้งแต่ยุคต้นนั้น..ตัง้แต่กษัตริย์ทอมิสลาฟ..รวมชาติ
ได้..และตั้งตนเป็นกษัตริย์ที่แท้จริงของพวกโครอัท..ทีแรกๆนั้น..ก็เป็นพันธมิตรและมีสัมพันธ์อันดีกับ..ฮังการี
ก่อน..เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วฮังการีก็เป็นสลาฟเหมือนกัน..แต่อยู่ไป..ความที่..แคว้นของตนเอง..มีเขตติดต่อ
กับ..คนเผ่าอื่น..ที่ไม่ใช่สลาฟ..มากกว่า..พวก.เซอร์บ..หรือ..บอสเนีย..ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป..เริ่มตั้งแต่
การรู้จักค้าขายทางทะเล..แถม..เขตแดนของโครอัทด้านตะวันตกนั้นติดทะเล..และ..เดินทางไปไม่ไกล..ก็ถึง
เวนิส..การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม..และ..ศาสนาก็จึง..เริ่มมีขึ้น..
.....เรียกว่า..ทิศตะวันตก..ก็..พบแต่พวก..โรมันคาธอลิก..คือ..อิตาลี..ตอนเหนือ..ก็..เป็นออสเตรีย..ซึ่งก็เป็น
โรมันคอธอลิก..อีก....เรียกว่า..โดนล้อมเลย..ทั้งๆที่ตั้งแต่อพยพถิ่นฐานมาอยู่คาบสมุทรบอลข่านใหม่ๆนั้น...
..พวกนี้เป็น..คริสต์..นิกายออร์โทด็อกซ์(..ผมเคยเกริ่นไปแล้ว)...
....................................
...นี่คืออนุสาวรีย์ของกษัตริย์ ทอมิสลาฟ ( TOMISLAV ) ...ผู้ที่รวบรวมเผ่าโครอัททั้งหมดได้..และ..ถือเป็นกษัตริย์..องค์แรก..อนุสาวรีย์นี้ตั้งอยู่ที่เมืองซาเกรบ ( ZAGREB ) เมืองหลวงของ..โครเอเชีย...
..ผมตอนที่ไปที่นั้น..ก็ไปถ่ายรูปที่มุมนี้เหมือนกัน..ด้านที่หัวม้าหันไป..และไม่เห็นในภาพ..คือ..
..สถานีรถไฟ..ของ..ซาเกรบ..ครับ..ผมไปประเทศสโลเวเนีย(..ตอนนั้นยังเป็นแค่..แคว้นสโลเวเนีย)
..ก็ต่อ..รถไฟจากสถานีนี้.ไปเช่นกัน....
ชอบครับ ได้ความรู้ ติดตามตลอดครับ
.....................................
....หวัดดี..และ..ขอบคุณที่ชมครับ..คุณABSULATION.........
...........................................
.....................................
..........วัฒนธรรม..มาพร้อมกับ..ศาสนา..พวกโครอัท..เริ่มละทิ้งวิถีเดิมบางส่วน..และ..นิยมชมชอบ..พวก..
ยุโรปตะวันตก..จากสัมพันธ์อันดี..กับฮังการี่..เริ่มกลับมาสนิทกับ..อิตาลี่..และ..ออสเตรียมากขึ้น..โดยเฉพาะ
ออสเตรีย..ออสเตรียนะ..ต้องญาติดี..กับพวกโครอัทอยู่แล้ว..เพราะเส้นทางสินค้า..ที่จะมาทางทะเล..ต้องผ่าน
โครอัท..ก่อน..เพราะถ้าเลือก..เส้นที่มาทางสวิสก็จบเห่..เพราะต้องข้ามเทือกเขาแอลป์..ราคาสินค้าไม่รู้จะแพง
ขึ้นอีกกี่เท่า..พวกเวนิส..จะเอาของไปขาย..ทางออสเตรีย..เยอรมัน..ก็ต้องอาศัยเส้นทางผ่านโครอัทเช่นกัน...
...ทำให้โครอัท..กลายเป็นพวกสลาฟใต้..ที่ร่ำรวยขึ้นมาและ..มีความสำคัญ..เหนือกว่า..พวกเซอร์บ..บอสเนีย..
เฮอร์เซโกวิน่า..แบบเทียบไม่ติดเลย..ภายในเวลาไม่นานก่อนที่..เตอร์กจะมายึด..คอนแสตนติโนเปิล..ในยุโรป
ได้นั้น..พวกโครอัท..ก็เปลี่ยนมา..นับถือ..คริสต์..โรมันคาธอลิก..แล้ว..พวกพระออร์โทด็อกซ์..ดั้งเดิม..อยู่ไม่ไหว
โบสถ์ไม่มีใครมาเข้า..ต้อง..ข้ามไปอยู่กับพวกเซอร์บ...พวกเซอร์บเองก็ยิ่งเกลียดพวกโครอัทเข้าไปใหญ่..เพราะ
ละทิ้งนิกายเดิม..ไปหาของใหม่...ความเป็นสลาฟ..เหลือแค่ภาษาพูด...แถมตอนหลัง..ตัวอักษร ซิริลิก(..แบบ
รัสเซีย..ที่น่าตาประหลาด..คนอื่นจะงงมาก..อย่างประเทศรัสเซีย..นั้น..เขียนว่า..cccp...ซึ่งคุณจะเห็นทั่วไป..
แม้แต่..บนหางเครื่องบิน...จริงๆแล้ว..ถ้าเทียบกับภาษาอังกฤษ..นั้นคือ..sssr...หรือ..อย่างคุณเห็นป้ายอยู่
หน้าตึกมันเขียนว่า..pectopah....คุณอ่านเป็นแบบ..อังกฤษ..ก็คือ..เป็คโตปาห์..ใช่มั้ยครับ..แล้วคุณก็จะงง
เองว่า..มันคืออะไรวะ..จริงๆแล้วมันไม่ได้อ่านแบบนั้นครับ..เพราะมันเป็นตัวซิริลิก..ถ้าถอดเป็น..อักษรอังกฤษ
ทีละตัว..มันคือ..restoran..ภาษาเซอร์บ..หรือ..โครอัท..ก็อ่านเหมือนกันว่า..”เร้สโตรัน”..มันก็คือ..restuarant
..หรือ..เร้สตัวรองค์..นั่นเอง..ร้านขายอาหาร..เพราะเขายืมภาษาฝรั่งเศษมาใช้ครับ........
.....ไอ้ภาษาน่าปวดหัวนี่..ถ้าอยู่ในแคว้นอื่น..ที่เป็นยูโกสลาเวียเดิม..นอกจากโครเอเทีย..กับ..สโลเวเนียแล้ว...
...คุณต้องรู้ครับ..เมื่อจะเดินทางไปท่องเที่ยว..ในสมัยยุคผม...เพราะมันจะไม่มีคำอังกฤษ..ไว้ประกอบเลย..
...อย่างสถานี บขส. ที่กรุงเบลเกรด..เมืองหลวงนี่..ผมก็งงมาก..ถ้าคุณไม่รู้จักไอ้ตัวประหลาดนี่..คุณก็กลาย
เป็น..บี้..บอด..ใบ้...อย่าไปหา..ภาษาอังกฤษให้เมื่อย..ไม่มีครับ..ในยุคโน้น..(..เดี๋ยวนี้..คงมีแล้ว..)..แถมใครไป
ถามอะไรที่เป็น..ภาษาอังกฤษ..กับเจ้าหน้าที่..แล้วบังเอิญเจ้าหน้าที่นั้นรู้เรื่อง..คุณต้องเป็นคนโชคดีอย่างมหาศาล
..เพราะ..แสดงว่า..วันนั้นไอ้คนที่สื่อสารอังกฤษได้..เข้าเวรพอดี...เพื่อนร่วมห้องผมคนนึงเป็นฟิลิปินส์..มันอยาก
ไปเที่ยวเมืองท่องเที่ยวเมืองหนึ่ง..ที่มีทั้งถนนหลักผ่าน..และ..ทางรถไฟผ่าน..แต่มันบอกว่าจริงๆแล้วมัน..ไม่ชอบ
นั่งรถไฟ..มันชอบนั่งรถบัสมากกว่าตอนที่อยู่ที่บ้านมัน..มันก็เลยกะจะลองนั่งรถบัสมั่ง...ก็เลยต้องไป..สถานี บขส.(รถบัส)..
แล้ว....เสือกลืม..แผนที่ไว้ที่หอพัก..มันจำได้แต่ชื่อเมือง..(ตอนนั้น..ไปอยู่ยังไม่ถึงเดือน)..มันไม่เคยไปมาก่อน..ก็คิดว่า..
ไม่มีปัญหาอะไร..(เพราะไม่ได้มาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการเดินทางท่องเที่ยวอย่างผมซะก่อน)..ไปถึง..(ผมยังจำ
อาการตอนที่มันเล่าให้ฟังได้..)พอเหลียวไปรอบตัว..มันต้องร้องออกมาว่า..”โอ มาย ก๊อด”...ตารางการเดินทางป้ายใหญ่ที่
ติดไว้..ป้าย..ที่ท่าจอดรถต่างๆ..และ..ทุกป้าย...รวมถึงไม่ว่า..จะเป็นป้ายอะไร..แม้กระทั่งป้ายหน้าห้องน้ำ..เป็น..
...........ตัวอักษรซิริลิก..ทั้งหมด..ไม่มี..อักษรอังกฤษ..แม้แต่ตัวเดียว..ดังนั้น..ภาษาอังกฤษ..ก็จึงไม่มีไปด้วย...
(..สันดานพวกไอ้ปินส์..จะภาคภูมิใจในการใช้ภาษาอังกฤษของตัวเอง..มันคิดมาก่อนว่าน่าจะไม่มีปัญหา..ก็ใช้
การอ่าน..ข้อมูลภาษาอังกฤษเอา..เหมือนๆกับ..หลายๆประเทศที่มันเคยไป....ไม่งั้นก็ไปถามสาวๆวัยรุ่นนักศึกษา
..ที่น่าจะพอเข้าใจภาษาอังกฤษได้บ้างเอา....ก็แค่ลำบากนิดหน่อย....ส่วนใหญ่ไอ้พวกนี้..สันดานจะขี้โอ่..ยิ่งแค่
มันหน้าตาพอใช้ได้(เมื่อเทียบกับคนไทยทั่วไป)..มันจะคิดว่า..ตัวมันเองหล่อ....การพูดภาษาอังกฤษได้คล่องจะ
เท่ห์..เวลาไปต่างเมือง..ก็ไปถามสาวๆวัยรุ่นลูกเดียว..แถมด้วยการหลีไปในตัว..)
.....เป็นยังไงละครับ..ทีนี้....ก็เกิดอาการที่เรียกว่า...” เซ่อแดค “ ...ซิครับ....ข้อมูลในสมองมัน..มีแค่..ชื่อเมือง
ที่..มันอ่านจาก..ข้อมูลที่เป็น..ภาษาอังกฤษ..ซึ่งขอบอกไว้เลยกับ..พวกที่ชอบเที่ยวต่างประเทศแบบลุยเดี่ยว..
ไปประเทศที่ไม่ใช้..ภาษาอังกฤษ...มันออกเสียง..ไม่เหมือน..คนพื้นบ้านเขาหรอกครับ..ถ้าบังเอิญมันใกล้เคียง
ก็ดีไป..แต่ถ้ามันไม่ใกล้เคียง..แล้วบวกด้วย..การอ่านและออกเสียงของเรามันดีแค่ไหน...แต่ถ้า..เป็นประเทศกลุ่ม
สลาฟ..(ที่รวม รัสเซีย..และ..ยูเครน)..ด้วยแล้ว...ขอบอกเลยว่า...ยากที่..คนพื้นเมืองทั่วไปจะเข้าใจ..ยิ่งชื่อเมือง
ยาวๆยิ่งไปกันใหญ่......ยังมีปัจจัยเสริมอีกว่า..เขาให้ความตั้งใจ..ที่จะฟัง..หรือ..ช่วยเหลือคุณขนาดไหน...ด้วย..
....ไอ้สิ่งที่ไม่เป็นปัจจัยหนุน..มันประดัง..เข้าไปหาไอ้ปินส์..ในวันนั้น..มันบอกว่า..พยายามจะหา..คนรุ่นหนุ่มสาว
(โดยเฉพาะสาว..ไอ้นี่นิสัยขี้หลี..แต่ไม่เคยได้แอ้มแม้แต่ครั้งเดียว)..มันบอกว่า..หาไม่เจอเลย..อย่างเก่งก็ประมาณ
ใกล้สามสิบ(คนทำงานแล้ว)...แล้วก็เลือกว่าดูมีการศึกษาหน่อย..เพราะรู้ว่าไอ้บ้านนี้เมืองนี้..ภาษาอังกฤษคนรู้น้อย
........................................................
ไม่ได้เข้ามาดู หลาย ๆ วันจัด ยาวเลย. ยังตามอ่านอยู่นะครับ แต่ อาจจะอยู่ ห่าง สักหน่อย
.....หวัดดีครับ..คุณ JEAB.....ผมจำได้แล้วว่า..เป็นแฟนประจำบทความของผม..
ตั้งแต่..กุรข่า..นักรบเลือดดุ..แล้ว ..ก็ยังตามมาถึง..บทความนี้ด้วย..ก็ยินดีต้อนรับครับ..
...คงไปเรื่อยๆละ..ครับ..เพียงแต่ไม่..โหด..เลือดสาด..เป็นของเดิม.....
...เรื่องนี้..จะเน้นเรื่องประวัติศาสตร์..ความรู้ทั่วไป..ซะมาก..รวมถึง..เทคนิคการรบ..
...แนวคิด..และ..วัฒนธรรม...ของแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้อง..ซึ่งให้ความรู้มากกว่า..
บทความเดิม...ในรูปแบบของผมเอง.....แถมด้วยประสพการณ์ส่วนตัว..ในเขตภูมิภาคนี้..
(..เอาว่า..ขนาดบ้านของทักษิณ..ที่ซื้อไว้ที่..มอนเตเนโกร..ที่อยู่ริมทะเล..นะ..
..ผมเห็นรูปแล้ว..อ๋อ..เลย..เพราะเคยผ่านไปที่นั่นมาแล้ว..อยู่ระหว่างทางจาก..
ตีโต้กราด..ไป..ไปเมืองบุดวา..โคตอร์..ที่จำได้เพราะ..สวย..ยื่นเข้าไปในทะเลเป็นบ้านแบบโบราณ
รวมกันอยู่หลายอาคาร...ผมชอบก็เลยจำได้.....)
....และ..การวิเคราะห์..ซึ่งเรื่องนี้..ต้องใช้มากหน่อย..เพราะเป็นเหตุการณ์โบราณ..
.....ยังไม่จบง่ายๆหรอกครับ..ติดตามไปเรื่อยๆ..แล้วกัน...
.........................................
...เชื่อมั้ยว่า..ตลอดเวลาที่อยู่ยูโกสลาเวีย..เพื่อนร่วมห้องผม..ยี่สิบกว่าคน..ไม่มีเคยมีใครใช้บริการรถบัสข้ามเมือง
(ไปต่างจังหวัด)เลย..ยกเว้น..ผมคนเดียว....พวกมันใช้แต่..รถไฟ...
.............ครั้งหนึ่ง...ผมก็จะไปเมืองที่มีโบราณสถานที่ผมอยากดู..แต่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก..และเป็นเมืองเล็ก...
.....ไม่มี..ทางรถไฟผ่าน..พึ่งได้อย่างเดียวคือ..รถบัส...ก็จำเป็นต้องใช้บริการรถบัส..ผมก็ปฎิบัติเหมือนคนทั่วไป...
...เวลาไปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว..พนักงานขายตั๋วที่แก่คราวแม่ผม..เพิ่งทะเลาะอย่างดุเดือดกับ..คนก่อนหน้าที่จะถึงคิวผม
เรียกว่า..สัก๕นาทีได้..ที่ตะโกนด่าใส่กัน....คนต่อไปคือ..ผม..พอไอ้บ้านั่นมันไป..คิดดูว่าคุณป้าแกอารมณ์ค้างขนาดไหน..
....ผมก็ไม่ได้หวาดหวั่นอะไรมากมาย..ยิ้มให้แก..แล้วก็......................
......ตอนส่งตั๋วให้ผม..แกยังยิ้มให้ด้วยไมตรีจิตอันดี..อีกต่างหาก...ว่างๆมีเวลาหลังจากเรื่องนี้..จะเล่าให้ฟัง...
..........เอาเป็นชื่อตอนว่า..”..เคล็ด(ไม่)ลับ..จากนัก(เดินทาง)ผจญภัยรุ่นแก่..ในยุคเก่า..”..แล้วกัน....
.................................
.....เพิ่มเติมเกร็ด..ความรู้หน่อย........
..ผมว่า..คนที่เลี้ยงหมา..หรือ..ชื่นชอบหมา..แทบทุกคน..น่าจะรู้จัก..ไอ้หมาหูตูบ..ขนเกรียน..ผิวตามลำตัว
เป็นสีขาว..แล้ว..เหมือนมีคนฉีดหมึกดำป็นจุดๆ..ใส่ตัวมันจนเปรอะ..หมด...ครับผมกำลังพูดถึง
...หมาพันธุ์....”ดัลมาเชี่ยน”..( DALMATIAN )...หมาสายพันธุ์นี้เก่าแก่มากครับ..เก่ากว่าพันปี..ถือกำเนิดก่อน
ที่พวกโครอัท..จะย้ายเข้ามาในคาบสมุทรบัลข่านอีก...ซึ่งชื่อนั้นหมายถึง..”หมาของพวกดัลมาเชีย”...
บริเวณริมทะเลเอเดรียติกนั้น(..ปัจจุบันคือ..โครเอเทีย..)..เป็นแคว้นรัฐเก่าสมัยโรมัน..ที่เรียกว่า..ดัลมาเชีย..
..เรียกพวกนี้ว่า..ดัลมาเชี่ยน..เป็นหมาที่เพาะพันธุ์ขึ้นที่นี่ครับ..อายุสายพันธุ์เก่าไม่แพ้..ร๊อตไวเล่อร์..ที่โรมันใช้เลย
...เดี๋ยวนี้..เขาเลยอนุโลมว่า..เป็นหมา..ที่มีกำเนิดจาก..ประเทศโครเอเชีย..แต่จริงๆแล้ว..พวกโครอัท..ไม่ได้ให้
กำเนิด....ครับ...
..................................................
..ครับเอาแค่พอเปลี่ยนบรรยากาศเล็กน้อย..มาเข้าเรื่องของเราต่อ..ผมพูดถึงตัวอักษรซิริลิคของยูโก(ที่คล้ายของ
รัสเซีย)นั้น..พออะไร..ทุกอย่างทั้งวัฒนธรรม..และ..ศาสนามันเริ่มเอียง..มาทางพวกยุโรปตะวันออกมากขึ้น...
พวกโครอัท..ก็หันมาใช้ตัวอักษรลาติน.(แบบ..ตัวภาษาอังกฤษ..ฝรั่งเศษ..ฯลฯ)แทน..ตัวซิริลิคเดิม..ตอนที่มาอยู่
ภายใต้..อาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี่..แต่ก็ไม่ได้ทิ้งซิริลิคของเดิมทั้งหมด..เรียกว่า..ใช้คู่กันไป..ในตอนที่เป็นยูโกฯ
....เพียงแต่..ถ้าเข้าไปในเขต..โครเอเชีย..คุณแทบจะไม่เห็นตัวซิริลิค..เพราะไม่ว่าป้ายอะไรจะเป็นตัวลาตินหมด
..........ตอนที่เตอร์กเริ่มรุกรานคาบสมุทรบอลข่านนั้น..ตั้งแต่ยุค..เมเหม็ดที่ ๒ ...นั้น..โครอัท..ก็สนิทชิดเชื้อกับ..
ออสเตรียมากแล้ว...ออสเตรียนั้น..ก็สนับสนุน..โครอัท..เพราะถือว่า..เป็นโล่ห์..ก่อนที่เตอร์ก..จะเข้าไปในดินแดน
ออสเตรียได้..ก็ต้องผ่าน..ดินแดนของพวกโครอัทก่อน...พวกโครอัท..แม้จะเสียดินแดนให้..เตอร์กไปเกือบทั้งหมด
..แต่ก็ไม่ใช่..แบบบอสเนีย..ที่ไอ้พวกเตอร์กมาตั้งฐานที่มั่นกันถาวร..แถมมาเปลี่ยนศาสนาคนส่วนใหญ่ด้วย..
....เตอร์ก..มาแค่..วางกำลังไว้บางส่วน..แต่..ไม่สามารถยึดครองเป็นเรื่องเป็นราวได้..เพราะพวกนี้ต่อต้านตลอดเวลา
..เพียงแต่กษัตริย์ที่ครองแคว้นโครเอเทีย..ยอมสิโรราบให้..ก็เก็บภาษีไป..เอาเครื่องบรรณาการ...ไป...แม้กระทั่ง
บางเมือง..ที่อยู่ใกล้เขตปกครองของออสเตรียๆ..ก็จะคอยสนับสนุน..ถ้าไม่มี..การควบคุมจากเตอร์กเข้มแข็ง...
ออสเตรียก็จะยึดครองแทยพวกเตอร์ก..โดยมีทหารและชาวเมืองที่เป็นโครอัท..สนับสนุน..เป็นเช่นนี้เรื่อยมา...
....ดังนั้น..พวกออสเตรีย..ก็จึงคุ้นกับ..การประสานงานกับ..ทหารโครอัท...จนทำให้บางส่วนของทหารโครอัท..ที่ไม่
อยากอยู่ใต้การปกครองเตอร์ก..ก็เลยไปรับจ้างเป็นทหารรับจ้างของออสเตรีย..คอยป้องกัน..แนวรอยต่อ.ระหว่าง
อิทธิพลของเตอร์ก..กับ..ออสเตรีย..ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเมืองชายแดนของออสเตรียด้านที่ติดกับ..แคว้นโครเอเชีย..
....จึงเป็นที่มา..ของทหารรับจ้างชาวโครอัท..และ..นิโคล่านั่นเอง.....
.........ที่ผมเคยกล่าวถึง..สงครามที่โมฮัคส์..ที่ฮังการรี่..โดยที่สุไลมานมีชัย..เหนือ..อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
..ซึ่ง..พระเจ้าหลุยส์ที่๒ ของฮังการรี..ตายในที่รบ..นั้น..ก็มีผลต่อ..โครเอเทียด้วย..เพราะก่อนนั้น..โครเอเทีย..นั้น
ไม่มีผู้นำอันแท้จริง..(เพราะราชวงศ์ของ..กษัตริย์ทอมิสลาฟที่เป็นกษัตริย์องค์แรกของพวกโครอัท..อ่อนแอลง...
และต่อมาก็เลย..ขาดช่วงไม่มีกษัตริย์)..แต่บรรดาเจ้าเมืองในแคว้นโครอัท..ก็ยกให้กษัตริย์ฮังการี..ที่เป็นพันธมิตร
มาแต่เริ่มแรก..เป็นกษัตริย์ของพวกตนไปด้วย...ต่อกันมา..
........................................
..ดูบรอฟนิค ( DUBROVNIK )..เมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่อที่สุดของ..โครเอเทีย..เป็นเมืองมรดกโลก..
...ผมโชคดีที่ได้ไปที่นี่..ก่อนเกิดสงคราม..เซอร์เบีย..กับ..โครเอเทีย..ผล..พวกเซอร์บ..เอาเครื่องบิน
มาทิ้งระเบิด..ซะแหลก..ไปกว่าครึ่ง..ต้องทำการซ่อมใหม่ทั้งหมด..ซึ่งผลการซ่อมยอดเยี่ยมกลับมา
เหมือนเดิม ๙๙.๙๙ เปอร์เซนต์.....เมืองนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักของซีรีส์ชื่อดัง...
..GAME OF THRONE ทุกซีซั่นครับ...
..นี่ครับ..หมาพันธุ์ดัลมาเชี่ยน..หมาที่มีถิ่นกำเนิดในโครเอเชีย......
........................................................
.....ปรากฎว่า..แค่ยกมือเดินเข้าไปส่วนใหญ่..ก็เดินหนี..ไม่เดินหนี..ก็โบกมือส่ายหน้า....มีไม่กี่รายที่ยอมรับการขอ
ร้องของมัน..แถมไปถามเขาว่า..แคนยูสปีคอิงลิช...เขาก็โบกมือบ๊ายบาย..อีก...ถ้าไม่โบกมือ..มันก็พยายามพูดอยู่
ดีว่า..มันต้องการไป..เมืองนี้..ซึ่งชื่อเมืองที่มันคิดว่า.เขาจะเข้าใจได้ง่ายสุด..กลับกลายเป็น..เขาฟังมันไม่ออก..ว่า..
เป็นเมืองไหน..ขนาดมันลงทุนฉีกซองบุหรี่..แล้วเขียนเป็นตัวภาษาอังกฤษให้..ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน..
มีแต่ส่ายหัว..มีแค่..คนหรือสองคนที่..ยกมือชี้ไป..แถวๆพวกเคานเตอร์(..ก็คงทำนองให้ไปถามพวกโน้น
ดู..)..ซึ่งมันก็ได้ยืนเกาหัว..ด้วยความเซ็ง..เพราะพวกเราที่เป็นนักเรียนต่างชาติ..ตั้งแต่เริ่มมาอยู่ได้ไม่เท่าไหร่..ก็มี
ประสพการณ์..การพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ประเทศนี้มาแล้ว..พวกเราทุกคนจะร้องคำแรกออกมาเลยพร้อมกับ..
ส่ายหน้าว่า...” โอ้ โน “................
.........คือมันจะคัดเลือกมาแต่..คนอายุมาก..ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ๔๐ ขึ้นไป..ไม่ต้องไปหา..รอยยิ้ม..บนใบ
หน้า..เพราะไม่มี..เรียกว่าหน้าแบบ..”ไล่แขก”....และพร้อมที่จะทะเลาะ..กับทุกคนได้..ถ้ามีปัญหา..นี่ไม่ใช่กับ
คนต่างประเทศอย่างเดียวนะครับ..รวมถึง..คนชาติเดียวกันด้วย..แล้วแต่ละคนไม่ทราบว่า..พระเจ้าสร้างกล่อง
เสียงมาเป็นพิเศษรึเปล่า..เรียกว่าถ้าระเบิดเสียงเมื่อใด..ก็ตึกสั่น..ว่างั้นเถอะ...คือถ้าติดต่อแล้ว..พออีทำหน้า
เริ่มจะไม่ดีให้รีบออกมาเลย..ไม่งั้นต้องขอให้ผู้ประสานงาน( CO-ORDINATOR )..ของพวกเราไปคุยแทน....
........กลับมาที่ไอ้ปินส์...มันบอกว่ามันหมุนอีก รอบ ๒ รอบ..เผื่อจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ..มามั่ง..( ไอ้นี่..
นอกจากประสพการณ์ต่ำ..ยังไม่เคยทำการบ้านเลย..นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่..ที่มาประเทศนี้..เขาก็
นั่งรถไฟกัน..)..แน่นอน..ไม่มี...มันก็คอตก..แล้วก็เดินไป..ที่เคาน์เตอร์..ในทิศทางที่มีคนบอก..ที่ป้ายที่เหนือ..
เคาน์เตอร์..ก็มีแต่ไอ้ตัวซิริลิค...เขียนบอกไว้..มันก็ไม่รู้หรอกครับ..แต่มันเล่าให้ฟัง..ว่ามันหวังว่า..จะมีความ
หมาย..ในทำนองประชาสัมพันธ์..พอเข้าไปถึงใกล้ๆหน่อย..ก็พอเห็นหน้าเจ้าหน้าที่..มันบอกว่าใจสลายเลย
...เพราะ..อีเป็นผู้หญิงที่มีอายุน่าจะคราวแม่มัน..แถมหน้าตาแบบอยู่คนเดียวแท้ๆ..ยังเหมือนกับเพิ่งทะเลาะ
กับ..ผัวมา.....มันยืนชั่งใจอยู่สักพัก..ก็เลยตัดสินใจ..เดินเข้าไป..พร้อมกับฉีกยิ้มอย่างน่าเอ็นดู..เผื่อจะทำให้
อารมณ์อี..ดีขึ้นมั่ง..พร้อมกับใช้ภาษาอังกฤษอันคล่องแคล่ว..ทำนองว่า..เอ๊กซ์คิวมี..พลีส..วู้ดยู..พลีส....
.....ปรากฏว่า...หน้าตาเดิมของเธอที่ดูแย่อยู่แล้ว..กลับ..แย่ลงไปกว่าเดิมแถมไม่พูด..และ..ไม่แสดงปฎิกิริยาอะไร
..ไอ้ปินส์เพื่อนผม..มันบอกว่า..ตอนนั้นกะหันหลังกลับ..แล้วเดินออกไปเลย..แต่มันก็พยายามใจดีสู้เสือ..
ยิ้มแย้มแล้ว..ถามว่า..แคนยูสปีกอิงลิช..คราวนี้มีปฏิกริยาโต้ตอบออกมา..คือ..ส่ายหน้า.....
....มันถึงกับใจเหี่ยว..แต่กัดฟันครั้งสุดท้ายคือ..ยื่นไอ้ชื่อเมืองที่มันเขียนเป็น..ภาษาอังกฤษ..ใส่กระดาษซองบุหรี่..
ให้ดูอีกครั้ง..ปรากฏว่า..ยื่นออกไปได้นิดเดียว..คุณเธอก็เหลืออดแล้ว..เพราะจริงๆอีไม่อยากจะเสวนาตั้งแต่แรก..
..และ..ไอ้เคาน์เตอร์..ที่ไอ้ปินส์ไปนะ...มันเป็นเคาน์เตอร์เกี่ยวกับอะไรไม่ทราบ...
........คุณเธอ..จึงออกอาการอันเป็นการช่วยไอ้ปินส์..ให้ตัดสินใจเด็ดขาดได้ซะที....คือ..โบกมือไล่ให้ไปที่อื่น...
..พร้อมกับ..ด่าชุดยาวเป็นภาษาเซอร์บ..(มันบอกว่า..ไม่รู้หรอกว่า..หมายความว่ายังไง..แต่รู้ได้ด้วยตัวเองว่า..
คุณเธอ..ด่าแน่นอน..)..คราวนี้ก็เลยหันกลับ..เดินออกมาอย่างเร็วได้ซะที..แล้วก็..กลับหอพักได้...เลิก....เก็บฉาก
.....ตอนที่มันเล่านั้น..เป็นเวลาหลังอาหารมื้อเย็น..(ไม่กล้าเรียกว่า..dinner..เพราะมันจะดูกระแดะไปหน่อย..)
..นั่งฟังกันอยู่..ห้าหก..คน...เรียกว่า..หัวเราะกันน้ำตาร่วง..ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ.....
...............ไอ้ปินส์..มันไม่รู้หรอกว่า..เวลาผมเดินทาง..ไปรถบัส..ของผมสะดวกสะบายขนาดไหน....
ผมไปอยู่โน่นภายในเดือนแรก..ผมยังอ่านตัวซิริลิค..ไม่ได้..เหมือนๆไอ้ปินส์...ภาษาอังกฤษมันก็เหนือผมเล็กน้อย..
...เรียกว่า..ผมแทบไม่มีอะไรดีกว่ามันเลย..เว้นอย่างเดียวคือ..ผมฉลาดกว่ามัน..ช่างสังเกต..และรู้มากกว่ามันเท่านั้น..
......แค่เดือนแรก..ทุกเสาร์-อาทิตย์..ผมออกเดินทางตลอด..ทั้งรถไฟและ..รถบัส...ไม่เคยมีปัญหา.......
.........................................
.........................................
..............เมื่อหลุยส์ที่ ๒ แห่งฮังการรี..ตาย..ก็มีข้อตกลงอันใหม่..โดยขุนนางระดับสูงของ..โครอัท..ย้ายฝั่งตัวเอง
จากฮังการรี..เพราะ..ตอนนั้น..เมื่อสุไลมานชนะแล้ว..ก็ตั้ง..จอหน์ ซัปโปลยา..ขุนนางฮังการีที่ฝักไฝ่สุไลมาน..มาทำ
หน้าที่ปกครองแทน......
......การย้ายฝั่งครั้งนั้น..ก็คือ..การย้ายมาอยู่..ฝั่งออสเตรียแทน...(ความจริงแล้ว..โครอัทส่วนใหญ่..ก็โดนเตอร์ก
ยึดเอาไปแล้ว..แต่พวกขุนนางส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ..และถือว่า..แคว้นโครอัทเป็นทางการนั้น..ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจ
เตอร์ก..แต่พวกเตอร์ก..ก็เอาทหารเดินผ่านแดนเป็นว่าเล่น..)...การทำข้อตกลงให้กษัตริย์ออสเตรียขณะนั้น..
คืออาร์คดยุ๊ตเฟอร์ดินานด์..เป็นกษัตริย์ของพวกโครอัทไปด้วยในตัว..เกิดขึ้นในปี๑๕๒๖ หลังการรบที่โมอัคส์ ๑ ปี
(ทำข้อตกลงกันที่..เมืองเซติน)..ก่อนที่สุไลมานจะมาบุกกรุงเวียนนา......
.....ซึ่งก็ไม่แปลก..เพราะจริงๆแล้วอย่างที่ผมบอกว่าหลังๆนั้นสนิท..กับทางออสเตรียมากกว่า..และ..ทางออสเตรีย
ก็ช่วยอยู่แล้ว..และ..การรับเป็นกษัตริย์ของโครอัทไปด้วยในตัว..ก็เป็นการดี..ที่จะได้ขยายอำนาจ(..แม้จะไม่จริงทาง
ปฏิบัติ)..ลงมาถึงทะเลเอเดรียติกด้วย....และความจริงแล้ว..นี่ก็เป็นข้ออ้างหนึ่งด้วย..ที่สุไลมานกล่าวหา..ออสเตรีย..
เพราะ..จริงๆแล้ว..โครอัทต้องอยู่กับ..ฮังการี(..ที่อยู่ใต้การบงการของสุไลมาน)..เรียกว่า..กระทำผิดหลักการ...เลย
ต้องถูกจัดการ.....(..แล้วก็ไปบุกเวียนนา..จนสบักสบอมกลับมา..)
......................................
..........นิโคล่า จูริสซิช...นั้นประวัติ..ในวัยเด็ก..เท่าที่พยายามสืบหานั้น..ไม่พบเลย...รู้แต่เพียงว่า..เขาเกิดที่เมืองซินจ์
( SINJ ) ..เมืองนี้อยู่ในแคว้นดัลมาเชียเก่า..อยู่ไม่ห่างชายทะเลเท่าไหร่..และ..เมืองนี้..ก็โดนสุไลมานเข้ายึด
ปี๑๕๒๔..ก่อนหน้าจะเกิด..ยุทธภูมิที่โมฮัคส์..ซึ่งอยู่ในช่วงที่สุไลมานกวาดตีไล่ดะขึ้นทางเหนือ..ซึ่งตอนนั้น..นิโคล่า..
ก็มาอยู่รับราชการ..เป็น..ขุนนางอัศวิน..กับพวกออสเตรียแล้ว....และกว่าที่จะขับไล่พวกเตอร์กออกไปได้อีกที..
..ก็เมื่อปี..๑๗๑๕ ..เรียกว่า..โดนครอบเกือบ..สองร้อยปี..แต่ก็..เปลี่ยนแปลง..ความเชื่อและ..วัฒนธรรมเดิมไม่ได้
..ประชาชน..เกือบทั้งหมด..ก็ยังถือคริสต์ โรมันคาธอลิค..ตลอดมาจนปัจจุบัน....
................นิโคล่านั้น..เกิดในตระกูลขุนนาง..เมื่อ ๑๔๙๐ คาดว่า..คงเรียนรู้การทหารมาตั้งแต่เด็ก..เพื่อที่จะเป็นทหาร
..เขาคงย้ายตัวเองตั้งแต่เป็นทหารใหม่ๆ..ไปสู่ออสเตรีย..ในรูปแบบทหารรับจ้าง(ตอนนั้น..โครเอเทีย..ยังไม่ได้อยู่กับ..
ออสเตรีย)..ตั้งแต่หนุ่ม..พอถึงปี ๑๕๒๒ จึงเริ่มมีผลงานและประวัติเขียนถึง..เนื่องจากเขาได้เป็นนายทหารที่ออสเตรีย
จ้างพร้อมกับมหารโครอัท..อีกจำนวนหนึ่ง..ทำหน้าที่ป้องกันที่ป้อมในเขตโครเอเทีย..ที่อยู่ในแนวเส้นทางที่จะเข้าโจมตี
เขตแดนออสเตรีย..ซึ่งตอนนั้น..เป็นการรุกครั้งแรกๆของสุไลมาน..ที่เปิดการรุกขึ้นเหนือเต็มที่ในคาบสมุทรบอลข่าน...
...โดยที่ออสเตรียนั้น..เล็งการณ์ไกล..คือกูวางแนวป้องกันแน่นๆไว้..นอกเขตตัวเอง..เพิ่มเติมอีกชั้นก่อน..แนวป้องกัน
ในเขตตนเอง..เพื่อจะได้มีทางหนี..ทีไล่..มีเวลาคิดวางแผนต่างๆได้...ซึ่งการทำแบบนี้..ก็ได้ผล..เพราะทำให้..สุไลมาน
เหหัวเรือ..ไปทางฮังการี..และ..เซอร์เบียแทน....อีกอย่างผมว่า..สุไลมานรู้อยู่แล้วว่า..ไม่พร้อม..และ..กองกำลังของ..
ออสเตรียเข้มแข็งอยู่..กอปรกับการที่เขาพึ่งจะทำการบุกยุโรปใหม่ๆ..หลังจากเป็นสุลต่าน..จึงเลือกทางที่สะดวกไปก่อน
......เมื่อปี ๑๕๒๔ ..เขาเองก็ได้รับ..ตำแหน่งอัศวิน..ซึ่งถ้านับกันจริงๆ..ก็คือ..เขาก็กลายมาเป็นทหารของออสเตรีย
แล้วโดยปริยาย..เพราะถ้ายังเป็นทหารรับจ้างก็ไม่มีสิทธิเป็น..อัศวินของอาณาจักรออสเตรีย..........
.....นิโคล่านั้น..ก็ได้เข้าไปร่วมรบ..ในสมรภูมิโมฮัคส์..ที่ฝ่ายคริสเตียนแพ้ย่อยยับด้วย..ในฐานะกองกำลังสมทบจาก
ออสเตรีย..และ..มีผลงาน..ที่แสดงความกล้าหาญ..อยู่ด้วย..และมีความก้าวหน้ามากขึ้น..
....จนถึง...ในข้อปฏิญญา..หรือ..ข้อตกลงที่ เซติน..ที่ผมเล่าไปแล้วนั้น..นิโคล่าก็เข้าร่วมด้วย..แต่ในฐานะ..อยู่ในกลุ่ม
ตัวแทนของ..ทางกษัตริย์เฟอร์ดินานด์..เรียกว่า..กลายเป็นขุนนางของออสเตรียไปสมบูรณ์แล้ว...
...แล้วเมื่ออีกปีถัดมา..คือ ปี ๑๕๒๘ เขาก้ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์เฟอร์ดินานด์..ให้เป็น...อัศวิน
......ชั้น..CAPTAIN..จะเรียกกันว่า..นายกอง..ผู้บังคับหน่วยระดับกองรบ..ก็ได้..แต่..กรณีนี้..ตำแหน่ง....
ที่ได้..อยู่ที่เมือง ริเจก้า ( RIJEKA )....เนื่องจากเมืองริเจก้า..นี้..เป็นเมืองใหญ่..ของแคว้นโครเอเชีย..เรียกว่า
..ใหญ่เป็นอันดับสามเลย..เป็นเมืองท่า..และ..มีความสำคัญมากอยู่ติดชายทะเล..ตอนเหนือของแคว้น..
....ซึ่ง..ตอนนั้น..ยังไม่ได้ถูกยึดครองจากพวกเตอร์ก..แต่ก็ใกล้กับ..เขตอำนาจของพวกเตอร์ก..ทางตอนเหนือ
....แสดงถึง..ความสำคัญ..ของเขาที่ได้รับความไว้วางใจ..ให้ไปเป็นผบ.กองกำลังป้องกันเมือง...เมืองนี้..ลำบาก
ตรง..ต้องป้องกัน..จากทั้งทางทะเล..และ..ทางบกด้วย...
.....ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า..ในปี ๑๕๒๙...ที่สุไลมานมาล้อม..กรุงเวียนนานั้น..นิโคล่า..อยู่ในเมืองด้วย..หรือ..
อยู่ที่เมืองริเจก้า........แต่เขาก็ก้าวหน้าขึ้นเพราะ..หลังจากความล้มเหลวในการล้อมกรุงเวียนนา
นั้น..มันส่งผลร้าย..กับ..คริสเตียนระหว่างเดินทางกลับ..จากการระบายความแค้น..ของ..สุไลมาน.....
..........................................
.....ภาพวันฉลองประจำปี..ในการขับไล่พวกเตอร์กออกจากเมือง ซินจ์..บ้านเกิดของนิโคล่า..โดยทหารออสเตรีย..และ..ทหารโครอัท..หลังจากยึดไปร่วมสองร้อยปี....นี่เป็นชุดทหารของเมืองซินจ์...ให้สังเกต
สัญญลักษณ์ของพวกสลาฟ..ก็คือ..หมวกขนสัตว์ทรงกระบอกที่ทหารม้าสวมอยู่..ไม่ว่าสลาฟเผ่าไหน..
ชุดทหารรุ่นเก่า..หรือ..จนกระทั่งรุ่นใหม่..ก็ยังใส่เหมือนกัน.........
...........................................
....ซึ่งเป็นเกร็ดเล่าเพิ่มเติม......ทางฝ่ายออสเตรียประเมินว่า..ทหารเตอร์ก..นอกจากที่ตายที่กรุงเวียนนา
..จำนวนมากกว่าหมื่นคนแล้ว..ระหว่างเดินทางกลับนั้น..มีการหาข้อมูลเพิ่มเติม..ว่า..มีตายเพิ่มระหว่างทาง
อีก(จาก..บาดเจ็บในการรบ..และ..ป่วย..)รวมกันร่วม..๓๐,๐๐๐ คน..ทหารเตอร์กระบายความแค้นไปตลอดทาง
ขากลับ..ด้วยการเผา..ฆ่า..ข่มขืน..ที่ทราบอย่างนั้น..เพราะในปี ๑๕๓๐..นั้น..กษัตริย์เฟอร์ดินานของออสเตรีย..
ได้ส่ง..ฑูตไปจำนวนหนึ่ง..เดินทางไปกรุงคอนแสตนติโนเปิล..ซึ่งในขบวนนั้น..ก็มีนิโคล่าเป็นหัวหน้าเดินทางไปด้วย..
.........เนื่องจาก..การเดินทางของกลุ่มคนนี้..จากกรุงเวียนนา..มีระยะห่างจากการเดินทางกลับของกองทัพเตอร์ก
ไม่ถึงปี..จึงได้พบเห็น..ร่องรอย..ที่เตอร์ก..กระทำทิ้งไว้..ทั้งจากหลุมศพของ..ทหารตามรายทาง..สภาพบ้านเมือง
..และสอบถาม..ผู้คนที่ผ่านไป...ซึ่งสร้างความเอน็จอนาถ..ให้กับพวกนี้เป็นอันมาก.....
............สำหรับนิโคล่า..แล้วนั้น..ถือว่าโชคดี..ที่เขาเลือกไม่เป็นทหารอยู่ใน..โครเอเชีย..เพราะเขาน่าจะเล็งไว้แล้ว
ว่า..ไม่มีความก้าวหน้าแน่..เนื่องจากกองทหารที่มีอยู่ขนาดเล็ก..ไม่สามารถจะเรียกว่ากองทัพได้..ระบบการรบ
ก็จึงถูกจำกัด..รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ..เรียกว่า..อย่างเก่งก็..เป็นผู้กอง..เมื่อเปรียบกับ..ออสเตรียแล้ว..
คนละเรื่อง..เพราะนั่นมันประเทศ..อาณาจักร..มีกองทัพ...ถ้าไปอยู่ทำความดีความชอบ..ก็อาจได้เป็นนายทหาร
ประจำได้...ไม่ใช่แค่ทหารรับจ้าง..แล้วความก้าวหน้าก็รออยู่อีกมาก..ทั้งๆที่ตอนเขาเริ่มไปอยู่ที่นั่น..โครเอเชีย..ยัง
อยู่ใน..ส่วนของฮังการี....จากเหตุดังกล่าว..ก็จะเห็นได้ว่า..เขาเป็นคนวิสัยทัศน์กว้างไกล..วางแผนชีวิตไว้อย่างดี
..........เรียกว่าในขบวนที่เดินทางไปอิสตันบุลนั้น..คนที่ช้ำชอกรันทดใจมากที่สุด..ที่เห็นผลจากการกระทำของ
พวกเตอร์กในครั้งนั้นมากที่สุด..ก็ไม่พ้น..นิโคล่า..เพราะเส้นทางที่ผ่านนั้น..มันก็ผ่านส่วนที่เป็นแคว้รบ้านเกิด..
คือ..โครเอเชียด้วย..เขาต้องมาเห็นสิ่งที่เกิดกับพี่น้องเขา..ไปตลอดทางแม้..บางสว่นในตอนล่างที่เป็นบอสเนีย..
มันก็เหมือนญาติ..ก็คือ..คนสลาฟใต้เหมือนกัน...มันจึงเพาะความแค้นให้เขาอย่างเอกอุ..และก็คงเป็นสาเหตุ
ประกอบที่เมื่อรบกับ..สุไลมานเขาจึงสู้ตายไม่ยอมแพ้..นั่นเอง...
......................เรื่องที่ออสเตรียส่งฑูตไปเจรจา..นั้นก็คือการเสนอให้สงบศึกหรือ..พักการปฏิบัติการ..ของ..
ส่วนการปกครองของ..เตอร์กในส่วนของอังการี..ที่มีเขตด้านตะวันตกติด..กับออสเตรีย..(..ฮังการีตอนนี้..
ปกครองโดย..จอหน์ ซัปโปลเย..คนของ..สุไลมาน..ดังนั้นถือว่า..คนที่มีอำนาจสั่งการได้ทั้งหมด..ก็คือ..
สุไลมาน..ไม่ใช่..จอหน์..เพราะ..จอห์น..จะทำอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ก็ต้องถาม..สุไลมานก่อน..)....
ซึ่ง...จะแลก..ด้วยการที่ออสเตรีย..จะจ่ายให้สุไลมานปีละ..๒๐,๐๐๐ ดูคัท( DUCATS ) (..เงินดูคัท..นี้..
เป็นเงินที่ใช้ในออสเตรีย..และ..ฮังการี..(ก่อน..ที่สุไลมานมาชนะศึก)..ซึ่งทำด้วย..เหรียญทองคำ..)..ซึ่ง
จำนวนนี้..อาจปรับเปลี่ยนขึ้นได้..นี่คือสิ่งที่..นิโคล่าฐานะหัวหน้าฑูต..จะต้องไปเจรจาให้ได้..ตามคำสั่ง
ของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์.....
...............................
..ก็ทำนองว่า..ทางฝ่ายเตอร์กก็สูญเสียไพร่พล..อาวุธ..ม้าศึก..ไปมาก..ฝ่ายออสเตรียก็บ้านเมืองเสียหายไปเยอะ
..ก็อย่าพึ่ง..มาจ้อง..ระแวงกัน..หรือ..เปิดศึกเล็กศึกน้อย..ในช่วงนี้..ทางเขตชายแดน..จะได้ไม่ต้องระแวงกันมาก
..สู้เอากำลังเงิน..กำลังกาย..ของทั้งสองฝ่าย..ไปบำรุง..ซ่อมสร้าง..ทดแทน..สิ่งต่างๆให้พร้อมกันก่อน..เพราะไม่ว่า
..ทางออสเตรีย..ที่มีปัญหากับฝรั่งเศษอยู่แล้ว..ส่วนเตอร์ก..ในเขตที่ยึดครองมาได้..ไม่ว่าในเซอร์เบีย..บอสเนีย..
รูมาเนีย..ฮังการี..บุลกาเรียนั้น..ก็มีชาวเมืองเดิมที่มีกำลังอยู่และทำการต่อต้าน..อยู่ตลอดเวลา..สู้ไปจัดการปัญหา
ภายในของตัวเอง..และ..ปัญหาค้างเก่าซะก่อน..เป็นช่วงเวลานึง..แล้วค่อยมาสู้กันใหม่ทำนองนี้....
...............................
อ่านมานานเลย กำลังติดตาม นิโคล่า นี้ และ ใจจะขาดละครับ ลงแดงละ รออ่าน ทุกวัน เลยครับ
.......ขอโทษทีครับ..คุณChaitana..และ..ผู้ที่รอติดตามอ่านทุกวัน....
....พอดี..ผมมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะ..เมื่อวาน..ก็เลย..ไม่ได้เขียน..
..เนื่องจากผมเขียน..วันต่อวัน..ตอนต่อตอน..แบบไม่มีสคริปต์..
...พอมีอะไรแบบนี้..อารมณ์ผมจะไม่ออก..แม้เรื่องจะอยู่ในสมองแล้ว
..ก็ตาม.....
.....ก็..คืนนี้..กลับมาเขียนเหมือนเดิมแน่นอน..ครับ...
ติดตาม และให้กำลังใจครับ
.........................................
.....หวัดดีครับ..คุณAMBER..และ..ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มอบมาให้..........
...........................................
...............................
.....ซึ่งใครก็ดูออกว่า..ออสเตรียที่เป็นฝ่านเสนอนะ..กลัวทางฝ่ายเตอร์ก..เพราะจริงๆแล้ว..ทหารเตอร์ก สามหมื่นที่
ตายนะมันจิ๊บจ๊อยมากเพราะ..ส่วนใหญ่ที่ตาย..ก็คือลูกหลานเก่าของขนชาติที่อยู่ในคาบสมุทรบอลข่านเอง..ที่มัน
จับมาเลี้ยงและ..ฝึกให้เป็นทหาร...ซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาล..อย่างที่ผมเคยเล่าไปแล้ว...ทหารเชื้อชาติเตอร์ก
จริงๆ..ก็คงตายไม่มาก..แล้ว..ให้พวกเด็กฝรั่งที่กลายไปเป็นทหารให้เตอร์ก..ยังมีอีกเยอะ..จะระดม..มันก็ได้ร่วมแสน
...เปรียบกับ..ออสเตรียที่กรอบ..ทั้งไพร่พล..ก็ตายเป็นหลักพัน..สภาพกรุงเวียนนาก็ต้องซ่อมกันมโหฬาร...ใช้เงินอีก
ไม่รู้เท่าไหร่..ขณะที่..ฝรั่งเศษมันก็รู้สถานการณ์ดี..ว่าช่วงนี้ออสเตรียแย่..โอกาศที่จะโดนเล่นงานมีเยอะ...
...ส่วนไอ้เรื่องพวกต่อต้านเล็กๆน้อยๆในเขตปกครองของเตอร์กนั้น..มันก็ธรรมดา..มีมาตลอด..ยิ่งในฮังการี...
..หลังจากที่ได้ยึดครองกลายๆ..แล้วก็หมดห่วงไปเยอะ...จึงไม่น่ามีปัญหาอะไร........
.......ออสเตรียจึงยอม..ที่จะกัดฟันจ่ายเงินรายปีให้แทน..เพื่อสุไลมานจะได้รู้สึกว่าสมน้ำสมเนื้อ..เพื่อพักศึกในส่วนนี้....
.......................................
.....นิโคล่าพร้อมกับคณะรวม ๒๖ คน..ออกเดินทางจากกรุงเวียนนา..ใช้เวลาถึง ๕ เดือน..(ไปแบบไม่ได้เร่งรีบ)..
ถึงจะไป..ถึงกรุงคอนแสตนติโนเปิล..เมืองหลวงของเตอร์ก...ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างดี..โดยมีการจัดเลี้ยง
อาหารกลางวันอย่างหรูให้..ที่พระราชวังท็อปกาปิ ( TOPKAPI ) ..พระราชวังของกษัตริย์เตอร์ก.....
..........แล้ว..นิโคล่าก็..นำคณะ..เข้าพบกับ..สุไลมานที่ท้องพระโรง....โดย..นิโคล่าพาล่าม..ที่จะแปลจาก..
ภาษาเยอรมัน(..ออสเตรียใช้ภาษาเยอรมันนะครับ..สำหรับผู้ที่ไม่เคยทราบ)..ตามพระราชสาสน์ของเฟอร์ดินานด์
ตามที่นิโคล่าอ่าน..ให้เป็นละติน..อีกที..ซึ่งจะเป็นการสื่อสารทั่วไปในยุโรป..ของการติดต่อ..กันระหว่างประเทศที่ใช้
กันคนละภาษา...ซึ่งตามปกติ..การต้อนรับฑูตทั่วไป..นั้น..นอกจาก..คณะที่ปรึกษาของกษัตริย์..ก็จะมีเสนาบดีทั้ง
หมด..เข้าประชุมด้วย..แต่ครั้งนี้..ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร..หรือเป็นลูกเล่นของ..สุไลมาน..ที่จะแกล้งพวกออสเตรีย
....คือ..เมื่อล่ามแปลแล้ว..ทางฝ่ายเตอร์ก..ก็ส่ายหน้าแบบไม่รู้เรื่อง...
....ความเป็นจริงนั้น..สุไลมาน..ก็มีล่ามทุกภาษานั่นแหละ..แต่ไม่ยอมพาเข้ามา..แต่หนึ่งในเสนาบดีของเขา..
ที่สามารถ..ทำหน้าที่นี้ได้..แต่ทำเฉยเป็นไม่รู้เรื่อง..ก็คือ..อิปราฮิมปาชามหาเสนาบดี..นั่นเอง..ก็อย่างที่บอกไป..
เขาไม่ใช่เตอร์ก..แต่เป็นกรีก..ที่ใช้ชีวิต..อยู่ที่อิตาลี..ตามประวัตินั้น..เขารู้ทั้ง..ภาษากรีก..ละติน..อิตาลี..
..และ..เตอร์ก...ตอนที่เขายังไม่ได้เป็นเสนาบดี..เป็นแค่หัวหน้าองครักษ์ของ..สุไลมานตอนขึ้นเป็นกษัตริย์
ใหม่ๆ...ฑูตจากเวนิส..มา..และ..พูดละติน..เขายังช่วยแปลให้สุไลมาน..และ..พูดโต้ตอบแทน.....
......แต่ตอนนั้น..การที่เตอร์กครอบครอง..ดินแดนในคาบสมุทรบอลข่านมานาน..ซึ่งคนกลุ่มใหญ่..ในที่นี้..
ก็คือ..พวกเซอร์บ..และ..โครเอเทีย...ฝ่ายเตอร์ก..กษัตริย์..ผู้ที่มีความรู้..หรือ..ขุนนางนั้น..ภาษาอื่นนอกจาก..กรีก..แล้ว..
ก็ยังมีอีกภาษาคือ..ภาษาเซอร์บ..นั่นเอง...ก็อย่างที่บอกว่า..คนโครเอเชียที่มีพื้นฐานความรู้ดี..ก็สามารถใช้
ภาษาเซอร์บได้อย่างดี..(ผมเคยเล่าไปแล้ว..ภาษาสองชาตินี้..มันจะใกล้กันยิ่งกว่า..ไทย..กับ..ลาวด้วยซ้ำ..)
................ผมวิเคราะห์ออกมาว่า...สุไลมานแสดงให้ออสเตรียเห็นว่า..แม้แต่..ภาษาละติน..เขาก็ไม่ยอมรับ
..เพราะเขาถือว่า..ภาษาละติน..คือ..ภาษาของวาติกัน..ที่เป็นผู้อุปถัมภ์แห่ง..อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์..
ซึ่ง..ออสเตรียก็อยู่ในนั้น.....ภาษาละติน..ก็คือ..ภาษาของพระโรมันคาธอลิก..คริสเตียน..
....สว่นเขาเป็น..มุสลิม..เขาใช้ภาษาอาหรับ..และ..ภาษาเตอร์ก..ดังนั้น..ภาษาของล่ามที่แปลมา..ถือว่า..
ไม่เป็นกลาง..ถ้าฝ่ายเขายอมรับ..ภาษาละติน..ก็แสดงว่า..เขายอมรับ..คริสเตียน...ซึ่งเป็นไปไม่ได้.....
...เป็นการแสดงสถานะของชาติ..ที่มีความเท่าเทียมกัน.......
..........ผมว่า..ตอนที่นิโคล่าอ่านเป็นเยอรมันนั้น..ขุนนางที่รู้ภาษาเยอรมันก็คงแอบจดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว..
.............ไปๆมาๆ...นิโคล่า..จึงต้องใช้..ภาษาเซอร์บ...ในการสื่อสารกันแทน..โดยไม่ต้องใช้ล่าม....
..เพราะถือว่า..ภาษาเซอร์บ..เป็นภาษากลาง..ไม่ใช่..ภาษาที่เป็นตัวแทนของ..คริสเตียน..และ..ของออสเตรีย..
...........................................
...........................................
.....ถ้ามาวิเคราะห์อีกฝ่ายด้วยนั้น..ซึ่งเพื่อความเสมอภาคควรทำเช่นเดียวกัน...การที่เฟอร์ดินานด์..ส่งไปแค่..
ล่าม..ละติน..นั่นก็เห็นได้ชัดเหมือนกันในเจตนา..เพราะจริงแล้ว..เขาก็มีล่ามที่ใช้ภาษาเตอร์กได้..ก็ตอนที่..
สุไลมานมาบุกเวียนนา..จับเชลยได้..การจับทรมานไต่สวน(..ที่ผมเล่าไปแล้ว)ก็..ต้องไต่สวนเป็นภาษาเตอร์ก
อยู่แล้ว....แต่เป็นการเอาเชิง..และ..ข่มอยู่ในที..เพราะเมื่อใช้ภาษาละติน..นั่นมันคือ..ภาษาของวาติกัน...
คือ..ภาษาของคริสเตียน...ขณะที่ฝ่ายที่ออสเตรียไปขอเจรจา..เป็น..มุสลิม..สุไลมานจะยอมรับได้ยังไง...
................................................................
....ผมว่า..ทางเฟอร์ดินานด์ก็รู้อยู่แล้ว..ว่าสุไลมาน..ไม่ยอมรับแน่..แต่เพื่อคงศักดิ์ศรี..ของคริสเตียน..ก็เลย
ทำแบบนี้..เพื่อไว้ทีว่า..ไม่ยอมก้มหัวให้..(..ทั้งๆที่ข้อความไปตกลงนั้น..ก็เหมือน..จ่ายค่าต๋ง..หรือ..เสียค่า
คุ้มครองให้..เจ้าพ่อ..จะได้ไม่เกิดเรื่อง..)...และนี่แหละ..ที่ผมคิดว่า..เป็นสาเหตุที่..เขาส่ง..นิโคล่า..ไป..
..ทั้งๆที่..นิโคล่าเป็น..ผบ.อยู่เมืองชายแดน..ถ้าเทียบก็..ข้าราชการบ้านนอกธรรมดา..เพียงแต่..ข้าราชการ
คนนี้..เป็นคนโครอัท..ที่พูดเซอร์บได้อยู่แล้ว..ซึ่งสามารถเป็นภาษากลางได้..ซึ่งกรณีแบบนี้..ทางออสเตรีย
ก็ไม่เสียศักดิ์ศรีอะไร.....
.........ซึ่งแบบนี้ต่างกับ..กรณีของ..ฑูตจากเวนิส..นั่นไม่ใช่คู่กรณี..ทำสงคราม...ทางเตอร์ก..ก็อยากผูกมิตร
เวนิส..ด้านการค้า..และ..เวนิสก็อยากผูกมิตรกับเตอร์ก..เรื่องการค้าเช่นกัน...
....สินค้า..จากเส้นทางสายไหมทั้งทางบก..และ..เรือ..มันต้องผ่านดินแดนเตอร์ก....เตอร์กเอง..ก็ดักซื้อ...
หรือเก็บภาษี..ของที่จะเอาไปขายที่เวนิส..เพื่อกระจายไปในยุโรป..เวนิสคือ..ตลาดใหญ่..ดังนั้น..เรื่อง
การค้าก็มุ่งเรื่องนี้เป็นหลัก..ผลประโยชน์ร่วม..เรื่องเล็กๆน้อยๆสุไลมานก็ไม่ถือสา..ในตอนที่พึ่งครองราชย์
ใหม่ๆ..แต่ตอนหลังฑูตเวนิสที่ประจำที่อิสตันบุล..นั้นก็ต้องมีล่ามที่พูดภาษาเตอร์กไว้โต้ตอบโดยตรง...
..เพราะ..สุไลมานเริ่มเก๋า..เขาไม่ยอมรับภาษาของคริสเตียน..สำหรับเรื่องเป็นทางการ...แต่สำหรับพวกฝรั่ง
นั้น..ทีมีฑูตประจำที่อิสตันบุล..ก็มีเพียงฑูตของ..เวนิส..ชาติเดียวเท่านั้น.....
.....อีกอย่างที่..เวนิส..ได้เปรียบใครที่เป็น..ประเทศที่ใครๆก็ต้องพึ่ง..ก็เพราะความชาญฉลาดของเจ้าเมือง
เวนิสรุ่นบุกเบิก...คนไทยส่วนใหญ่..ก็เพียงรู้ว่า..เวนิส..นั้นเป็นเมืองท่า..อยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี.....
...อีกส่วนหนึ่งที่ศึกษาประวัติศาสตร์ขึ้นมาหน่อย..ก็จะรู้ว่า..เวนิส..มีฐานะเป็น..นครรัฐ..หรือ..แคว้นอิสสระ
ที่ปกครองตนเอง...และคนอีกส่วนที่เจาะลึกประวัติศาสตร์ยุโรปยุคกลางถึง..จะรู้ว่า....
...นอกจาก..เวนิส..ไม่ได้มีขอบเขต..เท่าที่เห็น..แต่จะนั่นจะทำให้เข้าใจว่า..ทำไมเวนิสถึง..เก่งค้าขาย....ทำไมถึง
ผูกขาดการค้าของยุโรปได้....
........เพราะตั้งแต่ต้นยุคกลางแล้ว...ผมเคยพูดถึงแคว้นดัลมาเชีย..ที่ตอนริมทะเล..และอยู่ตอนใต้ของ..โครเอเทีย
ในปัจจุบัน..นั้น..ซึ่งทำมาหากินเรื่องการค้า..มาตลอด..จนหมดยุคของอาณาจักรโรมัน..ถูกอนารยชน..เข้าทำลาย..
..ทำให้พื้นที่แถบนั้น..เสื่อมถอยลง..แต่หลังจากนั้นก็มีพวกชาวเวนิส..เริ่มเข้าไปอยู่แทนที่พวกเดิม..ริมขอบฝั่งตะวัน
ตกของคาบสมุทรบอลข่าน..เป็นพื้นที่แคบๆริมชายฝั่งยาวตลอดแนว..ด้านตะวันออกของทะเลเอเดรียติก...พวกเวนิส
ที่มาอยู่แถวนี้นั้น..ก็ทำมาค้าขาย..เชื่อมโยงกับเวนิส..โดยเฉพาะสินค้าจากเอเซีย..ตามเส้นทางสายไหมทางบก..
..ขนสัตว์เครื่องหนัง..จากประเทศแถบยุโรปตะวันออก..และ..สินค้าจากประเทศอาหรับ..ที่ข้ามช่องแคบบอสฟอรัส..
(ช่องแคบ..ที่คั่นระหว่าง..เอเซีย..และ..ยุโรป)..นอกจากนั้น..สินค้าบางส่วนจากอาฟริกา..ก็มาใช้ช่องแคบนี้เช่นกัน...
...มีคนส่งสัยว่า..จากอาฟริกาเขาไม่ใช้ทางเรือทั้งหมดเหรอ.....
...................................................
......นี่เป็นแผนที่..ที่ผมเลือกมาโดยเฉพาะ..เพราะเป็นแผนที่แสดงขอบเขต
ในปีนั้น..พอดี..๑๕๓๐...
....ฮังการีที่เห็นเป็น..สีม่วงนั้น..เป็นดินแดนที่..จอห์น ซัปโปลเยครอบครอง
..ถึงจะมีชื่อเป็นประเทศ..แต่จริงๆก็คือ..เมืองของเเตอร์กนั่นเอง...ซึ่งขอบเขต
นั้น..จะไม่มีส่วน..ของโครเอเชีย..อยู่....เพราะ..
...ส่วนของโครเอเชียก็..กลายเป็นสีเขียว..ไปแล้ว(ออสเตรีย)..โดยที่อยู่ทาง
..ตอนใต้สุด..ส่วนที่ติดกับ..สีแดงทีเป็นของเตอร์กนั่นเอง...และ..ติดกับทาง
ตะวันออกเฉียงใต้ของฮังการี......
....ในภาพจะเห็น...สีน้ำเงินเข้ม..ที่อยู่ทางใต้..ของออสเตรียด้วย...และ..มี
สีน้ำเงินที่เป็นจุดเล็กๆ..อยู่ตามชายฝั่งทางตะวันตก..ของสีแดง(เตอร์ก)..
..กับปลายล่างสุดของสีเขียว(..ออสเตรีย(โครเอเชีย) )..นั่นคือ..
...นครรัฐเวนิส( VENETIAN REPUBLIC)..ที่ผมพูดถึง...
(..ช่วงทะเลที่เป็นช่องกั้นระหว่าง..อิตาลี..กับ..อ๊อตโตมัน..นั่นเรียกว่า..
...ทะเลเอเดรียติก( ADRIATIC SEA )...ครับ..).
...เวนิส..จึงมีเขตปกครองทั้งสองฝั่งทะเลเอเดรียติก..เป็นชาติเดียวเท่านั้น
....นี่คือแผนที่ภูมิประเทศของยุโรป..สีที่เห็นในรูปจะแสดงถึง..ระดับความสูง..ของพื้นที่
(..มีตารางเปรียเทียบสีด้านขอบทางขวา..ของแผนที่..)..สียิ่งเข้ม..ก็แสดงว่ายิ่งสูง....
...ผู้อ่านต้องดู..แผนที่อันแรกมาประกอบด้วย..เพื่อจะทราบว่า..ส่วนไหน..คือ..อะไร..
.....จะเห็นว่า..ที่ๆสีเข้มที่สุดคือ..บริเวณตอนเหนือ..ของอิตาลี....เป็นแนวยาว...
....นั่นคือ..เทือกเขาแอลป์..ครับ....เมื่อผู้อ่านไปเทียบกับรูปบน..จะเห็นว่า...แนวเขตต่อ..
ของออสเตรีย(สีเขียว)..กับ..นครรัฐเวนิส(สีน้ำเงิน)..ก็คือ..เทือกเขาแอลป์..นั่นเอง...มีแต่
เฉพาะ..ตอนริมขวาสุดของรอยต่อที่เหลือนิดเดียวใกล้ทะเล..เท่านั้น..ที่เป็นที่สูง..แต่ส่วนนั้น
คือ..โครเอเชีย..ที่ออสเตรียครอบครองอยู่...แต่ขณะเดียวกัน..ถ้าจากออสเตรียจะเดินทางสะดวก
ก้ไม่ต้องไปเวนิสส่วนที่อยู่ที่..อิตาลี..เพราะใช้ผ่านโครเอเทียมา..มาตอนใต้..ส่วนของเวนิสที่อยู่
กันคนละฝั่งทะเลได้เลย...
....เอาให้ชัดๆ..จะได้อธิบายง่ายหน่อย...
..สีเขียว..ที่แสดงในแผนที่นี้คือ..เขตปกครองของ..นครรัฐเวนิส..(..ยังมีบางส่วนที่อยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
..เป็นเกาะต่างๆ..แต่ตกแผนที่..ไม่ได้แสดงในที่นี้..).
....เส้นทางสายไหม..จากเอเซีย..จะมาที่..สีเขียว 60..(..เขตปกครองของเวนิส..ที่เป็นแคว้นดัลมาเชียเดิม..)..แล้วที่่ท่านี้..จะส่งสินค้าทางเรือต่อไปยัง..สีเขียว 20..(..คือ..ตัวเมืองหลวง..นครเวนิส )...
ส่วนที่เห็นเหนือสีเขียว 60 ที่เขียนว่า ฮังการี..นั้น..จริงๆคือ..
โครเอเชีย..(..เฉพาะส่วนที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล..และ..ลึกเข้าไปไม่มาก..)..ซึ่ง..
เป็นตอนที่ยังอยู่รวมในอาณาจักรฮังการีอยู่(..แผนที่นี้แสดงเขตการปกครองรุ่นเก่ากว่า..ปี ๑๕๒๗ )..
...สินค้า..ที่จะไปส่ง..หรือ..รับมาจาก..ออสเตรีย..นั้น..ก็ไม่ต้องข้ามเทือกเขาแอลป์..แต่เดินทาง
ลงใต้..ผ่านเข้าโครเอเเชีย..แล้วมาเมืองท่าที่อยู่ในเขตของเวนิสที่..สีเขียว 60..ได้โดยตรง...
ถ้า..โครเอเชียกลายเป็นของอ๊อตโตมัน..ออสเตรียก็จะใช้เส้นทางนี้ไม่ได้.....
...................................................
............ก็ขอบอกว่า..บางช่วงเวลาของปี..คลื่นลมในทะเลเมดิเตอเรเนียนั้นแรงมาก..เป็นเดือนๆ..เรือสินค้าจะล่ม
บ่อย..และ..เป็นจำนวนมาก..ถ้าเรือไม่ใหญ่..และ..แข็งแรงพอ..สมัยสงครามครูเสดยุคแรกๆ..นั้น..ไม่ว่าคริสเตียน
ที่ไปแสวงบุญที่เยรูซาเล็มหรือพวกทหารคริสเตียน..ที่ไปขึ้นเรือ..จากทางตอนใต้ของอิตาลี..ที่จะข้ามทะเลเมดิเตอร์
เรเนียน..ไปสู่ชายฝั่งอาฟริกาเพื่อจะเดินไปเยรูซาเล็มนั้น..ก็ต้องเสียชีวิต..จากเรือล่มกันเป็นจำนวนมาก..
....ทำให้เส้นทางสินค้าต้องมาใช้ที่..ช่องแคบบอสฟอรัสแทน....
.........ดังนั้นเวนิสจึงคุมการค้าไว้ได้หมด..และต่อมา..เวนิส..จึงได้ขยายอาณาเขตเลาะไปตามชายฝั่ง..ไปที่ดัลมาเชีย..
และ..ประกาศให้อยู่ในความคุ้มครองคนของตนที่ทำมาหากินที่นั่น..และทำให้กลายเป็นส่วนนึง..ของเวนิสไป....
(นอกจากนี้ในสมัยโบราณ..เวนิส..ก็ไปเชื่อมโยง..อำนาจ..ไปครอบครองเกาะแก่ง..หลายแห่ง..ตลอดชายฝั่ง
คาบสมุทรบัลข่าน..ไปจนถึง..ทะเลเมดิเตอเรเนียนด้วย....)
....ซึ่งให้การเก็บภาษีต่างๆสะดวกขึ้น..เพราะไม่ต้องไปเก็บที่ท่าเมืองเวนิส..แต่เก็บตั้งแต่ตรงนี้เลย..และรัฐเวนิสก็
มีการเข้ามาควบคุมการค้าขาย..เมื่อจะส่งสินค้า..ไปที่เมืองเวนิส..ก็แค่เดินเรือตัดข้ามทะเลเอเดรียติก..ซึ่งสงบ..
คลื่นลมไม่แรง...และเป็นแค่การส่งสินค้าข้ามจังหวัดทางเรือ..เท่านั้น..เปรียบได้กับ..สินค้าทางเรือมาที่ท่าเมือง
ชลบุรีค้าขายที่นั่น..เสียภาษีที่นั่น..เมื่อได้สินค้าแล้ว..ก็ลงใส่เรือข้ามอ่าวไทย..ไปขึ้นที่ท่าที่อำเภอบ้านแหลม..
จังหวัดเพชรบุรี..ทำนองนั้น.....
(...........ในสมัย..ก่อนหน้าที่..เตอร์กหลายร้อยปี..จะบุกเข้ามาในบัลข่าน.
ขอบเขตของเวนิส..นั้น..จะเชื่อมกัน..โดยอาศัย..เกาะที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง..ลงไปถึง..กรีกเลย...
เมื่อ..เตอร์กบุกเข้ายุโรป..เกาะแก่ง..หลายแห่ง...ก็โดนยึดเอาไปครอบครอง...
เหลือ..แค่ที่เห็น..แหว่งๆ..ตามแผนที่อันแรกที่ๆผมแสดงมาให้ดูนั่นเอง...................)
..................................................
........มันเป็นเช่นนี้..มาก่อนที่เตอร์กจะข้ามฝั่งมาที่ยุโรปสมัยเมเหม็ดที่ ๒ หลายๆร้อยปี..
.........หลายคนอาจสงสัยว่า..ถ้าเป็นแบบนี้..ทำไม..เมเหม็ด..ไม่ยึดเอามาเป็นของตนซะเลย..แล้วค้าขายแทน
ทำเป็นท่าเรือ..ของเตอร์ก..ซะหมดเรื่องให้เวนิสมาซื้อสินค้าที่นี่จากพวกเตอร์กแทน...........เพราะกำลังทหารที่
ป้องกัน..มันจิ๊บมากๆ..ไม่พอมือเตอร์ก...แต่ไม่หรอกครับ..เพราะ..เตอร์กนั้น..ไม่ถนัดเรื่องนี้......
....เผ่าพันธุ์เดิม..เตอร์กก็มาจากเอเซีย..อยู่ริมขอบทุ่งเสต็ปป์..ด้านตะวันตก..เคยได้ชื่อประเทศใหม่..ที่แยกส่วน
มาจากรัสเซียมั้ยครับ..เตอร์กมินิสถาน..นั่นเหละครับ..พวกเตอร์กดั้งเดิมอยู่แถบนั้น..อาชีพหลัก..คือ..ปล้น..และ
เลี้ยงสัตว์..เพราะพื้นที่แถบนั้น..แร้นแค้น..จึงเริ่มอพยพ..เข้ามาที่ๆสมบูรณ์กว่าทางทิศตะวันตก..โดยปล้น..โจมดี
เมืองต่างๆดะไปเรื่อย...เรียกว่า..โดยสันดานเลย..อาชีพสุจริตก็พอเห็น..แค่เลี้ยงสัตว์..เพาะปลูกก็แทบไม่เป็น..
เพิ่งมาเริ่มกัน..เมื่อรุกเข้ามาในคาบสมุทรอนาโตเลีย..ที่อยู่ทางใต้ของ..คาบสมุทรบัลข่าน..เรื่องค้าขาย..นี่...
เรียกว่า..เป็นอาชีพสุดท้ายที่จะทำ..เพราะไม่รู้จะค้าขายไปทำไม..เนื่องจากเวลาไปตีเมืองไหน..ก็ปล้นมาได้ฟรีๆ..
...เตอร์กมันถึงต้องทำสงครามตลอด..พอตอนหลังตั้งหลักปักฐานที่คาบสมุทรอนาโตเลียแล้ว..ขยายอาณาเขตกว้าง
ขึ้น..คราวนี้..ก็เริ่มเป็น..คือ..เก็บภาษี..สินค้าผ่านทาง..เพราะไม่ต้องลงทุนอะไร..ได้มาฟรีๆ..โดยเฉพาะ..จากเส้น
ทางสายไหม..ของจากเอเซีย..จะเอาไปขายยุโรป...เมื่อตลาดการค้า..อยู่ที่ชายฝั่งดัลมาเชียของเวนิส..มันก็กินฟรี
อยู่แล้ว..ทั้งสินค้าจากยุโรป..ไป..อาหรับ..อินเดีย..จีน..หรือ..อาฟริกาเหนือ..ก็..ถ้าขนส่งทางบก.
.ก็ต้องผ่านเตอร์ก...เรียกว่า..กินฟรี..ทั้งส่งออก..และ..นำเข้าไป..ที่ตลาดในเขตปกครองของเวนิส..ที่คาบสมุทร
บัลข่านนี้..เพราะเขตแดนเตอร์กหุ้มไว้แล้ว...ถ้าตัวเองไปยึดเข้า...พวกฝรั่งมันก็ไม่เอาด้วยแน่..มันก็..อาจยอม
ลำบาก..ที่มีการขนส่งสินค้า..ผ่านเทือกเขาแอลป์..โดยใช้เมืองเวนิส..เป็นตลาดแห่งเดียวไปเลย..สินค้าเข้ามา
ทางเรืออย่างเดียว...หรือ..ไม่งั้นเส้นทางทางบก..อาจยอมลำบาก..และเพิ่มระยะทาง..คือ..ขึ้นเหนือไป..ใช้..
โปแลนด์..เป็นทางผ่านแทน..โดยบางส่วนยอมเสียค่าต๋ง..ให้พวกมองโกล..ที่ยึดครองพื้นที่..เขตต่อนั้น..แทน..
...................................................
...................................................
..........เมื่อเป็นแบบนี้..แทนที่..จะเก็บค่าต๋งได้..เขาย้ายเส้นทาง..และ..ย้ายตลาด..ตัวเองก็แห้วแดก....
..ดังนั้น..ตั้งแต่เมเหม็ดที่๒..หลังจากยึกคอนสแตนติโนเปิลได้..และ..รุกขึ้นเหนือ..ไปถึง..เขตปกครองของเวนิส..
..เขาก็เลยไม่ทำอะไร..ปล่อยไว้..เพื่อให้เป็นตลาดค้าขาย..เก็บค่าต๋งอย่างเดียว.....
..................................................
...........ส่วนออสเตรียนั้น..ใช่ว่า..ใช้จุดนี้เป็นแหล่งซื้อของจากโพ้นทะเล..อย่างเดียว..ออสเตรียมันก้ส่งออกด้วย
..เพราะ..สินค้า..แบบช่างฝีมือละเอียด..ไม่ว่า..เครื่องแก้ว..เครื่องประดับ..เฟอร์นิเจอร์ไม้..ออสเตรียนั้น..มีฝีมือดี
..สามารถส่ง..ขายไปโพ้นทะเลได้..แต่เดิม..ตอนที่โครเอเชียนั้น..ขึ้นกับ..ฮังการี..ก่อนที่สุไลมานจะยึดได้นั้น..มัน
ไม่มีปัญหา..เพราะเป็นพันธมิตรกัน..ดังนั้น..เส้นทางขนส่งสินค้าก็ผ่าน..โครเอเชีย..แล้วเข้าไปออสเตรียได้เลย..
ดังนั้น..เขาก็จะยอมให้โครเอเชีย..ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเตอร์ก..โดยปริยาย..จากการที่เตอร์กยึดฮังการีได้..นั้น..
ไม่ได้แน่ๆ..พวกขุนนางโครอัทก็รู้ดี..ในปัญหาเรื่องเส้นทางสินค้านี่..ถึงได้ยอมถวาย..ให้ออสเตรียไปเลย..เพราะ
รู้ว่า..ออสเตรีย..ยังไง..มันก็ต้องปกป้องโครเอเชีย..เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง........
........ดังนั้น..KEY..สำคัญ..ของการเจรจาครั้งนี้..จริงๆก็คือ..โครเอเชีย..นั่นเอง...
......ถ้าโครเอเชีย..อยู่ในมือเตอร์ก..ก็จบเห่..สำหรับออสเตรีย..เพราะ..ใช้เส้นทางเดิมไม่ได้แล้ว..เตอร์กไม่ยอมแน่ๆ
เพราะจะได้เป็นการบีบ..ออสเตรีย..ให้ง่อยเปลี้ย..ได้...ต้องไปใช้เส้นทางผ่านเทือกเขาแอลป์แทน..ก็ตายพอดี...
..เรียกว่า..เตอร์ก..ไม่ต้องไปรีบร้อนรุกอะไร..รอไปสักสิบปี..ออสเตรียก็หมดตูด....เพราะด้านตะวันตกของออสเตรีย
คือ..ศัตรูตัวสำคัญ..ฝรั่งเศษนั่นเอง...ซึ่งฝรั่งเศษ..มันก็ต้องชอบใจ..ถ้าเป็นแบบนี้...ออสเตรีย..ก็เหลือพึ่งได้แต่เยอรมัน
เท่านั้น..
.............................................
...แล้วทำไมสุไลมาน..ถึงมุ่งมั่นจะยึดออสเตรียให้ได้..เมื่อตอนนี้..ฮังการี..ก็ได้แล้ว..เหนือ..ฮังการี..คือ..โปแลนด์
..ไม่อยากได้มั่งรึไง.....ตอบได้คำเดียว..ว่าเตอร์ก..ไม่สน..โปแลนด์หรอกครับ..เปลืองแรงเปล่า..แถมไม่ได้อะไร
ด้วย..ทำไมหรือ..ก็เพราะ....
๑. โปแลนด์ แผ่นกว้างใหญ่กว่าออสเตรีย..และ..หนาวกว่ามาก..เตอร์ก..นั้นไม่คุ้นกับการรบ..ในหิมะ..แบบ
มองโกล..แถมการที่เป็นพวกที่มีถิ่นฐานเดิม..ไม่หนาวจัด..แค่ดำรงชีพอยู่ก็แย่แล้ว..สุไลมานไปเจอ..ความหนาว
แค่เวียนนา..ยังหงิกสะล่องก้อง..โปแลนด์..ทางเหนือจรดทะเลเหนือ..และ..แดนพวกไวกิ้ง..ทางตะวันออกติด..
กับ..รัสเซีย..ยูเครน...เป็นเครื่องรับประกันความหนาวได้...
๒. โปแลนด์นั้น..ดินแดนไม่ได้อุดมสมบูรณ์อะไรมาก..และ..ไม่ร่ำรวย..เทียบกับ..ออสเตรียไม่ได้..ยึดไปก็ไม่ได้
อะไร....ไม่คุ้มกับแรงคนและแรงทรัพย์ที่ต้องเสีย...
๓. โปแลนด์ด้วยความที่ไม่ค่อยร่ำรวย..ก็เลยรบเก่ง..ในยุคนั้นดินแดนกว้างไกล..เพราะ..เข้าไปยึดในถิ่นฐาน
พวกคอสแซค..ของรัสเซีย..และรุกเข้าไปในพื้นที่รัสเซียด้วย..รบกับรัสเซียประจำ..ทางเหนือ..ก็เข้ายึดลิทัวเนีย..
ลัทเวีย..ถ้ารบไม่เก่งก็คงไม่กล้ารุกชาวบ้าน..แล้วไอ้พวกที่ชอบรบร้อนๆ..กระแดะขึ้นไปหา..เจ้าถิ่นถึงที่มันจะ..
เหลือเรอะ.....
...........นอกจากนี้..โปแลนด์..มีหน่วยที่เดี๋ยวนี้เราเรียกว่า..ELITE FORCE..หรือ..หน่วยที่มีความเป็นสุดยอด..
..คล้ายๆกับ..ไวกิ้ง..ที่จะหน่วยที่เรียกว่า..BERSERKER..หรือ..หน่วยบ้ากล้าตาย..เพียงแต่ของ..โปแลนด์นี้
ไม่บ้า..อย่างไวกิ้ง..ฉลาด..ว่องไง..เก่ง..อดทน..แกร่ง..หัวใจเพชร..เฉียบขาด...อย่างที่ว่า..ใครเจอก็ต้องหนาวขี้เลย
...หน่วยนี้..มีจำนวนไม่น้อย..ฝึกการรบ..ตลอดเวลา..และมีการคัดสรรอย่างดี...โดยเฉพาะ..ไม่ว่า..คอสแซค
..รัสเซีย..หรือ..แม้กระทั่งเตอร์ก..ก็โดนพวกนี้เล่นซะ..โกยอ้าวมาแล้ว..นั่นคือ.....
..................WING HUSSAR....หรือ..ผมเรียกของผมเองว่า..”..หน่วยพิฆาตติดปีก..”.....
..จะเป็นยังไง..ผมก็เห็นมีคนไทย..แปลมาลงในเว็บกันบ้างแล้วไปหาอ่านได้...แต่ถ้าอยากอ่านสไตล์ของผม..
ที่มีรูปแบบ..ข้อมูล..และเรื่องราวต่างไป....ต้องรอ..ให้..เรื่องนี้จบก่อนครับ..ผมจะไปว่ารวมในเรื่องที่ผู้อ่านขอมาแล้ว...
......คือ..”..แจน..โซบิสกี้..ยอดวีรกษัตริย์..”.......................
๔. จุดมุ่งหมายสุไลมาน..คือ..ยุโรปกลางและตะวันตก..ที่มั่งคั่ง...ดังนั้น..เขาก็ไม่ต้องการเสียเวลา..เสียคน
เสียเงิน..กับ..การไปอ้อมโลก..ตั้งไม่รู้กี่พันไมล์..ในเมื่อตัดตรงขึ้น..เวียนนา..ต่อขึ้นไปหน่อย..ก็เยอรมัน..เลี้ยว
ซ้ายก็..เดนมาร์ก..ฮอลแลนด์แล้ววกเข้า..เบลเยี่ยม..แล้วก็..ฝรั่งเศษ..ฯลฯ...
..........นี่แหละครับ..ดังนั้นเป้าหมาย..เฉพาะหน้าของสุไลมานคือ..ออสเตรีย...
................................
................................
......เขาเองนั้นจริงๆแล้ว..ไม่มีเรื่องประนีประนอม..อยู่ในสมองอยู่แล้ว..แค่เมื่อปีก่อนยังเจ็บไม่หาย..มางวดนี้
เสือกเสนอหน้ามาเจรจา..ต่อรอง..จะเอาเงินมาล่อ..สุไลมาน..มันคงคิดในใจว่า..ไอ้เฟอร์ดินานด์นี่มันฝันกลางวัน
ชัดๆ....แต่ไอ้ตัวที่กรุยทางไปก่อนคือ..โครเอเชียอย่างที่ผมบอก..เขาก็อยากโครเอเชีย..ส่วนที่เหลือ..และเป็นส่วน
สำคัญ..เพราะ..นอกจากจะทำให้เขตอำนาจโดยสมบูรณ์ของเขา..ขึ้นไปยัน..เขตแดนจริงๆของออสเตรียแล้ว
.....เขาก็สามารถล้อมออสเตรียทั้งสองทาง..โดยตะวันตก..ใช้กำลังจากฮังการี..ที่เป็นของเขา..ส่วนด้านใต้..
ก็เป็นกองทัพเตอร์ก..โดยตรง..คราวนี้..เทวดาก็ช่วยไม่ได้..เพราะตะวันออกของออสเตรีย..ก็ศัตรูถาวรคือ..
ฝรั่งเศษ..ที่จับมือทางลับกับเตอร์กมานานแล้ว.....
..........ผลที่มาก่อนหน้าเพื่อนก็คือ..บีบไม่ให้ออสเตรียมีทางออกทางทะเล..บีบทางเศรษฐกิจ(อย่างที่ผมเล่า
ไปแล้ว)..นั่นเอง...............
............ด้วยเหตุนี้...สุไลมานจึงบอกกับ..นิโคล่า..ในฐานะตัวแทนของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ว่า...
....ได้....แต่..ไม่ใช่แค่นั้น..นอกเหนือจากที่เอ็งต้องให้เงินค่าต๋ง..ปีละ ๒๐๐,๐๐๐ ดูคัท..แล้ว..เอ็งต้องคืน..
...สลาโวเนีย.(..เป็นแคว้นของพวกสลาฟ..ที่เป็นเหมือน..ญาติๆของพวกโครอัท..ตั้งอยู่ทางตะวันออก..ของ
โครเอเชีย..และ..อยู่ตอนเหนือ..ของเซอร์เบีย..เดิมก็เคยอยู่ภายใต้ปกครองของ..ฮังการี..เช่นกัน..)..และ
โครเอเชีย..ที่เอ็งรับสมอ้างการครอบครอง..เพราะไอ้พวกขุนนางโครอัท..มันเสนอให้เอ็ง..อย่างผิดความชอบ
ธรรม...คืนให้ฮังการีซะด้วย...ก็เมื่อ..โครเอเชียเดิมนั้นอยู่กับฮังการี..และตอนนี้..ฮังการีก็ยังอยู่..แต่เปลี่ยนผู้นำ..
..ความชอบธรรมในการครอบครอง..โครเอเชียมาแต่เดิมนั้น..ก็ต้องยังเป็นอย่างเดิมเช่นกัน.....
.............นั่นแหละครับ..ข้ออ้างของโจร..จริงๆก็คือ..ถ้ามึงไม่ไปยึดฮังการี..แถมทำกษัตริย์เขาตายด้วย...เหตุการณ์
วุ่นวายก็จะยังไม่เกิด..เพราะ..ฮังการีเดิม..กับ..ออสเตรีย..เขาก็เป็นพันธมิตรกันอยู่...แล้วไอ้ผู้นำฮังการีคนใหม่..
ก็คือโจรขบถ..จอหน์ ซับโปลเย..ที่เป็นโนมินี(..ขอโทษใช้ศัพท์..ให้ทันยุคหน่อย)ของมึง..มึงจะสั่งให้หันซ้าย..หันขวา..
..มันก็ทำหมด...ชื่อ..ฮังการี..อยู่ก็จริงแต่ก็ไม่มีความหมายอะไร..เพราะมันก็คือ..อาณาจักรอ๊อตโตมันเตอร์กนั่นเอง
..................นอกจากนี้..ยังมีคำพูดเป็นทางการที่มีการบันทึก..ในส่วนสำคัญโดยเฉพาะของสุไลมานด้วยว่า..
.........................................................................................................................
........”...... ฮังการี..ก็เหมือนดาบของข้า..เพราะข้าไปชนะ..จึงได้มา..ข้าชอบ..ไอ้จอหน์ ซับโปลเย..มันขอข้า...
..ข้าก็ให้(..ดาบ = ฮังการี )มัน...ใครบังอาจไปตอแยมัน..ก็เท่ากับ..มาตอแยข้าด้วย..เพราะ..มันเป็น..ผู้รับใช้ของข้า..”
..........................................................................................................................
.....คือนอกจากที่ว่าแล้ว..ไม่ว่า..ข้อต่อรองของ..สุไลมาน..เฟอร์ดินานด์จะยอมรับหรือไม่..ก็สำทับคำขู่ไปด้วยว่า..
คือถ้า..มึงกล้าบุกรุกแดนหรือเขตขอบครองของฮังการีในปัจจุบันนี้..เมื่อใดก็ตาม...มึงก็จะต้อง...
..ต้อนรับการมาของกู(สุไลมาน)และกองทัพ....ที่จะขึ้นไปถล่มมึงด้วย..
......................................
....และก็..เหมือนสวรรค์แกล้ง..นิโคล่า..และ.คณะของเขา...โดยมีม้าเร็วมาแจ้งข่าว..เรื่องที่กองทัพของกษัตริย์
เฟอร์ดินานด์..บุกเข้าไปในเขตแดนของฮังการี..และ..เตรียมจะปิดล้อม..บุดา(BUDA)..เมืองหลวงของฮังการี..
..เพื่อจะ..จับตัวจอห์น..ซัปโปลเย.......
..................................................
..................................................
................ก็ตามที่ผมว่าไว้..คือเรื่องของเรื่อง..เฟอร์ดินานด์มันก็รู้ว่า..ขอเสนอนี้..สุไลมานก็คงไม่เอาด้วย..และ..
กอปรกับ..ขบวนของนิโคล่า..ออกมาจากเวียนนา..ร่วมครึ่งปีแล้ว..ถ้าคิดในแง่ดี..ก็คือ..ไม่ได้ข่าวคราวอะไร...
อาจนึกว่า..พวกนี้ตายหมดแล้ว..ก็เลยยกทัพไปฮังการี..(..เฟอร์ดินานด์นี่..ไม่เหมือน..สุไลมานนะครับ..เพราะ..
อีไม่เคยรบรากับใครด้วยตนเอง..มีที่ปรึกษา..แล้วก็สั่งอย่างเดียว..ขณะตอนที่เวียนนา..โดนสุไลมานปิดล้อม..
..แกก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร..เพราะไปอยู่อีกเมือง..นอนกกอีหนู..เหวยสุรา..สบายใจเฉิบ..)..........
....แต่ผมว่าไม่..เพราะแนวทางออสเตรียมีหลายครั้งแล้วที่ผ่านมาในอดีต..ที่ทำอะไรไม่เสียดายลูกน้องตัวเอง..
.....การส่ง..นิโคล่ากับคณะไป..นั้นเพื่อการหันเหความสนใจ..ซะมากกว่า..เพื่อให้สุไลมานต้องมารับรองและ
พิจารณา..ข้อเสนอ..กว่าสุไลมานจะได้ข่าว..และยกทัพมาช่วย..จอหน์ ซับโปลเย..ก็คงไม่ทันการ..เพราะ..
จากเวียนนา..ไป..บุดา..สั้นกว่า..จากอิสตันบุล..ไป..บุดา..สาม..สี่เท่า...
......ผลหรือครับ...สุไลมานก็ควันขึ้นหัวเลย..เพราะ..เพิ่งฝากเตือน..นิโคล่า..เรื่องนี้..ไปหยกๆ..นิโคล่ากับคณะ
ก็ยังไม่ได้เดินทางกลับ...สุไลมาน..ก็เลยออกคำสั่ง..คุมตัว..นิโคล่ากับคณะ..ทั้งหมดไว้ก่อน...
....นิโคล่ากับคณะ..โดนกักตัวไว้เป็นระยะเวลาร่วมเดือน..ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวกลับไป..ในเดือนกุมภาพันธุ์..
ปี ๑๕๓๑...แล้วทั้งหมดก็..รีบเดือนทาง..กลับไปกรุงเวียนนา..แล้วนิโคล่ากับ..คณะก็ไปถวายรายงานให้กับ
เฟอร์ดินานด์..ได้ในที่สุด....
..........ตกลงเรื่องการรุกคืบเข้าไปในฮังการี..นั้น..ออสเตรียก็ยังคงทหารไว้.และค่อยๆรุกคืบไปตามแนวแม่น้ำ
ดานูป(..แม่น้ำดานูปนั้น..ไหลมาผ่านที่ Buda..เมืองหลวงฮังการีด้วย..).....
...เพราะฝ่ายวางแผนของเฟอร์ดินานด์..ก็คาดการณ์ว่า..ทางเตอร์ก..นั้น..ปี ถึงกลางปี๑๕๓๑ ก็คงยังไม่
พร้อมดี..ที่จะรวบรวมพล..ขนาดใหญ่..บุกขึ้นมาช่วยฮังการีได้...ด้วยการที่เมื่อปี ๑๕๒๙ เสียทหาร..และ...
ยุทโธปกรณ์ไปเยอะ..จากการล้อมกรุงเวียนนา..ส่วนออสเตรียนั้น..ทหารส่วนที่อยู่นอกกรุงเวียนนา..ตามหัว
เมืองสำคัญ..และ..ชายแดน..ไม่มีผลกระทบมาก..จึงรีบทำการบุกตั้งแต่ปลายปี ๑๕๓๐...เพียงแต่ช่วงแรกๆนั้น
ก็ถือว่า..เป็นเรื่องธรรมดา..เพราะฮังการี..ก็เป็นประเทศ..ก็สามารถดำเนินการรบต่อต้านได้เอง..
...ซึ่ง..ซัปโปลเย..เองคงเห็นว่า..เรื่องแค่นี้..คงจัดการเองได้..และจะได้แสดงฝีมือให้ลูกพี่เห็น...ไปๆมาๆ..ออสเตรีย
ค่อยๆรุกคืบขึ้นมาเรื่อยๆ..จนเมื่อเหตุการณ์ชักไม่ค่อยดีแล้ว..ถึงได้ส่งคนไปรายงาน..ให้สุไลมานทราบ............
.........สำหรับ..นิโคล่า..นั้น..การไปแดนเตอร์กครั้งนี้..เหมือนโชคชะตา..ที่ได้ไปพบ..และรู้จักศัตรูในอนาคตก่อน
เวลา...เพราะเขาได้พบ..และ..สนทนากับ..ทั้ง..สุไลมาน..และ..อิบราฮิมปาชา.....ตัวของเขาเองก็คงไม่นึกว่า..
จะต้อง..มาประจัญ..ศึกกันจริงๆ..ในฐานะของผู้นำในแต่ละฝ่าย......ยิ่งฝ่ายสุไลมานและ..อิบราฮิมยิ่งไม่นึก..
ใหญ่...เพราะ..การไปสงครามของทั้งสองคนนี่คือ..การยกทัพใหญ่..ระดับเป็นแสนคน..การรบ..การปะทะ..ก็
ต้องปะทะ..กับ..ระดับกองทัพเช่นกัน...คนที่เขาต้องสู้ด้วย..คือคนระดับ..แม่ทัพ..ไม่ใช่ระดับ..นายกองอย่าง..
นิโคล่า...นับว่า..เป็นโชคชะตา..จริงๆ..ที่ทำให้ทั้งสาม..ต้องมาทำศึกกัน.....
.................นี่ก็โชคชะตาเช่นกัน..เพราะที่เฟอร์ดินานด์ทำแบบนี้..สุไลมานจริงๆแล้ว..อาจทำกับคณะของ..
นิโคล่ามากกว่านี้ก็ได้..เพราะถือว่าหลอกลวงและ..เจตนาเป็นศัตรูชัดเจน...เขาอาจจะสั่งขังลืม..หรือ..ถ้าแย่
กว่านั้น..เขาอาจประประหารชีวิตหมดทั้งยวงก็ได้..แต่ผมว่า..สุไลมานนั้นเป็นคนที่คิดลึก..คิดไกล..เพราะ..ถึง
ฆ่าพวกนี้ทิ้ง..ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา..เพราะเฟอร์ดินานด์ทำแบบนี้..มันก็คงไม่ได้ห่วงสวัสดิภาพของพวกนี้อะไร..
..ตัวสุไลมาน..สู้ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ..คือ..ปล่อยไป..ในภาพรวมชาติอื่นก็จะมองว่า..เป็นกษัตริย์ที่มีศักดิ์ศรี
และ..เป็นลูกผู้ชายพอ..ไม่เอาสาระกับ..พวกที่ไม่ได้มีผลต่อรองอะไร...ดูเท่ห์กว่ากัน....
......ส่วนคณะของนิโคล่านั้น...คนอื่นคงไม่เท่าไหร่..เพราะไม่ใช่ทหารแท้ๆ...เขาเองเป็นทหารแท้..แต่คนอื่น
มองเป็นทหารการฑูต...ในใจก็คงเจ็บแค้น..เฟอร์ดินานด์น่าดู...เพราะเขาคุมอยู่ที่เมืองเรจิก้าอยู่ดีๆ..แต่ถูก
บังคับ..ให้ไปทำงานการฑูต...แถม..พระเจ้า..หรือ..นักบุญผู้คุ้มครองช่วยไว้หรือเปล่าไม่ทราบ..ถึงได้มีชีวิต
ต่อมาได้..คนอย่างเขาที่เป็นทหารแท้..คงต้องไม่อยากตายในคุก..หรือ..ถูกตัดคอแน่ๆ(โดยไม่มีโอกาศต่อสู้)
...อย่างเขาถ้าตาย..เขาคงอยากตายในสนามรบมากกว่า.....
.................................................
.................................................
..........หลายๆอย่างมันก็ไม่ใช่เหตุบังเอิญ..อย่าง..นิโคล่า..สุไลมาน..นี้..สุไลมานต้องเห็นอะไรบางอย่าง..
ในตัว..นิโคล่า..ระหว่างที่ทำการเจรจากัน..อาจเป็นเพราะ..นิโคล่า..เป็นคนที่เรียกว่า..เป็นทหารแท้..และ..
คงมีความหยิ่งในตัวพอสมควร..มันสะกิดต่อมอะไรบางอย่าง..ของสุไลมาน..ทำให้เขาเลือก..ที่จะทำในสิ่ง
ที่เขาไม่จำเป็นต้องทำ..หลายอย่างจะที่เกิดขึ้นในอนาคต..กับ..ตัวนิโคล่า....
........................................
....ผมได้กล่าวถึง..จอหน์ ซัปโปลเย..หรือ..ซัปโปลยา(..แล้วแต่..ภาษาที่เรียก..แบบภาษาเซอร์บ..หรือ..ฮังการี)..
เอาไปว่า..ผมจะเรียกแค่..จอห์น..เฉยๆ..ดีกว่า..หลายคน..คงแปลกใจว่า..ไอ้นี่มาจากไหน..ทำไมถึงมาเป็นลิ่วล้อ
ของ..สุไลมานได้...จริงๆแล้ว..ไอ้เจ้าจอหน์..นี่ก็มีผล..ต่อความวุ่นวาย..ในคาบสมุทรบัลข่าน..โดยเฉพาะ..
ฮังการรี..ไม่น้อย..ดังนั้น..ผมก็จะกล่าวถึงเขาสักพอประมาณ......
.....ตัวจอหน์..จริงๆนั้น..ก็ไม่ใช่คนฮังการี..ครับ..แต่..เป็นคนโครอัท..เหมือน..นิโคล่า..แต่ครอบครัวเขา..คือ..พ่อแม่
อพยพ..มาอยู่ที่ฮังการี....แล้วเข้ามารับราชการ..จนได้เป็นขุนน้ำขุนนาง..ระดับสูงพอสมควร...ตัวจอห์นนั้นเกิดที่
ฮังการรี..เขาจึงถือว่า..เขาเป็นคนฮังการรีแท้...
.....ไม่ใช่ว่า..ตัวของจอห์นนี้..จะเป็นความบังเอิญ..ทุกอย่างมีที่มาที่ไป..และ..สาเหตุที่เขามักใหญ่ไฝ่สูง..ก็มีที่มา
เช่นกัน...
..........ก่อนหน้านี้..ราชวงศ์ฮุนยาดี้..ที่เป็นฮังการีแท้..สิ้นสุดลง..อันเนื่องมาจาก..กษัตริย์แมทเทียส..ไม่มีลูกชายที่
จะสืบต่อ..(..คือมี..แต่เป็น..ลูกนอกกฏหมาย..ลูกนอกสมรส..กับหญิงอื่น..ซึ่งไม่ได้มีการเปิดเผยตัวในตอนนั้น..)...
...เนื่องด้วยแมทเทียส..เป็นวีรกษัตริย์ที่เก่งกล้าของฮังการี..ขยายขอบเขตประเทศไปกว้างไกล..กินไป..ทั้ง..โบฮีเมีย
(..เช็ค..และ..สโลวัค)..ทรานซิลวาเนีย..(ส่วนนึงของรูมาเนีย)..สลาโวเนียและ..โครเอเชีย.....พวกเหล่าขุนนางจึงคัด
เลือก..ผู้ที่เหมาะสม..ให้มาเป็น..กษัตริย์ของฮังการีสืบไป..ซึ่งได้แก่..กษัตริย์ของแคว้นโบฮีเมีย..เมื่อแต่งตั้งเสร็จ
แล้ว..ปรากฏว่า..พระองค์ได้เอาจดหมาย..ที่ได้จาก..ราชินีองค์ก่อน(มเหสีของกษัตริย์แมทเทียส)..ซึ่งเป็นจดหมาย
ชองแมทเทียสเอง..ระบุว่า..ผู้ที่พระองค์เห็นสมควรสืบทอด..การปกครองนั้น..ก็คือ..พ่อของจอห์น...ซึ่งก็สร้างความ
แปลกใจให้กับ..เหล่าขุนนางชั้นสูง..รวมถึง..ตัวพ่อของจอห์นด้วย......
.....ผมว่านี่แหละ..คือ..แรงบันดาลใจ..เพราะถ้าพ่อของเขาได้เป็นกษัตริย์...ตามคำสั่งของแมทเทียส(..คือว่าตามจริง
มันก็น่า..จะเป็นแบบนั้น)..แสดงว่าพ่อของเขาต้องมีคุณสมบัติเป็นที่ต้องตา..ของ..แมทเทียส..แล้ว..เขาเองก็ต้องได้
เป็นกษัตริย์..ของ..ฮังการี..ต่อมา..แต่นี่ไปอยู่กับกษัตริย์จากแคว้นอื่น..แถม..เมื่อกษัตริย์จากโบฮีเมียองค์ที่ได้ครอง
ตำแหน่งตายลง...ตำแหน่งกษัตริย์..ก็เปลี่ยนราชวงศ์..ไปอีก..กลายเป็นกษัตริย์หลุยส์ที่๒..ที่เป็นลูกชาย..
และตายในสนามรบที่โมฮัคส์นั้น..ก็..เป็นคนนอกอีก(ราชวงศ์ของโบฮีเมียนั้น..จริงๆก็สืบสายมาจากทางโปแลนด์)
.....เขาคงคิดว่า..ถ้าทำตามคำสั่งแมทเทียส...ฮังการี..ที่มาถึงยุคเขาก็ไม่ต้องไปอยู่ในมือชาติอื่น..แถมหลังจาก..
แมทเทียสตาย..ฮังการี..ก็ตกต่ำลง..และ..เสียดินแดน..จากเดิมไป..มากมาย.....ทั้งๆที่เดิมนั้น..ฮังการี..ยิ่งใหญ่
กว่า..ออสเตรีย..แต่หลังแมเทียสตาย..ฮังการี..ก็ต้องเสีย..โบฮีเมีย..ให้กับออสเตรีย..ทำให้ออสเตรียมีอำนาจใหญ่
โตขึ้นมา...เสีย..ทรานซิลวาเนีย..บางส่วน..ให้กับเตอร์ก...เพราะกษัตริย์คนนอก..ไม่สนใจปกครอง..ฮังการี..และ
เป็นสาเหตุให้บั่นทอนอำนาจเดิม..ของ..ฮังการีให้ตกต่ำลง....
..........ตอนที่เขาหนุ่มนั้น..เขาก็ได้เป็นขุนนางในสภาแล้ว...ในที่ประชุม..ซึ่งคงเห็นว่าคงคิดผิด..ที่เอาคนนอกมาเป็น
กษัตริย์ของตัว...ก็มีความคิดเห็นกันว่า..ต่อจากกษัตริย์โบฮีเมียองค์นี้...ตำแหน่งควรกลับมาเป็นคนฮังการี..โดยไม่ให้
เจ้าชายต่างชาติที่ไหน..มาปกครองฮังการรีอีก..เพราะเหล่าขุนนางถือว่า..การมอบตำแหน่งที่ผ่านมานั้น..ก็มอบโดย
เหล่าขุนนาง..เป็นการชั่วคราว...จึงเสนอผลข้อประชุมไปที่กษัตริย์...
.............................
เขามาอ่านตลอดครับ สนุกมากครับ ขอบคุณครับที่เอาข้อมูลดีๆมาให้อ่าน
........ขอบคุณครับ..ตุณTHITIWAT..สำหรับคำชมเชย..ผมถือว่า..เป็นการให้กำลังใจที่ดีครับ..
...สำหรับ..นักเขียน(ที่)สมัคร(ใจมาเขียน)เล่น..อย่างผม...
...และไม่ต้องห่วง..ว่า..จบ.."ยอดคน..นิโคล่า"..แล้วจะหมด..คุณยังต้องอ่านไปอีกนาน..ถ้าชอบ..
..เพราะ.."ยอดคน..นิโคล่า"..ไม่ได้มีคนเดียวครับ..ยังมีอีกคน..แถมยิ่งใหญ่กว่า..คนแรกอีก....
...แล้วหลังจากนั้น...ก็ยังมี.."ยอดคน"..ใยยุคโบราณ..อีกหลายคน...
....ผมไม่ตั้งกระทู้ใหม่..แต่จะใช้กระทู้เดิม..เขียนต่อไป..เพราะถือว่า..ชื่อกระทู้ของผม..ครอบคลุม
เนื้อหาได้..และ..ไม่ออกไปนอกประเด็น...เรียกว่า..ตั้งชื่อกัน..ทีเดียว..เอาให้คุ้มเลย...
.........เรื่อง..ของ..กระทู้นี้..จึงอาจยาว..ไปถึงปีหน้า..หรือ..ไปเรื่อยๆ..ก็แล้วแต่เรี่ยวแรง..และ..สมอง
ของผมครับ..ถ้ายังไม่เสื่อม..ซะก่อน....
.............................
.....แต่อย่างว่า..
..........เขาเรียกว่า..เตะหมูเข้าปากหมา..เรื่องอะไรหมาจะปล่อย..เสือกยกตำแหน่งมาให้กูเอง...กษัตริย์ก็ไม่สน..แถม
ไปมีข้อตกลง..พันธมิตรกับ..ราชวงศ์ฮัปสเบอร์กของออสเตรีย..สร้างความผูกพัน..เรียกว่า..เพื่อให้เข้ามามีเอี่ยวในการ
พิจารณา..ตั้งกษัตริย์องค์ต่อไปหลังจาก..เขาตาย..จริงๆก็คือ..ให้สนับสนุนลูกชายเขา(หลุยส์ที่๒)..ขึ้นครองราชย์..ต่อ
จากเขาให้ได้..สร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าขุนนางทั้งหลาย...
...........ผมจึงคิดว่า..ไม่แปลกหรอก..ที่..จอห์น..จะคิดได้ครอบครอง..ฮังการี..และก็มีขุนนางบางคนเห็นชอบกับเขา
.......................................
.....พออายุ..แค่..๒๔ เท่านั้น..เขาก็ได้รับการแต่งตั้ง..ให้ไปเป็น..ผู้ว่าการ..ทรานซิลวาเนีย(ส่วนที่ฮังการีครองอยู่....
ส่วนที่เหลือนั้น..เป็นของรูมาเนีย)..จะเห้นจากอายุก็คงทราบถึง..อิทธิพล.ของพ่อเขาในสภาสูงมีแค่ไหน..ไม่งั้น..
กษัตริย์แมทเทียส..คงไม่คิดมอบอำนาจบ้านเมืองให้เขาหรอก....เขาก็รีบดำเนินการสร้างฐานอำนาจ..แสวงหา
เงินทองไว้กับตัวเอง..แต่ก็ยังมีผลงานที่ปราบปรามกบฏในพื้นที่ได้.....
.....จนเมื่อปี..๑๕๒๖..สุไลมานยกทัพมาฮังการี..ทำสงครามที่..สมรภูมิโมฮัคส์..ที่กษัตริย์ฮังการี..หลุยส์ที่๒...ตาย
..นั้น..ปรากฏว่า...จอห์นนำกองทัพจากทรายซิลวาเนียไปเหมือนกัน..แต่เขาหยุดระหว่างทางก่อนถึงสมรภูมิ..โดย
ไม่มีสาเหตุ..(..ผมว่า..จอห์น..อาจมีข้อตกลงทางลับกับ..ตัวแทนของสุไลมาน..ล่วงหน้าก่อนแล้วก็เป็นไปได้.....
...และเขาคงเชื่อมั่นมากว่า..สุไลมานคงชนะ..แม้ว่า..กำลังพลฝ่ายฝรั่งจะมากกว่าก็ตาม..)....
........เมื่อตำแหน่ง..กษัตริย์..ว่างลง...จากข้อตกลงเก่านั้น..ที่กษัตริย์โบฮีเมีย..ทำไว้..กับ..กษัตริย์ออสเตรีย..นั้น..
ให้..มาเอี่ยว..กับตำแหน่งนี้..ถ้าสายกษัตริย์ขาดตอน..มันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว..เพราะสุไลมานยึดเมืองหลวง
ได้..ตำแหน่งกษัตริย์..หรือ..ผู้นำประเทศคนใหม่..มันก็ต้องสุไลมานนั่นแหละเป็นผู้เห็นชอบ...ไอ้เรื่อง..พวกออสเตรีย
..จะมาเอี่ยวนั้น..เมินได้เลย..เพราะเป็นศัตรูกัน..และในสงครามโมฮัคส์..ออสเตรีย..ฐานะอยู่ในอาณาจักรโรมันอัน
ศักดิ์สิทธิ์..ก็ส่งทหารมาร่วมรบ...ตำแหน่งนี้..ก็เลยต้องเป็นขุนนางฮังการีคนใด..คนหนึ่ง..ซึ่งขุนนางส่วนใหญ่..ก็
สนับสนุน..จอห์น..ที่อยู่ในสภาสูงระดับผู้ว่าการแคว้นมาเป็นเวลา ๑๕ ปี..เขาส้รางฐานอำนาจ..อิทธิพล.ขึ้นมา..
อย่างต่อเนื่อง..บวกกับ..บารมีเก่าของพ่อเขา..ก็เรียกว่า..แทบไม่มีคู่แข่ง..แถมในการรบที่โมฮัคส์..เขาก็ยังไม่ได้
รบกับ..พวกเตอร์กด้วยซ้ำ..(ไอ้เลศนัยเรื่องนี้..หรือว่า..บรรดาขุนนางผู้ใหญ่จะรู้เห็นเป็นใจ..เพราะอยากโค่น...
สายกษัตริย์ต่างด้าวให้หมดไปจากประเทศ....ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีการแถลงไข..และ..พวกขุนนางทั้งหลายก็ไม่ติดใจ
..เรื่อง..การที่ไม่เข้าร่วมรบ..ที่สมรภูมิโมฮัคส์..ของจอห์น...)...
.......แล้วในปีเดียวกันนั้นเอง...จอห์นก็ได้รับสถาปนา..จากสภาสูงของ..ฮังการี..กลายเป็น..กษัตริย์จอห์นที่ ๑
แห่งฮังการี..สืบมา...ทั้งนี้ด้วยการเห็นชอบ..ของสุไลมาน..
............ใน ๙.เดือน..ต่อมา..จอห์นก็แสดงผลงาน..ของเขา..ก็ปรับปรุงระบบงาน..หลายอย่างรวมทั้ง..การแบ่ง
ปัน..จากทรัพย์สินของตนเองออกมาช่วย..กิจการบ้านเมือง..และ..ขุนนางชั้นผู้น้อย..ทำให้คนฮังการีได้เห็นว่า..
เมื่อเปลี่ยนกษัตริย์มาเป็นคนฮังการรีแล้วมันย่อมดีกว่า...
.......................................
..............
...จอห์น ซัปโปลยา..ในชุดกษัตริย์ฮังการี........
..............
........ตราเครื่องหมายประจำตัว( COAT OF ARMS)..ของกษัตริย์จอห์น ซัปโปลยา..
..ให้สังเกตความแปลกคือ..เครื่องหมายก้านหลังที่เป็น..ภูเขา..และ..กางเขน..นั้นหมายถึง..
..ฮังการี..แต่ที่เป็นโล่ห์อันเล็กที่อยู่ตรงกลางทับด้านหน้านั้น..เป็นรูปหมาป่า..และ..จันทร์เสี้ยวนั้น..
...เครื่องหมายจันทร์เสี้ยว..นั้น..ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า..หมายถึง..มุสลิม.....
...นั่นก็หมายถึงตัวเขา..นั้น..อยู่ในความอุปถัมภ์ของมุสลิม(..ก็คือสุไลมานนั่นเอง..)
........................................
.........ขณะเดียวกัน..ทางเฟอร์ดินานด์ก้ไม่สนใจอะไร..อาศัยพันธสัญญาอันเดิม..ทำให้สภาออสเตรียแต่งตั้งเขาเป็น..
กษัตริย์ฮังการี(..นีก็เป็นส่วนหนึ่ง..ที่ขุนนางโครอัทเลย..ยกโครเอเชียให้เฟอร์ดินานด์แทน..)..และ..ทำหนังสือ..
ถึงจักรพรรดิของอาณาจักรโรมันอันศักดิสิทธิ์..ชารลส์ที่ ๕ แห่ง..เสปน..ที่เป็นพี่ชายคนโตเขา..รวมถึง..ประเทศ
และแว่นแคว้นอื่น..ใน..อาณาจักร..ว่า..เขานี่แหละที่เป็นกษัตริย์ฮังการี..ตัวจริง..ตามพันธ์สัญญาเดิม..ไม่ใช่..จอห์น
ที่สภาอังการีแต่งตั้งกันเอง..โดยไม่ถูกต้อง..แถม..มีสุไลมานที่..เป็นศัตรูของศาสนาคริสต์..และ..อาณาจักรโรมันฯ
เป็นผู้หนุนหลัง..และ..ชักใยอยู่...
.................................
.......หลังจากการกระทำของเฟอร์ดินานด์..อย่างนั้นแล้ว..ก็เหมือนว่า..ให้พวกเดียวกันรับทราบ..และ..รับรองในตัวเขา
โดยทางอ้อมก็คือ..ใช้ผลจากนี้..เพื่อจะบุกเข้าไปในเขตฮังการี..เพื่อจะเอาบัลลังก์ที่จอห์นนั่งอยู่มาเป็นของตัว..
โดยอาศัยความชอบธรรม(ที่คิดเอาเอง)..ดังกล่าว..โดยที่มีอาณาจักรโรมันฯ..สนับสนุน...
....แล้วในปีต่อมาในปี ๑๕๒๗ เฟอร์ดินานด์..ก็เริ่มต้นรุกเข้าไปในเขตแดนของ..ฮังการี..โดยใช้ทหารรับจ้างเยอรมัน
เป็นหลัก...ซึ่งก็เกิดกบฏขึ้นทางตอนใต้ของฮังการี..ติดกับดินแดนของเซอร์เบียขึ้นมาพร้อมกัน..(ซึ่งก็คงได้รับการสนับ
สนุนจากทางออสเตรีย..ให้ทำการขึ้นเวลาเดียวกัน)..ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน..เป็นลูกน้องเก่าของจอห์นเอง..ซึ่งก่อนหน้า
นั้น..ก็สนับสนุนจอห์นมาตลอด..แต่พอจอห์นขึ้นครองราชย์..และ..เริ่มต้นอิทธิพลของเตอร์กเข้ามามากขึ้น..เขาจึงคิดว่า
..ราชาของเขานี่..ชักศึกเข้าบ้าน..เอาพวกแขก..มายุ่มย่าม(..และเริ่มขบวนการส่งเด็กชาย..ตามหมู่บ้านเอา
ไปทำให้เป้นทหารเตอร์ก..อย่างที่ผมเล่าไปแล้ว)..เขาก็ไม่ไหว..อีกอย่าง..เขานั้นจริงๆเป็นคนเชื้อสายเซอร์บ
(เซอร์เบีย)..แต่อยู่ในฮังการีตอนใต้..ความเป็นเซอร์บเข้มข้น..เขาก็อยากจะปลดปล่อย..เซอร์บ..ส่วนเหนือ..
ที่ฮังการี..ครอบครอง..ให้เป็นอิสสระ..และไม่ขึ้นกับทั้ง..เตอร์กและ..ฮังการี...
.......เขามีฉายาว่า..”แบล็กแมน”(..ผมว่า..น่าจะมาจากชุด(หรือเกราะ)ที่ใส่..)ชื่อ..โจวาน เนนาด..(ก็รบชนะ
พวกฮังการีหลายครั้ง..ปักหลักที่เมืองโวยโวดิน่า(ทางเหนือของเซอร์เบียปัจจุบัน)..ครับ..น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
...ตอนหลังเขาก็ตาย..แต่เกียรติประวัติไม่ตายไปด้วย..เขาถือเป็นวีรบุรุษของเมืองนี้..และ..มีการสร้างอนุสาวรีย์
ให้ในภายหลัง...)....จอห์น..เจอศึกสองทางเลยป่วนหนัก..แต่เขาก็ยังมีศักดิ์ศรี..ในฐานะกษัตริย์..ไม่ยอมให้เตอร์ก
มาช่วย.....กำลังต้องแยกเป็นสองส่วน...รับมือทั้งออสเตรีย..และ..ส่งไปปราบกบฏ..ซึ่งก็เข้าทางออสเตรีย..ที่วาง
แผนอยู่แล้วให้มันเป็นอย่างนั้น...ทำการรุกหนัก..อย่างรวดเร็ว..จนมาถึง..บูดาเมืองหลวง...
.........พวกออสเตรียรุกเข้ามา..และเข้ายึดบูดาเมืองหลวง...จอห์นต้องรวบรวมพลหนี..ไปตั้งหลัก...สู้กับออสเตรียต่อ
........จน........จอห์น...ต้องพ่ายแพ้แก่พวกออสเตรีย..ในสมรภูมิเลือดที่..เมืองทาร์คัล..ซึ่งสูญเสียอย่างหนัก...
ในเดือนกันยายน ๑๕๒๗...เขาพยายามยันออสเตรีย..ด้วยกำลังของฮังการีอย่างเดียวแต่ต้านไม่ไหวจน..เขา
ต้องระเห็จ..หนีไปอยู่กับเจ้าชายองค์หนึ่งที่คุ้นเคยกัน..ในโปแลนด์..ในปี..๑๕๒๘..ซึ่งหลังจากนั้น..เขาก็เล็ด
รอด..ไปจนถึง..คอนแสนติโนเปิ้ล..ไปหาลูกพี่........ในต้นปี..๑๕๒๙.......
ลูกพี่ใหญ่..สุไลมานก็ต้องช่วย...พี่ใหญ่เห็นน้องเล็ก...โดนรังแกแบบนี้..ก็ทนไม่ไหว..เลยยกทัพใหญ่ขึ้นมา..เพื่อ
ปลดปล่อยฮังการี...พอพวกออสเตรีย(ทหารเยอรมันรับจ้าง)ที่อยู่ในฮังการี..รู้ข่าว..ก็ตกใจ..กับความมหาศาล
ของกองทัพ..และอีกอย่างก็เข็ดจาก..ฝีมือของสุไลมานในสมรภูมิโมฮัคส์มาแล้ว..หางจุกตูด..รีบถอนออกจากการ
ยึดครอง..กลับเข้าออสเตรีย...นั่นแหละครับ..จากที่ผมเคยเล่าเรื่องการล้อม..เวียนนา..ของสุไลมาน..มันก็มี..
เหตุผล..จากที่ออสเตรียมาบุก..ฮังการีก่อน..นั่นแหละ....
....................................
....................................
....นั่นแหละ..เมื่อกองกำลังออสเตรียถอนจากบูดา..ก็เลยทำให้..จอห์นได้กลับไปบูดาและครองตำแหน่งเช่นเดิม..
....................................
.........ในตอนก่อนหน้าโน้น..ผมได้กล่าวถึง..เมื่อ..นิโคล่า..กับ..คณะ...ได้กลับถึงกรุงเวียนนา..และ..ได้ถวายราย
งานกับเฟอร์ดินานด์..แล้ว..เรื่องที่สุไลมานฝากถึง..เรื่องการไปย้อนรอยเดิม..ของ..ออสเตรียที่บุกฮังการีอีกครั้งนั้น
ย้ำเตือนว่า..ยังไงสุไลมาน..ก็ต้องขึ้นไปช่วย..จอห์น ซัปโปลยาแน่ๆ...ทำให้..ออสเตรีย..ชลอการบุก..และ..เริ่มเสริม
ความมั่นคง..ทางชายแดน...และครั้งนี้..พี่ชายของเฟอร์ดินานด์(ชารลส์ที่ ๕ แห่ง เสปน)..ก็ส่งหน่วยทหารเข้ามา..
เสริมเพิ่มขึ้น..โดยเฉพาะ..ชายแดนเขตต่อกับ..โครเอเทีย..และ..ตะวันตกเฉียงใต้ของฮังการี..ที่ติดกับเขตของออสเตรีย
...และแล้วเมื่อพร้อมในปีต่อมา..เตอร์ก..ก็ยกทัพใหญ่มาอีกครั้งด้วย..กำลังพลประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ คน..นอกจาก
ที่เป็นพวกเตอร์กแท้ๆ..ส่วนหนึ่ง..ก็ยังมีพวกฝรั่งกลายพันธุ์ทีผ่านการชุบเลี้ยงของเตอร์ก..รวมด้วยกำลังสมทบจาก..
ตาร์ต้าร์(..พวกเชื้อสายเตอร์กโบราณ..ที่เป็นชนเร่ร่อนอยู่ในทุ่งเสต็ปป์..และเดิมอยู่ในปกครองของมองโกล)...เข้าร่วม
ด้วย..พร้อมศาตราวุธ..ขนาดหนักพร้อมพรั่ง..ทั้งปืนใหญ่และ...BIG GUN ...จำนวนมาก...ดินปืนกระสุนพร้อมพรั่ง..
....เห็นรายการแบบนี้..ใครๆก็ต้องนึกออกว่า..ไม่ใช่แค่ไปปลดปล่อย..การครอบครองของออสเตรีย..ในฮังการีเพียง
อย่างเดียว.....หรือ..การที่จะไปเพื่อรบกับแค่..ทหารของชารลส์ที่ ๕ ที่ส่งมาช่วยน้องชาย..บางทีข้อมูลของฝรั่งก็ตีความ
ง่ายๆ..แบบเด็กคิด...สุไลมาน..ส่งจดหมายแจ้งให้เฟอร์ดินานด์เป็นทางการ..เมื่อเขามาถึงเมือง..โอซิเจค( OSIJEKปัจจุบัน..
อยู่ใน..โครเอเทีย)..ว่า..กูขึ้นมาลุยนะ....
.....ที่ผมบอกว่า..ข้อมูลเหมือนเด็กคิดนั้น..ก็เพราะ....
๑. ถ้ามารบ..เพื่อปลดปล่อยพื้นที่จากการรุกรานของ..ออสเตรียนั้น..ทหารเตอร์ก..ซัก หกเจ็ดหมื่น..นี่..รวมกับ..
ทหารฮังการี..ก็..เหลือเฟือ..ที่จะทำให้..ออสเตรียถอยกลับไปอย่างเดิม...
๒. ถ้าสุไลมาน..มากับกองทัพด้วย..นั่นต้องสงครามใหญ่..ที่รบกับ..กำลังทัพ..ของกษัตริย์ด้วยกัน...หรือ..เพื่อเข้ายึด
เมืองหลวง..เมืองหลัก..ที่มีกำลังพอใกล้เคียงกัน..อย่างเช่นตอนที่ไปล้อมเวียนนา..หรือ..รบกับทัพใหญ่ของอาณาจักร
โรมันฯ..อย่างที่สงครามโมฮัคส์ปี ๑๕๒๖..เป็นต้น.....ถ้าแค่ทำการแค่นี้..อย่างสุไลมานไม่ต้องมาให้เมื่อยหรอก...
...และ..ปกติ..ถ้าเป็นแบบนี้..สุไลมาน..ก็จะส่ง..แค่พวกแม่ทัพใหญ่..ก็พอ......
......การที่ฝรั่ง..ให้ข้อมูลว่า..สุไลมานทำเป็นหลอก..ว่า..จะมารบกับกองกำลังของ..ชารส์ที่ ๕ ..และ..แค่มาปลดปล่อย
ฮังการี..ซึ่งเป็นลูกเล่น..แล้ววกเข้ามาเพื่อเดินหน้า...จะเข้ากรุงเวียนนานั้น.....
.............จดหมายสุไลมานนั้น..ไม่ได้ระบุว่ามาเพื่ออะไร..ก็แค่แจ้งให้ทราบเป็นทางการว่า..กูขั้นมาลุยแล้วนะมึง...
..แค่นั้น...ผมเชื่อว่า..ออสเตรียนั้น..เข้าใจอยู่แล้วว่า..เป้าหมายหลักของสุไลมาน..คืออะไร...ก็ตั้งแต่สายลับ..ส่งข่าวมา
ทีแรกตอนเริ่มออกจาก..อิสตันบุล..ก้ร็แล้วว่า..มาทำไม...อาจมีเป้าหมายหลายอย่างแต่อย่างนึงแน่ๆ..คือ..จะไปล้อม
เวียนนาอีกครั้ง...เพราะ..ตั้งแต่ก่อนหน้า..สุไลมานจะมาถึง..เมืองโอจิเซ็ค..นั้น..ออสเตรีย..ก็เรียกกำลังพลบางส่วนที่
ครอบครองแดนฮังการี..กลับไปเสริม..ด้านในของออสเตรียแล้ว....
........ตอนนี้อาณาจักรโรมันฯ..ก็เหลือ..หลักๆแค่..เสปน..กับ..ออสเตรีย..เยอรมัน..ฝรั่งเศษ..ก็..แสดงให้เห็นชัดเจนหลาย
ครั้งแล้ว..ว่า..เป็นแค่ในนาม..แต่ยังเป็นศัตรูอยู่ตลอดมา..ให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ(แต่..คนทั่วไปก็รู้..ก็เลยไม่รู้ว่าจะเรียก
ว่า..ลับ..ได้ยังไง)..กับ..สุไลมานมาตลอด..เพื่อทำลาย..ออสเตรีย...ทั้งๆ..จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์..รุ่นแรกๆ..และดังที่
สุด..ก็..เป็นกษัตริย์ของฝรั่งเศษ..ก็คือ..จักรพรรดิชารลมาญ...แต่พอ..ตำแหน่งจักรพรรดิโรมันฯนี้..เปลี่ยนไปอยู่กับสาย
เยอรมันแล้ว..ก็เลยเหม็นขี้หน้ากัน...แล้วไอ้ที่แปลกไปกว่านั้น...เมื่อจักรพรรดิอ็อตโต..กษัตริย์เยอรมันที่ได้ครองตำแหน่ง
จักรพรรดิของอาณาจักรโรมันฯ...ได้ทำการแต่งตั้งนักบุญผู้พิทักษ์..อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์..โดยการเห็นชอบจาก
โป๊บ..ของวาติกันนั้น....อ๊อตโต้เลือก..นักบุญ..หรือ..SAINT..ที่..มีลักษณะพิเศษ..ที่เห็นปุ๊บบอกได้เลยว่า..คือ..SAINT
..ชื่ออะไร...เพราะ..นักบุญผู้นี้..ไม่ใช่ฝรั่ง..ไม่ใช่เชื้อยิว..ก็คือ..ไม่ใช่คนผิวขาวนั่นเอง...แต่เป็นนักบุญ..ที่เรียกกันว่า...
..เป็นนักบุญรุ่นเก่า...(มีชีวิต..ตั้งแต่ยุคอาณาจักรโรมัน..และ..ถูกยกย่องเป็นนักบุญ..ชุดแรกๆ)....
..............................นักบุญ..คนนี้..เป็นคนผิวดำ..ครับ...(เป็น..นักบุญ..หรือ..SAINT..ผิวดำคนแรก...ที่ได้รับการแต่งตั้ง)
...................ชื่อของท่านคือ....SAINT MAURICE...เซนต์มอริส....นักบุญผู้พิทักษ์( PATRON SAINT)..แห่งอาณาจักร
โรมันอันศักดิ์สิทธิ์....ครับ...หลายคนอาจงง..ว่า..เอ้าไอ้ฝรั่งมันเหยียดผิว..จะตาย..มันเป็นไปได้ยังไง.........
..............ก็ในยุคนั้น..และ..การที่เป็นนักบุญ...มันก็จะก้าวข้ามเรื่องนี้ไป..ได้................
...........................
..........................
.........................
.............ทั้งสามรูป..นี้..คือ..ภาพของ..นักบุญมอริส ( SAINT MAURICE )...นักบุญผู้พิกษ์..อาณาจักรโรมัน
อันศักดิ์สิทธิ์...ให้สังเกต..ที่เป็นรัศมีกลมๆ..ที่หัว..นั่นแหละครับ..สัญญลักษณ์..ของ..นักบุญ...
...ทั้งสามภาพ..นี่ก็วาดขึ้นสมัยยุโรป..ยุคกลาง...จุดสังเกตของ..เซนต์มอริส..คือ...ต้องใส่ชุดเกราะ..
..(เพราะ..เป็นนักบุญที่เป็นนักรบ..เป็นอัศวิน)..ผิวดำ..ผมหยิก..มีโล่ห์...ทวน..และ..ดาบ......
......นี่แหละครับ..SAINT..ที่เป็นคนผิวดำ..คนแรกของ..คริสตจักร..และยิ่งใหญ่..กว่าSAINTทั่วๆไป....
...( ภาพที่ ๒ ธงที่ เซนต์มอริส ถือ..มีรูปอินทรี..นั่นคือ..สัญญลักษณ์ของ..อาณาจักรโรมันฯ..ในยุคแรกครับ
...นกอินทรีย์มีหัวเดียว..หลังๆ..มาก็เปลี่ยนเป็น..อินทรีย์สองหัว..).
..........................
..........เรื่องการเหยียดผิวของฝรั่งนั้น...มันเกิดมาทีหลัง...สมัยก่อนที่มีการเหยียดกัน..ก็คือ..ทาส....เรียกว่า...ไม่ว่าจะ
ผิวสีไหน..ถ้าเป็นทาส..หรือ..ลูกทาส..ก็โดนเหยียดทั้งสิ้น...สมัยโน้น(คือยุคต้น..จนถึงยุคกลาง)..พวกทาสมีทั้งที่เป็นฝรั่ง
...แขก..และคนผิวดำ(นิโกร...คำนี้..ถือว่าไม่สุภาพ..ถ้าจะกล่าวถึง..คนผิวดำ..ในทั้งยุโรป..และ..อเมริกา..ถ้าพวกนี้..ได้ยิน
คุณพูดเข้า..ก็มีสิทธิไปโรงพยาบาล..หรือ..ถึงตายได้...เพราะคำนี้..เป็นคำเรียกทาส..จากอาฟริกาสมัยโน้น..ที่เสปน...
เป็นพวกแรกที่ไปจับมา..เอามาเป็นแรงงาน..แล้วเอามาขาย..ในสมัยศตวรรษที่๑๖...จริงๆถ้าอ่านแบบ..เสปน..ต้อง
อ่านว่า..”เนโกร”..มาจากภาษาเสปนคือ..NEGRO ..ที่ใช้เรียกสี...สีดำ....ก็พวกไอ้มืด(ก็ความหมายเดียวกัน)..สายแท้
ยุคโน้น..ไม่ใช่ยุคนี้..ที่กลายเป็นสีน้ำตาล..เพราะ..มีเลือดคนขาวปน..ไอ้ที่เป็นอย่างนั้น..เพราะไอ้เจ้าของไร่ฝ้าย..ทั้ง
หลาย..นั้น..ใช้วิธีประหยัด..คือ..เอาพวกทาสผู้หญิงมาทำเมีย..นอกจากจะบำเรอความใคร่ได้อย่างดีแล้ว..ก็ยังผลิต
ทาสรุ่นใหม่ๆ..ได้อีกเพียบ..โดยไม่สิทธิโวย..เพราะมึงเป็นทาส..เชื้อสายมันเลยปนเปมาถึงยุคหลัง..คือไอ้มืดผู้ชาย
ที่มีสายเลือดฝรั่งปนอยู่..มาแต่งกับ..ไอ้มืดผู้หญิง..ที่มีสายเลือดผิวขาว...มันก็มีสิทธิที่ผิวจะจางลงได้...)....
.....ก็ดูอย่างพวกเตอร์ก..หรือ..แขกอาหรับ..มันก็ยังมีทาสเป็นฝรั่ง..ทั้งผู้ชาย..ผู้หญิง...มันก็เหยียดไอ้พวกผิวขาว..
เหมือนกัน..ห้ามไปแต่งด้วยเพราะ..ชั้นต่ำ......
......พวกไอ้มืด..แถบอาฟริกาเหนือ..พวกที่ไม่ได้เป็นทาส..เป็นเชื้อสาย..หัวหน้าเผ่า..หรือ..เป็นทหาร..พวกนี้..ก็ได้
ยอมรับ..เหมือนคนปกติ..ทั่วไป....ในเวนิส..พวกไอ้มืด..ที่เป็นพ่อค้า..มันยังมีพวกทาสที่เป็นผิวขาวด้วยซ้ำ...สามารถ
มีเมียเป็นฝรั่งผิวขาวได้สบาย..ถ้ารวย..หรือ..มีเกียรติ..อย่างเช่น..เป็นทหาร..หรือ..ขุนนาง....ในยุโรปตอนใต้นั้น...
สมัยต้นยุคกลาง..ก็มีหน่วยรบ..ที่เป็นทหารรับจ้างผิวดำ..ก็ไม่น้อย..และพวกนี้..ก็เหมือนคนทั่วไป..ไม่ได้ถูกเหยียด
หยามอะไร...อย่างนิยายของเช็คสเปียร์..ยังมีเรื่องของ..โอเทลโล่...นั้นก็..เป็นทหารแขกมัวร์(..พวกนี้ก็ดำเช่นกัน..)..
ที่เป็นยอดทหารของเวนิส..และมีคู่รักเป็น..ผู้หญิงสูงศักดิ์ชาวชาวเวนิส........
.............มันเริ่มเป็นผล..มาตั้งแต่..นั้นแหละครับ..ที่เสปนจับ..เอาพวกอาฟริกา..มาขายเป็นทาส..จำนวนมากๆ..
....พร้อมกับ..พวกยุโรป..ไม่ว่า..อังกฤษ..ดัตช์..เบลเยี่ยม..ฝรั่งเศษ..เริ่มเข้าบุกยึด..ประเทศต่างๆในอาฟริกา....
อเมริกา..ก็มีทาสผิวดำเต็มประเทศไปหมด....กอปรกับ..พวกนี้ก็มีสภาพเป็นคนป่า...ที่ไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรม
ฝรั่ง...(พวกเอเซีย..ก็..โดนเหยียดด้วย..เพราะไปเป็นเมืองขึ้นมัน)...ก็เลยเหมารวมเลย..ไอ้มืด..ก็คือ..ทาส...
เป็นพวกชั้นต่ำ....
.....................ในยุคก่อนเยซู(ก่อนคริสต์ศักราช)....ในอียิปต์นั้น...พวกไอ้มืดที่มาจากทางอาฟริกาเหนือนั้น...
..ก็มาเป็นทหารให้..พวกฟาโรห์กันมาช้านาน..มีรูปแกะสลัก..เป็นหลักฐานยืนยัน..และก็สืบสายเลือด..รับใช้
..อยู่กินที่นั้น..มาเป็นพันปี....ดังนั้น..พวกนี้ก็ไม่ใช่..กระจอก...แถมยังมีอยู่บางช่วง..ที่อาณาจักรล่างของอียิปต์
(ต้นแม่น้ำไนล์)..มีฟาโรห์ที่เป็นคนผิวดำ..ด้วยซ้ำเพราะ..มีการขุดเจอหลักฐานยืนยัน..เป็นพวกรูปปั้น.......
.....แม้กระทั่ง..คนยิว..หรือ..จูดาห์นั้น..ก็มียิวที่มีสายแยกออกมาเป็นคนผิวดำ..และ..ก็มีมาถึงปัจจุบัน...และ..
พวกนี้..ก็ยังคงความเป็นยิวอย่างเคร่งครัด..และ..นับถือ..ศาสนายิว.......
.......ต้นคริสตวรรษ..นั้น..ในแอฟริกาเหนือนั้น..ก็มีคนผิวไม่น้อยที่นับถือ..ศาสนาคริสต์..นิกายคอปติก ออร์โทด็อกซ์
....ซึ่งก็..เก่าแก่เท่าๆ..กับ..นิกายออร์โทด็อกซ์ที่แพร่หลายในยุโรปตะวันออก.....และหนึ่งในนั้น..ก็คือ....
.......มอริส...ซึ่งครอบครัวของเขาก็..นับถือ..คอปติก ออร์โทด็อกซ์..เช่นกัน.......เขาไม่ใช่กระจอก...เขาเกิดในยุค
ที่โรมัน..ครอบครองอียิปต์...เขาเกิดที่เมืองทีปส์( THEBES )....เข้าใจว่า..จะเป็นครอบครัวสืบทอด..มาจากสายทหาร
(...เขาเรียก..คนที่เกิดที่นี่ว่า..ทีบัน..( THEBAN )..หรือ..คนเมืองทีปส์นั่นเอง..)...เมื่อโตขึ้นมาเขาก็รับราชการทหาร..
และ..จากความเก่งกล้า..เขาก้าวหน้าเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นระดับ..ผู้บัคับบัญชา..หน่วยทหารทีบัน..ทีอยู่ภายใต้
กองทัพของโรมันอีกที....เวลาที่มีการกระด้งกระเดืองในเขตปกครองของโรมัน..พวกโรมันก็อาศัย..กองทหารพื้นเมือง
นี่แหละ..ไปปราบ..หรือ..ควบคุม.....ส่วนใหญ่ก็คือแถวอาฟริกาเหนือ..และ..มีขึ้นมาในเสปน..ด้วย.....
...................................................................
...รูปของ..ขุนนาง..ดอนมิเกล เดอ คาสโตร..ในต้นคริสตศตวรรษที่ ๑๗
.........
...ภาพของ..ขุนนาง..อีกคน..ในราชวงศ์ของยุโรป..ในสมัยคริสศตวรรษที่ ๑๖..
....................................................................
...........เรื่องมันเกิด..ในยุคของจักรพรรดิแมกซิเมี่ยน(MAXIMIAN)..ของโรม..ในปี คศ. ๒๘๗ ..(..มอริส..อายุ ๓๗ )
...มอริสนั้น..ก้าวขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพลทีบัน..ในอียิปต์แล้ว..ที่มีกำลังพล ๖,๖๐๐ นาย..กองพลของมอริส..ก็อยู่
ในสังกัดของกองทัพโรมันในอาฟริกา...เขาได้รับคำสั่งให้..เดินทางมาเข้ามาในเขตของพวก..กอล..(GAUL อนารยชน
กลุ่มใหญ่..ที่อยู่ด้านตะวันตก..ของยุโรป..ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในฝรั่งเศษปัจจุบัน..มีความเข้มแข็งและ..มีปัญหากับ..
พวกโรมัน..มาตลอด..)เพื่อช่วย..โรมปราบกบฏของกลุ่มย่อยเป็นพวกที่อยู่แถบเขตรอยต่อของเสปนกับฝรั่งเศษ....
....โดยที่..มอริส..นำกำลังพลมาถึงเทือกเขาแอลป์..แต่ก่อนจะเข้าไปทำการรบนั้น..แม็คซิเมี่ยน..เกิดอยากลองของ
อะไรไม่ทราบ..เพราะเขารู้อยู่แล้วว่า..ทั้ง..มอริส..และ..ทหารในกองพลเขาทุกคน..เป็นคริสเตียน...แต่คงอยากแสดง
พลังอำนาจ..ของจักรพรรดิว่า..เหนือกว่า..ความศรัทธาของคริสเตียน..(..ตอนนั้น..ชาวโรมัน..ยังนับถือกลุ่มเทพโอลิมปุส
อยู่..)..ชาวบ้านแถบเทือกเขาแอลป์..บริเวณที่..มอริส..หยุดกองพลตรงนั้น..ก็เป็นคนคริสเตียน..ทั้งสิ้น......
....แม็คซิเมี่ยน..สั่งให้..มอริสจัดการเข้าโจมตี..และทรมาน..พวกชาวบ้านเหล่านั้น...
.........ด้วยความยุดมั่นและ..ศรัทธา..ในศาสนา..และอีกอย่างคือ..ชาวบ้านไม่ใช่ศัตรูอะไร..อยู่ดีๆจะให้ไปทำร้าย..
มอริสจึง..ปฏิเสธ....ด้วยทิษฐิ..และ..ความหลงในอำนาจ..แม็คซิเมี่ยน..จึงกำชับอีกว่า..ถ้าเอ็งไม่ทำตามคำสั่ง.....
...กูจะประหาร..ทหารของเอ็ง..สิบคน..ซึ่งทั้ง..มอริสและลูกน้อง..ก็ไม่ทำ..แต่แม็คซิเมี่ยนก็ทำจริงอย่างที่บอก..คือ..
ประหารลูกน้อง..ของ..มอริสไป สิบคน..แล้วก็สั่งอีก..มอริส..และ..ลูกน้องทั้งหมด..๖,๕๙๐ คนที่เหลือ..จึงทำการ..
ฆ่าตัวตาย..พลีชีพ..เพื่อศาสนาทั้งหมด.......
...............บริเวณที่..มอริส..และ..ลูกน้องพลีชีพนั้น..หลังจากนั้นไม่นาน..ก็ได้มีการสร้างวัดขึ้น..เรียกว่า..
...วัดเซนต์มอริสดากอเน (Saint-Maurice d'Agaune Abbey )...เพื่อเป็นที่ระลึกถึง..วีรกรรมการพลีชีพเพื่อ..
คริสต์ศาสนา..ของเขา...วีรกรรมของเขา..เป็นที่โจษจรรย์และ..นับถือในหมู่ชาวคริสต์...จนกระทั่ง..จักรพรรดิอ็อตโต
...ได้ขอโป๊บแต่งตั้ง..ท่านให้เป็นนักบุญผู้คุ้มครองอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์...เซนต์มอริส..นั้นมีผู้นับถือ..กระจาย
ไปทั่วในยุโรป..จะมีชื่อวัดเป็นชื่อของท่าน..ทั่วไปหมด..ทั้งในเยอรมัน..ฝรั่งเศษ..สวิส..อิตาลี..ออสเตรีย....
....และที่สำคัญ..คือความนิยมนับถือ..จะมากับชื่อ..เพราะพวกคริสเตียนนั้น..จะตั้งชื่อตามนักบุญ..ที่เขานับถือและ
ชอบ...เช่น..ไมเคิล..ก็..มาจากเซนต์ไมเคิล...จอร์จ..ก็มาจาก..เซนต์จอร์จ....ปีเตอร์..ก็มาจาก..เซนต์ปีเตอร์....
...พอล..มาจากเซนต์พอล....แพททริค...มาจาก..เซนต์แพทริค...ฯลฯ...
ข้างฝ่ายผู้หญิง..ก็เช่นเดียวกัน..ชื่อมาจาก..เซนต์ที่เป็นผู้หญิง...อากาธา..มาจาก เซนต์อากาธา....
อลิซาเบ็ธ..มาจาก..เซนต์อลิซาเบ็ธ...แมรี่..มาจาก..เซนต์แมรี่.....
................และ..มอริส..มัวริส...หรือ..โมริสซิโอ..ก็มาจาก....เซนต์มอริสนั่นเอง.......
ไม่ว่าจะสะกดว่า MORRIS MORIS(แบบอังกฤษ)..MAURICE (แบบฝรั่งเศษ)...MAURISIO(แบบอิตาลี)
...หรือ..นามสกุล..MORISON..MORRISON..(ลูกของมอริส)....ก็มาจากชื่อคริสเตียน..ที่มีที่มาจาก
.......................เซนต์มอริส..ทั้งสิ้น.................................
....นอกเหนือจากนี้..ความยิ่งใหญ่ของ..เซนต์มอริส..ตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งเป็น..นักบุญผู้พิทักษ์อาณาจักรโรมันฯ
..ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์..นั้น..จะมีมุมหนึ่งที่ตั้งแท่นบูชา..และ..มีรูปปั้นของเซนต์มอริส..อยู่ด้วย..ซึ่ง..ตั้งแต่
ก่อนยุคกลาง..มาจนถึง..ยุคกลาง..การสถาปนา..จักรพรรดิของอาณาจักรโรมันอันศักสิทธิ์..ทุกพระองค์..จะต้อง
มาทำที่..หน้าแท่นบูชาของท่าน..เป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมา..จนมาถึง..ศตวรรษที่ ๑๘..นั้น..อย่างที่ผมบอกไป
ตอนที่แล้ว..ที่เริ่มมีการเหยียดผิว..โดยเฉพาะคนผิวดำ...จึงมีการโยกย้ายแท่นบูชา..ของเซนต์มอริส..ในมหาวิหาร
เซนต์ปีเตอร์..หัวใจของชาวคริสต์ในกรุงวาติกันออกไป..โป๊บก็คงทานกระแสต่อต้าน..ไม่ไหวเช่นกัน..เพราะตั้งแต่
คริสตศตวรรษที่ ๑๗ ..เวลาศิลปิน..ที่วาดรูป..หรือ..แกะสลักรูปของ..เซนต์มอริสนั้น..จะทำให้ท่านกลายเป็นฝรั่ง
ไปแทน..ซึ่งคนรุ่นหลังๆที่ไม่สืบประวัติให้ดี..ก็จะนึกว่า..ท่านเป็น..ฝรั่งผิวขาว.......
.......การแต่งตั้งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์นั้น..สมัยก่อน..ก็จะมีเครื่องประกอบพิธี..(คล้ายเครื่องบรมราชกกุฏภันฑ์
ของบ้านเรา..)..หนึ่งในนั้น..ก็คือ..สิ่งของที่เป็นของ..เซนต์มอริส..ดาบ..โล่ห์..เสปอร์(..ติดที่ส้นเท้าไว้กระตุ้นม้า)..และ
ที่สำคัญ..คือ..หอก..ที่เชื่อกันว่า..ส่วนใบหอกของเซนต์มอริส..นั้นคือ..ใบหอกของทหารโรมัน..ที่ใช้แทง..พระเยซู..
บนไม้กางเขน..ด้วยการที่เชื่อว่า..เลือดของพระเยซู..ที่ติดอยู่ที่หอกนั้น..เป็นเลือดศักดิ์สิทธิ์.....
....เซนต์มอริส..นั้น..ท่าโด่งดังจริง..เพราะ..หลายๆเมือง..ร่วมสิบเมือง..ในยุโรป..นับถือท่านเป็นนักบุญ..ผู้พิทักษ์เมือง
(..ทำให้ปรากฎ..รูปของท่านไปเป็นตราประจำเมือง..หลายแห่งจนถึง..ปัจจุบัน....)
...รวมถึง..เอาตั้งชื่อเมืองด้วย..อย่างเมืองท่องเที่ยวโด่งดังของสวิสบนเทือกเขาแอลป์...คือ..เมืองแซงมอริต..เป็นต้น..
............................
...........................
.........................
......................
.........จะเห็นว่า..เซนต์มอริส..ทั้งสามรูป..ที่ผมเอามาลงนี้..แสดงลักษณะของคนอาฟริกัน..อย่างชัดเจน.
.....รูปปั้นภาพแรก..นั้นอยู่ที่เมืองแม็กเด็นบอร์ก..ในเยอรมัน..เก่าแก่ที่สุด..เพราะสร้างขึ้นมาตั้งแต่ คริสศตวรรษที่ ๑๓..
....รูปที่สอง..ก็..อยู่ที่เยอรมัน..เป็นไม้แกะสลัก..คริสศตวรรษที่ ๑๖
....รูปที่สามเป็นหินทรายแกะสลัก..ที่เยอรมันเช่นกัน..คริสศตวรรษที่ ๑๖
.......................
......................
.......สองภาพ..ที่เห็น..นี่คือ..ตราหรือ..เครื่องหมายประจำเมืองๆหนึ่งในเยอรมัน...
....ชื่อว่า โคบวร์ก ( COBURG )...ซึ่งที่ใช้ตรา..แบบนี้เพราะ..เซนต์มอริสเป็นนักบุญผู้พิทักษ์เมืองนี้
....ถ้าถามผมว่า..แล้วไอ้เมืองนี้..ที่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มีความสำคัญยังไง...
...ก็ต้องบอกว่า..สำคัญครับ..เพราะ..เมืองนี้..เป็นที่มาของ..สายตระกูลของกษัตริย์อังกฤษ..
..เพราะเจ้าชายอัลเบิร์ต..สวามี..ของควีนวิกตอเรีย...นั้นมาจากสายตระกูลเจ้าเมืองนี้..
(ควีนวิคตอเรียของอังกฤษ..นั้น..สายตระกูลคือ..ราชวงศ์แฮนโนเวอร์..จากเยอรมัน..
..ราชวงศ์แฮนโนเวอร์ของอังกฤษ..ได้เปลี่ยนชื่อเป็น..ราชวงศ์วินด์เซอร์..ในภายหลัง..)
ราชวงศ์ในยุโรปเกือบครึ่ง..ก็จะมีส่วนมาจาก..สายตระกูลนี้...ไม่ว่า..อังกฤษ..เยอรมัน..
เดนมาร์ก..กรีซ..เสปน..รัสเซีย....
...สายตระกูลนี้..ชื่อว่า..แซกซ์-โคบวร์ก-โกธา.....
.............................
..........ผมก็ว่ามาพอสมควร..เรื่องของ..เซนต์มอริส..แต่ถือว่าเป็นความรู้ที่ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่จะไม่ทราบกันว่า...
มันก็มีเรื่องแปลกๆที่ไม่น่าเชื่อ..เกิดขึ้นเช่นกัน....และ..ก็มีเรื่องโจ๊กฝรั่ง..ที่เล่ากัน..แถมหน่อย...
......กลุ่มพวกฝรั่งผิวขาว..ในสมัยยุคเมื่อ..สามสิบ..สี่สิบปีก่อน..ที่ชอบถือป้าย..เหยียดพวกไอ้มืด..ในอเมริกา...
ชอบเดินขบวนกันเป็นประจำ...วันหนึ่ง..มีนักข่าวไปสัมภาษณ์..ผู้ชายคนหนึ่ง..ในกลุ่มนั้น..ก็สัมภาษณ์ซักพัก..
....เป็นธรรมเนียม..ที่ต้องถามชื่อผู้ให้สัมภาษณ์..ปรากฏว่าไอ้นั่นชื่อ..มอริส...นักข่าวก็แปลกใจ..เลยถามต่อว่า..
....คุณไม่รู้เรอะ..ว่าชื่อคุณนะ..มาจาก BLACK SAINT (อีกฉายาของ..เซนต์มอริส)..นะ..ไม่เชื่อคุณก็ไปเปิด
เอ็นไซโคลปิเดียดูได้(..ยุคนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ตครับ..อยากรู้อะไร..ต้องเปิดเอ็นไซโคลปิเดียเอา..)......
...................................................
............กลับมาเรื่องเดิม..ผมว่า..คราวก่อนหน้านี้หลายตอน..ที่ผมพูดถึง..เรื่องการเข้าล้อมกรุงเวียนนา..ของ
สุไลมาน..แล้วก็ต้องมีปัญหาเรื่อง..ภูมิอากาศ...ผมว่าผู้อ่านส่วนใหญ่..คงไม่ค่อยเข้าใจว่า..สุไลมานมันคิดจะตี..
กรุงเวียนนา..มันเข้ามาบุกแถวนี้หลายครั้ง..ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า..เดินทางไกลหลายเดือน....ถ้าจะคิดแบบนี้..
..ก็เดินทางมันเนิ่นๆหน่อยซิ..มันจะได้มีเวลา....
..........ไม่ใช่ว่า..สุไลมานไม่รู้ปัญหา..สุไลมานนะฉลาดอยู่แล้ว..เขารีบมาไม่ได้..เพราะ..หิมะ..ที่ตกในหน้าหนาว
บริเวณคาบสมุทร..บัลข่านนั้น..ตกหนามากครับ..และ..นานพอควร...ซึ่งช่วงนั้น..แน่นนอนคุณเดินทัพไม่ได้..
ไม่ต้องไปสู้กับใคร..ก็..ตายเองระหว่างทางแล้ว...หิมะหยุดตก..ประมาณเดือนมีนา..หมดหน้าหนาว..แล้วเข้า
สู่ฤดูใบไม้ผลิ...แต่ช่วงหมดหน้าหนาวใหม่ๆนั้น..หิมะเลิกตกแล้ว..เขาก็เดินทัพไม่ได้อยู่ดี..เพราะ..มันเป็นช่วงที่
หิมะละลาย...สภาพภูมิประเทศ..จะแปรสภาพเป็น..ดินน่วม..และ.ดินโคลน(..เมื่อมีอะไรมากดทับ..)..บริเวณ
ที่เป็นที่ลุ่ม..ตั้งแต่ที่ลาดเชิงเขาไป..จนไปถึงที่ราบต่ำ..และ..ถึงริมฝั่งแม่น้ำ...ดินมันจะนุ่มหมด....มันไม่เหมือน
บ้านเรา..น้ำท่วมทุ่ง..ที่ราบ..พอน้ำระบายลงคลองแม่น้ำหมด..ซักพัก..ดินก็เริ่มแข็งตัวแล้ว...แต่หิมะนั้น...มัน
จะค่อยๆละลาย..กลายเป็นน้ำ..บนผิวดินเล็กน้อย..แต่มันจะซึมอยู่ในใต้ผิวดิน..ตลอดเวลา..ใช้เวลาร่วมเดือน
หิมะถึงจะละลายหมด..แต่ดินนั้นก็น่วมไปยาวแม้เราจะไม่เห็นหิมะบนผิวดินแล้วก็ตาม...ดินน่วมแถบนี้..
..ผมว่า..มันยิ่งกว่าบ้านเราอีก..ผมไปยูโกนั้น..ไปเรียนด้านแหล่งน้ำ..เขื่อน..ดังนั้น..ผมจะออกสนามไปทุกที่
..และ..ต้องศึกษาทำความเข้าใจสภาพดิน..และ..ไปดูของจริงมาแล้ว...ถึงได้มาบอกได้..ไม่ใช่เขียนยกเมฆเอา..
...นั่นไม่ใช่สไตล์ผมอยู่แล้ว.............
......ถ้าเดินย่ำ..หรือ..ล้อรถที่ย่ำ..ไปดินแถบนี้..ในช่วงนั้น..มันก็จะเป็นโคลน..คล้ายๆบ้านเรา..แต่มันน่วมกว่า..
บ้านเรา..ไอ้ที่เป็นโคลนด้านบน..พอสัมผัสอากาศ..โดนแดด..วันสองวัน..มันก็แข็ง..เพราะของเรามันเป็นดินเหนียว
แท้ๆ..แต่ที่นั่นไม่เป็นแบบนั้นครับ..เพราะมันไม่ได้เป็นดินเหนียวแท้ๆแบบบ้านเรา..มันเป็นโคลน..ที่เป็นกึ่งดินเหนียว
..ทิ้งไว้เป็นอาทิตย์..ก็ยังไม่แข็งดีแบบบ้านเรา.....
.........ที่ผมพยายามอธิบายเพื่อให้เข้าใจว่า...สุไลมาน..มันเลื่อนเวลาเดินทางให้เร็วกว่านี้..ไม่ได้..เพราะ..การยกไป
แบบนี้เป็นทัพใหญ่..เสบียงกรังมาก..เกวียนเป็น..พันคัน..ปืนใหญ่BIG GUN หลายกระบอก..ไอ้พวกนี้แหละครับ
คือ..ปัญหา..มันหนัก..ล้อเกวียน..เป็นไม้..และแคบ..เช่นเดียวกับล้อปืนใหญ่BIG GUN ซึ่งน้ำหนักสาหัสกว่า..
เกวียนเข้าไปอีก...ถ้าดินยังน่วมอยู่..มันไปไม่รอดครับ..ถ้าไปรอด..ก็จะช้ามากๆ..ต่อให้เพิ่มสัตว์ที่ลาก..ก็ยาก..
เพราะล้อจะจมดิน...ยิ่งทำให้การเดินทางช้าเข้าไปใหญ่....
............ถ้าลำพัง..เป็นทัพธรรมดาไม่ใช่ทัพใหญ่..มีแค่ทหารม้า..ทหาราบ..และ..ปืนใหญ่เบา..เสบียงพอสมควร
..แบบนี้..ยังสามารถเริ่ม..เดินทางได้เร็วกว่านี้...แต่ถ้าทัพใหญ่..เป็นแสนขึ้นและสุลต่านไปเอง..แบบนี้ลำบากครับ..
....และ..จุดตั้งต้น..คือต้นเหตุของปัญหาในการเดินทัพ...เพราะ..สุไลมานจะเดินทัพใหญ่..จาก..อิสตันบุล
(คอนแสตนติโนเปิล)..ทุกครั้ง..และ..ตำแหน่งของมันนั้น..คือ..จุดปลายสุดของ..คาบสมุทรบอลข่าน...
....ระยะทางเป็น..พันไมล์...แค่เดินทัพแบบเร็วหน่อยกว่าจะเข้าเขตออสเตรียก็ล่อเข้าไป..ร่วมห้าเดือนแล้ว....
.....นั่นแหละ..คือ..สาเหตุหลัก..ที่สุไลมานลืมไปตอนนั้น..คือ..มันไกลเกินไป......
..............................................
ขอบคุณครับ
ยาวดี อ่านเพลินเลย
เป็นกำลังใจให้ครับ
..........................
........ขอขอบคุณ..คุณAmber..ที่เขียนมาให้กำลังใจผมด้วยครับ.....
...............................
..............................................
..........ผมได้นำรูปแผนที่เส้นทางการเดินทัพครั้งนี้..ของสุไลมาน..มาให้ดูประกอบไว้ด้วยครับ..เป็นแผนที่ภูมิ
ประเทศ..ที่สามารถ..นึกภาพตามได้เลย...แผนที่นี้สำคัญสำหรับประกอบเรื่องนี้..เวลาผมพูดถึง..สถานที่..
หรือเมืองใดๆ..ก็ดูจากแผนที่นี้ได้เลย...เส้นสีน้ำเงิน..ที่เหมือนรากไม้..คือ..แม่น้ำนะครับ..จะเห็นเส้นสีน้ำเงิน
ที่หนาๆ..ลงไปจรด..ทะเล(..ทะเลดำ BLACK SEA )...เส้นนี้จะผ่าน..เมืองสำคัญคือ..เมืองเบลเกรด(BELGRADE)
..(เมืองหลวงของ..เซอร์เบีย)..เลียวขึ้นไปผ่านเมืองบูดาเบสท์( BUDAPEST )..(เมืองหลวงของ..ฮังการี )..แล้วเลี้ยว
ซ้ายไปผ่าน..เมืองเวียนนา ( VIENNA )..(เมืองหลวงของ..ออสเตรีย)...นี่คือ..แม่น้ำดานูป.( DANUBE RIVER).ครับ
......แผนที่นี้..ดีมากเพราะ..เป็นไฟล์ภาพเคลื่อนไหว..ซึ่งจะแสดงเส้นทางการเดินทัพ..ตลอดเวลา...มีชื่อที่ปรากฏใน
แผนที่..เป็นชื่อว่า ESZEK...นี่เป็นชื่อเรียกของฮังการี..ชื่อจริงก็คือ..โอซิเจ็ค ( OSIJEK ) ที่ผมพูดถึงไปเมื่อ สองตอน
ก่อนหน้านี้ว่า..สุไลมานมาหยุดทัพ..และส่งหนังสือ..แจ้งไปให้เฟอร์ดินานด์ทราบว่า..กูมาแล้ว..นั่นแหละครับ.....
.....สีที่เห็นเป็นสีเขียวๆ..ในภาพนั้น..แสดงให้รู้ว่า..เป็นบริเวณที่เป็น..แนวเทือกเขาครับ...จะเห็นว่า..เส้นทางการเดิน
ทัพ..ต้องไปตัดเข้าไปในแนวนี้..นั่นแหละครับ..ที่ทำให้การเดินทางลำบากเพราะต้องผ่านไปที่สูง..แถมยังต้องเลาะ
เลี้ยวไปตามซอกเขา..จะเห็นว่า..การเดินทัพช่วงแรกนั้น..ไม่มีทางเลี่ยง..มีเส้นทางเดียว..ก็คือ..เดินทัพเลาะไปตาม
แนวลำน้ำ...(..สีขาว..คือ..ที่ราบลุ่ม..และที่ราบเชิงเขา..)...จนกระทั่งผ่านไปครึ่งทาง..พ้นแนวเขาแล้ว..ก็จะเป็นที่ราบ
กว้าง..ก็เริ่มตั้งแต่..BELGRADE เป็นต้นไป..เป็นที่ราบลุ่มตอนกลาง..ของแม่น้ำดานูป...ซึ่งก็มี..เส้นทางให้เลือกเดิน
ทัพได้..ซึ่งเนื่องจากสุไลมาน..จะไปพักทัพ..ช่วงที่๒ (พักช่วงแรกที่..BELGRADE )..ที่ ESZEK ( OSIJEK)..ก็จึงเดินทัพ
ล้อ..ไปกับเส้นทางของแม่น้ำดานูป..ขึ้นไปเรื่อยๆ..จนถึง..ที่พักทัพช่วงที่ ๒ ..............ปลายเส้นทางในรูป..คือเมือง
กึ้นส์ ( GUNS ) ( อย่าแปลกใจว่า..ทำไมอ่านแบบนี้..เพราะเป็นชื่อเรียกเมืองนี้ตามแบบออสเตรีย..ซึ่งใช้ภาษา..
เยอรมัน..ตัว U นั้น..จริงๆ..จะต้องมี..ตัว”อุมเล้าส์”..ที่เป็น..จุด ๒ จุดอยู่ข้างบนตัว U ด้วย..แต่แป้นพิมพ์อังกฤษไม่มี
ดังนั้น..เวลาพิมพ์ออกมา..แล้วไม่บอกก่อน..ก็นึกว่า..เป็น..”กันส์”....แต่โครเอเทีย..และ..ฮังการีเรียก..คอสเซ็ค
( KOSZEK ).).เป็นเมืองชายแดนออสเตรีย..เขตต่อกับ..ฮังการี...สถานที่ๆเป็น..สมรภูมิในครั้งนี้..ครับ........
......ผมเวลากล่าวถึงจะอ้างอิงกับ..แผนที่นี้ตลอด..ดังนั้นผู้อ่านก็ต้องคอยเลื่อนดู..แผนที่นี้..ประกอบไปด้วยครับ..
จะได้ไม่งง.......
..................................
...............เมื่อเริ่มเดินทัพนั้น..คือ..เมษายน...ก็เข้าเริ่มช่วงฤดู..ใบไม้ผลิ..ไม่มีหิมะแล้ว..จริงแล้วในช่วงนี้..ใน
ตอนกลางของคาบสมุทรบอลข่าน..จนถึงตอนบนนั้น..หิมะยังละลายไม่หมดหรอกครับ..แต่แผนดารเดินทาง
นั้นก็เรียกว่า..สอดคล้อง..เพราะ...กว่าจะไปถึง..แนวเขาก็กว่าเดือนแล้ว...หิมะละลายหมด..ดินเริ่มแข็งขึ้น..
รับช่วงพอดี...เมื่อผ่านแนวเทือกเขสตอนกลางแล้ว..(..อยู่ในเขตของ..เซอร์เบีย)..ลงเข้าสู่ที่ราบ..ก็เข้าสู่...
..เมืองเบลเกรด..เมืองหลวงของ..เซอร์เบีย..ซึ่งตอนนี้..กองทัพเตอร์กก็ยึดครองอยู่.....
.........เบลเกรด..เป็นเมืองหลวงและเมืองป้อม.อยู่ริมแม่น้ำสองสาย..คล้ายๆกับเมืองเชียงแสนบ้านเรา..
..คือ..เป็นที่บรรจบของ..แม่น้ำรวก..และ..แม่น้ำโขง....ของเบลเกรด..คือ..แม่น้ำซาวา (SAVA)..ก็ไหลมา
บรรจบ..กับ..แม่น้ำดานูปที่นี่..วิวสวยมากครับ..เวลาที่ยืนบนกำแพงป้อม..มองไปที่จุดบรรจบ..ตอนที่ผมยืนที่
นั่น..ก็นึกถึงเชียงแสนบ้านเราเลย.....
...........แนวเขตกำแพง..และ..ป้อมปราการที่เบลเกรดนี่ใหญ่มากครับ...กว่าเตอร์กจะยึดได้..นี่เหนื่อยหลายสิบ
ปี..และ..หลายรุ่น..ตั้งแต่..รุ่นเมเหม็ดที่ ๒ พยายามมายึด..ก็พ่ายแพ้แก่..จอห์น ฮุนยาดี้..วีรบุรุษของ..ฮังการี..
ตายไปหลายหมื่น...แล้วก็..พยายามมาตลอด..ขึ้นมายึดได้จริงๆเอาใน..สมัย..สุไลมานนี่เอง..เมื่อ ๑๕๒๑...
...สร้างความชื่นชมให้กับ..พวกเตอร์กกันทั้งประเทศ..อะไรที่บรรพบุรุษ..ของเขากี่คนก็ตามทำไม่ได้..สุไลมาน
ก็ทำได้หมด..ถึงได้ยกย่องเป็น..”สุไลมาน..ผู้เยี่ยมยอด “.....รวมพวกเตอร์ก(และฝรั่งกลายพันธุ์)ที่ต้องมาตาย
ที่นี่เป็น..แสน..คนครับ..ใช้เวลาประมาณ แปดสิบปี........................
......ผมจะกล่าวถึง..ที่เบลเกรดนี่อีกที..ตอนที่มีการวิเคราะห์เรื่อง..ความผิดพลาดของเขา...
..........นั่นแหละครับ...หลังสิ้นสุดการพักทัพช่วงแรกเติมเสบียงกรัง..เขาก็เดินทัพออกจากเมืองเบลเกรด......
เลาะไป..ตามด้านข้าง...ฝั่งขวาของแม่น้ำดานูป(..การที่เราจะเรียกฝั่งแม่น้ำนั้น..เป็นสากลนะครับไม่ใช่เฉพาะ
ไทย...ต้องหันหน้ามองตามน้ำไหลครับ..แม่น้ำดานูป..ไหลจากเหนือ..ลงใต้..ดังนั้น..เส้นทางที่เดินทัพนี้จึงอยู่
บนฝั่งขวาของแม่น้ำ ( ดูในรูปอยู่ข้างซ้าย)..นี่เป็นหลักการสากลครับ..เหมือนกัน..เวลาท่านฟังข่าว..เรื่องน้ำท่วม
หลายคนงง..ว่า..มันด้านไหนกันแน่...).......
.......................................................
.......................................................
............สำหรับ..แม่น้ำดานูป..นี่คือ..สายเลือดหลัก..ของประเทศในคาบสมุทร..บอลข่าน..รวมถึง..ยุโรปตะวันออกด้วย
..เพราะ..มันไหลตอนเหนือของยุโรป..และ..ไหลเอื่อยๆลงไปสู่..ทะเลดำ..ซึ่ง..ที่ทะเลดำ(ดูรูปประกอบ)นั้น..ก็สามารถไป
เชื่อมกับ..ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้...ออสเตรีย..เดิมก็เคยใช้..แม่น้ำดานูปในการคมนาคม..เชื่อมต่อไป..ทางเอเซีย..
หรือ..อาหรับได้..แต่นับจากที่..พวกเตอร์ก...เข้ามา..และยึดครองดินแดนส่วนลายแม่น้ำดานูป..ไว้ได้..ก็เริ่มมีปัญหา
...ยิ่งมายุคสุไลมาน..ออสเตรียเป็นศัตรูถาวรไปแล้ว..และ..การที่..สุไลมานยึด..เซอร์เบีย..โดยเฉพาะ..เบลเกรด..
ที่..แม่น้ำดานูปไหลผ่าน..เมื่อ ๑๕๒๑ ก็เหมือน..โดนตัดเส้นเลือด..ด้านนี้ถาวรไปเลย...ไม่สามารถติดต่อทางน้ำ..
ค้าขาย..กับ..ประเทศในคาบสมุทรบอลข่านได้..เลย..ยิ่งฮังการี..กลายเป็นพันธมิตร(ลูกกะเป๋ง)..ของเตอร์ก...ก็เลย
เหลือ..ทำมาหากินกันเอง..กับเยอรมันต้นน้ำได้เท่านั้น............
............................กลับมาพูดถึง..สุไลมานที่มาถึง..ที่โอซิเจค..และ..หยุดพักทัพ..และส่งหนังสือไปให้เฟอร์ดินานด์
นั้น...สาเหตุที่มาส่งหนังสือตรงที่นี้..เพราะ..จาก.โอซิเจค..นั้นเดินทัพขึ้นเหนือเลาะไปตาม..ฝั่งขวา..แม่น้ำดานูป..
ก็ไปถึง..บูดาเปสท์..ของฮังการี..ได้โดยสะดวก....(ดูรูปประกอบ..จาก ESZEK...ไป..BUDAPEST..)..ทำให้เหมือน
ว่า..จะขึ้นไปช่วย..ป้องกัน..บูดาเปสท์..ส่วนหนึ่งได้ด้วย...ซึ่ง..แนวต้านด้านล่างนี้..ก็เป็นส่วนรับผิดชอบ..ของ...
กองกำลังจากเสปน..ของ..ชาร์ลส์ที่ ๕ ...ที่ตอนนี้เข้ามาอยู่ในเขตของฮังการี..ตอนใต้..แต่จริงๆ..ที่ผมบอกว่า...
..แผนล่อหลอก..ของ..สุไลมานตื้นมาก..เฟอร์ดินานด์..ดูออกตั้งแต่..ก่อนเดินทัพมาถึง..โอซิเจค..ด้วยซ้ำ..อย่าง
ที่ผมว่าไป..หลายตอนก่อนหน้านี้...ยิ่งมาหยุดทัพที่..นี่..ยิ่งทำให้ออสเตรีย..มั่นใจได้เลย..ว่าที่คาดนะไม่ผิดแน่....
......ถ้าผู้อ่าน..ดูภาพประกอบ..จะเห็นว่า..เส้นทางจาก..โอซิเจค..ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ..สู่เวียนนา..นั้น
ราบรื่นมาก..เป็นที่ราบลุ่มตอนบนแม่น้ำดานูป..มีแค่..แม่น้ำเล็กๆ...กั้นบ้าง..แต่ไม่มีอุปสรรคอะไร..เพราะ..แม่น้ำ
เหล่านี้..น้ำที่ไหล..ก็มาจากหิมะที่ละลาย..จากบนเขา..ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่..ก็ละลายหมดแล้ว..น้ำจึงตื้น.....
.....................ดังนั้น..ก่อนการมาถึงของสุไลมานที่..เมืองนี้..ฝ่ายกองกำลังของชาร์ลสที่ ๕ ก็เริ่ม..ถอยทัพเข้าไปใน
เขตออสเตรีย..ใกล้กับเขตต่อเส้นทางที่จะไปกรุงเวียนนนาแล้ว.....ก่อนหน้าที่..สุไลมานจะขยับ..กองกำลังส่วน
ใหญ่..ของเขา..คุมโดยอิบราฮิมปาชา..กระเป๋งข้างขวา..ก็เดินทัพล่วงหน้า..ไปก่อนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ..
...(ทิศทาง..ก็ไปสู่เวียนนานั่นแหละ..)..ทำเป็นว่า..จะไปเคลียร์พื้นที่..ในเขตของโครเอเทีย..ที่ตอนนี้..ออสเตรีย
ยึดอยู่..ซึ่ง..กองกำลังของ..ชารล์สที่..๕ อยู่แถวๆนั้น..ส่วน..ตัวสุไลมานจะขึ้นไปที่..บูดาเปสท์.....
....ทำนองว่า..ที่มานี่นะ..เพื่อมาช่วยจอห์น ซัปโปลเย..ปกป้องบูดาเปสท์.......
.........ซึ่ง..ตื้นมาก..ออสเตรียมันก็ดูออกอยู่ดีว่า...เป็นแผนหลอกเด็กของ..สุไลมาน..เดี๋ยวมันก็ต้องตามไปสมทบ
..กับ..อิบราฮิมปาชา..ทัพหน้าของมันแน่ๆ.....
.....ทัพหน้า..ของอิบราฮิมปาชา..ก็เดินหน้าบุกเมืองเล็ก..เมืองน้อย..ป้อมเล็ก..ป้อมน้อย..ระหว่างทาง..เป็นสิบ
..ไปเรื่อยๆ..ส่วนใหญ่..ก็ไม่เกิน สองสาม..วัน..ก็เรียบร้อย..ดินแดนรายทางนี่ก็คือ..ช่วงที่เป็น..โครเอเทียนั่นเอง..
..ซึ่ง...บอกแล้วว่า..เฟอร์ดินานด์มันไม่ได้สนใจ..สวัสดิภาพของ..คนโครเอเทียหรอก...เพราะเสือกขอไปอยู่กับมัน
เอง..ดังนั้น..พวกเมืองเล็กๆในโครเอเทีย..เหล่านี้..ก็ต้องวินาส..โดนยึดไป..โดยอิบราฮิมเมื่อยึดได้ก็ส่งกำลังส่วนน้อย
ไว้..รักษาการณ์..บางเมืองถ้าผู้คนต่อต้านมาก..เตอร์กมันก็เผาทิ้งซะเลย...กันรำคาญ.......
.........จนกองทัพเดินเข้าใกล้เขต..ดินแดนของออสเตรีย..ที่เดิม..มีกองกำลังเสปน..ของชารล์สที่ ๕..พี่ใหญ่ของ
เฟอร์ดินานด์มา..คุ้มกันอยู่.....เส้นทางที่จะเข้าไปในเขตของออสเตรีย..ถ้าก้าวข้ามไปในเขตของออสเตรีย..นั้น..
มันก็จะไปเจอ..กับเมืองๆหนึ่ง...ซึ่งจริงถ้าทัพของ..อิบราฮิมปาชา..ไม่ไปที่เมืองนี้ก็ได้..เลี่ยงขวาไป..เพราะจริงๆ
ไอ้เมืองนี้..มันอยู่ติดเชิงเขา..เมืองนี้ชื่อ..GUNS..กึ้นส์..(ดูในแผนที่..)..ในภาษาเรียกแบบออสเตรีย(เยอรมัน)...
..หรือ..KOSZEK..ในภาษาเรียกแบบ..ฮังการี..และ..โครเอเทีย.....เมืองนี้..มีป้อมที่..มีกำแพงล้อมรอบ..ขนาดเล็ก
อยู่....และมี..ผู้บังคับการป้อมชื่อ....
.........................นิโคล่า จูริสซิช...........
.......................................................................
.........
.......สภาพปราสาท..หรือ..ป้อมเมืองกึ้นส์..(หรือ ค้อสเซ็ค)..ในปัจจุบัน..ที่ผ่านการบูรณะ..มาหลายครั้ง..
...จากเหตุการณ์..ในการบุกล้อมของเตอร์กเมื่อเกือบ..ห้าร้อยปีก่อน...ซึ่งเป็นที่มาของ..เรื่องนี้....
ไม่ได้เข้ามาอ่านนานเกือบทั้งอาทิตย์เลยครับ เพิ่งจะมาไล่อ่านตั้งแต่เมื่อวาน
โดยภาพรวมทั้งหมดบรรยายได้ดีครับ แต่ขอตินิดนึงตรงที่ชอบตัดเอาเรื่องอื่นเข้ามาแทรกกับเรื่องที่ขณะกำลังบรรยายอยู่นั้น ผมว่าเล่าเรื่องๆนั้นให้จบไปเสียทีเดียวให้เสร็จก่อนจะดีกว่าครับ เพราะพอนำเรื่องอื่นๆเข้ามาแทรก แล้วมันจะทำให้ผู้อ่านเขวได้แล้วบางที หันไปให้ความสนใจเรื่องที่แทรกเข้ามามากกว่าเรื่องที่กำลังทำการบรรยายอยู่ครับ
เรื่องหรือข้อสงสัยบางอย่างทิ้งทุ่นเอาไว้ให้ผู้อ่านเก็บเอาไว้ติดตามในเรื่องที่จะเล่าต่อไปน่าจะดีกว่าครับ
อย่างกรณี ปืนใหญ่สองกระบอกของไทยเราไปโผล่ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นต้นครับ
ผมชอบนะ แม้จะมีเรื่องอื่นเข้ามาแทรกบ้างจากเนื้อหาหลักที่จะเล่า แต่มันคือสไตล์ของท่าน ขอบคุณครับ
....ขอบคุณครับ...ทั้งคุณ WOOT และ..คุณ APC ...ที่มาให้ข้อคิดเห็น...ครับ...
....เรื่องรูปแบบ..นะ..ผมไม่เปลี่ยนแน่นอนครับ..มันเป็นสไตล์ของผม..และผมก็เกิน ๖๐ แล้ว...
ที่ผ่านมา..ผมก็เขียนแบบนี้ละครับ....เพราะนี่คือ..ความสบายแบบของผมครับ..
ไปเรื่อยๆ..แต่ทุกเรื่องที่แยกออกไป..นั้น..มันก็มีจุดเชื่อมโยง..ทั้งสิ้นครับ..เพราะไม่ว่าอะไร..
.........มันก็คือ..ประวัติศาสตร์..มันเป็นความรู้...อะไรที่ผมคิดว่า..ผู้อ่านส่วนใหญ่..ไม่ทราบ..
.....ถ้ามันเกิดโยง..เข้ากับเรื่อง..ผมก็..จะเอามาอธิบายให้ทราบ..กัน....
.....ผมเคยบอกไปแล้วว่า..ผมสงสัยเข้ามาเขียนผิดที่..เพราะที่นี่..มันเป็นกระทู้..เกี่ยวกับความทันสมัย..
......แต่เนื่องจาก..เพื่อนสมาชิก..หลายท่าน..ให้กำลังใจ..และ..ขอให้เขียนต่อ..ผมก็เลยเขียนต่อมาเรื่อยๆ..
..............และ..อุตส่าห์ได้อยู่..หน้าแรก..ตลอดเวลา..เป็น..กระทู้แนะนำ..ผมก็จะรักษา..คุณภาพตามเดิม..
.............ของผมต่อไป..เรื่อยๆครับ...................
...........................ขอบคุณ..................
ติดตามอ่าน และให้กำลังใจเสมอครับ
ไม่มีคำแนะนำอื่นใด แต่ชอบเรื่องประวัติศาสตร์ ขอบคุณครับ
.........................................................................
............ก่อนจะเข้าเรื่อง..ผมจะทบทวนเรื่อง..ข้อมูลที่ผมนำมาเขียนนี้อีกครั้ง..เดี๋ยวจะลืมกัน.....
....บางท่านที่..เห็นชื่อ..หรือ..หัวเรื่องแล้ว..ไปเปิดหา..ข้อมูล..ในอินเตอร์เน็ต..นั้น..ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว
ที่หาง่าย..ที่สุดคือ..วิกิพีเดีย...หลายท่านผมเชื่อในความสามารถในด้านภาษาอังกฤษ..และคงแปลได้เอง..
..แต่อาจ..สับสน..ว่า..ทำไม..ข้อมูล..หลายๆเรื่อง..ที่อ่านไม่เห็นตรง..กับของผม..อาจบางที..ตรงกันแค่ครึ่งเดียว
หรือ..แปดสิบเปอร์เซนต์.....
....ก็ขอย้ำนะครับว่า..วิกิพิเดีย..นั้น..ผมก็ใช้แต่ใช้เฉพาะ..ส่วนที่น่าเชื่อถือ..เท่านั้น..เพราะข้อมูลในวิกิพิเดีย
ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด..ซึ่งผมยืนยันได้..เพราะค้นคว้ามามาก..ยิ่งเมื่อซักสิบปีก่อนนี่..ยิ่งผิดพลาดมากกว่านี้เยอะ..
..เดี๋ยวนี้ดีขึ้น..แต่ก็ยังมีหลายส่วนผิดพลาด..
...................สมัยก่อนนั้น..วิกิพิเดีย..เรียกว่าเอาข้อมูล..มาจากพวกเอ็นไซโคลปิเดีย..เกือบทั้งหมด..ซึ่งสมัยก่อน
ใครอ่าน..เอ็นไซโคลปิเดีย..ที่เขียนเกี่ยวกับเมืองไทย..แล้วจะเศร้า..แบบขำไม่ออก..คือ..มันไม่รู้ไปเอาข้อมูลมาจาก
มั่วมาก..ซึ่งไม่ใช่เฉพาะไทย..แต่สำหรับประเทศในเอเซีย..อาฟริกา..และ..อาหรับ..และ..ยุโรปตะวันออก..ข้อมูลจะผิด
พลาดมาก..สมัยก่อนตั้งแต่..ตอนผมไปเรียนที่ญี่ปุ่น..จน..มาเรียนที่..ยูโกสลาเวีย..นั้น..ผมมีเพื่อนจากต่างชาติ..ที่ด้อย
พัฒนาเหมือนบ้านเรา..ทุกทวีปก็ว่าได้..แม้แต่อเมริกาใต้..ผมได้ถามปัญหาเหล่านี้..กับพวกมัน..ซึ่งทั้งหมดที่ถาม..ก็
จะตอบเหมือนกันหมดว่า..มั่วซะครึ่งนึง....
...........คือข้อมูลเฉพาะ..ที่เป็นของชาติฝรั่งที่เจริญแล้ว..เช่นยุโรปตะวันตก..อเมริกา..ฯลฯ..พวกนี้..จะค่อนข้างตรง..
เพราะอะไรหรือ..ครับ..เพราะไอ้ทั้ง..บริตตานิก้า..และ..อเมริกาน่า..เอ็นไซโคลปิเดีย..เจ้าใหญ่ที่สุดนี่ถูกฟ้อง..เรียกค่า
ปรับมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว..แต่พวกด้อยพัฒนา..ไม่ได้ฟ้องกัน..มันก็ปล่อยเฉย....
.....อย่างข้อมูลประวัติศาสตร์ชาติไทย..ใครมันจะรู้ดีไปกว่าคนไทย.....ดังนั้น...อย่างเนปาล(กุรข่า)..ใครมันจะไปรู้ดี
กว่าพวกเขา...ไอ้คนที่เขียนประวัติศาสตร์เผยแพร่ให้ให้ชาวโลกอ่าน..มันฝรั่ง..มันก็จะหาข้อมูลแบบง่ายๆที่หาได้...
และที่มันสัมผัส...
...........ผมจะบอกให้ว่า..เอ็นไซโคลปิเดีย..รวมถึง..วิกิพิเดีย..ตอนเกิดใหม่ๆนั้น...มีการบอกว่า..เมืองไทยนั้น...
ภาษาที่ใช้เป็นทางการ..นอกจากภาษาไทย..ยังมีภาษาจีนด้วย...ก็คิดดูเอาเองแล้วกัน........
......แม้ภายหลัง..วิกิพิเดีย..จะปรับปรุงคุณภาพ..และ..อัพเดทข้อมูล..ตลอดเวลา..ก็ยังมีผิดพลาดไม่น้อยอยู่ดี..เพราะ
บางที..ข้อมูล..ที่ได้รับเข้าไป..เป็นข้อมูลที่ไม่ได้ตรวจสอบ..อย่างถ่องแท้..เอามาลงไว้..เพื่อให้คนอ่านก่อนถ้ามีผิด..ก็
แจ้งไปอะไรทำนองนี้.....
.........ผมประสพเรื่องนี้..ตั้งแต่..ผมเขียน..เรื่อง..”กุรข่า ..นักรบเลือดดุ”..เมื่อ ๒-๓ ปีก่อน...ผมจะหาข้อมูลจากทุกทาง
ที่จะเสาะค้นได้..ทั้งของเนปาล..อินเดีย..อังกฤษ..ที่นอกเหนือจาก..ที่มีอยู่ใน..วิกิพิเดีย..จะพบว่าไม่ตรงกันเยอะ...
..แต่ผมจะประเมินความเป็นไปได้..โดยเฉพาะให้ความสำคัญกับ..ข้อมูลของเจ้าประเทศ..ที่เค้าค้นคว้าไว้เพื่อ
เป็นประวัติศาสตร์เขาเอง..เป็นหลัก...เอามาประเมิน...แล้วเลือกเอามาเขียนและวิเคราะห์ในรูปแบบของผมเอง
...ซึ่ง..ถ้าใครเคยอ่าน..เรื่องนั้นของผม..แล้ว..ไปอ่านเทียบ..กับวิกิพิเดีย..ก็จะมีหลายส่วนมาก..ที่ไม่ตรงกัน...
..............เรื่องนี้..ก็เช่นกัน..ก็หลักการเหมือนเดิม...และก็มีหลายส่วนที่ไม่ตรง.....
.(..ข้อมูล..ส่วนใหญ่ที่เอามาใช้ในเรื่องนี้..ก็มากจากทั้ง..ออสเตรีย..ฮังการี..โครเอเทีย..เซอร์เบีย..ตุรกี....
ฝรั่งเศษ..ไทย...อังกฤษ...ฯลฯ..เรื่องการสืบค้นข้อมูล..ที่เป็นภาษาอื่น..และ..ซึ่งใช้ตัวอักษรอื่นนั้น..ผมก็พัฒนา
เทคนิคขึ้น..มาหลายปีแล้วครับ..ตั้งแต่สมัย..กุรข่า..นักรบเลือดดุ..ผมไม่ได้เหนื่อยกับการหาข้อมูลหรอกครับ..
..แต่ผมสนุกซะด้วยซ้ำ..ยิ่งพบว่า..ไอ้ข้อมูลหลายอย่างที่พบว่าวิกิพิเดีย..ไม่มี..และมีความน่าเชื่อถือ..รวมถึง..
..การพบข่อมูลที่ขัดแย้งกับ..วิกิพิเดีย..แล้วน่าเชื่อถือกว่า..นั่นเป็นความสำเร็จของผม.....)
...ดังนั้น..จึงขอประกาศให้ทราบด้วยว่า..ข้อมูลและบทความที่ผมเขียนนี้..ผมไม่ได้บังคับให้ใครต้องเชื่อตามผม
นะครับ..เพียงแต่ผมยึดหลักการของผมคือ..ไม่ทรยศ..หรือ..หลอกทั้ง..ตัวเอง..และ..ผู้ทีมีปฏิสัมพันธ์กับผม
(เช่น..ท่านผู้อ่าน)..เท่านั้นละครับ..จะเชื่อ..ก็เชื่อ..ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร..ก็แค่อย่าอ่านให้รก..สมองแค่นั้นแหละ..
..แต่ขอยืนยันว่า..ผมใช้ข้อมูลหลากหลายมาก..เท่านั้นเอง..ผมไม่ใช่นักแปล..ผมไม่ใช่นักเรียบเรียงบทความ
หลายๆอันแล้ว..แล้วรวมเรื่องเอามาลงให้อ่าน...........
...........................แต่ผมเป็น........นักเขียน..ครับ.............การเป็นนักเขียน..มันก็เลยมีลีลาของตัวเอง...
...ดังนั้น..ผมเขียนเรื่องไหน..ถึงแม้จะหัวข้อ..บังเอิญไปซ้ำกับใคร..(..ซึ่งผมเองนั้น..จะพยายามหลีกเลี่ยง
อยู่แล้ว...ถ้ามีใครเคยเขียนอยู่..และ..ข้อมูลดี..รายละเอียดดี..ผมจะไม่เขียนในหัวข้อนั้น..ซึ่งจะตรวจสอบ..
ในอินเตอร์เน็ตก่อน...)....ก็จะมีแนวของเรื่องที่ฉีกออกไป..หรือ..มีรายละเอียดการวิเคราะห์ที่ต่างออกไป..
...คือ..รับรองว่าไม่เสียเวลาที่จะอ่าน..เพราะ..จะได้ความรู้..และ..อารมณ์อีกแบบ..แน่นอนครับ....
............ดังนั้น..เรื่องนี้ข้อมูลที่ผ่านมา..และ..จนถึง..ที่จะกล่าวต่อไปข้างหน้า...จนเลยไปถึง...เรื่องอื่นๆที่
จะตามมาภายหลังอีก.....ก็จะเป็นแบบนี้ทั้งหมด....และต้องขออภัยผู้อ่านบางท่าน..ที่บางทีผมใช้...ภาษา
พูดเยอะ..และ..บางทีอาจมีหยาบคายบ้าง..ก็เพราะมันเป็นนิสัยของผม..และอีกอย่างก็อยากให้ผู้อ่าน..
นั้นอ่านแบบสบายๆ..เหมือน..นั่งอยู่แล้วมีใครมาเล่าเรื่องให้ฟัง..แบบนั้นครับ...
................................................
คุณ modpong ครับ ผมถือคติที่ว่า "มีแต่คนที่ไม่ยอมทำอะไรเลยเท่านั้นแหละที่ไม่เคยโดนตำหนิ" ครับ เขียนต่อไปเลยนะครับผมรออ่านอยู่และเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
...............ขอบคุณ..คุณ Tomcat และ..คุณ Amber ด้วยครับ..ที่เป็นกำลังใจให้.....
.................ชื่อเว็บบอร์ดที่นี่..ก็ระบุอยู่แล้ว...ผมก็..THAI FIGHTER คนหนึ่ง.......
.........ไม่ต้องห่วง...เอาเป็นว่า..ถ้าไม่มีเหตุขัดข้อง..ผมก็จะพยายามเขียนต่อเนื่อง..
....แบบของผม..รุ่นเก่าโบราณ..แบบนี้..ไม่มีไฮเทค..มาปน..เลี้ยวซ้ายมั่ง..ขวามั่ง
......ไปยันสิ้นปีนี้..เป็นอย่างน้อยครับ..
................................................
......................วกกลับมาที่...นิโคล่า..ตามข้อมูล..นั้นระบุว่า..เขารู้สึกว่า..การที่ไปกรุงอิสตันบุลนั้น..บั่นทอน
ชีวิตเขาไปเยอะ..ทั้ง..ความรู้สึก..และ..สุขภาพ..
...เรื่องความรู้สึก..นั้น..เขาได้รู้ซึ้งว่า..ถึงแม้เขาจะเป็นทหาร..ของออสเตรียมานานพอสมควร..แต่ระดับบนเขา
ก็เป็นได้แค่..นายทหารชั้นรองอยู่ดี...และ..การเป็นคนโครอัทในสายเลือด..แม้จะมาทำงานให้ออสเตรีย..ใช้ชีวิต
ที่นี่..แต่..ในสายตา..และ..ความรู้สึก..ของเบื้องบน..เขาไม่ใช่..คนออสเตรีย............
..........เพราะ..ภารกิจที่..ส่งเขาไป..ที่เมืองเตอร์กนั่น..มันเป็นแค่ลูกเล่นทางการเมือง...เขาและคณะ..มีสิทธิที่จะ
ตาย..ได้ง่ายมาก..แค่..สุไลมานกระดิกนิ้ว..และ..ทางออสเตรีย..ก็ไม่แคร์..และ..เดือดร้อนอะไร.....
............กลับมาก็ไม่ได้ดีอะไร...........แต่เขากลับชอบใจซะอีก..เพราะได้มาอยู่ห่างกรุงเวียนนา..และ..ได้ปกครอง
บังคับบัญชา..ทหาร..ด้วยตนเอง..แม้จะจำนวนน้อยก็ตาม..................
.....ส่วนสุขภาพนั้น...ตามข้อมูลนั้น..ระหว่างที่ถูกกักตัวไว้ที่..อิสตันบุล(คอนแสตนติโนเปิ้ล)..เขาป่วยครับ...ซึ่ง..
อิบราฮิมปาชา..ก็เคยไปเยี่ยมเขา...แต่คงป่วยไม่มากนัก..แต่ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์..แล้วมาตะลอนเดินทางกลับ..
สี่..ห้า..เดือนนี่..ก็คงทำให้เขาสุขภาพแย่ลงไปเยอะ.......
................เรามาพูดถึง..เมืองกึ้นส์..กันบ้าง...(ดูแผนที่ๆผมลงไว้คราวก่อน..ประกอบด้วยครับ)..จะเข้าใจมากขึ้น..
....คุณผู้อ่าจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า..เมืองนี้..แนวด้านหลังเมือง..(..หน้าเมือง..ก็คือ..มองไปยังที่ราบ..(ตะวันตก) )..
นั้นเป็น..แนวเขา...เมืองตั้งอยู่บนที่ราบเชิงเขา..ดินค่อนข้างแข็ง..ไม่นุ่ม...และ..ขุดดินลงไปได้ไม่ลึก..เพราะจะเจอ
..ชั้นหิน..หรือ..ชั้นกรวด...ข้อดีอีกอย่างคือ..มีน้ำใต้ดินขังในชั้นกรวด..ที่ต่อเนื่องมาจากเชิงเขา..ทำให้บ่อน้ำตื้น...
..ก็จะเจอน้ำที่ละลายจากหิมะ..ที่ไหลซึมลงชั้นน้ำใต้ดิน..และไม่มีปัญหาเรื่อง..น้ำ......
.......เมืองเป็นเมืองขนาดเล็ก...ป้อมปราการ..ก็มีขนาดเล็ก..แต่กำแพงหินรอบ..ป้อมนั้น..หนา..รับแรงกระแทก..
จากลูกปืนใหญ่..ขนาดเล็ก..และ..กลางได้พอควร ( 6 pounder , 8 pounder )...แต่กำแพงไม่สูงมากนัก.....
....จะเห็นว่า..จากภูมิประเทศแล้ว..อย่างที่ผมบอกไปครั้งก่อนว่า..อิบราฮิม..หรือ..สุไลมาน..ไม่ต้องเลี้ยวเขามาที่นี่
ก็ได้..สามารถเดินทัพ..ต่อไปยัง..กรุงเวียนนาได้เลย.......
.....ดูๆไป..มันน่าจะขัดแย้งกับเหตุผลสำคัญ..คือ..ควรจะรีบเดินทางไปให้ถึง..กรุงเวียนนาเร็วๆ..จะได้ไม่ต้องมามี
ปัญหาเรื่อง..ภูมิอากาศอีก.....
..........แต่จริงๆมันก็มีเหตุผลครับ..เพียงแต่เรื่องของเรื่อง..มันไม่น่าจะบานปลาย..ขนาดนั้น....คือ..คิดไม่ถึงว่า..จะ
เป็นปัญหาใหญ่..ที่จะส่งผล..ให้แผนการเข้าล้อมกรุงเวียนนา..เสียไป......นั่นก็คือ..
......๑. อิปราฮิม..ไล่ตีเมืองเล็กๆ..รายทางเพื่อเก็บ..สะสมเสบียง..เอาไว้ใช้ในการล้อม..กรุงเวียนนา..ซึ่งต้องใช้เวลา
นานแน่ๆ...และ..ไม่รู้ว่าก่อนจะถึง..เวียนนา..จะเจอแบบคราวที่แล้วรึเปล่า..คือ..เหลือแต่เมืองเปล่า..ไม่มีเสบียงไว้
ให้เก็บได้เลย.....ดังนั้น..เก็บได้เท่าไหร่ก็ต้องเก็บ..ไว้ก่อน..
.......๒. ยิ่งใกล้เวียนนา..เข้าไป..(ดูแผนที่..ประกอบ)..จะเห็นว่า..เมืองกึ้นส์..นี่เรียกว่า..ใกล้เลยทีเดียว...การป้องกัน
ย่อมมากขึ้น..เมืองเล็กๆเหล่านี้..อาจซุ่มทหารไว้จำนวนมาก..และ..คอยตอด..กองทัพระหว่างเดินทัพอยู่..หรือ..แม้
กระทั่งเดินทัพ..พ้นไปแล้ว..อาจส่งกองทหารมาคอยปล้น..และตอด..ด้านหลัง..ให้เป็นกังวลได้..
.......๓. ...เป็นการซ้อม..เพื่อการเข้าล้อม..กรุงเวียนนาไปในตัว..แผนการเข้าตี..และ..การเคลื่อนเข้าประจำตำแหน่ง
ของแต่ละหน่วย..ซึ่งจะได้ผล..และ..นำเอาผลที่ได้มาประเมิน..ประสิทธิภาพ..ของแต่ละหน่วย..ได้ดีกว่า..ซ้อมหลอกๆ
...................................
........แล้ว..ทำไม..จะต้องเอาทั้งกองทัพ..มาหยุดที่นี่ละ.....ก็นั่นและครับหัวข้อสำคัญเลย..ก็เพราะนึกไม่ถึงไง.....
......เพราะจริงๆแล้ว..อิบราฮิม..เดินทัพต่อไปได้เลย..โดยส่ง..ทหารซัก..สองสามพันคน..ก็เพียงพอ..ที่จะจัดการกับ
เมืองเล็กขนาดนี้..ถึงนานหน่อยก็ไม่เป็นไร..เพราะตีเสร็จเมื่อไหร่..ค่อยไปสมทบ..กับทัพหลวงที่ล้อม..กรุงเวียนนา
ได้ไม่มีปัญหา..เพราะจำนวนทหาร..สามพันคน..เมื่อ..เปรียบกับ..ทั้งหมด..หนึ่งแสนสองหมื่นคน..ก็แค่...ประมาณ
...๓ เปอร์เซนต์เอง...คงไม่ส่งผลต่อการล้อม..และ..การเข้าตีกรุงเวียนนา..เท่าไหร่........
...นอกจากนี้ก็เป็นการป้องกัน..ไม่ให้ทหารจากเมืองกึ้นส์..ออกมาจากเมือง..เพื่อมาคอยตอด..หรือ..ปล้นทัพใหญ่ได้
.........นั่นแหละครับ..อะไรที่มันไม่ถูก..มันก็ไม่ถูกเข้าไปใหญ่..การตัดสินใจ...บางอย่างก็..ส่งผลเสียตามมาเยอะแยะ
...............ต้องโทษ...อิบราฮิมปาชา..เป็นอันดับแรก...เพราะเอาทัพหน้าทั้งหมด..ซึ่งเป็นส่วนใหญ่..ของกองทัพ...
ไปหยุดอยู่ที่เมืองกึ้นส์...เพราะอย่างนั้น..ก็จึงเลี่ยงไม่ได้..ที่สุไลมานจะไม่เดินทัพ..ต่อไปที่เวียนนา..เพราะจะเสี่ยงถ้า
เกิดมีการซุ่มโจมตี..ยิ่งตอนนั้นก็รู้แล้วว่า..ทหารของชาร์ลที่ ๕ ที่ส่งมาช่วยเฟอร์ดินานด์นั้น..อยู่ด้านนอก..เพื่อจะต้าน
ทานทัพ..เตอร์ก..ก่อนเข้าถึงกรุงเวียนนา...มันไม่เหมือนคราวที่แล้ว..ที่..ทหารเข้าไปอยู่ในกำแพงเมืองเวียนนากันหมด
สุไลมานเดินทัพถึงเมืองสบายๆเข้าไป..วางกำลังล้อมเมืองได้อย่างสะดวก...
...สุไลมานจึงต้องจำยอมที่จะต้องมาอยู่ที่..เมืองกึ้นซ์..เช่นกัน...
.........................................
........
...นี่ครับ..สภาพของกำแพงเมืองเก่า..จะไม่ได้ใช้หินขนาดใหญ่..เอามาก่อ..แต่ใช้หินขนาดเล็ก..ก่อซ้อนกัน..
..แต่ก็แข็งแรง...ความสูงของกำแพงจริงๆ..อย่าดูทางขวา..หรือที่อยู่ใกล้ตาครับ...ต้องดูเทียบที่..ตรงที่มี
รถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่...และ..กำแพงที่มีหอสูงทางซ้ายมือตั้งอยู่ครับ..ไม่สูงมาก..แต่ก็ไม่เตี้ย....
............ผมมาคิดไป..คิดมา..แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองไม่แฟร์..เหมือนกัน...เพราะ...ผู้ที่เข้ามาอ่าน..
ตั้งแต่แรกนั้น..คงมีหลายท่านที่ติดตามอยู่..แต่เพียงต้องการไฮไล้ท์..ว่าจบ..ยังไง..ผลสุดท้าย..มันเป็นยังไง
...ไม่ได้..สนใจเนื้อหาอื่นๆที่..ผมสอดแทรกเข้าไป....แต่ผมก็เชื่อมั่นว่า..ก็คงมีไม่น้อยกว่า..สิบคน..ที่
สนใจ..ในอรรถรส..รายละเอียด..ที่มา..ที่ไป..ทำไมถึงเป็นแบบนั้น..เหตุผลประกอบ..องค์ประกอบ..
..ที่ทำให้..บทสรุปสุดท้ายเป็นแบบนั้น...ซึ่งแค่นี้..ก็คงเพียงพอสำหรับผมแล้ว........
......ผมว่าท่านเหล่านี้..คงไม่ว่าอะไร..และ..ผมก็จะสบายใจว่า..ไม่ทำให้ผู้อ่านหลายท่าน..ที่เข้าใจว่า..
บทความผม..จะเขียนเหมือน..ตนอื่น..คือ..ซัก ๔-๕..เอาเนื้อๆ..แล้วจบเลย...
ดังนั้น..ผมก็ขอ..สรุปให้ท่านเลย..สำหรับส่วนที่บางท่าน..ที่ต้องการบทจบ....
............................ก็คือ..สุไลมาน..ไม่ชนะ....นิโคล่า..ไม่ตาย....ครับ...................
...ครับ..ผมหวังว่า..คงจะทำให้..หลายท่านสบายใจขึ้น...และ..หายหงุดหงิด....
....ส่วน..ผู้อ่านที่ต้องการอรรถรส..ในเรื่องราว....ก็โปรดติดตามต่อไปได้..เหมือนปกติ..
...และผมคิดว่า..ผู้อ่านกลุ่มที่ต้องการอรรถรส..คงไม่ถือสา..ที่ผมมาบอกว่า..จบยังไง..
....เพราะ..เรื่องนี้..ยังอีกยาว..ครับ....
ขอบคุณมากๆครับ โดยส่วนตัวผมก็วนเวียนอยู่ในเว็บบอร์ดแห่งนี้ เป็นสิบปีได้กระมัง แต่ผมเข้ามาเสพอย่างเดียว เพราะไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ด้วยความชอบในเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการทหารใหม่ๆ อะไรต่อมิอะไร มันทำให้เว็บบอร์ดแห่งนี้มันมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก เรียกได้ว่าเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปซะแล้ว ต้องมานั่งเปิดดูเว็บบอร์ดแห่งนี้ทุกวันจริงๆ ^^ แล้วยิ่งเรื่องประวัติศาสตร์แล้วผมยิ่งสนใจเข้าไปใหญ่ ยิ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่แปลกๆ ที่น้อยคนนักจะได้รับรู้ แล้วบวกกับวิธีการเล่าเรื่องที่มีการสอดแทรกความรู้ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นมันยิ่งทำให้การอ่านบทความนี้ยิ่งสนุกเข้าไปอีก
ปล.สรุปง่ายๆเลยว่าผมชอบบทความของคุณ modpong มากๆครับ ติดตามอยู่ทุกวัน รอกดรีเฟรชแล้วรีเฟรชอีก ว่าจะมีอะไรอัพเดตหรือเปล่า เป็นกำลังใจให้เขียนบทความดีๆแบบนี้ต่อไปนะครับ ผมรออ่านอยู่นะครับ ^^
ถึงท่าน modpong
อย่าไปซีเรียสอะไรมากมายกับการติของผมเลยครับ เล่าเรื่องของท่านต่อไปเถอะครับ
คือเผอิญอารมณ์ตอนช่วงนั้น ผมกำลังหิวข้าวพอดีครับ อ่านช่วงนั้นเสร็จก็เลยไปล้วก ยำยำมากินแล้วกลับมาอ่านต่อแล้วเผอิญไปสะดุดต่อมอารมณ์คนกำลังอ่านแบบเข้าได้เข้าเข็มนิส..นึงก็เลยเผลอไปเขียนคอมเมนต์แค่นั้นครับ
ปกติผมก็เข้ามาอ่านอย่างเดียวครับ ชอบแนวนี้ฉะนั้นแล้วเกร็ดประวัติศาสตร์ที่หาอ่านจากหนังสือที่อื่นๆไม่ค่อยได้ บวกกับสไตล์การเขียนของคุณ modpong ผมชอบนะ มันไม่แบบวิชาการจ๋าเกินไป น่าติดตามมากกว่าครับ
.......ขอบคุณ Okami...ที่ให้กำลังใจผม...และ...คุณWOOT..ที่เป็นกังวล...
....ผมนั้นไม่..ต้องห่วงกังวลหรอกครับ..ยังไงก็..เขียนต่อ..เขียนแบบเดิมแน่..ถึงคุณ..WOOT ไม่บอกผม..
..ซึ่งผมก็ยืนยัน..ไปก่อนหน้านี้แล้ว..หลายครั้งๆ..ไม่เปลี่ยนแปลง..หรอกครับ....
....เพียงแต่ผม..มาคิดเอาว่า..คงอาจมีคนอื่นที่เขาคิดคล้ายๆกัน..หรือที่ยิ่งกว่านั้น..คือ..อยากรู้ตอนจบ
เร็วๆมากกว่า...เพราะ..นักเขียนทั่วไปเขาไม่เขียนแบบผม..แต่มาเจอหัวข้อ..น่าสนใจ..ก็เลยเผลอมาอ่าน..
อ่านไปอ่านมา..เอ๊ะ..ทำไม..มันยาวจัง..ไม่จบ..ซะที....ทั้งๆที่ไม่ได้ชอบแนวทาง..หรือ..สไตล์..แบบของผม
..ซึ่งก็อาจจะแทบ..ไม่ได้อ่านรายละเอียดเท่าไหร่..แต่มาCheck..ว่า..ถึงจุดไคลแมกซ์..หรือ..ถึงจุดจบ..
บทสรุป..หรือ..ยัง..แค่นั้น...............
.......ผมจึงได้...บอกจุดจบ..บทสรุป..ซะเลย...เพื่อนักอ่านที่หลงทาง..เข้ามาอ่านเรื่องนี้..จะได้พอใจ...
....และ..ไม่ต้องมาเสียเวลา..check..ว่าไปถึงไหนแล้ว.....
.............พอผมบอกไป..นี่..ผมก็สบายใจ..นะ...ผมก็จะได้..เลี้ยวซ้ายมั่ง...ขวามั่ง...ขึ้นบน..ลงล่าง....ได้สบายใจ
...และ..อาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ....คิดดู..เนื้อเรื่องจริงๆนิดเดียว...แต่ผมเขียนทุกวัน..ปาเข้าไป..๒ เดือนกว่าแล้ว...
แถมยังไม่จบอีก..ต่างหาก..คงใช้เวลาอีกเป็นเดือน..กว่าจะจบ..นิโคล่า..คนนี้...แล้ว..เดี๋ยวต่อ..
....ยอดคน..นิโคล่า..คนใหม่อีก........เจอกันอีกนานครับ..ท่านผู้อ่าน....
..........................................
............เมืองกึ้นซ์..หรือ..คอสเซ็ค..นี้..ปัจจุบันอยู่ใน..ฮังการีนะครับ..เรียกว่า..ติดแนวชายแดนเลย...โดยแนวนั้น..
ความจริงก็ใช้มาแต่โบราณ..เพราะเป็นแนวสันเขา..ดูจากแผนที่ประกอบได้...แต่..ในสมัยนั้น..พวกออสเตรีย..ก็..
เรียกว่า..ไปหลัก..หากินกันนอกเขต...และยิ่ง..เมื่อ..หลุยส์ที่๒ ของฮังการีตายไปเมื่อ ๑๕๒๖ ..เขตแถวนี้..ออสเตรีย
ก็ถือ..โอกาศครอบครอง..ไปด้วยในตัว..ชื่อเมือง..ก็ตั้งเป็น..กึ้นส์..แต่.งฮังการี..เรียก..คอสเซ็ค...ชาวเมืองในตอนนั้น
..ก็มีทั้งคน..เชื้อสายฮังการี..ออสเตรีย..และ..โครอัท...ซึ่ง..เมืองใกล้ๆ..กึ้นส์..ในเขตอังการี..ก็มีคนออสแตรีย..ไป..
ปักหลัก..ทำมาหากินกันไม่น้อย....เมื่อ..ตอนอิบราฮิม..ไล่ตีเมืองเล็กๆ..ดะมาเรื่อย..นั้น..ชาวเมือง..เล็กๆเหล่านั้น..
..ซึ่งมีทั้งพอรู้ข่าว..ก็หนีกันก่อน..และ..อีกพวก..ก็คือรอดจากการไล่ฆ่า..พากันหนีตาย..กันในทิศทางตรงกันข้าม..
ที่อิบราฮิมเดินทัพมา...ซึ่งปลายทางนั้น..ก็กลายเป็นเมืองกึ้นซ์....
.........ทั้งๆที่..เมืองนี้ก็..เป็นเมืองเล็กๆ..ประชากร..จริงๆ..มีไม่กี่ร้อยคน..แต่มีป้อมปราการ..ที่แข็งแกร่ง..และอีกอย่าง
คือ..มี..นิโคล่า..ซึ่งตอนนั้นเขาก็มีชื่อเสียงอยู่แล้วพอควร..เมืองนี้..ก็เลยเป็นที่รวมสำหรับพวกหลบภัย.......
........และ..ที่ผมจั่ว..หัวข้อเรื่องไว้ว่า..๘๐๐ นั้น....จริงๆไม่ใช่ทหาร ๘๐๐ คนหรอกครับ..แม้ในวิกิพิเดีย..ก็..ดันไประบุ
ว่า..เป็นทหาร..๘๐๐ คน...ข้อมูลจริงๆนั้น..ทหารโครอัท..ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ..นิโคล่า..นั้นมีประมาณ ๒๐๐
คนเอง....ไอ้ ๘๐๐ ที่ว่า..ก็คือ..ทหาร..กับ..ชาวบ้าน..ที่ร่วมแรงกัน...
.....ลองดูขนาดป้อม..ที่ผมลงรูปไปคราวก่อน..ก็ได้..จริงๆคือ..มันเล็กเกินไปที่..ทหาร ๘๐๐ คน..จะไปประจำหน้าที่
ป้อม....ก็เรียกว่า...ชาวบ้านก็รู้ว่า..หลังพิงฝา(..พิงจริงๆ..เพราะหลังเมือง..เป็นภูเขา..)ยังไง..ก็ไปไหนไม่ได้..แต่ผมว่า
เหนืออื่นใด..คือ..ความเป็นผู้นำของ..นิโคล่า..การโน้มน้าวให้ชาวเมืองที่หวาดกลัว..หนีตาย...แปรเปลียนสภาพจิตใจ
..เป็นแบบทหาร..และ..ห้าวหาญ..ไม่กลัวตาย...นั่นเพราะเขา..เชื่อมั่น..ในผู้นำคือ..นิโคล่านั่นเอง.......
........................
............ก่อนหน้า..ที่ทัพของอิบราฮิม..จะเริ่มเดินหน้า..มาหานั้น...หน่วยทหารของเสปน..ที่มาช่วยนั้น..ก็อยู่บริเวณนี้
และ..ประสานการดำเนินการ..และ..แผนการ..กับนิโคล่าอยู่....โดย..หน่วยทหารของเสปนนั้น..ซึ่งมีหน่วยทหารม้า..
อยู่ด้วย.(หลายพันคน)..ก็จะลอบเข้าโจมตี..แบบตอด..เพื่อให้การเดินทัพล่าช้าลง..ส่วนนิโคล่า..ก็นำทหารส่วนหนึ่ง..
ไปไล่เผาโรงนา..โรงเก็บธัญญพืช..ของชาวบ้านที่หนีมา..เรื่อยๆ..ไม่ให้เตอร์กมาเก็บเกี่ยวเอาไปทำเสบียง..ด้วย...
.......แต่..พอทัพอิบราฮิมที่เดินหน้า..ไม่หยุด..มาเรื่อยๆ..จากโอซิเจ็ค..ระยะห่างประมาณครึ่งทางมาถึง..กึ้นซ์..
...พวกเสปน..ก็ถอนทัพทันที...โดยร่นลึกเข้าไปในเขตออสเตรีย..บริเวณ.ก่อนถึง..กรุงเวียนนา..ปล่อยให้...
...นิโคล่า..ทหาร..และชาวเมือง..ผจญชะตากรรมกันเอง..แถม..ถอนเอา..ปืนใหญ่..ที่มีประจำป้อมเมืองกึ้นส์ไปด้วย
โดยบอกว่า..เป็นคำสั่งจากเบื้องบนของออสเตรียมา...ให้รวบรวมปืนใหญ่..เอาไปป้องกันกรุงเวียนนา........
...........ทั้งนี้..พวกเสปน..ไม่ได้ทิ้งทหารไว้เพื่อช่วยเสริม..กำลังให้กับ..นิโคล่าเลย..แม้แต่คนเดียว..คือนอกจากจะ..
..โบกมือ..บ๊ายบาย..แบบขอไปที..ยังเอาของเขาไปซะด้วย....
............ก็ลองนึกสภาพจิตใจของ..นิโคล่า..ดูว่า..มันจะขมขื่นขนาดไหน....ผมว่าตัว..นิโคล่า..กับ..ทหารโครอัทของ
เขา..นะ..ทำใจได้..เพราะพวกเขา..เหมือนกับ..ข้าวนอกนา..ที่เขาฉีดยาฆ่าแมลง..แค่ตามเขตคันนา...ไอ้พวกที่ไป
งอกอยู่นอกคันนา...ก็ช่างหัวมัน...ให้มันผจญกับ..ฝูงแมลงหรือเพลี้ยที่จะแห่กันลงมากัดกิน..กันเอาเอง....
................ซึ่งมันก็ต้องยอมรับ..เพราะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา...แต่..นิโคล่า..ไม่ได้มีแค่..ทหารที่เขาต้องปกป้อง....
..เขายังมีชาวเมือง..ทั้งของกึ้นซ์เอง..และ..พวกที่อพยพมาสมทบ..กันจากเมืองอื่น..รวมกันอยู่ในกำแพงเมืองด้วย..
....เขาก็ทราบอยู่แล้ว..ว่าทัพที่เขาจะเผจิญคือ..ใคร..และ..มันใหญ่และ..มากขนาดไหน.....
..............ความอยู่รอด..ของทุกคน..ตกอยู่บนบ่า..ของเขาแต่เพียงผู้เดียว...ทางเลือกก็มี..แบบง่ายๆ...ก็ในเมื่อ..
ออสเตรียลูกพี่ใหญ่..ของเขา..ทอดทิ้งทั้งทหารและ..ชาวเมืองอย่างไม่แยแส..ว่ามึงจะเป็นหรือตาย..
....ก็ยกเมือง..ให้แม่มซะเลย...ยกธงขาว..ยอมแพ้.....ชาวเมืองนะ..จะได้รอด....แต่..
............เขา..กับ..ลูกน้องระดับรอง....นั้น..ตายแน่นอนอยู่แล้ว...ก่อนก็จะต้องโดนทรมานเพื่อ..ให้ข้อมูล
ทางทหารก่อน...ส่วนระดับพลทหารที่ไม่แข็งแรง..ก็โดนฆ่าทิ้ง..เช่นกัน...ส่วนที่แข็งแรง..จะถูกจับเอาไป
ใช้แรงงาน..กุลี..แบกหาม..ระหว่างในช่วงทำการรบ..แล้ว..ขายเป็นทาส..ต่อไป..หลังจากรบเสร็จ...
...ส่วนระดับ..ผู้บัญชาการอย่างนิโคล่า..และ..ระดับรอง..นั้น..นอกจากจะถูก..ทรมานก่อนตายแล้ว...
..ก็จะได้รับเกียรติ..เอาไว้ที่สูงคือ..ตัดคอ..แล้วเสียบบน..ปลายหอก..โดยทหารเตอร์ก..จะขี่ม้าชูหอกขึ้น
ให้เห็นทั่วไปกัน..ขี่รอบเมือง...ก่อนจะเอาหอก..ที่มีหัวเสียบอยู่...ไปตั้งไว้หน้ากำแพงเมือง...
................เพราะ.นี่.เป็นธรรมเนียมปกติของเตอร์ก....เวลายึดเมือง..หรือป้อมต่างๆ.........
..................................................
.....................
...เราอยู่ประมาณทางทิศตะวันออก..มองผ่านป้อม..ไปทางทิศตะวันตก..จะเห็นแนวสันเขาอยู่ไกลๆ..
..และ..พื้นที่จากตัวป้อม..ก็อยู่ติดเชิงเขา...(พ้นแนวสันเขาคือ..ออสเตรียในปัจจุบัน.)..รูปนี้สำคัญ
นะครับ..เพราะมันบอกลักษณะภูมิประเทศ..ที่มีส่วนในการเข้าตีของเตอร์ก..ที่..ผมจะอธิบายในตอนต่อๆไป
........
.......จะเห็นตำแหน่งเมือง KOSEG หรือ..เมืองกึ้นซ์..อยู่ทางขวาบน..ของภาพ..สังเกตในรูป..เมืองจะอยู่เชิงเขา
...(..เขาอยู่ทางทิศตะวันตก..)
...................................................
.............ถ้าจำได้..ผมเคยเล่าเรื่องของแดร็กคูล่า..ตัวจริง..ของรูมาเนีย..คือ..เจ้าชายวลาด..ที่มีฉายาว่า
จอมเสียบ..( The Impaler ถ้าแปลตรงตัว..จะงงนะครับ..อันนี้มันคือคำเปรียบเทียบครับ..”ผู้ทำให้ซีด”.
(ซีด..นี่ไม่ใช่เพราะทำให้คนกลัวตกใจจนตัวซีดนะครับ....ซีด..นี่เพราะ..เลือดหมดตัว..)...ก็เพราะ..กรรมวิธี
...ที่มีจุดเริ่มต้น..มาจากไอ้พวกเตอร์ก..นี่แหละครับ..ต้นตำหรับ...ตัดหัวเสียบ..หอกมั่ง..ไม้แหลมมั่ง...
..ไปยึดที่ไหน..ก็ทำแบบนี้มาตลอดตั้งแต่สมัย..เมเหม็ดที่ ๒ ที่เริ่มรุกเข้าไปทางตอนใต้..รูมาเนียแล้ว...
...คือปกติ..แล้ว..ไม่ใช่ว่าฝรั่งจะไม่ทำ..แต่ฝรั่งมันจะทำ..ก็ต่อเมื่อล้างแค้น..ครับ..ไม่ได้ทำพร่ำเพรื่อแบบเตอร์ก
.....เจ้าชายวลาด..นั้น..เห็นคนรูมาเนีย..โดนตัดหัวเสียบ..ประจานมาตั้งแต่เด็ก..จนโต...ก็คลั่งแค้น..ไอ้
พวกเตอร์กมาก...ดังนั้น..เมื่อครั้งใดที่รบ..ชนะเตอร์ก..แกก็เลยเอามั่ง..แต่ดัดแปลงคือ..แทนที่จะตัดคอ..
..แกแค้นมาก..มันตายง่ายไป...ก็เอาไม้แหลมเสียบแทน..(จากตูด..ออก..ปาก..ออก..คอมั่ง..ไหปลาร้ามั่ง
..เพราะไม่ได้มาบรรจงเสียบ..มันออกไปไหนก็ช่าง..)..ไอ้ตายนะ..มันตายตั้งแต่เสียบ..แน่นอนอยู่แล้ว..
...แต่พอเอาตั้งทิ้งไว้ยาวเลยนั้น..เลือด..ครับ..มันจะค่อยๆไหลออกมาจากปากทางที่ไม้แหลมเข้า(คือ..ตูด)
.....ทิ้งไว้คืน..สองคืน..เลือดมันจะไหลออกมา..จนเหลืออยู่เล็กน้อย...ศพมันก็จะซีดไปเอง....
....จากฉายาว่า..ผู้ทำให้(ศพ)ซีด..ของเจ้าชายวลาดนี่เอง..ถึงจุดประกายให้ผู้แต่ง..บราห์ม สโตเกอร์...เอา
มาผูกกับเรื่องเล่า..แถบนั้นเกี่ยวกับ..แวมไพร์..(ไอ้ตัวดูดเลือด)..เพราะมันก็..ดูดเลือดเหมือนกัน..ศพที่..
แวมไพร์..ฆ่า..มันก็จะซีดขาว..ไม่มีเลือด..ก็..เหมือนกับศพ..ที่เจ้าชายวลาด..เอาไม้เสียบ..มันก็จะซีดขาวเช่นกัน
....มันก็เลย..เหมาะเหม็ง...เป็น..THE IMPALER เหมือนกัน...ก็เลยอุปโลก..ให้เจ้าชายวลาดกลายเป็นแวมไพร์
ซะเลย...มันจะได้ดูดี..มีศักดิ์ศรี..กว่า..เรื่องเล่าพื้นบ้าน..(URBAN LEGEND)..ที่มันเป็นตัวกระจอกธรรมดา..
หลบๆซ่อนๆ...นี่แหละครับ..ที่มาละ....
.....แต่เจ้าชายวลาดนี่..แกคลั่งแค้นและเกลียดมาก...คือ..แก..ไม่ได้เลือกเสียบ..เฉพาะ..ระดับ..สูง..กลาง....
.....แต่แกให้..ทหารเสียบมันทั้งหมดเลย...เรียกว่า..ยังกะทำสวนผลไม้เลย....ศพถูกปักตั้ง..เต็มทุ่ง..เป็นพันๆ..
..ลองจินตนาการ..ดู..ว่า..จะสวยงามขนาดไหน.................
...............................
..............ครับ..นั่นแหละ..ทางเลือกของ..นิโคล่า..และ..ลูกน้อง......ถ้าไม่หนีไปก่อน..ที่กองทัพอิบราฮิมจะมาถึง..
....แต่อย่างว่า..ครับ..นิโคล่า..และ..ลูกน้องเขา..ก็คงถูกอบรมจากเขา..มานาน...ก็จึงไม่มีใครหนี..ด้วย..
...ศักดิ์ศรี..ของทหารโครอัท...แล้วถ้าหนีจริงๆ...กลับทางตอนใต้..ของโครเอเทีย...ไอ้พวกออสเตรียก็ไม่มีปัญญา
ทำอะไรได้ด้วย..ไม่มีปัญญาตามจับ..เพราะไม่กล้าโผล่หน้าไปทางใต้ของ..โครเอเทีย..ที่ติดเขตของเวนิส..และ
ชายแดนเตอร์ก........พวกเขาก็รู้นะครับ..ว่าหนีได้..และ..รอดแน่ๆด้วย..................
................แต่พวกเขาไม่ทำ..แค่นี้...มันก็..ยอดคน..แล้ว..สำหรับผม.................อยู่นี่..
ตายแน่ๆ..แต่จะตายแบบไหน...เท่านั้นเอง....(เพราะ..ตอนนั้น..นิโคล่ากับลูกน้อง..ก็ไม่มีใครคิด..
..จะว่าอย่างงั้นก็ไม่เชิง..แต่..ความหวังมันแค่..เป็นจุดทศนิยม..ของเปอร์เซนต์เท่านั้นเองเมื่อ..ประเมิน
จากขนาดของกองทัพที่มาแล้ว.....)..............
......เมื่อเหตุการณ์คับขันในเมืองแบบนี้..ก็แน่นอนครับ..นิโคล่า..ก็ต้องเรียกทุกคน..ทั้งทหาร..และ..พลเรือน
..เข้าประชุม..ทำความเข้าใจ..และ..ตัดสินใจกัน....
...........มันก็..ต้องมี..คนที่เลือกหนี..และ..เลือกอยู่..เป็นธรรมชาติมนุษย์..ที่ต้องรักตัวเองเช่นกัน...แต่ท่าน
แปลกใจมั้ยว่า..ทำไมชาวบ้านจึงมีคนเลือกอยู่..เป็นจำนวนไม่น้อย..คำว่าชาวบ้าน..นี่ไม่ได้จำกัด..เฉพาะ
..ชาวบ้านที่เป็นพลเมืองที่นี่อย่างเดียว...ยังมีพวกชาวบ้านที่หนีตายจากเมืองอื่นที่เข้ามาสมทบ..ที่เมืองนี้รวมด้วย
...............................................
.................................................
.........สำหรับเหตุผล..และ..รูปแบบที่เตอร์ก..กระทำแบบนั้น..มันก็มีเหตุ..มีผล..ของพวกเขาเองเพราะ..
....๑.การจับเชลยนั้น..จับไปเฉยๆ..ไม่มีประโยชน์เพราะ..เป็นภาระ..และ..เปลืองอาหารสำหรับทหารเตอร์ก..
...ดังนั้น..ถ้าจะจับต้องมีประโยชน์..คือ..เอาไปใช้แรงงาน..ระหว่างรบ..เมื่อเอาไปใช้แรงงาน..ก็ต้องเลือกเฉพาะ
คนที่แข็งแรง..เท่านั้น..ดังนั้น..นอกจากพวกระดับพลทหารแล้ว..ชาวบ้านที่ยังหนุ่มแน่น..จึงเข้าข่ายด้วย...
.....๒.การฆ่า..นายทหาร..ระดับบัญชาการตั้งแต่..หน่วยใหญ่..จนถึง..หน่วยย่อยนั้น..พวกนี้..เพราะไม่ต้องการ
ให้มา..รวบรวมพรรคพวกกันใหม่..ภายหลังได้..การที่จะกล่อมเกลาให้มาเป็นพวกก็เป็นไปไม่ได้..เพราะคนละ..
ศาสนา..เผ่าพันธุ์..ดังนั้น..เป็นไปไม่ได้ที่จะจงรักภักดี...
....๓.การทรมานเพื่อหาข้อมูลก่อน..ฆ่า..หลายคนอาจจะงง..ว่าก็เมื่อรู้..ว่ายังไงก็ไม่รอด..แล้วจะบอกข้อมูลไปทำไม
...นั่นก็เพราะ..พวกนี้..ต้องการหนีความเจ็บปวด..อย่างถอดเล็บทีละนิ้ว...มันทรมานสาหัส..ถอดซัก ๒ เล็บ..ก็บอกแล้ว
..เพราะจะได้..ตายได้ไวขึ้นไม่เจ็บปวด..ไม่งั้น..มันก็ถอดไปเรื่อยๆ..คุณก็ทนไม่ไหวอยู่ดี..
...๔. การข่มขืนก่อนแล้วฆ่า..ระดับนายทหารนั้น..ก็จะไม่ห้ามลูกน้องเพราะ..เป็นการผ่อนคลายความเครียด..
..สร้างความคึกคัก...และที่ต้องฆ่าด้วยเพราะ..พวกผู้หญิงที่ถูกข่มขืนย่อมมีความแค้น..เก็บไว้..ก็จะมาแว้งกัดในภายหลัง
...๕. การตัดคอ..เสียบประจาน..นั้นเป็นไปตามหลักการปกครอง..ของเตอร์ก..เพราะ..ต้องปกครองด้วยความกลัว..
..สำหรับพวกคริสเตียนผู้ใหญ่นั้น..มันก็ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนากันอยู่แล้ว..เตอร์กไม่ต้องการความภักดี..จากคนเหล่านี้
..เพราะไม่เชื่อใจ..ว่าจะหลอกพวกมันรึเปล่า..ต้องการให้กลัว..และ..ไม่กล้าหือ..แค่นั้นก็พอ...
....๖.การขายเชลย..หลังจากการศึกแล้ว..อันนี้..แน่นอนครับ..ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ทำไม..เพราะเปลืองที่คุมขัง..
..และ..เปลืองอาหาร..นอกจากนี้..ก็ต้องเปลืองทหารและเจ้าหน้าที่..ที่ต้องคอยมาควบคุมและเฝ้า...สู้เปลี่ยน
...เป็นเงิน..ดีกว่า..เพราะนอกจากจะได้เงินแล้ว..ก็จะได้กำจัด..ไอ้พวกเชลยนี้ทิ้งให้หมด..ที่เหลือขายไม่ได้..
..พวกเตอร์ก..ก็จะ..ฆ่าทิ้งไม่เก็บไว้....
...................................
..............................................
......ทำไม..ชาวบ้านบางส่วน..จึงเลือกอยู่..ถึงแม้..เหล่าทหารประกาศว่า..จะอยู่ปกป้องเมือง...เพราะนั่นหมายความว่า..
..พวกเขา..ก็มีสิทธิ..ที่จะตายจากลูกหลง..เพิ่มขึ้น..และเมื่อมีการต่อสู้..ก็มีโอกาศสร้างความเคียดแค้นให้พวกเตอร์ก
มากขึ้น..โอกาศถูกจับฆ่า..พร้อมกับ..พวกทหารก็ย่อมมีมากขึ้นด้วย....ก็เพราะ...
...๑. สำหรับ..พวกที่มาสมทบจากที่อื่นนั้น...หลายคน..เดินทางมาไกล..และ..เหน็ดเหนื่อย..เหนื่อยยากเต็มแก่..
..ยิ่งคนแก่..คนป่วย..หรือ..พวกทารก...พวกนี้ไปต่อไม่ไหวแล้ว..ก็คือ..ถ้าเดินทางต่อไป..โอกาศตายก็สูงเช่นกัน..
ดังนั้น..คนที่พามาที่ยังมีเรี่ยวแรง..เช่น..ลูก..หรือ..หลาน..แม่เด็ก..ที่มากันเป็นครอบครัว..ถึงแม้จริงๆอยากไป..ก็
ไปไม่ได้..เพราะทิ้งกันไม่ได้......ซึ่ง..แม้แต่ชาวเมืองกึ๊นซ์เอง..ที่อยู่ในสภาวะแบบที่ว่า..ครอบครัวก็ทิ้งกันไม่ได้...
..ก็ต้องอยู่กันต่อ......
......๒. ไม่รู้จะหนีไปไหน....และ..กลัวจะถูกจับได้ระหว่างทาง..ก็ต้องโดนฆ่า..หรือ..ข่มขืนแล้วฆ่า(สำหรับทั้งสาว
และไม่สาว..)....สู้ตายด้วยลูกปืน..ในการรบดีกว่า....
......๓. รักบ้านเกิด..ไม่ยอมทิ้งไปไหน..โดยเฉพาะคนแก่...เมื่อผู้อวุโสของครอบครัวไม่ไป...ก็คล้ายข้อ ๑..ลูก
หลานก็ต้องอยู่ปกป้อง..ตามหน้าที่.....
............ครับ...ด้วยเหตุแบบนี้..และ..ทำนองนี้..หรือ..อย่างอื่นก็ตาม...ก็จึงทำให้..มีชาวบ้าน..อยู่ในป้อม..โดย
ไม่ได้ไปไหน..เมื่ออยู่ก็ต้องสู้ปกป้องครอบครัว..หนุ่มสาว..คนที่มีแรง..ก็ต้องมาทำหน้าที่..แบบทหาร..หรืออย่าง
พวกที่แข็งแรงน้อยหน่อย..ไม่มีทักษะ..ก็ต้องเป็นฝ่ายสนับสนุน..เช่น..ซ่อม..ขนของ..หัดบรรจุกระสุน...เป็นต้น..
....อย่างไรก็ตาม..เมื่อมีชาวบ้านอยู่ค่อนข้างเยอะ...นิโคล่า..ก็ต้องยินดีที่มีกำลังสนับสนุนเพิ่ม..แต่ขณะเดียวกัน
...ภาระก็เพิ่มด้วย..เพราะนั่นหมายถึง..ชีวิตชาวบ้านหลายร้อย..ที่เขาต้องรับผิดชอบ....
...........แต่ถึงอย่างนั้น..นิโคล่าก็ยังให้ความหวังกับชาวเมือง..แม้จะริบหรี่..ว่าเขาจะส่งลูกน้องไปขอกำลัง
มาเสริม..จากกรุงเวียนนา..(..ขอจากพวกทหารเสปน..เป็นไปไม่ได้..เพราะไม่งั้นมันก็คงทิ้งทหารไว้ช่วย..บางส่วน
ตั้งแต่แรกแล้ว.....แต่ที่แน่ๆ..ตอนนี้..ต้องเตรียมตัวก่อน.......
.............เขาแม้ไม่ได้อยู่..ตอนที่สุไลมานล้อมกรุงเวียนนา..ครั้งแรก..และ..พ่ายแพ้กลับไป...แต่เขาก็ได้ศึกษาวิธี
การ..การเข้าตีของเตอร์ก..และ..วิธีรับมือของพวกออสเตรียมา..อย่างดี...ตอนนี้..เขาต้องเร่งเตรียมพร้อมเต็มที่..
...เพื่อให้ทันรับมือ...เมื่อกองทัพเตอร์กมาถึง...
.........................................
.........................................
...........ผมบังเอิญ..ลืมบอกเรื่องสำคัญอย่างนึงไป..ผมมาอ่านอีกที..นึกขึ้นได้..เรื่องที่กองทหารของชาร์ลสที่ ๕
เอาปืนใหญ่กว่า..๑๐ กระบอกที่ป้อมไปนั้น...หลายท่านคงนึกว่า..แม่มโคตรโหดเลย..ไม่ทิ้งทหารไว้ให้ช่วย..ยัง
เอาของสำคัญเขาไปอีก...มันมาจากการประเมินของออสเตรีย..ซึ่งก็สมเหตุสมผล..สำหรับออสเตรีย..ก็คือ...
ยังไง..ที่นี่ก็ยันไม่อยู่ๆแล้ว..ดังนั้น..ปืนใหญ่..ลูกกระสุน..และ..ดินปืน..ที่ทิ้งไว้..มันจะเป็นประโยชน์..กับ..ข้าศึก..
...ซึ่งตามจริง..ก็เป็นอย่างนั้น..เพราะ..ไม่ว่า..ปืนยาว..ลูกกระสุน..ปืนใหญ่..ลูกกระสุนดินปืน..ไม่ว่าที่ไหน...
ใครรบกับใคร...เขาก็ต้องยึดเอาไว้เป็นสำรอง..และเป็นการป้องกันการกลับมาต่อต้านอีก...เช่นเดียวกับ..
สงครามยุคหลัง..ใช้วิธีระเบิดทิ้ง..ทั้งหมดก่อนแพ้..หรือ..ก่อน..หนี........
....ครับใช่...ในมุมมองของผู้เป็นนาย..แต่มุมมองของชาวเมืองกึ้นซ์..ทหาร..หรือ..แม้แต่..นิโคล่าเอง..มันก็ยาก
ที่จะยอมรับ..เพราะมันโหดร้ายเกินไป...แม้แต่เรื่อง..ที่จะส่งลูกน้องไป..ขอหน่วยเสิรมมาช่วย..เขาเองก็ไม่ได้หวัง
แต่..มันก็ยังช่วยสร้างกำลังใจให้ชาวบ้าน......
..............ในใจของ..นิโคล่าถึงแม้จะยอมรับความตายที่จะมาเยือน..แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ..เขาไม่ยอมแน่..
.........................
.........เขาก็เตรียมการ..ตัดต้นไม้..ซึ่งด้านหลังก็มีป่าอยู่..เพื่อเอา..มาทำ..”หอกยาวพิเศษ”..แบบเดียวกับที่...
พวกทหารที่เวียนนา..เคยใช้ได้ผลมาแล้ว....อีกอย่างคือ..”ไม้ยัน”...ไม้ยันที่ว่า..นี่..ต้องใช้เพราะ..กำแพงเมือง
ของกึ๊นซ์..นั้น..ท่านจะเห็นได้จากรูปที่ผมเอามาลงให้ดูตอนก่อนๆ..มันก็สูง..แต่สูงไม่มาก..ซึ่งบันไดพาด..แบบยาว
..สามารถ..พาดได้ถึง..บนสันกำแพง..เรียกว่า..ปีนข้ามมาได้..ดังนั้น..เมื่อเตอร์ก..เอาบันไดมาพาด..พวกรับผิดชอบ
ที่ถูกมอบหมาย..ก็จะใช้”ไม้ยัน”...ยันปลายบันได..ให้มันหงายล้ม..กลับไปด้านนอกกำแพงได้เลย..ซึ่งไม้ยันนี่ก็
ต้องยาว..พอสมควร..และ..แข็งแรง..เพราะอาจจะต้องใช้..คนมากกว่า ๒ คนช่วย..ถ้ามี..พวกเตอร์กที่ไต่บันได..
และคาบันไดอยู่หลายคน..ซึ่งผู้รับผิดชอบด้านนี้..ก็สามารถใช้ชาวบ้านได้..เพราะไม่ต้องรบกับใคร..ยัน..ลูกเดียว
...ทหารจะได้..ไปทำหน้าที่รบได้..เต็มที่...
.......ที่เหลือ..ที่ต้องไปขนมาจากป่าด้านนอก..ใส่เกวียนมาก็คือ..ของสำคัญ..ก้อนหินขนาดใหญ่...ขนาด ๑ คนอุ้ม
ไหว..เพื่อ..เอาไว้ทุ่มใส่กบาล...พวกเตอร์กที่อยู่ด้านล่าง........
....อีกอย่างเช่นกันที่สำคัญคือ...ท่อนซุง..จำนวนมาก...เอาไว้ซ่อม..จุดต่างๆที่จะเสียหาย..จากลูกปืนใหญ่ที่ยิงลงมา
....นอกจากนี้..ก็ยังสามารถทำเป็นเพิง..สำหรับ..ป้องกันลูกปืนใหญ่ได้..เพราะ..ซุงไม้เนื้อแข็งไม่ปลอกเปลือก..อย่าง
เฟอร์..ซีดาร์..โอ๊ค..เมเปิล..วอลนัท..นี่..เส้นผ่าศูนย์กลางซัก ๑ ฟุต..นี่แข็งแรงมาก..ยิ่งถ้าไม่ปอกเปลือกมัน..เพราะ
ส่วนที่เป็นเปลือกมันจะเหนียวมาก..ลูกกระสุนปืนใหญ่ขนาด ๖ pounder หรือ ๘ pounder นี่ทำอะไรไม่ได้..หรอก
ครับ...สมัยสงครามกลางเมืองในอเมริกา..ป้อมชั่วคราวทั้งหลาย..ก็เล่นเอาซุงขนาดนี้ละครับปักดินทำกำแพงเมือง
...ปืนใหญ่ยิงใส่..มันยังไม่สะดุ้งสะเทือน...แค่ผิวยู่หรือ..ฉีกไปบ้าง.....
......ไอ้ที่เจ๋งคือ..ไม้สดนั้น..ไม่ติดไฟง่ายๆ...ดังนั้น..ถึงโดน..ธนูเพลิง...มันก็ยากที่จะติดไฟลุกโชน..ถ้าจะดับ..ก็ทำได้
ง่ายด้วย...สามารถเอากัน..ส่วนที่จะติดไฟง่ายบางแห่งได้อย่างดี..
.......นอกจากนี้..ก็ยังเอาไว้..ค้ำยันจุดต่างๆ..ที่จะล้ม..หรือ..แตกได้...ที่สำคัญมากคือ..ส่วนที่เป็นประตูเมือง..
..ที่จะเป็น..จุดแรก..ในแนวกำแพงที่จะโดนเล่นงานก่อนเพื่อน...เรียกว่านอกจากยันแล้ว..ยังสามารถสร้างประตู
ซ้อนประตูเดิม..เสริมความแข็งแรงจากการกระแทกได้อีก....(จะเห็นได้ว่า..นิโคล่าเตรียมตัวได้ดีมากจริงๆ...
เพราะ..เตอร์กบุกเป็นเดือน..ไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงเมืองมาได้..โดยเฉพาะ..ที่ประตู...)
.............ที่ต้องทำเพิ่มก็อย่าง..ถังไม้..สำหรับใส่น้ำไว้คอยดับไฟ.......ธนู..ทั้งคัน..และ..ลูกธนู......รวมถึง...ส่วน
ที่จะใช้ป้องกัน..ของแต่ละคน..จากห่าลูกธนู..ที่ยิ่งใส่ทั้งบนกำแพงเมือง..และ..ที่อยู่ในเมืองด้วย...คือ..โล่ห์ไม้..
เนื้อแข็ง...เป็นต้น.......
...............................
...............................
..................สำหรับ..รูปทางอากาศที่ถ่ายลง..ที่ตัวปราสาทและ..กำแพงโดยรอบนั้น...แน่นอนครับ..ที่หลังจาก
สงครามครั้งนี้..ได้ทำการซ่อมแซม..มีมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างด้วย..เวลาผ่านมาเกือบ ๕๐๐ ปี..อย่าเอาของ
ในรูปไปจินตนาการ..ว่าตอนนั้นเป็นแบบ..นี้..แค่โครงร่างเท่านั้น..ยิ่งตัวปราสาท..ก็คงเปลี่ยนไปพอควร....
.....มีแต่..กำแพงที่..ยังมีส่วนเป็นของเดิม...แต่องค์ประกอบสำคัญ..ที่หายไป..ก็คือ...คูน้ำล้อมรอบกำแพง....
....................โอ้ย..ถ้าเป็นแบบรูปถ่าย..เมื่อ ๒ ตอนที่ผ่านมา..ที่เห็นด้านข้างกำแพง..เป็นที่ราบๆ..แบบในรูป
นะ..ผมว่าสักสาม..สี่..วันก็เรียบร้อยไปแล้ว..เผลอๆน้อยกว่านั้นด้วย...เรียกว่า..ศัตรู..ดาหน้าเข้ามา..ได้
อย่างไม่มีอุปสรรค..แล้วก็ประเคน..สรรพาวุธเข้าไปถล่มคุณได้อย่างง่ายๆ......
............เรียกว่า..ระบบคูน้ำ..ล้อมกำแพงนี่..ใช้กันทั่วโลกอยู่แล้ว..แม้แต่ในเมืองไทย...ยกตัวอย่าง..ก็เช่น..
พระนคร..ของเรานี่แหละ...เป็นระบบ..คูเมือง ๓ ชั้น กำแพง ๓ ชั้น......
.....สำหรับ..บางท่านที่ไม่เคยทราบ..ก็เรียนรู้ไว้หน่อยครับ..เป็นความรู้รอบตัวเรื่องของ..คนไทย......
...........คูเมืองชั้นนอก..พร้อมกับ..กำแพง..นั้น..ก็คือ..คลองผดุงกรุงเกษม..ขุดเป็นแนวโค้ง..จากจุดเริ่ม..ที่
ปากคลอง(..บริเวณ..เทเวสม์)..ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งซ้าย....วิ่งไปแถว..หัวลำโพง..แล้วก็ไปทะลุออก
เจ้าพระยา....กำแพงเมืองและป้อม..ไม่เหลือ..แล้ว......
....คูเมืองชั้นนอกนี้..ตัดถนนราชดำเนิน..โดยมี..สะพานมัฆวานรังสรรค์..ข้าม....
......คูเมืองชั้นกลาง..และ..กำแพง...คือ...คลองโอ่งอ่าง..หรือ..คลองบางลำภู..ขุด..เป็นแนวล้อไปกับ...
คลองผดุงกรุงเกษม...โดยจุดเริ่มที่บริเวณที่เราเรียกว่า..บางลำภู..ป้อมพระอาทิตย์(..ป้อมนี่ก็คือ..จุดเริ่ม
ของ..กำแพงเมืองชั้นกลาง..)...ที่ถนนพระอาทิตย์..นั่นแหละครับ...กำแพงเมืองก็จะต่อจากป้อมออกไป
(ไปได้แค่ริมถนนพระอาทิตย์).....โชคดี..ที่ยังมีกำแพงเมืองบางส่วน..เหลืออยู่ที่..ริมคลองบริเวณหน้า..
วัดบวรนิเวศ....นิดหน่อยให้ดู...คลองวิ่งมาเรื่อยๆ..พร้อมกำแพงที่ล้อกันมา.(กำแพงช่วงนี้ไม่มีแล้ว)..จน
มาถึง..ป้อมมหากาฬ..ที่ยังเหลืออยู่ให้ดูกัน..ที่ใกล้สะพานผ่านฟ้า(ข้ามคลองบางลำภู)...แล้วก็วิ่งต่อไป
..สะพานเหล็ก..พาหุรัด..จนไปทะลุแม่น้ำเจ้าพระยา....
.....คูเมืองชั้นกลาง..ตัดกับถนนราชดำเนิน..โดยมี..สะพานผ่าฟ้าลีลาศ..ข้าม..
.......คูเมืองชั้นใน..พร้อมกำแพง....ก็คือ..คลองหลอด..เริ่มที่..บริเวณใต้..ตีนสะพานพระปิ่นเกล้า..แล้ว
วิ่งล้อแนว..คูเมืองชั้นกลาง(คลองบางลำภู)..อ้อมด้านนอก..ของสนามหลวง..กระทรวงกลาโหม..แล้วก็
ไปทะลุแม่น้ำเจ้าพระยาอีกที..ที่..ปากคลองตลาด..ซึ่งส่วนนี้..กำแพงเมืองเดิม..หายไปหมดแล้ว.....
......คูเมืองชั้นใน..ตัดถนนราชดำเนิน..โดยมี..สะพานผ่านภิภพลีลา..ข้าม..
(..สะพานผ่านภิภพฯ..เดี๋ยวนี้มองแทบไม่เห็นแล้ว..สมัยกว่าสี่สิบปีก่อน..ยังเป็นสะพานอยู่ครับ..ก่อนที่จะมี..
สะพานปิ่นเกล้าข้ามเจ้าพระยา..ก็จะคล้ายๆ..สะพานผ่านฟ้า..มีราวสะพานสวยงาม..ผมเสียดายมาก..
ตอนเป็นเด็กจนถึงวัยรุ่นหนุ่มไปสนามหลวง..ก็เดินข้ามประจำ.....เดี๋ยวนี้..กลายเป็นท่อเหลี่ยม..แทน)
....................ก็เอาพอให้เป็นความรู้รอบตัวกันหน่อย..ครับ..สำหรับคนที่ไม่เคยทราบ..ซึ่งผมเชื่อว่ามีไม่น้อย..
....................................
..........นักโบราณคดีของฮังการี..ทำการขุดค้น..และ..สำรวจรอบปราสาท..ก็พบคูน้ำขนาดใหญ่..ปรากฎเป็น
แนวอยู่..และ..ยังมีบางส่วน..ที่ยังเห็นเป็นร่องให้เห็นด้วย....คือ..ไม่ว่าหลังจากนั้น..อีกกี่ ร้อยปีจนถึงปัจจุบัน.
...ก็ได้มีการถม..ปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่..ผมคาดว่า..น่าจะเริ่ม..ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ ไม่นานเพราะการรบ
มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว...ซึ่งเรื่องคูน้ำล้อมกำแพงนี่..มันก็เป็นองค์ประกอบสามัญ..ของ..ป้อม..หรือ..ปราสาท
อยู่แล้ว...ซึ่งใน..ฮังการี..นั้น..ป้อมบางแห่ง..ก็ไม่ได้มีการปรับปรุงส่วนนี้..ยังคงคูน้ำไว้หลายแห่ง.....
.............และแน่นอนครับ..ทางเข้าปราสาทก็ต้อง..เป็นสะพานชัก..คนที่ชอบพวกสงครามยุคอัศวิน
..หรือ..ยุคกลางก็คงคุ้น..สะพานชัก..นั้น..สามารถยกปลายสะพาน..ด้านนอก..ได้..โดยการชักรอก
ที่ติดตั้งไว้..ส่วนบนกำแพง..โดยที่ปลายสะพานด้านนอก..นั้นจะติดตั้ง..ห่วงไว้คล้อง..โซ่..ซึ่งจะติดตั้ง
ทั้งสองมุม..(โซ่ ๒ เส้น)....ส่วนปลายโซ่..ที่เหลือก็จะไป..ม้วนอยู่ที่รอก..หรือ..ตัวม้วนโซ่(กว้าน)..ที่จะติดตั้ง..
พวกมาลัยไว้..เพื่อ..ให้คนหมุน..เพื่อดึงโซ่เข้ามาอยู่ในตัวกว้าน..โซ่ก็จะรั้ง..ปลายสะพานยกขึ้นไป...
โดยปลายสะพานด้านใน..นั้น..จะทำจุดหมุน..ยึดติดกับพื้นไว้...สะพานก็จะยกใน..ลักษณะ..พับขึ้นไป..
(..ยกด้านเดียว..).....และ..ส่วนใหญ่ก็จะทำให้..มัน..พับขึ้นสุด..คือ..ยกขนสะพานอยู่ในแนวดิ่งได้เลย..
..หรือ..จน..ไปพิงกำแพงด้านบน..เพื่อช่วยป้องกัน..การเข้าทำลาย..ประตูปราสาท..ได้ด้วย....
..........................................
...ฝรั่งเรียกว่า DRAWBRIDGE..สะพานชัก..อย่างในรูปนี้..ไปทำราวสะพาน..เพิ่มเติมขึ้นภายหลัง..
ในสมัยใช้งาน..จะไม่มีราวครับ..ไม่งั้นมันยกปิด..ไม่ได้..ตัวกว้านจะอยู่ปลายโซ่..เข้าไปในกำแพง....
.
...........................................
....................คูเมืองไม่ว่า..ที่ไหน..ในโลก..ไม่ว่าประสาท..จะเล็ก..จะใหญ่..ก็ตาม..คูเมืองจะไม่แปรเปลี่ยน
ขนาดไปมากเท่าไหร่...เพราะเจตนาไม่ได้เอาไว้..เลี้ยงปลา..หรือ..เป็นแหล่งน้ำใช้..ทำไว้เพื่อ..กันข้าศึก.....
...ถ้าไปเห็นที่ไหนก็ตาม..กว้างสัก ๓-๔ เมตร..นั่นแสดงว่า..ปรับปรุงแล้ว....มันกว้างกว่านั้นเยอะครับ..
....มันมีหลักการ..ที่ผมเคยได้อ่านจากข้อมูล..หลายแหล่งก็คือ..
.....๑. ต้องกว้างมากกว่า..การกระโดด..ของม้าที่มีคนบังคับอยู่......
......๒. ต้องกว้างมากกว่า..บันไดที่ใช้ปีนกำแพง..วางพาดได้....
......๓. ต้องลึกมากกว่า..๒ เท่าความสูงของคน....(..เผื่อเวลาหน้าแล้ง..น้ำในคูเมืองลดระดับลง..และ..เผื่อ
การที่..ศัตรู..จะเอาก้อนหินมา..ถมเป็นทางเดิน..
....ถ้าคุณคุ้นกับ..คลองผดุงกรุงเกษม..นั้น..ของจริง..สมัยก่อนยุค..รัชกาลที่๕..นั้น..กว้างกว่าที่เห็นมาก..
..เพราะ..เป็นคลองดิน..และ..มีลาดด้านข้างคลองด้วย...ลองกะเคร่าๆก็ได้ครับ..ความกว้างที่เห็นนั้น...
คือ..ความกว้าง..ของ..ก้นคลอง...คลองลึกประมาณ ๔-๕ เมตร..ดังนั้น..ขอบตลิ่งสองข้างของคลอง..จะกว้าง
ขนาดไหน...
.............เนื่องจากคลองผดุงฯ..เป็นคูเมืองชั้นนอก..เป็นด่านแรก..ที่จะเจอศัตรู...จึงต้องเน้นความกว้างใหญ่
เป็นพิเศษ....พอลงมาถึง..คูเมืองชั้นกลาง..อย่างคลองบางลำภู..ขนาดก็จะเล็กลงมา..แต่ใหญ่กว่า..ที่เห็นใน
ปัจจุบันเยอะ...ก็ดูขนาด..คลองหลอด..คูเมืองชั้นใน..หลังกระทรวงกลาโหมซิครับ..ยังกว้างกว่าเลย..ซึ่งจริงๆ
..คูเมืองชั้นกลาง..ต้องไม่เล็กกว่า..คูเมืองชั้นใน...(..ความกว้างของ..คลองหลอดหลังกระทรวงที่เห็นนั้น....
..ก็..คือ..กว้างเท่ากับ..ก้นคลองของจริง..เพราะเดิมก็เป็นคลองดิน..มีลาดข้างคลองเช่นกัน...).......
...........................
.........แต่สำหรับ..ที่เมืองกึ้นซ์..นั้น..เป็นระบบคูเมือง..ชั้นเดียว.....เรียกว่า..ถ้าศัตรูหาวิธีข้ามมาได้.......
....ก็ถึง..ตีนกำแพงเมืองได้เลย.....
.....สำหรับอาวุธของ..ทหารของนิโคล่า..ก็คงมี..ปืนยาวเป็นหลัก..และมีปืนสั้น..พร้อมกับ..ทวนยาว...
(..ตอนนี้..เรียกว่า..ไม่ต้องใช้แล้ว..เพราะ..ไม่ได้เคลื่อนที่..และ..ไม่ได้เป็นฝ่ายบุก...ต้องหันมาใช้
..”ทวนยาวพิเศษ”..ที่ทำขึ้นมาใหม่ แทน)...กับ..ดินปืน..และ..กระสุน..นอกนั้นก็..เป็นพวกธนู......
....อ่านรายการแล้วเศร้าแทน.....ขณะที่..ศัตรู..มีทั้ง..ปืนใหญ่..นานาขนาด..รวมถึง..ปืนครก( MORTAR )
(..มันก็เป็นที่มาของ..ปืน ค. (ปืนครกสมัยใหม่)...ซึ่งจะต่างกัน..ก็คือ..ไอ้ปืนครกโบราณ..นี่รูปร่างน่าเกลียด
มาก...”ใหญ่และสั้น”....ส่วนใหญ่..ก็จะใส่เป็นลูกปรายยักษ์..เพื่อจะโปรยลูกปืน..ให้ข้ามกำแพง..แล้ว
ไปตกลงในเมือง....
.........ดังนั้น..นอกจาก..อาวุธจะเทียบกันไม่ได้..จำนวนพลรบ..ยิ่งไปกันใหญ่.....แถมคราวนี้...ที่เมืองกึ๊นซ์
..ไม่มีฟ้าฝน..มาช่วยแบบ..คราวที่สุไลมานถล่ม..ออสเตรียด้วย...เรียกว่า...อิบราฮิม..เอาBIG GUN..
เข็นเข้ามา..จ่อที่กำแพง..หรือ..ประตูเมืองได้เลย.....แล้วทำไม..ไม่ใช้...ทำไมไม่เผด็จศึกให้มันรู้เรื่อง
ไปเลย..จะได้รีบ..ไปต่อที่กรุงเวียนนา..เพื่อสะสางความแค้นซะ.......นั่นแหละ..ปัญหาที่ไม่ว่า...
นักประวัติศาสตร์ของตุรกี..ฮังการี..ออสเตรีย..หรือ..โครอัทเอง...ไม่สามารถมีใคร..ฟันธงลงไปได้..
...มาเล่น..เอาเถิด..เจ้าล่อกัน..เกือบเดือน..ทั้งอิบราฮิม..และ..สุไลมาน..ต้องมาจมปลักอยู่ที่นี่....
.....จนเสียการใหญ่..ที่ตั้งใจมา..อุตส่าห์พยายามจะทำแผนล่อหลอก..แบ่งกองทัพ..เป็น ๒ กอง...
..แล้วก็กลายเป็น..หลอกตัวเอง....เพราะไม่มีใครเขาเชื่อ........
....................ทำไม...ทุกอย่างมันจึงผิดพลาดหมด..............
..................................
........กัปตัน นิโคล่า จูริสสิช.......(ยศขณะนั้น)..ผู้บัญชาการป้อมเมืองกึ๊นซ์...............
....................................
.............มันมีรายละเอียด..ของข้อมูล..จากหลากหลายแหล่ง..ที่ผมพิจารณาและ..ประเมิน..ความน่าสนใจ
..และ..ความเป็นไปได้..ในการนำมาประมวลเป็น..เรื่องตามที่เขียนนี่..ซึ่งบางส่วนผมก็จะไม่เขียน..บางส่วน..
ผมก็จะเขียน..ตามความสำคัญ..ของเรื่อง........
..............ยกตัวอย่าง..เช่น....เรื่องที่พอ..อิบราฮิม..มาถึง..ก็ยื่นข้อเสนอ..เรื่อง...จะให้เงิน..เพื่อแลกกับ..การให้
นิโคล่า..ออกจากพื้นที่ไป..(..เพราะทราบว่า..นิโคล่า..ถึงแม้จะรับราชการให้ออสเตรียอยู่..แต่..ทหารในบังคับ
บัญชา..นั้นเป็น..โครอัท..ก็ทำนองเป็น..ทหารรับจ้าง...เตอร์กเลย..รับอาสาจ่ายเงินแทนออสเตรีย...จ้างให้ออก
ไปซะ..ทำนองนี้)...ซึ่ง..ทางนิโคล่าก็ปฏิเสธ....
..............อันนี้..ผมก็ว่า..มันไม่สมเหตุสมผล...เพราะ..ที่ผ่านรายทางมา..อิบราฮิมก็..ถล่มยึดมาตามปกติ..แต่
พอมาถึงที่นี่..ซึ่งป้อมนี้..ก็เรียกว่า..ไม่ได้ใหญ่กว่า..ที่ผ่านมาเท่าไหร่..แล้วยังไม่ได้รบกันเลย..ถ้าจะถล่มก็ไม่น่า
จะยากเย็นอะไร..และไม่น่าจะนาน..รวมถึงก็ไม่น่าเปลืองทรัพยากร..เท่าไหร่...จะมาเสนอเงินทำไม....
..........และ..นิโคล่า..ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงเลอเลิศ..อะไรก่อนหน้านี้..จนทำให้เตอร์ก..รู้สึกหวั่นใจ..เลือกหนทางจ้าง
ให้ไปซะ..น่าจะดี.....อย่างนี้..ผมก็ถือว่า..ไม่สมเหตุผล...จึงไม่เลือกเอามา..เขียนเป็นรายละเอียด.....
.............นี่คือ..๑ ใน..ตัวอย่าง...มีเขียนมาเพื่อ..ให้ท่านผู้อ่านทราบว่า..การเขียนเรื่องประวัติศาสตร์
นั้นมันไม่ง่าย..และ..เราต้องรับผิดชอบ..ข้อมูลที่เขียน..ไม่ใช่สักแต่ว่าเจอข้อมูลอะไรก็ใส่ไปตะพึด..
...ซึ่งมันส่ง..ผลเสียกับ..คนอ่าน..ที่อ่านไปอ่านมา..งง..หรือ..จำข้อมูลผิดๆไป....
.................................
..............เอาเป็นว่า...เมื่อทัพของ..อิบราฮิมมาถึงนั้น...ทางเมืองกึ๊นซ์..ภายใต้การนำของ..นิโคล่า
ก็พร้อมรบแล้ว..(การเตรียมการ..ก็อย่างตอนก่อนๆที่กล่าวมา)...เป็นธรรมเนียมครับ..ก็คือ...ทาง
อิบราฮิม..ก็ส่งสารให้ผู้บังคับการของเมือง(..นิโคล่า..)ทราบ..และ..ในข้อความก็คือ..ให้ยอมแพ้...
วางอาวุธ..และ..ยกเมืองให้เป็นของเตอร์ก...ซึ่งธรรมเนียมนี้..ก็เป็นธรรมเนียมของผู้รุกราน..ในยุโรป
...ไม่ใช่เปิดฉาก..ก็..ถล่มๆ..ซึ่งแม้แต่ตอนสุไลมานยกทัพ..ไปล้อมกรุงเวียนนา..เมื่อ ๑๕๒๙ เขาก็ส่ง
หนังสือแบบนี้เช่นกัน....
..............ซึ่ง..ทางนิโคล่า...ก็ตอบปฏิเสธ..โดยสิ้นเชิงไป.....ตามข้อมูลนั้น..ก็เริ่มสะกิดต่อมของ...
อิบราฮิมแล้ว...เพราะ..หนังสือตอบ..นั้นลงนามของ..นิโคล่า...ซึ่งอิบราฮิมจำเขาได้ดี..ว่าเมื่อไม่นาน
ก็ได้เจอกันมาแล้ว..ที่..อิสตันบุล...เตอร์กเองนั้น..ในยุคของสุไลมาน..จะรอบคอบเรื่องการฑูต..เขาจะ
ศึกษาข้อมูล..ของ..ฝ่ายตรงข้ามเสมอ...ดังนั้น..ตั้งแต่แรกที่เจอกัน..เขาและสุไลมานก็พอรู้ปูมหลังของ
...นิโคล่ามาพอควร...ว่าจริงๆ..เป็นนักรบ..ไม่ใช่นักการฑูต..และมีฝีมือพอควร..จนก้าวหน้าในกองทัพ
ของออสเตรีย...เมื่อมาถึงจุดนี้..คือ..การเจอกันครั้งที่สอง.....
..........ผมว่า..มันเลยเป็นสาเหตุอย่างหนึ่ง..ที่การล้อมที่นี่..ของเขา..ไม่เหมือนที่แล้วๆมา...
..ก็ผู้อ่านลองคิดดู..ด้วยเซ็นส์ปกติ..คือ..มึงมีกำลังมากกว่า..ตั้งไม่รู้เท่าไหร่..(..ซึ่ง..ขนาดป้อม..ที่เขาเห็น
มันก็บอกได้ว่า..มันต้องมีกำลังไม่ถึงพันคนแน่...อย่างเก่งก็ซัก ๕๐๐ เอาเฉพาะที่เป็นทหารจริงๆ.....
...ซึ่ง..เขาก็ทราบว่า..พวกที่หนีภัยจากที่อื่น..ก็อพยพมาที่นี่ด้วย..รวมกับพวกชาวเมืองเดิม..บางส่วน)..
...ก็เอาปืนใหญ่..ปืนครก..ซัก ๒๐ กระบอก...ระดมยิงเข้าไปในเมืองให้อลหม่าน...พร้อมกันนี้...ก็...
....เอา..BIG GUN..เบิกทาง..ยิงซัก..สี่-ห้าตูม..ใส่กำแพง..หรือ..ใสที่ประตูเมือง..มันก็แหกไม่มีเหลือ
เอาทหารมาระดมยิงรบกวน..ทหารบนป้อม..ขณะเดียวกัน..ก็เอาทหารขนแพที่ทำจากซุงต่อเชื่อมเป็น
สะพาน..พอเป็นทาง..ให้ทหารเดินได้..(..หรือ..บางกรณี..ถ้าคูน้ำไม่กว้างมาก..เขาก็ตัดต้นไม้ทั้งต้น
ริดกิ่งก้านสาขาออก..แล้วมาพาพาดเรียงมัดติดกันเป็นแพ..แล้วก็ดัน..ผ่านคูเข้าไปถึง..ตลิ่งอีกด้านได้เลย)
..ใช้เวลาซัก ๒-๓ วัน..โดยถล่มปืนใหญ่และปืนเล็ก..ตลอดป้องกันการซ่อมแซมกำแพง..ขณะเดียวกัน
ก็คุ้มกัน..พวกทำทางด้วย....พอเสร็จก็บุกเข้าตรงที่แหก..ด้วยกำลังมหาศาล..มันก็คงไม่เหนือบ่ากว่าแรง
เท่าไหร่........ก็คงกวาดล้าง..ไม่เหลือหรอ....
..................แต่อิบราฮิม..ไม่ใช้วิธีนั้น...มันเหมือนเป็นความต้องการ..ของเขาว่า..เมื่อเจอคนมีฝีมือ....
..เขาก็คงอยากสู้กัน..ด้วยแผน..และ..ยุทธวิธี...ด้วยกำลัง..เพียงแค่ส่วนหนึ่ง....ก็เป็นไปได้......
.....หรือ..เพราะเขารู้ว่า..เมื่อนิโคล่า..ปฎิเสธแบบนี้..เขาเคยเห็น..นิโคล่ามาแล้ว..และ..เคยได้สนทนากัน
..ก็รู้ว่า..นิโคล่า..นั้นเป็น..คนจริง..เป็น..ทหารแท้..ถ้าถล่มแบบที่ทำที่เมืองอืนไม่นาน..ก็ยอมแพ้กันแล้ว..
..แต่ที่นี่..ถ้าถล่มก็คงต้องถล่มแบบวินาส..เพราะไอ้โครอัทคนนี้มันคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ..เมืองก็คงแหลกหมด
...ไอ้เสบียงกรัง..ที่ต้องการเพิ่มเติม..พอจะหาได้จากเมืองนี้..ก็คงไม่ได้อะไร........
............................................
............................................
.........แล้ว..การระดมยิงจาก..ปืนใหญ่..ของฝ่ายเตอร์ก..ก็เริ่มขึ้น..ตั้งแต่..ในที่ ๖ สิงหาคม..เป็นต้นมา....
..ก็อย่างน้อย..ปืนใหญ่ที่เข้าร่วมการ..ระดมยิง..คงไม่น้อยกว่า ๒๐ กระบอกได้..น่าจะเป็น..ปืนใหญ่..ขนาด
กลางอย่าง..๑๒ POUNDER เป็นหลัก..ก็อย่างที่ว่า..ครับ..ช่วงแรกๆนี้..เนื่องจาก..อิบราฮิม..ต้องการทำ
สงครามประสาท..กับ..นิโคล่า..และ..คนในป้อม.ขณะเดียวกัน..แน่นอนว่า...ปืนใหย่ที่ระดมยิงขนาดนี้..
มันก็ต้อง..สร้างความเสียหาย..น่าดู..รวมถึง..ชีวิต..ของผู้คนด้วย...ขณะเดียวกัน..ก็คงเตรียมอุปกรณ์...
เช่น..แพ..หรือ..สะพาน..เพื่อเตรียมข้ามคูไปในตัว..รวมถึง..พวกบันได..เพื่อเตรียมที่จะส่งทหารเข้าไปบุก..
........แต่..จากเริ่มถล่ม..และ..สังเกตุการณ์(..ใช้กล้องส่องทางไกล..แบบโจรสลัด..)...ทำให้ทราบว่า....
....ป้อมนี้...ไม่มีปืนใหญ่...เพราะนอกจาก..จะไม่มีการยิงโต้ตอบ...แถม..ตามบนเชิงเทิน..บนกำแพง
นั้น..ก็ไม่ปรากฏว่า..มี..ปืนใหญ่ตั้งอยู่....ซึ่งรายงานแบบนี้..เมื่อส่งไปถึง..อิบราฮิมนั้น..มันก็ต้องมีผล
กับแนวคิดเขาแน่....
.................................
.............กองทัพ..ของอิบราฮิม..ตั้งหันหน้า..เข้าไปหาปราสาท..ก็คือ..หันหน้าไปทางทิศตะวันตกนั่นเอง
....กองทหารของเขา..อยู่ที่ต่ำกว่า..(อย่างที่ผมอธิบายไปตอนก่อนๆ..ว่า..ปราสาท..ตั้งอยู่..บริเวณตีนเขา)
..เล็กน้อย..และ..โอบปีกล้อม..๒ ข้าง...คือ..ด้านเหนือ..และ..ใต้..และ..คงวางกำลังแค่บางส่วนไว้..บนเนิน
หลังปราสาท..ด้านทิศตะวันตก..เพื่อป้องกันการหลบหนี..เข้าใจว่า..ทิศทางนี้..เป็นกำลังส่วนย่อย..และ..
ไม่มี..ปืนใหญ่..แต่อย่างใด.....
...............ผมว่า..การที่พวกนิโคล่า..ไม่มีปืนใหญ่เลยแม้แต่กระบอกเดียว..นี่แหละที่มีส่วนส่งผล..ในการรบ
ครั้งนี้...ในการวางแผนการรบ...ผมว่าในที่ประชุม..คงมีแม่ทัพนายกองเตอร์ก..ที่หัวเราะ..ในการรบครั้งนี้..
..เพราะมัน..ขนมกรุบ..มากๆ...อย่างที่ว่า..แค่เอา..BIG GUN เข้าไปยิง..ที่ประตู..หรือ..กำแพง..มันก็เกือบ
จบ..แล้ว...กำลังพล..เฉพาะส่วนหน้า(..สุไลมานยังไม่ได้มาสมทบ)..ก็เหยียบแสนแล้ว...มันจะไปเหลืออะไร
.....แต่ผมว่า..มันเกี่ยวกับ..เครดิต..และ..ศักดิ์ศรีของกองทัพอันยิ่งใหญ่..เรียกว่า..ถ้าทำเช่นนั้น..มันก็ไม่ได้
ใช้ฝีมืออะไร..แถมรู้ไปถึงไหน..อายไปถึงนั่น..เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน...ไม่ต้องใช้ฝีมืออะไร..เอากำลังอาวุธ
และ..กำลังพลที่มากมายกว่า..เข้าถล่ม......
..............ผมก็เชื่อว่า..ต้องมีแม่ทัพนายกอง..ที่เสนอแผน..แบบที่ไม่ต้องไปลงทุนขนาดนั้น..ให้เสียหน้า...
..ใช้ทหารแค่บางส่วนก็พอ....ซึ่งก็คงเห็นชอบกันในที่ประชุม...
......อย่าลืมนะครับ..ว่า..BIG GUN..นั้น..ลูกกระสุนใหญ่มาก..และ..คงบรรทุกมาด้วย..ไม่ได้มากมาย...
...และ..เจตนาจริงๆนั้น..เพื่อเอาไปถล่ม..กำแพง..หรือ..ประตูเมือง..กรุงเวียนนา...ถ้าเอามาใช้ที่นี่....
....ก็จะต้องเสีย..ลูกปืนใหญ่ไปหลายลูก..ซึ่งถ้าไปถึงกรุงเวียนนาแล้ว..อาจไม่พอเพียงต่อความต้องการได้..
....การปฏิบัติการรบ..ครั้งนี้..จึงเหมือนการทบสอบ..ความสามารถของหน่วยรบ..ซะมากกว่า....
และ..หน่วยที่จะรับหน้าที่หลักในการรุกรบ..เข้าประชิดตัวปราสาท..ก็เป็น..หน่วยกล้าตาย..
ที่สร้างมาจาก..ฝรั่งกลายพันธุ์ที่เติร์กเลี้ยงไว้..เพื่อฝึกมาทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ....อาวุธหลัก..
ก็คือ..ปืนยาว..และ..ทวน..รองลงมาก็คือ..ดาบ..และ..ปืนสั้น......ซึ่ง..อิบราฮิม..ก็คงเห็นว่า..น่า
จะเพียงพอแล้ว...เพราะยังไง..หน่วยปืนใหญ่..ก็จะระดมยิง..สนับสนุน..ใส่ทั้งบนกำแพง..และ..
เข้าไปในเมือง..โดยตลอด....อยู่แล้ว...อีกทั้ง..ก็ยังมีหน่วยปืน..ที่ยิงสนับสนุน..รบกวน..ทหารบน
ป้อม...ระหว่าง..ที่หน่วยกล้าตาย..ปีนกำแพงเข้าไป..หรือ..รุกเข้าไปโดยตรงในกรณี..ที่ประตู..หรือ..
กำแพง..โดนทำลาย......
....................................
....................................
..............แต่ไม่ว่ายังไง..เข้าใจว่า..มันเริ่มมีปัญหากัน..ในการประชุมวางแผนตั้งแต่แรก....ในส่วน
ของ..อิบราฮิม..ที่ตอนนี้..ทำหน้าที่แม่ทัพใหญ่..ผู้มีอำนาจสั่งการสูงสุด..กับ..ผู้บัญชาการหน่วยรบ
กล้าตาย....ตามข้อมูล..หลายทางว่า..มันมีปัญหากัน..ระหว่างสองคน.....
....ไอ้แผนที่ตกลง..กัยว่าจะใช้หน่วยกล้าตายเป็นหน่วยโจมตีหลักนี่...ตัวผบ.หน่วย..อาจเสนอตัวขึ้น
มาเอง...เพื่อหวังสร้างผลงาน..ให้เข้าตา..สุไลมาน..และ..อิบราฮิมรึเปล่า...เมื่อทำไม่ได้อย่างปาก..ก็
เลยโดนตำหนิ...พอโดนตำหนิ..ก็อ้างโน่นอ้างนี่.....ทะเลาะมีปากเสียง....
.....หรือ..ตัวอิบราฮิมเอง..เป็นคนสั่ง...ให้หน่วยนี้..เป็นหน่วมโจมตีหลัก..ด้วยตนเอง..รึเปล่า..เพื่อ
ทดสอบสมรรถภาพ..ก่อนจะไปโจมตี..เวียนนา...แต่พอผลงานออกมาไม่ดี..ผบ.หน่วยก็โดน..อิบราฮิม
ตำหนิ....อยู่ฝ่ายเดียว..ผบ.หน่วยอาจอ้างสาเหตุอื่นประกอบ..ก็ไม่เป็นที่พอใจ..เลยทะเลาะกันต่อมา.....
..........สุไลมานเอง..นั้น..มาถึง..หลังจากโจมตีไปหลายวันแล้ว...ซึ่งก็ได้ทราบข้อมูลว่า..ผบ.ป้อมเมือง
กึ๊นส์..คือ..นิโคล่า...ที่เคยพูดคุยกันมาก่อน..และก็คงทึ่งในฝีมือ..ที่สามารถต้านการจู่โจมของพวกเตอร์กได้
....ผมว่า..งานนี้..สุไลมานคงทำหน้าที่..แค่ดู..ไม่ได้ไปก้าวก่ายอะไร..เพราะ..แผนการ..และ..ความรับผิดชอบ
อยู่ในมือ..ของอิบราฮิม..แล้ว....เขาเองก็คงแค่จะร่วมตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ..สำคัญ..เป็นคนสุดท้าย...
....หรือ..เรียกว่า..ให้คำตอบสุดท้าย..เป็นคำตัดสินเด็ดขาดนั่นแหละ....
..............................
.........ในการบุกของเตอร์กนั้น..ปรากฏว่า..เปอร์เซนต์ของการตาย..ของทหารและ..ชาวบ้านนั้น..หลักๆ
มาจาก..กระสุนปืนใหญ่..ที่ระดมยิงมาตลอด..เกือบเดือน...เมืองมันเล็กครับ..ไม่มีที่หลบ..ที่คุ้มกบาล..
ก็คงโดน..ทำลายแหลก..ไปเกือบหมด..เรียกว่า..เกือบทุกอณูเลย....แต่ก็ถือ..มีการเตรียมการป้องกันไว้
อย่างดีมากแล้ว..ตามที่ผมอธิบายไป...ไม่งั้นๆจะตายมากกว่านี้..หรือ..โดนยึดเมืองตั้งแต่ซัก ๑-๒ อาทิตย์
แรก.......
...............นิโคล่า..ระหว่างถูกโจมตีนั้น..ก็แอบส่งลูกน้อง..เล็ดรอด..ออกไปจากเมือง..เดินทางไปถึง...
กรุงเวียนนา..(..ผมเคยบอกไปแล้วครับ..ว่าทุกปราสาทในยุโรป..จะมีทางลับไว้..หลบหนี...ซึ่ง..อันนี้..
พอออกมาจากกำแพงปราสาทได้..ก็คง..ต้องว่ายน้ำในช่วงกลางคืน..อาศัย..ความมืดแฝงตัวไป...)
................................
....................ความจริงนั้น..ผมว่านิโคล่านั้น..ไม่คิดหรอกว่ามันจะได้ผล..อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว....
เพราะไม่งั้นก็คง..ต้องทิ้งทหารส่วนหนึ่งไว้ช่วย...โอเค..ทีแรกพอเป็นข้ออ้างได้..เพราะไอ้เดิมที่อยู่ใกล้
กันมันเป็นพวกเสปน..ตอนนี้ไปขอที่เวียนนา..ซึ่ง..เขาก็ได้รายงานไปก่อนหน้า..ที่จะถูกเข้าล้อม...
..ถึง..สภาพ..และ..ความพร้อมของ..เมืองกึ๊นซ์..กับ..ปริมาณกำลังพลที่เตอร์กเดินทางมาเพื่อเข้าล้อม..
....แต่ก็เงียบ...จนเมื่อถูกถล่มแล้ว..เขาก็ส่งรายงานไป..และ..ขอให้ทางเวียนนามาช่วย...
.....ถึงเขารู้ว่า..ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้..แต่ต้องทำเพราะ...
.....๑. เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ..ให้ชาวเมือง..และ..ลูกน้องว่า..ยังมีความหวังนะ..สู้ต่อไป..ก่อน
..อย่าพึ่งท้อ...อาจได้รับความช่วยเหลือ....
......๒. ให้ทุกคนในเมืองเชื่อมั่น..ในหลักการ..และ..ความเป็นผู้นำของเขา..ว่าเขาห่วงใยทุกคน...
โดยเฉพาะ..พวกที่ไม่คุ้น..คือ..อพยพมาจากเมืองอื่น....
........................................
........................................
......ไม่ใช่เขาส่งไป..แค่ครั้งเดียว..แต่เขาส่งไป ๒-๓ ครั้ง..แต่ลองนึกถึง..ความเป็นจริงแล้วกัน
ว่า..หนังสือ..มันไปได้แค่ไหนก่อน...หนังสือที่ไปพร้อมทหารลูกน้องนิโคล่า..อย่างเก่งก็ไปได้แค่
..ผู้บัญชาการทหารที่เวียนนา...ซึ่งพวกเหล่านี้..รู้อยู่แล้วว่า..เดี๋ยวก็ตายกันหมดอยู่แล้ว..ถึงส่ง
ทหารไปซักพัน..สองพันก้ไม่เกิดประโยชน์อะไร..สู้เอาทหารเก็บไว้รักษากรุงเวียนนาดีกว่า....
...หนังสือพวกนี้..ก็จะไปสถิตอยู่ในตู้..ลิ้นชัก..หรือ..ถังขยะ...แล้วแต่...ไม่มีโอกาศ..จะส่งต่อขึ้นไป
ข้างบนเพื่อ..พิจารณาได้.......
......ความจริง..ก็มีรายละเอียดในหนังสือ..ด้วยนะครับ..แต่มีหลากหลาย..สำนวน..ผมดูแล้วมัน..
ก็ไม่มีความสำคัญอะไร..เพราะมันเป็นเรื่องบอกเล่า..ของทางนิโคล่าเอง..และ..ก็ไม่มีผลกับการรบ
แต่อย่างใด...เพราะไม่ว่าส่งไปกี่ครั้ง..ก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว..หรือ..แม้แต่..หนังสือตอบ..จากทางเวียนนา
.......ทุกอย่าง..มันจึงขึ้นกับเขา..แต่ผู้เดียว.........
.................................
.......การรุกรบของทางเตอร์กนอกเหนือ..จากปืนใหญ่ที่ถล่มนั้น..แรกๆ..รูปแบบหลัก..ก็ส่งทหารข้าม
คูไป..ก็น่าจะใช้รูปแบบ..เอาทหารขึ้นแพ..แล้วก็ถ่อไปส่วนนึง..บางส่วนก็อาจจะทำเป็นสะพานข้าม..
เพื่อทหารจะได้เข้าโจมตีต่อเนื่อง......
.......ทางด้านนิโคล่า..ในส่วนการต่อสู้ระยะไกล..ก็ต้องเป็นการยิงโต้ตอบกับ..พลปืนยาว..ของเตอร์ก..
ที่ยิงขึ้นมาบนกำแพง..เพื่อ..ต้านทานการยิงโจมตี..ลงมาที่..หน่วยกล้าตายที่จะเข้ามาประชิดกำแพง...
...พวกที่หลงเหลือมาได้..และ..เอาบันไดมาด้วย..ก็จะพยายามเอามาพาด..เพื่อที่จะปีนกำแพงเข้ามา
ในเมืองให้ได้...ส่วนการป้องกันของทางนิโคล่า..สำหรับ..พวกที่มาใกล้กำแพง..ก็ต้องเจอกับก้อนหิน..
ทุ่มใส่...บางพวกเอาบันไดพาดกำแพงได้....พวกนิโคล่า..ก็เอาไม้ค้ำ..ยันบันไดกลับไป..ส่วนพวกที่มี
“หอกยาวพิเศษ”..ก็จะคอยทิ่ม..ทหารเตอร์กที่กำลังปีนบันได..ใกล้ถึง....ซึ่งน่าสงสารหน่วยกล้าตายเพราะ
...ตัวเองปีนกำแพงอยู่..มือหนึ่ง..ต้องจับบันได..มือหนึ่งจะถือทวน..หรือ..ดาบ..ยังไงก็เหอะ(..อย่าเอาการ
รบยุคนี้มาจินตนาการ..ถือปืน..ไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง..ปีนไปด้วย..ยิงไปด้วย..คุณยิงได้แค่นัดเดียว..ปืนมัน
ก็ใช้อะไรไม่ได้แล้ว..แล้วคุณจะต้องสู้แบบประชิดตัว....อาวุธสำคัญก็คือ..หอก..กับดาบ...)...มันไม่ถึง
ครับ..เพราะ”หอกยาวพิเศษ”..ถึงก่อน..ดังนั้น..มันก็เลยมีแต่ตายกับ..ตาย...
.......ถึง..พลปืนของเตอร์กจะมากกว่า..มีปืนมากกว่า..มีธนูมากกว่า..แต่อยู่ในที่โล่ง....ส่วนของนิโคล่า
พลปืน..นั้นอยู่บน..กำแพง..เชิงเทิน..โผล่แค่หัวถึงหัวไหล่...เป้ามันเล็กกว่ากัน..เตอร์กนี่..เป้าใหญ่ทั้งตัว
ไม่ว่า..จะยืน..หรือ..นั่ง..พื้นที่..รับกระสุน..หรือ..ลูกธนู..มันก็มากกว่าเยอะอยู่ดี...
....นอกจากเรื่องขนาดของเป้าที่ต่างกันแล้ว...ยังมีเรื่องความถี่ของการยิงในปืนแต่ละกระบอกด้วย
ซึ่งสำคัญมาก...ทหารเตอร์ก..ยิงแล้ว..ต้องมาใส่ดินปืนเอง..เอาลุกใส่ลำกล้อง..เอาเหล็กกระทุ้ง...ก่อน
ที่จะยิงนัดต่อไป...แต่ฝ่ายนิโคล่า..นั้น..พลยิง..ยิงแล้ว..ส่งปืนให้พลบรรจุ..พลบรรจุก็ส่งปืนพร้อมยิง..
อีกกระบอกให้ทันที..แล้วเอาปืนที่ยิงแล้ว..เอามาบรรจุกระสุนใหม่ต่อไป..( ๑ คน มี ๒ กระบอก..ยิง
สลับ..กันตลอดเวลา..)....ดังนั้น..แม้จำนวนพลยิงของนิโคล่า..จะน้อยกว่า..ซัก ๓ เท่า..แต่ในเวลา
เท่ากัน..จำนวนลูกกระสุนที่ยิง..ก็มากกว่าทางเตอร์กอยู่ดี....
.......................................................
...........นี่แหละครับ..จึงเป็นเหตุผล..ที่ฝ่ายเตอร์ก..ไม่ได้เปรียบอะไรเท่าไหร่..แม้คนจะมากกว่า...ตราบใด
ที่การยิงป้องกัน..ของนิโคล่า..มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง...แต่มันก็พูดง่ายๆว่า..เป็นไปไม่ได้..เพราะ..การที่
ถูกทั้ง..ปืนใหญ่ถล่มทุกๆวัน..และ..หน่วยปืนยาวจำนวนมาก..ดาหน้ายิงขึ้นมาใส่ลูกน้องของ..นิโคล่า..
บนกำแพง..เพื่อรบกวนการป้องกัน..ตลอดทั้งวัน..ทุกๆวัน..มันก็ต้องมีคนตายเพิ่มขึ้นๆ..ทุกๆวัน...
.....แต่..จำนวนศพ..ของเตอร์ก..แม้จะมากกว่าเยอะ..แต่เมื่อ..เทียบกับ..จำนวนคนทั้งหมด...มันจิ๊บจ๊อย
มาก..ต่างจากฝ่ายเมืองกึ๊นซ์..ที่..ตายแค่..วันละ..๕-๖ คน..จากทุกสาเหตุ..มันเทียบแล้วเป็นเปอร์เซนต์
กับ..จำนวนคนทั้งหมด..มันสูงกว่า..เตอร์ก..เยอะ....เขาและทั้งหมด..ยืนหยัดได้..จนจบ..นั้น...
....มันไม่ใช่..แค่..นิโคล่า..คนเดียว..ที่เป็นยอดคน..ลูกน้องเขา..และ..ชาวบ้านทุกคน..ก็นับเป็น
..........................ยอดคน...ทั้งหมด...............................
กำลังมันส์ครับ บรรยายต่อเลยครับ อยากรู้ว่าชาวออสเตรียรบอย่างไรถึงเอาชนะพวกเติร์กจำนวนเรือนแสนได้ครับ
.......................
.....หวัดดีครับ..คุณWoot...ใจเย็นๆครับ..ยังอีกนาน...การรบครั้งนี้..ไม่มีแพ้-ชนะนะครับ
..อย่าเข้าใจผิด....อ่านไปเรื่อยๆจะทราบเอง...
..........................
........................
..............ผ่านการรบไปหลายวัน..ฝ่ายเตอร์ก..ก็ไม่คืบหน้าอะไร..ยังไม่มีใครได้มีโอกาศ..ได้ข้ามไป
เหยียบ..บนกำแพงเมือง..แม้แต่คนเดียว..ถ้าเรียกให้มันแจ่มแจ้ง..ก็เรียกว่า..ผลงาน..บัดซบมาก.....
...อิบราฮิม..ก็คงได้ด่าหัวหน้าหน่วยกล้าตายได้มากขึ้นมทะเลาะกันมากขึ้น..และก็คงพาลไปถึง...
หน่วยสนับสนุนอื่นด้วย........เมื่อผลเป็นเช่นนี้..ก็แสดงว่าใช้ไม่ได้....
.......ที่สำคัญเห็นชัดมากคือ...เตอร์กไม่สามารถ..แก้ปัญหา..”หอกยาวพิเศษ”..ของนิโคล่าได้....
...เรียกว่า..มีแต่..เจ็บ..กับตาย..เพราะ..อาวุธสั้นกว่า...พวกนิโคล่า..มันก็โผล่มาแค่..แขน..กับหัว..
..และ..ก็หอก...หน่วยปืนยาวที่ยิงสนับสนุน..ก็ลำบาก..เพราะเป้าหมายมันเล็ก...ส่วนตัวเอง..ก็แทบ
จะเอาตัวไม่รอด..เพราะ..ทหารของนิโคล่า..ก็..ยิงพวกเขาจากกำแพง..ตลอดเวลาเช่นกัน..แถมเป็น
เป้าใหญ่..ซะอีก...........
.....ผมประเมินว่า...หน่วยยิงปืนยาวสนับสนุนนั้น..คงไม่ได้อุปกรณ์หนึ่ง..ที่เป็นที่นิยมกัน..สำหรับ...
การล้อมเมือง...เพราะ..ถ้าใช้..น่าจะพลิกสถานการณ์ได้ดีกว่านี้...นั่นก็คือ.....
......................แผงกำบังแบบติดแผ่นเหล็ก...ติดล้อ...........
....ซึ่ง..นิยมกันในสมัยกลางยุคต้น....ทำจากแผ่นกระดานไม้เนื้อแข็งอย่างหนา..หลายๆแผ่นต่อกันเป็น
ผืน...มีขนาดความกว้างขนาด..บังทหารที่นั่งอยู่ด้านหลังได้ซัก ๔ คน..และสูงประมาณ..หน้าอก..ทหารยืน
(..ที่แผ่นไม้นี้..จะมีการเจาะรู..เล็กๆ..ไว้หนึ่ง..หรือ..สองรู..เอาไว้มอง..ขณะที่เข็นไป...)
เหมือนโล่ห์สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่...จะติดกับ..ฐานล้อไม้สองล้อ..และ..มีแขน..สำหรับเข็นยื่นไป
ด้านหลัง..(หนึ่งแขนหรือสองแขน)...เมื่อวางมันอยู่กับที่..ปลายแขนทั้งสองจะช่วยยันพื้น..
.โดยแผ่นกระดานก็จะเอียงทำมุม..กับแนวดิ่ง..ประมาณ ๒๐-๓๐ องศา....ฝรั่งเรียกว่า MANTLET..
.....ในต้นยุคสมัยกลางนั้น..ปืนทั้งหลาย..ยังไม่ถือกำเนิด....อาวุธระยะไกล..ก็มีแต่..ทวนกับ..ธนู..หน้าไม้
...โล่ห์ยักษ์เคลื่อนที่..นี้ก็ทำไว้..เพื่อป้องกันธนู..ที่ยิงมาจากที่สูง..หรือ..จากแนวยิงธนูระยะไกล..ที่ยิงมาแบบ..
โปรเจคไตล์...(ยิงแบบยกธนูขึ้นสูง..ยิงโดยอาศัยแรงโน้มถ่วงโลก..ลูกธนูจะย้อยตกลงมาเฉียงๆ..)
MANTLET.....ทำขึ้นมา..สำหรับพวกพลธนู..โดยเฉพาะ..เพราะพวกนี้..เป็นหน่วยเดียว..ที่ไม่สามารถใช้โล่ห์ได้..
เพราะ..พลดาบ..และ..พลหอก..สามารถใช้โล่ห์ที่ติดกับตัว..ป้องกันได้.....
......แต่ก็ไม่ได้ทำไว้..ให้พลธนู..ทุกคน...แต่ทำไว้..สำหรับ..พลธนูส่วนหน้า..ที่คัดมาเฉพาะพวกที่เรียกว่า
...”พลแม่นธนู”..( MARKSMAN คำนี้ใช้กัน..ทั้งพลแม่นธนู..และ..พลแม่นปืน..)....ที่ทำการยิงได้...
รวดเร็ว..และ..แม่นยำ...
...............................................
......การใช้งาน..ก็เอาผลแม่นธนู ๒-๔ คนอยู่ด้านหลังไอ้โล่ห์นี่..แล้วก็ค่อยๆเข็นเข้าไปให้ถึงระยะยิง..
โดยก็ต้องค้อมตัวให้ต่ำ..แล้วก็มองผ่านรูที่เจาะ..ตัวโล่ห์ก็ต้องเอียงไว้..เพราะมันจะช่วยป้องกัน..ธนู
ของข้าศึก..ที่ยิงใส่ลงมา...พอได้ระยะก็วางที่เข็นลงยันกับ..พื้น..แล้วง้างธนูไว้..ยืนขึ้น..ยิงอย่างรวดเร็ว
..แล้วรีบก้มลงไป..อีกคนยืนขึ้นแทน..ทำแบบนี้สลับกันไป..เราต้องมองผ่านรู..และ..เล็งเคร่าๆไว้ก่อน..
ไม่ใช่ยืนขึ้น..แล้วมัวไปหาเป้า..เผลอโดนยิง..ก่อนจะยิงเขา.....
.....ไอ้นี่..เป็นเครื่องมือ..ยอดนิยม..ทรงประสิทธิภาพ...เพียงแต่..มันไม่ค่อยคล่องตัว..สามารถป้องกัน
ลูกธนูได้อย่างดี..เพราะไม้เนื้อแข็งหนาๆ..ธนูอย่างเก่งก็ปักติดเฉพาะ..ด้านหน้าเท่านั้น....
.....ข้อด้อย..นอกจากเคลื่อนที่ไม่ค่อยสะดวกคือ..ต้อง..ทำไว้เยอะ..พอสมควร..มันใหญ่และ..เกกะ..
ถ้าเดินทางไกลๆ..จะเป็นภาระ...ดังนั้นมักจะทำในพื้นที่เลย..คือ..ปักหลักล้อมเมืองที่ไหน..ก็ทำขึ้นมา...
ที่นั่นหาไม้แถวนั้นทำกัน...เรียกว่า..ถ้าใช้พลแม่นธนู..ซัก ๑๐๐ คน..อาจต้องทำถึง..๓๐ อัน....
......ระยะปลายยุคกลางเมื่อมาใช้ปืนแทน..ก็ไม่ค่อยนิยมกัน..เพราะถ้าหาไม้เนื้อแข็งไม่ได้..และ..ไม้
บางไป..บางทีลูกกระสุนก็ทะลุผ่านได้...จึงมีการดัดแปลงติดแผ่นเหล็กประกบ..ด้านหน้าไว้ด้วย....
..ลักษณะ..เมื่อเอามาใช้กับพลแม่นปืน...ก็ใช้แบบทำนองเดียวกัน..ลุกขึ้นยืนยิง..แล้วนั่งลง..
สลับกันไป...........
...................
.................
.........
....นี่แหละครับ..MANTLET หรือ..โล่ห์เคลื่อนที่ของพลแม่นธนู.....
...รูปที่สอง..นี่ตลกดี..ผมเลยเอามาลงด้วย..เป็นMANTLETที่..เป็น.ตัวต่อLEGO.....
....................
.................อีกวิธี..ที่ในยุคกลางระยะหลังนิยมกัน..คือ..การขุดแนวสนามเพลาะ..หรือ..ท้องร่อง
ลึก..แค่อก..แล้วเอาเอาดินที่ขุดมา..พูนเป็นคันจนสูง..ขนาดคอ..คล้ายๆสนามเพลาะสมัย..สงคราม
โลกครั้งที่ ๑ ....ส่วนใหญ่..ท้องร่องนี้..จะขุดกัน..ตอนกลางคืน..ตอนที่ไม่ได้รบกัน..เรียกว่า..ขุดกัน
ท่ามกลางความมืด...แบบนี้คือ..ปักหลัก..ยิงกันตรงนี้เลย..เรียกว่าเอาพลปืน..เรียงแถวอยู่ในท้องร่อง
ยิงคลุมขึ้นไปบนกำแพง..แบบ..สลับกันยิงเช่นกัน..ข้อดีคือ..ไม่ต้องเป็นภาระแบบไอ้โล่ห์มาให้เหนื่อย
...ยิงได้..ปริมาณมาก..แต่การป้องกัน..ลูกปืนจากฝ่ายตรงข้าม..ได้ผลน้อยกว่า..แบบโล่ห์....
..............เข้าใจว่า...ทางฝ่ายเตอร์กไม่ใช้..แนวทางแบบนี้..ทำให้การยิงสนับสนุนจากพลปืนไม่ได้
ผลเท่าที่ควร...
...............ซึ่งวิธีทางแก้ของเตอร์ก...จึงกลับไปที่..ต้องทำลายกำแพง..หรือ..ประตู..ให้ได้.....เพื่อจะลด
ประสิทิภาพ..ของไอ้”หอกยาวพิเศษ”..ให้ได้..ก็คือ..มาเจอกัน..ในแนวราบ..ซึ่ง..ฝ่ายเตอร์กมีอำนาจการ
ยิงเหนือกว่าอยู่แล้ว...ระดมผ่านประตู..หรือ..ช่องกำแพงเข้าไปแทน..การบุกเข้าประชิด..เพราะเสียเปรียบ
...แค่นี้..ไอ้หอกนั่น..มันก็ไร้ผล..เพราะเตอร์กใช้การทำลายระยะไกล..ที่ได้เปรียบแทน..เรียกว่า..ระดมยิง
จนไอ้พวกหอกนี่หมดเมื่อไหร่..ก็ค่อยเข้ารบแบบประชิดตัว.........
...................ซึ่ง..ผลประชุมออกมา..ในแนวทางเดิมคือ..ใช้ประมาณคน..หรือ..หน่วยรบตามเดิม..เพียง
แต่เปลี่ยนยุทธวิธีในการบุก....ซึ่ง..จริงๆแล้ว..ไอ้ ๑๒๐,๐๐๐..นั่น..นั่งเกาไข่เล่นไปวันๆซะ..แปด-เก้าหมื่น
..ปล่อยมาลงสนามจริงๆ..แค่..สาม-สี่พัน....
..........เมื่อตัดสินใจ..ไม่ใช้..BIG GUN ...ดังนั้น...ก็ต้องเล่นด้วยระเบิด......ซึ่งแผนการหลัก..ที่จะดำเนิน
การก็คือ..จะแอบเอาถังไม้บรรจุดินระเบิด...ไปฝังไว้..ที่ฐานกำแพง...แล้วต่อชนวนมาจุดระเบิด....
..ด้วย..ลักษณะกำแพง..ที่หนามาก..และ..ไม่ได้สูงอย่างกำแพงเวียนนา..ถ้าใช้ดินระเบิดมากๆ..
..พวกเศษหิน..มันก็จะไม่กองเป็นปิรามิดแบบที่เวียนนา..คือ..กำแพงมันจะแหกกระจาย..หินส่วน
ใหญ่มันจะกระจายออกไปเลย..ไม่สะสม..ทหารของฝ่ายตนก็จะบุกเข้าไปได้อย่างสะดวก....
...........................
..............อย่างที่เคยบอกไปว่า..นิโคล่านั้น..ศึกษารูปแบบการรบของเตอร์กมาอย่างดี..ในทุกสมรภูมิ
ใหญ่..บนคาบสมุทรบัลข่าน..รวมถึงครั้งสุดท้ายที่..มาล้อมเวียนนา..ด้วย..ดังนั้น..เรื่องการใช้ระเบิด
มาระเบิดกำแพง..นั้นจึงทำไม่ได้ง่าย..เพราะตั้งแต่..อิบราฮิมเข้าล้อม..เขาสั่งยามเฝ้า..๒๔ ชั่วโมง....
...คอยดู..ความเคลื่อนไหว..ด้านนอก..ใกล้ตีนกำแพง..โดยตลอด..ในประวัติศาสตร์ไม่ได้บอกว่า...
..เตอร์ก..มันแอบเข้ามา..พยายามเอา..ถังดินระเบิด..มาฝัง..ในตอนไหน..อาจเป็นกลางคืน...หรือ..
แม้กระทั่ง..กลางวันช่วงที่ทำการรบกัน.....แต่เนื่องจาก...นิโคล่า..ได้เตรียมพร้อม..เรื่อง..ไฟใหม้ไว้..
ตลอดอยู่แล้ว..ตามที่ผมเคยเล่าไปก่อนหน้านี้หลายตอน..ว่า..เขาเตรียมถังไม้..ที่บรรจุน้ำ..ไว้ทั้ง..ใน
เมืองด้านล่าง..ในตัวปราสาทด้านใน..และ..โดยเฉพาะ..ตามเชิงเทิน..บนกำแพงเมือง...ปรากฎว่า...
ลูกน้องเขาที่เฝ้ายาม..ระหว่างลาดตระเวณ...ตามปกติ..พบว่ามีไอ้พวกเตอร์๒-๓ คนกำลังเอาถังไม้
บรรจุดินระเบิด..มาพยายามฝังไว้ในดินชิดกำแพง..แต่ยังไม่ทันกลบ..ก็เลยจัดการทหารเตอร์ก..จากบน
กำแพง..แล้วทำลายถังดินระเบิด(น่าจะเอา..ก้อนหินทุ่มให้แตก..แล้วเอาน้ำเทจนชุ่มใช้การไม่ได้..)..เมื่อ
แจ้ง..ให้นิโคล่าทราบ..เขาจึงเพิ่มการตรวจตรา..เข้มข้นขึ้น..พบว่า..หลังจากครั้งแรก..ก็มีความพยายาม
ของเตอร์ก..ในรูปแบบเดียวกัน..หลายครั้ง..และ..ต่างตำแหน่งกัน..ซึ่งก็ปรากฏว่า..ไม่พ้นสายตาของ..
ลูกน้องนิโคล่าไปได้..ก็ถูกทำลายทุกครั้งเช่นกัน.....
........................หลายท่านอาจแปลกใจว่า...ทำไม..ไม่ขุดเป็นอุโมงค์..แบบที่เคยทำที่เวียนนา..ก็ขอบอก
ให้ทราบว่า...ไม่ได้หรอกครับ....นี่มันเป็น..เชิงเขา..ดังนั้นมันมี..ดินอยู่ด้านบน..ไม่หนา..ข้างล่างมันก็คือ..
แผ่นหิน..ที่..ต่อเนื่องมาจากภูเขา.....
................................
................................
.................ไอ้โน่นก็ไม่เวอร์ค..ไอ้นี่ก็ไม่เวอร์ค...คนที่เครียดที่สุดน่าจะเป็นอิบราฮิม..เพราะเป็นความรับ
ผิดชอบของเขาเต็มๆ..เขาก็เองอย่างที่ผมเคยเล่า..เนื่องจากไม่ใช่เตอร์ก..เป็นกรีก..พวกแม่ทัพที่เป็นเตอร์ก
ทั้งหลาย..นั้น..ก็ไม่ชื่นชมอยู่แล้ว..แล้วพวกเสนาบดีบางคนที่ติดตามทัพมาด้วยอีก...ยามนี้เขาก็ต้องตกเป็น
เป้า..ให้พวกนี้ยำกัน...แถมยังมี..คนที่อยู่ข้างบนคือ..สุไลมานมองดูอยู่......เพราะความจริงศึกครั้งนี้..มันเป็น
ศึกกระจอก..แต่อิบราฮิม..ที่เป็นแม่ทัพใหญ่เอาชนะไม่ได้..เวลาผ่านไป..ก็มากกว่าอาทิตย์สองอาทิตย์แล้ว..
....ผมว่า..พวกที่เป็นลูกน้องอิบราฮิมสายแท้..น่าจะเสนอแผนในที่ประชุมให้ใช้ปืนใหญ่..เพิ่มจำนวนถล่ม
ให้ทุกอย่างราบเรียบไปเลยแน่ๆ..เพราะใช้เวลาไม่กี่วัน..แต่พวกที่หมั่นไส้อยากดูความฉิบหายของอิบราฮิม
ต้องคัดค้านแน่..ซึ่งตามเหตุผลก็ควรเป็นอย่างนั้น..เพราะเจตนาเดิม..ไม่ได้ตั้งใจจะถล่มให้ราบ...
.....อีกอย่าง..คนนึงซึ่งไม่ยอมแน่ๆ..คือ..สุไลมาน..เขาก็คงอยากทดสอบ..ความสามารถของกองทัพด้วย..
...เพราะถ้า..ป้อมแค่นี้..มีคนอยู่แค่นี้..แถมไม่มีปืนใหญ่ซักกระบอก...ยังเอาชนะไม่ได้.....
..........เขาจะเดินทางไปตีกรุงเวียนนา..ได้ยังไง..................
.................................
........และแล้ว...พวกเตอร์กก็กลับไปหากิน..กับของโบราณ..นั่นก็คือ..”หอรบ”( SIEGE TOWER )..นั่นเอง
...ซึ่ง..ยุคกลางหลังๆนั้น..ไม่ค่อยได้ใช้กันแล้ว..เนื่องจาก..การที่มาใช้ปืนใหญ่กัน...พอหอรบเริ่ม..เคลื่อนมา
ใกล้กำแพง...ก็จะโดนปืนใหญ่ที่ตั้งบนกำแพง..ยิงทำลายทีละอัน...เรียกว่าไอ้พวกที่กระจุกันอยู่ในหอ..นั่น
ยังไม่ได้ออกแรงอะไร..ก็ตายแล้ว...มันได้ตายเพราะระเบิด..เพราะลูกปืนใหญ่ยุคนั้น..มันไม่ระเบิด...
แต่มันยิง..โครงสร้างไม้ที่ทำเป็น..หอ..แตกหัก..ไอ้พวกนี้..ส่วนใหญ่ตาย..เพราะตกจากที่สูง..ครับ......
.....ในศตวรรษที่ ๑๖ จึงแทบไม่ได้ใช้กัน..เพราะนอกจากเปลืองแรงงานสร้างเสียเวลา..ยังไม่เวอร์ค..ก็เลย
ไม่รู้จะทำไปทำไม.....
...................แต่สาเหตุที่...เตอร์ก..สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ที่นี่..ก็เพราะ..เตอร์กรู้ว่า...ที่นี่..ไม่มีปืนใหญ่....
...ตัวทำลาย..หอรบ..นั่นเอง....เนื่องจาก...กำแพงที่นี่..ไม่สูงมากนัก...มันจึงไม่ต้องทำหอรบให้ใหญ่โต
อะไรมาก..มีปัญหาอยู่อย่างเดียวคือ..เนื่องจากมาคิดสร้างในภายหลังและ..เร่งเอามาใช้งานทำให้..
พวกเตอร์ก..คงสร้างมาได้..ไม่กี่อัน..เท่านั้นเอง.....
........................................
........ถึงจะมีข้อดี..คือ..สามารถเอาหมู่ปืน..ขึ้นอยู่ที่สูง..ทำให้ยิงศัตรูที่อาศัยกำแพงบังอยู่..ได้ง่ายขึ้น
...เพราะ..สามารถขยายเป้าจากเดิม..เล็งได้แค่หัว..ถ้าหอสูงเท่ากับกำแพง..หรือ..สูงกว่า..จากแค่หัว..
เป้าก็ขยายขึ้นเป็นครึ่งลำตัวได้...ทำให้ไม่เสียเปรียบ...และ..ถึงแม้..ฝ่ายนิโคล่า..จะไม่มีปืนใหญ่..เอา
ไว้..ทำลาย..แต่ตัวหอมันเองก็ใช่ว่า..จะปลอดภัย..เพราะว่าไป..ถ้าฝ่ายตรงข้ามฉลาด..ข้อเสียนั้น
มากกว่าข้อดีอีก...ดังนั้น..ระยะหลังจึงเลิกใช้กัน..ก็คือ...
....๑.หอนั้น..ทั้งโครงสร้าง..พื้น..ผนัง..หลังคา..กระไดปีน..ล้วนทำจากไม้..ถึงแม้....บางครั้งจะมีการเสริม
เช่นเอาแผ่นเหล็กทับหลังคา..หรือ..แผ่นเหล็กติดผนังก็ตาม..เกือบทั้งหมด..มันก็คือ..ไม้อยู่ดี....
....ศัตรูของไม้..ก็คือ..ไฟ...ดังนั้น..แค่..ข้าศึกระดมยิง..ธนูเพลิง..เข้าไปมากๆเข้า..มันก็ไม่วายติดไฟ..
....แม้แต่..หอรบของไวกิ้ง..ในการล้อมกรุงปารีส..เมื่อ..คริสศตวรรษที่ ๘..สร้างบนแพ..(กรุงปารีส..นั้น
ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ(แม่น้ำเซน)..และ..คลองขุดเชื่อมจนเป็นเกาะขนาดใหญ่..คล้ายอยุธยา...)..ยังโดน
ฝรั่งเศษ..เผาซะราบ..นั่นขนาดลอยอยู่ในน้ำ..ก็ยังช่วยไม่ได้...
......๒. หอรบ..นั้น..มีความมั่นคง..ต่ำ..เพราะ..สูง..แต่ฐานไม่กว้าง...จุดศูนย์ถ่วงอยู่สูง..การเสียศูนย์
ไปไม่เท่าไหร่..ก็สามารถทำให้หอรบ..โค่นลงทั้งอันได้...และยิ่งถ้า
.........หอรบ..นั้นไม่ได้วางบนดิน..แต่วางบนแพลอยน้ำอยู่..(ในคูเมือง)....หรือ..
.........หอรบ..ขนาดกลาง..หรือ..เล็ก..ทำขึ้นเพื่อ..เข้าตีกำแพง..ขนาดกลาง..หรือ..ขนาดเล็ก...
....ถ้าข้าศึกใช้..โยทะกา..(..ตะขอเหล็ก ๓-๔ แฉก..มีรูร้อยเชือกที่โคน..)..โยนหรื่อเหวี่ยงเข้าไป..เกาะ
ส่วนใด..ส่วนหนึง..ช่วงบนของหอ...แล้วใช้คนจำนวนมากดึง.....
...................................
เรื่องนี้ยาวและรายละเอียดปลีกย่อยเยอะกว่า กุรข่านักรบเลือดดุ อีกนะครับ เป็นกำลังใจให้อีกคนครับ
ผมตามอ่านอยู่ทุกวันนะครับ เขียนได้สนุก ได้ความรู้ด้วย ^ ^
........ขอบคุณครับ..คุณ GAENAE ...คุณ CHAITANA..คุณ YUKIKAZE....
....ที่postมา..และ..เป็นกำลังใจให้ครับ....
..........................
...................................
....กรณีแรก..หอรบ..อยู่ในแพบนน้ำ..ก็ลองนึกถึง..เรานั่งเรือซิ..พอคนขยับไปด้านไหน..เรือมันเอียงไป
ด้านนั้น..ก้ทำนองเดียวกัน...พอดึงเชือก..มันก็ทำให้เกิดแรงด้านข้าง..ทำให้น้ำหนักรวม..ไม่อยู่กลางฐาน
...พอเริ่มเอียง..คนที่อยู่บนหอมันก็จะเทมาด้านที่เอียง..ก็เลยยิ่งทำให้น้ำหนักหนี..ศูนย์มากขึ้น..จนในที่สุด
หอ..มันก็ต้องโค่น..เพราะพื้นน้ำมันไม่แข็ง..มันไม่สามารถต้านแรงที่หนีศูนย์มากๆได้......
...กรณีที่ ๒ ..เมื่อหอรบเล็ก..ก็จะทำให้มัน..เบา..ดังนั้น..เมื่อใช้คนดึงเชือกหลายๆคน...มันก็..สามารถชนะ
น้ำหนักตัว..ของหอรบเองบวกกับคนที่อยู่บนหอ..ได้..จนเกิดการเอียง..พอเอียงเข้า..ก็เทไปรวมกัน..แล้ว
มันก็คล้ายกรณีแรกคือ..ทำให้การหนีศูนย์เพิ่มมากอีก..สุดท้ายก็โค่น......
..........ในกรณีที่..เมืองกึ๊นส์นี้..ผมเข้าใจว่า..ไม่ได้ตั้งใจ..ทำเป็นหอเพื่อเทียบกำแพง..แล้วส่งคนจากหอ..
โดดลงในกำแพง..เนื่องจากมันจะไม่ใหญ่..และต้องไปวางบนแพ..เพื่อข้ามน้ำ..ยิ่งทำลายได้ง่ายใหญ่..
....น่าจะเป็นจุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ..ของ..การยิงของหมู่ปืน..เพื่อทำลาย..หน่วยปืนของ..
นิโคล่า..บนกำแพงมากกว่า.....เพราะถ้าลดการป้องกันบนกำแพงได้..ทหารเตอร์กก็จะมีโอกาศปีน
กระได..ข้ามกำแพงได้ง่ายขึ้น..............
.........เมื่อการล้อมเมืองกึ๊นส์..ผ่านไปได้.ซัก ๒ อาทิตย์....จากการุกรบระดมยิงอย่างหนัก..ทั้งปืนใหญ่
..ปืนยาว.....นั้น..มันก้ทำให้..นิโคล่า..เสียทหารไปมากกว่าครึ่งแล้ว..พอๆกับ..ชาวเมืองที่ช่วยรบ...
...เรียกว่าที่สู้อยู่..เหลือ..ไม่ถึง ๔๐๐ คน....ในยามกลางคืน..คนที่ไม่ได้เข้าเวรยาม..และ..ที่ไม่ได้งีบ
หลับพักผ่อน..ก็จะไป..สวดมนต์กันที่โบสถ์ของเมือง..ขอพรพระผู้เป็นเจ้าให้รอดพ้น..ภัยในครั้งนี้...
..เพราะทุกคนรู้แล้วว่า..พวกเขาถูกโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง..แน่นอนแล้ว...นอกจากพระผู้เป็นเจ้า..
...ความหวังอีกอย่างที่เหลืออยู่ก็คือ...บุรุษเหล็ก..นามว่า..นิโคล่า..ผู้นำของเขานั่นเอง...
..แม้จะเหนื่อย..อดนอน..ยังไง..เขาก็ล้มไม่ได้..เพราะถ้าเขาล้ม..ความหวังและกำลังใจ...
..และสิ่งยึดมั่นทั้งมวลของลูกน้องและชาวบ้าน..ที่ผูกอยู่กับตัวเขา...มันก็จะโค่นลงหมดทันที....
.............แต่สิ่งหนึ่ง..ที่เป็นหัวใจของผู้ตั้งรับ...นั่นก็คือ..ต้องไม่ให้ฝ่ายบุกรู้ว่า..ตัวเองอ่อนแอ..
...นี่เป็น..พิชัยสงคราม..ที่ใช้กันทั่วโลก.........
.....อย่างทีผมบอกไปว่า..ทหารของเขาเหลือ..ไม่ถึงครึ่งแล้ว..และถ้าศัตรูตรวจพบได้...
..นั่นจะเป็นจุดเริ่มของหายนะ..ทันที............
........................
...........มันเป็นหลักการทางทหารที่ใช้กันทั่วโลกเช่นกันก็คือ..การลวง...ลวงยังไง..ก็ลวงให้เป็นไป
อย่างที่เรา..อยากให้ศัตรูเห็น..เป็นแบบที่เราต้องการ..นั่นเอง...
...ไม่ว่า..จีน..แขก..ฝรั่ง..พม่า..ไทย...หลักการนี้..อยู่ในตำรารบ..หรือจะเรียกว่า..พิชัยสงครามก็ได้..
...ไม่ว่า..ลวงให่เห็นว่า..อ่อนแอ...ลวงให้เห็นว่า..เข็มแข็ง...ลวงว่า..จะรุก..ลวงว่า..จะถอย..ฯลฯ...
......มันเป็น..ศาสตร์..และ..ศิลป์...ที่..ไม่อาจสอนได้เฉพาะ..เจาะจงลงไป..(นี่แหละเขาเรียกว่า..
ศิลป...คืออะไรก็ตาม..ที่ไม่สามารถเจาะจงลงไปได้..)..ขึ้นกับ..สถานการณ์..ขณะนั้น..ขึ้นกับ..
สิ่งแวดล้อม..ขึ้นกับ..สภาพอากาศ..ขึ้นกับ..ภูมิประเทศ..ขึ้นกับ..ปัจจัยที่มี....ฯลฯ.....
......................กรณีของ..นิโคล่า..นั้นชัดเจนว่า..ฝ่ายเตอร์ก..ย่อมมีหน่วยสังเกตการณ์..คอยเฝ้าดู
ความเคลื่อนไหว..ความเป็นไป..โดยตลอด ๒๔ ชั่วโมง..และ..มีการรายงานให้..หน่วยบัญชาการ
ทราบ..โดยตลอด...ยิ่งถ้ามีอะไรที่ผิดสังเกต..ก็ต้องรีบรายงานโดยด่วน......
........ที่ผมบอกไปว่า..ตอนนี้..ผ่านไป ๒ อาทิตย์...ทหารเหลือไม่ถึงครึ่ง..ชาวบ้านก็เหลือ..ไม่ถึงครึ่ง..
....นิโคล่า..ที่เขายันมาได้ถึงระยะนี้..ทั้งที่มีคนนิดเดียว..ก็บอกได้ชัดเจนว่า..หลักการทหารเขาสมบูรณ์
แบบ..๑ในหลักการทหารที่..สำคัญ..ระหว่างทำการบ..ก็คือ..ความรอบคอบ..เขาต้องสรุปประเมิน
สถานการณ์..ให้กับ..ตัวเขาเอง..และ..ลูกน้องระดับรองของเขา..โดยตลอด..ดังนั้นเขาต้องนึกขึ้นถึง
เรื่องนี้ได้..และเป็นเรื่องสำคัญ..ก็คือ..ถ้าเตอร์ก..รู้ว่า..กำลังของเราเหลือน้อย..มันจะต้องโหมทุ่มกำลัง
เต็มที่..และ..ต่อเนื่อง..จะทำฝ่ายของเขายันไม่ได้แน่..เขาก็ต้องแก้ไขปัญหา..
.....................................
.............
...ลองนึกสภาพจำลอง..เวลา..หอรบ..เจอธนูเพลิงดู.....
......................................
.....สิ่งที่ฝ่ายตรวจการณ์ของเตอร์กนั้น..จะเห็นได้..ก็มีแค่...ทหารที่อยู่บน..เชิงเทิน..บนกำแพง...โดยเฉพาะ
ช่วงเย็นไปถึง..กลางคืน..และ..เช้าตรู่..รุ่งสาง.....เขาต้องทำให้เหมือนว่า..ยังมีทหาร..ประจำอยู่หนาแน่น
..เรียกว่า..กำลังการป้องกันยังดูดีอยู่....เรียกว่าไม่อ่อนแอลงแต่อย่างใด......
.........ดังนั้น..เขาต้องใช้หลักยุทธ์ที่ว่าด้วย..การลวง...ลวงว่ายังเข็มแข็ง............
....ประเทศที่รบพุ่งกัน..ตลอดเวลาเป็น..ร้อยๆปี..อย่าง..ญี่ปุ่น..จีน..อินเดีย..กลุ่มประเทศในยุโรป
....หรือ..แม้แต่..ใน..ภูมิภาคแหลมทอง...ไม่ว่า..เชียงใหม่..อยุธยา..พม่า...ล้านนา..
...เรื่อง..การล้อม..เมือง..ล้อมปราสาท..ล้อมป้อม..ประวัติศาสตร์..มีให้เห็นกันตลอด...เพียงแต่..
บางเรื่อง..ออกแนวการ์ตูนไปหน่อย...เท่านั้นเอง...
.........อย่างเรื่อง...ทำหุ่นไม้ใส่ชุดทหาร..แล้วชักรอก..เป็นแถว..ให้เคลื่อนที่ไปมาเหมือน..ทหารเดิน
ตรวจการณ์..ก็อาจเป็นไปได้ครับ..ในยุคกว่า..พันปี..แบบในจีน..หรือ..อินเดีย...แต่ยุคนี้(ห้าร้อยปี)
...โดยเฉพาะในยุโรป...(..ถ้าเป็นแถบบ้านเรา..ก็คงได้)..ยาก..เพราะมีการประดิษฐ์..กล้องส่องทาง
ไกลแบบชัก..(โจรสลัด)..แล้ว..และมีการใช้กันทั่วไป...สามารถมองเห็นระยะไกลได้ดี...มันจะหลอก
กัน..ไม่ได้.....
..........................
.........ดังนั้นการ..ลวงที่แนบเนียน..ก็ต้องดูให้เหมือนทหารจริงๆ..เมื่อมองระยะไกล..เรื่องนั้นก็ไม่ยาก
สำหรับ..นิโคล่า..เพราะชุดทหาร..นะ..มีเหลือเยอะ..ตอนนี้..(..ของทหารที่ตายไปแล้ว..)...คนที่จะเอา
มาแทน..ก็คือ..พวกชาวบ้านที่เหลืออยู่และร่วมรบด้วยกัน....นิโคล่าก็ปรับ..สถานะ..พวกเหล่านี้ซะเลย
...ให้ใส่ชุดทหารที่เหลือซะ...แล้วก็เดิน..และ..ทำหน้าที่สู้รบแทน..พวกทหารที่ตายไป...
.....อย่างเช่นเดิม..มีหน้าที่..บรรจุกระสุน..ก็ให้มาเป็น..คนที่ยิงแทน..เพราะงานแค่บรรจุกระสุนนั้น..ก็
ไม่ใช่เรื่องยาก..สำหรับผู้หญิง....ก็เลื่อนตำแหน่ง..สับตำแหน่ง..ก็ว่ากันไป..เพียงแต่..ทหาร นั้น..ตั้งแต่
เริ่มรบ..พวกตรวจการณ์..เคยเห็นเดินอยู่เท่าไหร่...ก็มีจำนวนเท่าเดิม...ช่วงเวลา..กลางวันรหว่างรบ..
...ก็มีทหาร..ออกมายิงปืน..ยิงธนู..แทงหอก..ปริมาณเท่าเดิม..เรียกว่า..ไม่ให้ผิดสังเกต..ในการสังเกต
..แต่ไอ้ปืนนั้น..จะยิงไม่แม่น..ศัตรูมันก็ดูไม่ออกหรอก..........
.............ผมบอกแล้วว่า.....ทัพของ...เตอร์กนั้นอยู่ที่ต่ำกว่า....ส่วนพวกสอดแนมที่ไปสังเกตการณ์
ด้านหลังปราสาท..ที่เป็นเชิงเขา...ถ้าจะมองเขาไปให้เห็นในตัวปราสาท..ก็ทำไม่ได้..เพราะ..มันมีป่า
อยู่..ซึ่งจะบังการมองเห็น.....
..........ดังนั้น..สิ่งที่..พวกเตอร์กเห็น..ก็แค่..ทหารที่อยู่บนกำแพง........
...ข้อดีของการลวงนี้...ก็คือ...ทำให้เตอร์ก..ผลีผลามไม่ได้..เพราะพลรบ..ทั้งหมด..มันแทบไม่แตกต่าง
ไปจากตอนเริ่มต้น..ทั้งๆที่โดนปืนยาวไป..ก็..หลายคน..ปืนใหญ่ถล่ม..มาตั้ง๒ อาทิตย์..มันก็อย่างน้อย
ต้องตายเป็นร้อย...แต่ไหง..ปริมาณพลรบ..และ..การป้องกัน..ยังมีอยู่เหมือนๆเดิม...
....มันจะสร้างปัญหาให้เตอร์ก..ขบคิดว่า.....
.....๑. ปริมาณทหารในค่ายจริงๆนั้น..อาจมีมาก..จนหาคนมาทดแทน..ได้จนถึงเวลานี้
.....๒. การเตรียมการป้องกัน..ลูกปืนใหญ่ที่ยิงเข้าไปนั้นดีมาก..เรียกว่า..มีคนตายไม่มาก...
...(ทำให้คิดว่า..ยิงไปตั้งเยอะ..คุ้มรึเปล่า...)....
........ไม่ต้องอิบราฮิมหรอก..แค่เป็นผม..ถ้าเป็นแม่ทัพก็หนักใจแล้ว...เพราะเวลาที่ผ่านไป..แทบไม่มี
ผล..กับประสิทธิภาพการป้องกันเมือง..หรือ..จำนวนทหาร..ที่ออกมาป้องกันเลย....
......แล้วจะทำยังไงดี......
.....ผมว่า..สุไลมานก็เหอะ..ก็คงกลุ้มเหมือนกัน..อย่าลืมว่า..การขึ้นสู่ตำแหน่งของ..อิบราฮิมปาชานั้น..
..ไม่ใช่ได้มาแบบปกติ..ปกติตำแหน่งมหาเสนบดี..นั้นมันต้องไต่เต้ามาอย่างยากลำบาก..แต่นี้เขาเล่น
ทางลัดมาตลอด..เพื่อเอาเพื่อนสนิทคนนี้ไต่เต้าแบบก้าวกระโดด..เขาเองนั้นเคยโดนระดับเสนาบดี
อวุโส..ของราชสำนักออตโตมันเตือนมาก่อนหน้า..ว่าทำแบบนี้ไม่ถูก..แต่เนื่องจากเขาเป็นสุลต่าน..
..เขาก็ไม่สน...
................................
................................
........เหตุการณ์ตอนนี้..มันบั่นทอน..อำนาจ..และความเชื่อมั่น..ของเหล่าทหารและ..เสนาบดีลงไปมาก
...แล้วในสถานการณ์นี้..เขาที่เป็นจอมทัพ..จะไปยุ่มย่าม..อิบราฮิมก็คงไม่พอใจ..เพราะเหมือนกับ
ไม่เชื่อมั่นในตัวเขา.....มันก็เลยสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก..เรียกว่าถ้าอิบราฮิมไม่ขอคำแนะนำ..
เป็นการส่วนตัว..สุไลมานก็ทำอะไรไม่ได้.....
...........................
...........ด้วยการวางแผนที่ดีของนิโคล่า..และ..ความอึดของพวกเขาทุกคน..ทำให้ทนสู้มาถึง..อาทิตย์
ที่ ๓ ..หอรบ..ของเตอร์ก..ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก..และ..ก็ต้องถูกทำลายไปด้วย..เหตุผลที่ผมกล่าว
มาในตอนก่อนๆ..เรื่องปืนใหญ่ของเตอร์ก..เริ่มมีปัญหา..ปัญหาที่ว่า..ไม่ใช่ปืนใหญ่เสีย..หรือ..อะไร...
...แต่คุณ..ลองนึกดูว่า..ปืนใหญ่..ประมาณ ๒๐ กระบอก..ยิงทุกวัน..คิดเอาวันละง่ายๆ..แบบอย่างน้อยนะ
คือ..กระบอกละ..๒๐ ครั้ง..สรุป..๑ วันยิงไปอย่างน้อย..๔๐๐ ลูก..๓อาทิตย์..ก็ปาเข้าไปน่าจะ..
..ประมาณ ๘,๔๐๐ – ๙,๐๐๐ ลูก..(..อาทิตย์ละ ๒,๘๐๐-๓,๐๐๐..ลูก).......
................นี่มันเกือบจะ..หมื่นลูก..แล้ว....สิ่งที่..ผบ.หน่วยปืนใหญ่..ต้องรายงานให้..อิบราฮิม...ทราบ
สถานการณ์..ซึ่งแน่นอน..สุไลมานย่อมทราบด้วย..ก็คือ..ถ้ายืดต่อไปอีก..อาทิตย์....ด้วยอัตราการยิง..
แบบนี้..คือ..จะเสียกระสุนปืนใหญ่ไป..ร่วม ๑๒,๐๐๐ ลูก.....ลองคิดดูว่า..ปริมาณมหาศาลขนาดไหน...
....ผมว่า..ลูกปืนใหญ่เตอร์ก..เหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว..แล้วจะเหลือ..ลูกปืนกี่ลูก..เพื่อเอาไปถล่ม..เวียนนา..
......แผนการมาครั้งนี้..ของสุไลมาน..มาเพื่อจะไป..ปิดล้อม..เวียนนา..นะครับ....
.....(คราวนี้..คงไม่แปลกใจแล้วนะ..ว่าเสร็จศึกที่นี่..ทำไม..สุไลมานมาถึง..กลับบ้านเลย..เลิกไปเวียนนา..)
........ตอนนี้..มันก็คงจะเริ่มกลืนไม่เข้า..คลายไม่ออกแล้ว..สำหรับ..เตอร์ก.......
....ถ้าอยากจบให้เร็ว..สุไลมานต้องสั่งเอง..ด้วยสถานะของการดำรงตำแหน่ง..จอมทัพ..ที่มีอำนาจสูงสุด..
...คือระดมพล..ทั้งหมด..แล้วถล่มแหลก...ไม่เกิน ๒ วัน..ไม่ว่าข้างในปราสาท..มันจะมีคนเท่าไหร่...
....ชนะแน่นอน...........แต่..............
.....๑. จะไม่มีอะไรเหลือหลอ..แม้แต่ชีวิต..เหลือแต่กองอิฐ..กับ..เศษเนื้อ..ซากศพ....เสียชื่อเสียง
กษัตริย์ที่น่าเกรงขามที่สุดของยุโรป..รบกับ..ทหารจำนวนกะผีกเดียว..สู้มาตั้งนาน..พอเอาชนะไม่ได้
ก็ไม่ต้องใช้กลศึกอะไรแล้ว..เอากำลังที่เหนือกว่ามหาศาลทุกด้าน..ถล่มจนราบ....
.......เรียกว่ารู้ไปถึงไหน..อายไปถึงนั่น.....สู้ถอนทัพไปเฉยๆ..แค่เสียหน้าหน่อย..แต่ไม่เสียศักดิ์ศรีมากมาย
ยังเท่ห์..ซะกว่า.......
.......๒. จะเป็นสร้างความอับอาย..และ..เสื่อมเกียรติ..กับ..อิบราฮิมเพื่อนรัก...ซึ่งอยู่ในสถานะแม่ทัพใหญ่..
..แสดงว่า..ไม่มีน้ำยา..จอมทัพ..ต้องมาจัดการให้เอง....แล้วเมื่อกลับไปอิสตันบุล..อิบราฮิม..จะยังดำรง
ตำแหน่ง..มหาเสนาบดีได้ยังไง..แค่ศึกกระจอก..ยังจัดการไม่ได้....ความน่าเชื่อถือของเขา..ที่สุไลมานปั้น
มา..ก็ต้องมาแหลก..เพราะมือของเขาเอง....
......วิธีการบุกต่างๆ..อิบราฮิม..ก็สรรหามา..เพื่อทำให้ชนะศึก..ไอ้พวกโครอัทบ้านี่ก็...อึดฉิบเป๋ง...มันยันได้
ตลอด...ถ้าจะคิดเอา BIG GUN มาใช้ตอนนี้..มันก็สายไปแล้ว..เสียหมาไปแล้ว....อิบราฮิมเอง..มันก็คง..
โคตรกลุ้ม..ไม่น้อยกว่า..สุไลมาน..ตอนนี้..ความสามัคคี..ในกองทัพเตอร์กก็แย่ลง..เพราะต่างฝ่ายต่างโทษกัน
.....................แต่ไอ้ที่กดดันมากๆ..มันคงเลยคำจัดความของกลุ้ม..ไปแล้ว..แถมเหนื่อยล้าสุดๆ.....
...ก็คือ..นิโคล่า...เวลายิ่งนาน..คนก็ลดลงไปเรื่อยๆ....เข้าอาทิตย์ที่ ๓ คนเหลือ..ไม่ถึง..๑ ใน ๔ แล้ว..
....ไหนจะปัญหาเรื่อง..ศพ..ในแต่ละวัน..ที่ต้องรีบฝัง..ไม่งั้นเรื่องโรคระบาดจะตามมา...ทั้งทหารและชาวบ้าน
ก็พักผ่อน..น้อยกันลงไปเรื่อยๆ..เพราะไหนจะต้องเข้าคิวกันหลอก..พวกเตอร์กว่า..คนยังมี..ทหารยังมี...
...ภาษามวย..ก็ต้องบอกว่า..”เก็บอาการ”..ให้ได้..เท่าที่ทำได้..ไม่ให้เห็นจุดอ่อน..ทั้งที่สองขามันแทบไม่มีแรง
แล้ว....
...................................
"คูเมืองชั้นกลาง..ตัดกับถนนราชดำเนิน..โดยมี..สะพานผ่าฟ้าลีลาศ..ข้าม"
"พอลงมาถึง..คูเมืองชั้นกลาง..อย่างคลองบางลำภู..ขนาดก็จะเล็กลงมา..แต่ใหญ่กว่า..ที่เห็นในปัจจุบันเยอะ"
ขออนุญาตแทรกเรื่องนี้นะครับ
"สะพานผ่านฟ้าลีลาศ
เป็นสะพานข้ามคลองรอบกรุง (ช่วงที่ชาวบ้านเรียกว่าคลองบางลำพู)
ในอดีตเคยเป็นสะพานไม้ ไม่ปรากฏว่าสะพานเดิมสร้างขึ้นเมื่อใด
เคยเปลี่ยนเป็นสะพานโค้งเหล็กพื้นไม้แบบเดียวกับสะพานนรรัตน์สถานบางลำพู
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ
ให้ปรับปรุงจากสะพานโครงเหล็กมาเป็นสะพานพื้นคอนกรีต อย่างที่เห็น
สะพานแห่งนี้เป็นสะพานโครงเหล็ก
ชนิดมีโครงเหล็กใต้โค้งข้างบน แบ่งเป็นสามตอน
พนักลูกกรงของราวสะพานทั้งสองข้างเป็นเหล็กหล่อ ลวดลายช่อดอกทานตะวัน
มีลวดลายประดับที่คานโค้งซึ่งรับกับตัวสะพานอยู่ด้านล่าง
ที่ปลายสะพานทั้งสองข้างมีเสาหินอ่อนประดับด้วยเครื่องสำริด เป็นลายเฟื่องอุบะที่หัวเสา
และเป็นสำริดรูปเรือไวกิ้งโบราณอยู่ที่กลางเสา"
เครดิต คุณ visitna จากเวปเรือนไทยวิชาการ
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5929.msg143499;topicseen#msg143499
ก่อนหน้านี้ เคยมีการพูดกันถึงขนาดของคลองคูเมือง ผมเห็นว่า ภาพนี้ คงสามารถแสดงขนาดของคลองคูเมืองชั้นกลาง (คลองบางลำพู) ได้เป็นอย่างดีครับ
....ขอบคุณ..คุณNARIS....ที่นำเรื่อง...และ..รูปภาพมาประกอบครับ...
.....ก็คงจะได้เห็นแล้ว..นะครับ..ว่า..คลองโอ่งอ่าง..หรือ..คลองบางลำพู..กว้าง..กว่าที่เห็นในปัจจุบันมาก..
...ในภาพ..เราจะเห็นลาดตลิ่ง..ชัดเจน.......
....ครับ..ถ้าไม่กว้าง..ก็คงไม่รู้จะทำไปทำไม..เพราะ..จุดประสงค์หลักเมื่อเริ่มต้นสร้างกรุงเทพนั้น...
....ไว้ป้องกันข้าศึก..จุดประสงค์รองไว้..สำหรับคมนาคม..
(..ภาพที่ถ่ายนี่..ถ่ายจากทิศเหนือ..ลงไปทางทิศใต้..จะเห็น..ป้อมมหากาฬทางขวาของภาพ..
..และทางซ้ายของภาพไกลๆนั่น..คือ..ภูเขาทอง..วัดสระเกศ..สังเกตสภาพเดิมของภูเขาทอง
..จะดูเหมือนภูเขาจริงๆ..เพราะมีการปลูกต้นไม้..ประกอบไว้..จนขึ้นเต็มไปหมดทั้งเขา.).
...................................
..............พอเข้าอาทิตย์ที่ ๔ (..เกือบเดือน)...เรียกว่า..ทั้งสองฝ่าย..นั้นอาการโคม่าแล้ว..แต่..โคม่าคนละอย่าง
...ของ..เตอร์ก..เป็น..อาการทางจิต......ของออสเตรีย..นี่..ใกล้ตาย..คนทั้งหมด..เหลือไม่ถึง..ร้อยแล้ว...
.....ผมว่าสัญญานเบิกทาง...น่าจะมาจากทางเตอร์กก่อน....เรียกว่า..ออกอาการคือ..เรื่องปืนใหญ่.....
...จำนวนการถล่ม..ยิงในแต่ละวัน..มันต้องลดลงแน่ๆ...เพราะคงล่อไปกว่าหมื่นลูก..แล้ว..............
......ซึ่ง...นิโคล่า..ต้องจับสังเกตุได้.....แล้วคนฉลาดอย่างเขา..มีเรอะที่จะประเมินไม่ออก...ว่า..ทำไม
ถึงเป็น..แบบนั้น......
..........เขาเลย..ตัดสินใจ..ในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด..ไม่ว่า..คนในเมือง..หรือ..พวกเตอร์กก็เหอะ....
.................................
....................ที่ผมเขียนมาตรงนี้..ถ้าเกิดใครไปอ่าน.ประวัติศาสตร์..หรือ..ข้อมูลเกี่ยวกับ..เรื่องนี้..
ไม่ว่า..จะจากWIKIPEDIA..หรือ..จากบทความอื่น..ที่เป็นภาษาอังกฤษ..ไม่ว่าจะเป็น..ประวัติศาสตร์
ยุโรปตอนกลาง..ประวัติศาสตร์อาณาจักรออตโตมัน..หรือ..ประวัติสาสตร์ของ..ออสเตรีย..มันจะไม่มี
อย่างที่ผมเล่า..เพราะอะไร..เพราะ..อย่างแรก..ทั้ง..ตุรกี..และ..ออสเตรีย..พยายามเขียน..ในรูปแบบ
ที่เข้าข้างตัวเอง...พอถึง..WIKIPEDIA..ก็ไม่รู้จะเอายังไงดี..เพราะไอ้เว็ปนี้มันชุ่ย..หยิบของคนโน้น..
มาโปะ..ของคนนี้..พอถึงเรื่องนี้..กูก็เลยเอาง่ายเข้าว่า..เขียนให้คนอ่านเลือกเอาเอง..แล้วกันว่าชอบ
แบบไหน...ใครมาอ่านเข้าก็ต้องมึน..เพราะมันไม่สรุปให้..ว่าอันไหนน่าเชื่อกว่า.....
.....ผมเคยบอกไปแล้ว..เรื่องไอ้วิกินี่..ตั้งแต่ศึกษาเรื่อง..กุรข่า..แล้ว..ว่ามันมั่วเรื่องจริงมาก..เพราะเอา
แต่ข้อมูลจากอังกฤษ..เกือบทั้งหมด..ไม่ได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือเลย......
..........เหมือนสมัยก่อน..นักประวัติศาสตร์ไทย..ต้องตกเป็นขี้ข้าทางความคิดให้กับ..ไอ้ฝรั่งเศษ..
..เพราะผู้เชี่ยวชาญโบราณคดี..ของไทย..ที่ไม่ค่อยมีใครอยากแตะ..เพราะท่านเป็นเจ้า..และมีลูกศิษย์
ลูกหามากมาย..และท่านไปเรียนที่ฝรั่งเศษ..แล้วก็มีคนที่ท่านเคารพเทิดทูนมากชื่อ..ยอร์จ..เซเดส์..
...ไอ้นี่มัน..ก็มาบอกวิเคราะห์..เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย..อ่านจารึกรุ่นเก่า..แล้วก็สรุปเป็นโน่นนี่..
...ท่านเชื่อมัน..และก็พยายามโน้มน้าว..ให้คนอื่นเชื่อ...ด้วยเครดิต..และ..มีส่วนในการชำระประวัติศาสตร์
ไทย...ทำให้..ประวัติศาสตร์ไทย..รวมถึง..ข้อความในจารึกต่างๆ..ก็เป็นไปตาม..ที่ไอ้ฝรั่งเศษนั่นมันมา
บอกทั้งหมด...พอต่อมานักประวัติศาสตร์ไทย..ที่เรียนสูง..และ..มีเครดิตมากขึ้น..ต้องรวมตัว...
..และ..แก้ไข..ข้อผิดพลาด..ต่างๆของไอ้ฝรั่งเศษนั่น..ใช้เวลามากกว่า ๒๐ ปี..ถึงจะยอมรับกันได้...
...เช่นกันครับ...ประวัติศาสตร์ที่ไหน...คนชาติอื่นมันจะมารู้..ในรายละเอียดมากว่า..คนพื้นถิ่นได้
ยังไง...มีแต่อาศัย..เครดิต..
................................................
...............ผมนั้น..มานั่งอ่านทั้งหมด..ไม่ว่า..ใครเขียน..ชาติไหน..แต่..ผมจะให้เครดิต..กับประวัติศาสตร์
ที่มาจากพื้นถิ่นมากกว่าเพื่อน..แต่ทั้งนี้..ความน่าจะเป็นและ..ความสอดคล้อง..ความเป็นไปได้..ต้องมี..
ด้วย..อะไรที่เป็นข้อมูลโดด..ไม่เข้าท่า..ผมตัดทิ้งหมด...ผู้อ่านไม่ทราบหรอกครับว่า..ผมนั้นใช้เวลามากมาย
ขนาดไหน..และการวิเคราะห์..การประเมิน..ก้พยายามทำอย่างรอบคอบ...เรียกว่า...
.........น้องๆวิทยานิพนธ์เลย.....เพราะเรื่องมันน่าสนใจ....
....อย่างที่คนแปลกใจว่า..๘๐๐ ทำไมสู้กับ..แสนสอง..ได้..ผมก็วิเคราะห์ให้ไปแล้ว..ว่า..ไอ้แสนสองนะ..
มันมา..แต่มัน..ไม่ได้ทำอะไรซะมากกว่าครึ่ง..อย่างที่พูดไปแล้ว..เหตุผล..เพราะอะไรก็บอกไปแล้ว....
.....ซึ่ง..ในWIKI..มันจะไม่บอกคุณหรอก.....
.............................
.....เรื่องนี้..ผลสรุป..แบ่งเป็นหลักๆจาก..หนังสือ..และ..ข้อมูลทั่วไป..แค่ ๒ รูปแบบ..คือ..
๑. เป็นข้อมูลจากทางออสเตรีย...นั่นก็คือ..เมื่อผ่านไป ๔ อาทิตย์..ฝ่ายเตอร์กหมดปัญญาที่จะเอาชนะได้
....จึงถอนทัพออกไป...และ..กลับกรุงอิสตันบุล..เพราะกำลังจะเข้าหน้าหนาว..ล้มเลิก..การเข้าตี..
กรุงเวียนนา..ไปโดยปริยาย....อย่าลืมนะครับว่า..ที่มีประวัติเขียนในออสเตรีย..เพราะเป็นสงคราม
ระหว่าง..ออสเตรีย..กับ..เตอร์ก..แม้เมืองกึ๊นส์..จะอยู่ในเขต..ฮังการี..แต่ขณะนั้น..อยู่ในความครอบครอง
ของ..ออสเตรีย...
...........................................
...........................................
๒. เป็นข้อมูลจากทางออตโตมัน..ที่เรียกว่า..สงครามนี้..เป็นสงครามเล็กๆ...ก็เวลาเดียวกันคือ..
เมื่อครบประมาณ ๔ อาทิตย์ตั้งแต่เริ่มการล้อมเมือง..ทางฝ่ายในเมืองก็ยกธงขาวยอมแพ้...เปิดประตู
ให้เตอร์ก..เข้าเมือง..เตอร์กก็ไปปลดธงเมืองออก..แล้ว..เอาธงเตอร์ก..ขึ้นยอดเสาของเมืองแทน...
...แต่เนื่องการการปิดล้อม..ทำให้ล่าช้า...เสียเวลานานไป..ทำให้เข้าใกล้หน้าหนาว..ซึ่งจะทำให้
การเข้าตี..กรุงเวียนนา..ลำบาก..ดังนั้นสุไลมานจึงเปลี่ยนแผน..กลับ..กรุงอิสตันบุล..และ..จริงๆไม่ได้
บอกด้วยว่า..ผู้บังคับการเมืองกึ๊นส์..คือใคร..ก็เรียกว่า..พยายามปิดบัง..บิดเบือน..และ..ไม่ให้ความ
สำคัญ..โดยสาเหตุที่เป็นเรื่องอับอาย..ของ..สุไลมานนั่นแหละ..
๓. ข้อมูลจากทางฮังการี..ที่มาสืบค้น..ข้อมูลประวัติศาสตร์เพิ่มเติม..จากทางพื้นที่จริง..รวมถึงอาศัย
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก..โครเอเทียด้วย..มีการขุดสำรวจทางโบราณคดี..และ..ค้นคว้าโดยละเอียด..จดหมาย
เหตุ..ของเมือง..ที่บันทึกจากคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์..เอาประกอบเข้าด้วยกัน..และทำการค้น
คว้าหลายรอบ..ประกอบการวิเคราะห์ความเป็นไปได้......
.........ซึ่งอันนี้..ผมได้อ่านและ..วิเคราะห์กับ..เรื่องราว..ความสมเหตุสมผล..แล้ว...น่าเชื่อถือกว่าเพื่อน..
...เพียงแต่บางอย่างผมตัดออก..บางอย่างผมตีความและขยายรายละเอียดต่อ.....ซึ่งผมจะได้เอามา
เล่าเป็นบทสรุปส่งท้ายต่อไป................
......ถ้าเรามา..วิเคราะห์..ข้อ ที่๑..และ..ข้อที่ ๒...ที่ผมไม่เลือกมา..ก็มีสาเหตุ..ดังนี้..
........................................................
...ข้อที่ ๑. สุไลมาน..เอาชนะไม่ได้..และ..เดินทางกลับ..อิสตันบุล..เฉยๆ....
.................................................
ก. ..ที่ผมว่า..ไม่น่าเป็นไปได้..เพราะมันผิดวิสัยของเตอร์ก....มันเหมือนเป็นการยอมรับความล้มเหลว..
..ของตัวเอง..ซึ่งไม่เคยมีปรากฏในประวัติศาสตร์...เพราะเคยมีที่ทำการแบบไม่สำเร็จ..แต่เตอร์กมันก็
ต้องไปตี..ที่อื่นเพื่อเรียกขวัญกำลังใจกับเหล่าทหารและ..เพื่อเกียรติของสุไลมาน....
ข. ถึงสุลต่านยอมจะทำแบบนั้น..แต่..แม่ทัพนายกอง..ขุนทหารต่างๆ..ต้องไม่ยอมแน่...เพราะเสีย
ศักดิ์ศรี...ดังนั้นก่อนจะกลับ..ก็คงจะต้องเอากำลังทั้งหมดถล่ม..ให้เมืองราบเป็นหน้ากลองซะก่อน..
..แล้วก็เอา..ธงรบของออตโตมันไปปัก.....(ถ้าถล่ม..แบบราบ..ก็ไม่ต้องถามหรอกครับว่า..ในเมืองจะ
มีชีวิตอะไรเหลือ..ผมว่าขนาดแมลงสาบ..ยังไม่น่าจะเหลือด้วยซ้ำ..คนเป็นแสน..ถล่มเมืองเล็กแค่นี้..)
..................................
...ข้อ ๒ ทหารรักษาเมืองยอมแพ้..ยกธงขาว..สุไลมานเข้าเมือง..ปลดธงประจำเมืองลง..เอาธงตัวเอง
ขึ้นชักแทน...แล้วเดินทางกลับ..อิสตันบุล.....(ข้อมูลจากทางตุรกี)
......................................
........ไอ้นี่หนักกว่า..ข้อ ๑.ของทางออสเตรียเยอะ.....มันไม่น่าเชื่อถืออย่างยิ่งเพราะ...ผิดธรรมเนียม
การยึดเมืองของ..เตอร์ก..ผมเคยเล่าไปหลายตอนก่อนที่ผ่านมา..คือ..เตอร์กจะไม่ไว้ชีวิต..ทหารระดับ
บังคับการ..และรองๆลงไป..ลงไปจนถึงหัวหมู่...เพราะถือหลักการว่า..ไม่ตีงูให้แค่หลังหัก..ต้องตัดหัวงู
ทิ้งด้วย..นอกจากนั้นยังต้องตัด..หัว...ผู้บัญชาการ..และ..และ..ระดับรองทุกคน..เสียบปลายหอก...
..ประจาน..ไว้ที่หน้าเมือง..(..แม้แต่..ในสงครามหลังจากนี้..สุไลมานก็ทำเช่นนี้..ไม่ว่าตีเมืองไหน..)....
....แต่นี่...เรื่องจริงก็คือ..ไม่ว่า..นิโคล่า..ที่เป็นผู้บัญชาการ..และ..ระดับรองของเขาบางคนที่เหลืออยู่....
ไม่ตาย..ยังใช้ชีวิตมีประวัติผลงานต่อไป...รวมถึง..ระดับพลทหารสิบยี่สิบกว่าคน..ก็ยังปลอดภัย..และ
ใช้ชีวิตต่อไป...เพราะถ้าเป็นการยึดจริง..พวกระดับพลทหาร..จะถูกจับไปใช้งานกุลี..ระหว่างรบ...
..และ..ขายต่อเป็นทาส..ไปในภายหลัง..เป็นอย่างนี้..มาตั้งแต่แรก..รวมถึง..หลังจากศึกครั้งนี้......
.............เหตุผล..ที่เตอร์ก..ต้องปั้นแต่งเรื่อง..ก็เพราะความอับอาย..ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้..จะให้มีอยู่
ในประวัติอัน..สวยหรูของสุไลมานผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้...เพราะขนาด..ที่ล้มเหลวใน..การล้อมกรุงเวียนนา
คราวก่อน..ก็ไปเขียนว่า..ยึดไม่ได้..เพราะแพ้เรื่องความหนาวเย็นอย่างเดียว...ทั้งๆที่จริงๆไม่ใช่...
....ยิ่งพอมาถึง..กำลังรบกระจอกอย่างเมืองกึ๊นส์...แล้วเอาชนะไม่ได้...ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่...ดังนั้น
ก็แต่งใหม่..ให้มันดูสวยงามซะ..เท่านั้นเอง.........
................................
................................
...............ต่อไปนี้..ผมจะเล่าต่อถึง..เรื่องที่มีแนวโน้มว่า..น่าจะเป็นยังงั้นจริงๆ..ซึ่งเป็นของทาง
ฮังการรี..ที่มีการตรวจสอบ..ข้อมูลอย่างละเอียดกว่า..ของคนอื่น..และมีเหตุผลเพียงพอให้ผม
เชื่อถือได้....................
.....ผมเล่าย้อนที่เล่าไปแล้วหน่อยนึงคือ..เมื่อถึงใกล้สิ้นสัปดาห์ที่ ๔ ..คาดว่า..ทั้งสองฝ่าย..ก็คง
เหลือจะทน..ทั้งคู่อย่างที่เล่าไปแล้ว..เมื่อ..นิโคล่าจับสัญญาณ..จากความถี่การยิงปืนใหญ่ที่ลดลง
...เหมือนเป็นโอกาศ..ของเขาที่เตรียมจะทำอะไรซักอย่าง..แต่โอกาศยังไม่มา...ก็ได้ช่องพอดี...
.........นิโคล่าตัดสินใจ..กระทำการหนึ่ง..ซึ่งส่งผลกับประวัติศาสตร์การรบ..ณ..ที่นั้น..อย่างที่..
ใคร..ก็นึกไม่ถึง..ทั้งชาวเมือง...และ...พวกเตอร์ก.......ก็คือ...
.........นิโคล่า..น่าจะให้สัญญานแก่..พวกเตอร์กคือ..การเจรจา..ระหว่างผู้บัญชาการของทั้งสองฝ่าย..
...ก็...น่าจะเป็น..หนังสือม้วนอยู่กับ..ลูกธนู..ยิงเข้าไป...เรื่องภาษาบอกแล้วครับว่า..ไม่มีปัญหา..เพราะ
เขาใช้ภาษากลางคือ..ภาษาเซอร์บ....คงจะเป็นการนัดแนะ..กันที่..บริเวณหน้าค่ายพัก..ของพวกเตอร์ก
...ซึ่ง...เมื่อสุไลมาน..รับหนังสือ..ก็ตอบตกลง..และ..นัดเวลา..พบกัน....ซึ่งนิโคล่า..ก็เปิดประตู..ออกจาก
ค่าย..เดินไปที่นัดพบตามเวลา(...แม้ว่าเตอร์กจะเถื่อนยังไง..ธรรมเนียมการรบ..มันก็ยังรักษา..ดังนั้น..
..ระหว่างนั้น..จะไม่มีการจับอาวุธ..ทั้งสองฝ่าย...นิโคล่าจึงสามารถ..เปิดประตูค่ายแล้ว..เดินออกไป
เจรจาได้...).......
..............การพบกันครั้งนี้.....ผมว่า..คนที่ดีใจ..คิดว่า..คงเป็นสุไลมานมากกว่า...เพราะอย่างที่ผมเคย
เล่า..ว่าเขาอึดอัดขนาดไหน....ที่ทุกอย่างไม่ได้อย่างใจ.....อย่างน้อยมันจะได้มีเรื่องเปลี่ยนบรรยากาศมั่ง
.......ส่วนพวกในเมือง..ก็ไม่ต้องพูดหรอกครับ..คงเป็นสวรรค์เลย..และก็นั่งตั้งหน้าตั้งตาสวดขอพรพระเจ้า
กันทั้งเมือง........
..............สำหรับนิโคล่า..นั้น..ไม่ว่าจะโทรมยังไง..ก่อนเขาออกไปก็ต้องอาบน้ำดกนหนวด..และ..
ก็ขุดชุดเก่ง..ดูดี..สมฐานะ..ออกไปเจอสุลต่านเตอร์ก..เรียกว่าให้ดูดี..และ..ไม่ให้ด้อยศักดิ์ศรี...
..เพราะ..ขณะนี้..คือระหว่างรบ....เขา..และ..สุไลมาน..ถือว่า..สถานะเสมอกัน..ก็คือ...
.....................อันดับ ๑....ของฝ่ายตนเอง....................
...และอีกอย่างเขาต้องไม่แสดงทีท่า..หงอ..หรือ..ทรุดโทรมให้..สุไลมานเห็นเป็นเด็ดขาด....
.........เพราะเขาถือว่า..สถานะ..ตอนนี้ทั้งสองฝ่าย..........คือ...เสมอกัน...ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกัน
............นี่คือ..หัวใจของการต่อรอง..ในการรบ...ถ้าไปต่อรองตอนที่สถานะของตนเองย่ำแย่...
.......................นั่นคือ...การกระทำของคนโง่....เพราะคุณจะไม่มีอำนาจ..ในการต่อรองนั้นเลย....
...........เมื่อตอนนี้..เตอร์กเริ่มออกอาการ..ที่เปลี่ยนไปให้เห็น..นั่นแหละที่คนอย่างนิโคล่าจึงเห็นว่า..
..........ได้เวลาแล้ว...เพราะ..เตอร์กก็แย่..เหมือนกัน..เพราะลูกปืนใหญ่ใกล้จะหมดแล้ว.....
...แต่ที่..นิโคล่า..คิดว่า..สิ่งที่ย่ำแย่กว่านั้นของเตอร์ก..คือ...อาหารนั่นเอง....คนเป็นแสน.....
..แล้ว..อยู่กับที่มาเกือบเดือน...ทั้งคน..ทั้งม้า....ต้องกินอาหาร..วันละเท่าไหร่...ต่อให้ขนมาเยอะ..
ยังไง..จนถึงเวลานี้..อาหารย่อมร่อยหรอ..ลงไปมาก..กองทัพของเตอร์ก..ก็จะอ่อนแอลงเอง...
โดยที่..นิโคล่า..ไม่ต้องทำอะไร....
.....แล้วยังเรื่อง..อากาศหนาวนั้น..นิโคล่าก็รู้ว่า..ไม่ว่ายังไง...ตอนนี้กองทัพของสุไลมาน..ไม่มีสภาพ
ที่ไปล้อมกรุงเวียนนาได้อีกแล้ว..ด้วยปัจจัยต่างๆ..ที่ผมอธิบายมา..เสร็จศึกก็ต้องรีบกลับ...อิสตันบุล
...เพราะด้วยการเดินทาง..ประมาณ ๕ เดือน..ถ้าเขาโอ้เอ้..เขาต้องผจญกรรมคล้ายคราวที่ไปล้อมเวียนนา
..แล้วเดินทางกลับ.....
...................................
ติดตามอ่านมาอย่างเงียบๆ จนมาจบเอาวันนี้ ครับ ก็ต้องขอขอบคุณท่าน modpong ที่กรุณาแปลเอกสารมาให้เราได้อ่านและได้ศึกษาประวัติศาสตร์สำคัญตอนหนึ่งในยุโรปครับ
งั้นจากนี้ไปขอแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ของยุโรปตอนนี้เลยแล้วกันครับ
ก็ไม่นึกว่าฝรั่งมันจะเม็กประวัติศาสตร์เข้าข้างตัวเองเหมือนกัน (ฮา)
เท่าที่อ่านมาคือ สรุปได้ว่าพวกเติร์กไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย ไม่รู้วิธีประเมิณกำลังข้าศึกอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ นับว่าเป็นโชคดีของ นิโคล่าเลยนะที่ นวนิยายเรื่องสามก๊กมันไปไม่ถึงอาณาจักรอ็อตโตมาน ในยุคนั้นไม่อย่างงั้นเมืองกิ้นคงเละ ไปตั้งแต่อาทิตย์แรกที่โดนล้อมไปแล้ว
1.ให้ทหารค่อยขว้างไม้ฝืนแบบจุดเพลิงเข้าไปเผาเมืองคือ ใช้ทหารระดมขว้างไม้จุดเพลิงเข้าไปในเมืองวันละ 4 เวลา ทหาร 100,000 คน แบ่งกะออกไป กะละ 25,000 คน ทำแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน เพื่อสร้างความวุ่นวายให้กับพลเมืองและทหารเมืองกิ้นให้ง้วนอยู่กับการดับไฟ (คือถึงจะดับทันก็คงจะสำลักควันไฟไปไม่น้อยซึ่งน่าจะช่วยตัดแรงและสร้างความอ่อนเพลียแก่กำลังพลของนิโคล่าไปอย่างมาก)
2.ให้ทหารปืนไฟและปืนใหญ่ยิงรบกวนทหารรักษากำแพง
3..ใช้ทหารที่เหลือ 20,000 คน คัดเฉพาะทหารเลวและรบไม่เก่ง ให้มันไปสร้างคันดินประชิดยอดกำแพงเมืองใช้ยุทธวิธีทหารนำเอาผ้าใส่ดิน คนละหนึ่งหาบวิ่งเข้าไปใกล้กำแพงเมืองเทกองใส่กันแบบทับถมกันไปเรื่อยๆ วิ่งเข้าวิ่งออกอย่างเร็ววันละ1,000 หอบ ทหารที่วิ่งเข้าใกล้กำแพงอาจจะโดนยิงตายไปบ้างแต่ไม่น่าจะเกินวันละ 1,000 ศพ 7วันก็ 7,000 ศพ เป็นอย่างมาก ก็ให้ศพทหารมันทับถมไปกับกองดินไปด้วยเลย กลัวอะไรยกทัพมาเรือนแสน และพอกองดินทับถมให้กองคันดินสูงจนเกือบเสมอกำแพงเมืองกิ้น ซึ้งถ้าดูจากรูปกำแพงก็ไม่ได้สูงใหญ่อะไรมาก แล้วจากนั้นให้ทหารวิ่งหาบบันไดขึ้นไปบนคันดินที่เป็น slot อย่างดีแล้วให้ทหารแนวหลังที่วิ่งตามมาเข้าไปประชิดใกล้บนกำแพงซึ่งจะง่ายกว่าเดิมเยอะ
สรุปถ้าทำทั้งสามอย่างพร้อมๆกันอย่างนี้ภายใน 7 วันเมืองกิ้นไม่รอดครับ
เติร์กมีดีก็แค่กำลังพลเยอะกว่าแต่แม่ทัพไม่มีสมอง
นี่ถ้าเป็นในสามก๊กก็เปรียบได้กับมวยคู่ระหว่าง ทหาร 7หมื่น ของพระมหาอุปราช โจโฉ ปราบเอาชนะ ทหาร 7แสนของพระเจ้าอ้วนเสียว
....ขอบคุณครับ..คุณOBEONE..ที่ให้ความคิดเห็น...ถูกต้องครับ.....
....แบบที่ว่า..ไม่รอดแน่...
....ถ้าอ่าน..ข้อมูลผมละเอียด..ผมแจงไปให้ทราบแล้วนะครับว่า....
สุไลมาน..และ..อิบราฮิม...ไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมด..เขาใช้เพียงแค่บางส่วน..เท่านั้น..
..เหตุผล..ทำไมเป็นอย่างนั้นลองย้อนกลับไปอ่านดูอีกทีครับ..แม้่แต่ตอนที่ทำอะไรไม่ได้..
(..ไอ้ที่สำคัญที่สุด..ศักดิ์ศรี..มันค้ำคออยู่...)....
.........................................
...ถ้าเปรียบ..ก็เหมือนกับ..ผู้ใหญ่สู้กับเด็ก...ผู้ใหญ่กลัวชาวบ้านหาว่า..รังแกเด็ก..
..ต่อให้..ใช้มือซ้าย..ข้างเดียว..ปรากฏว่า..ดันไป..เจอเด็กเก่ง..และเป็นมวยเข้า..
...ไล่ต่อย..ไปก็ได้แค่เฉี่ยวๆ..ถากๆ..โดนไม่จัง..เด็กฟุตเวอร์ก..หลบไปหลบมา..ได้..
....ไล่ต่อยไปเรื่อย..พอชัก..จะเริ่มหมดแรง...จะกลับ..มาใช้..มือตีนที่เหลือ..ก็ขายหน้าเขา
.....ก็ต้องทู่ซี้..ไล่ต่อยด้วยมือซ้ายข้างเดียวไป..จนหมดแรงไปเอง....
............................................................
....เขาก็ไม่ได้ใช้กำลังเพิ่ม...(เพราะอะไร..ผมก็แจงไปแล้วเช่นกัน)........
....เตอร์ก..ไม่ใช่ไม่เก่ง..ไม่ใช่ไม่ฉลาด...เพียงแต่ครั้งนี้..เขาพลาดที่จุดเริ่มต้น..ครับ..
....ประเมินสถานการณ์..และ..สมรรถนะ..คู่ต่อสู้ผิดพลาด..ครับ..ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้ครับ..
........................................
ช๊อตสุดท้าย ทำไห้ผมนึกถึงหนังเรื่องนึง KINGDOM OF HEAVEN เป็นหนังที่ผมชอบมาก ซาลาดิน เท่มากมายครับ
........หวัดดีครับ..คุณYUKIKAZE.....
......ผมก็ชอบเรื่องนี้เช่นกัน..ดูไปมากกว่า ๒๐ เที่ยว..เพราะต้องมาเพิ่มตอนที่..เขาออก DIRECTOR'S CUT..มา
...ร่วม..สามชั่วโมงครึ่ง...ถึง..จะเข้าใจในสิ่งที่ขาดหายไป..และเพิ่มอรรถรสในการดูเพิ่มขึ้น..ถ้าชอบต้องดู..เวอร์ชั่นนี้ครับ
.....หลังหนังสร้างเสร็จ..นักประวัติศาสตร์ออกมาสับ..ริดเลย์ สก็อต..ผู้กำกับ..หาว่าบิดเบือน..ยิ่งพวกแขก..ยิ่งออกมาโวย
......จริงๆแล้ว..เรื่องนี้..ต่างจาก..เรื่อง..นิโคล่า..ของผม..คือ..ซาลาดิน..นั้นใช้กำลังทั้งหมดครับ.....
....แต่ปัญหา..มันอยู่ที่..TEMPLE MOUNT...สุเหร่าทีี่สำคัญที่สุด..ของอิสลาม..เขาจึงโจมตีได้..เฉพาะใกล้กำแพงเมือง.
....ซาลาดิน..ต่อให้..แกไม่สน..แต่..สุลต่านและ..คนมุสลิมทั้งหมด..ยอมไม่ได้..ถ้า..สุเหร่าเป็นอะไรไป...
.........นั่นแหละ..คือ..หัวใจของ..เรื่องว่า..การที่..เบลเลี่ยนยืนหยัดอยู่ได้..นาน..รวมถึง..การที่มีกำแพงเมืองที่แข็งแรง..
....ประกอบ...ส่วนหลักการ..รบในช่องแคบ(..ผู้กำกับคนนี้..เข้าใจอยู่แล้วแล้ว(ช่องกำแพงที่แตก..))..ที่เหลือมันก็ต้องโม้กัน
บ้าง..เพื่อเสน่ห์ของเรื่อง.....
...................................
.......คนทั่วไปจะไม่ทราบว่า...แม้คาบสมุทรบอลข่านทางตอนกลาง..จะอยู่เรียกว่า..ทางใต้ของยุโรป..
....แต่จะ..แนวเขาพาดผ่านตอนกลาง(..กลับไปดูแผนที่ได้ครับ..)..ซึ่งมีแนวเทือกเขาคาร์พาเทียน..
ต่อกัน...บริเวณนี้..จะเป็นเหมือนกำแพง..ดักลมหนาว..และ..พายุหิมะ..ดังนั้น..หิมะ..และ..ลมหนาว
จะตกกันอย่างมหาศาล..ในแถบนี้(..ดัก..พายุหิมะ..ที่พัดมาจากตอนเหนือของยุโรป)......
..........สุไลมาน..ก็แทบตายมาแล้ว..ในครั้งนั้น....เขาจึงรู้ดี....
.........นิโคล่า..ก็คิดว่า..สุไลมานคงเข้าใจสถานการณ์ดี....ถึงได้วางแผนในการเจรจา....
..........................
..................เมื่อถึงเวลานัดหมาย..นิโคล่าก็ออกจากเมือง..ไปพบกับ..สุลต่านสุไลมานอย่างองอาจ...
...พร้อมกับ...ข้อเสนอคือ..................สงบศึก......สงบศึกนะครับ..ไม่ใช่จอมจำนน....เหมือนอย่างที่
..เตอร์กเอาไปเขียนใน..ประวัติศาสตร์....ความจริงแล้ว..การสงบศึกนั้น..เขากระทำกันด้วย..
..คู่กรณีทั้งสองฝ่าย..ที่มีกำลัง..และ..ศักยภาพใกล้เคียงกัน.....
.....แต่...คาดว่า..นิโคล่า..คงเอาเรื่องเหตุผล...ที่ตรงใจมาพูด..อย่างเช่น...ความจริงที่ว่า..
..........การรบที่นี่..มาเกือบเดือน..มันไม่มีค่าอะไรเลย..สูญเสียกันทั้งสองฝ่าย.....แล้วทางเตอร์กเอง
ก็อยู่ที่นี่ยืดเยื้อไปอีกไม่ได้..ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ผมพูดไปแล้ว..ซึ่งสุไลมานก็คงเห็นด้วยเรื่องนี้
...เพื่อ..การสงบศึกนี้เป็นไปด้วยดี..และเป็นการให้เกียรติ..และ..ยกย่องในตัวสุไลมาน..ที่ไม่ทำการรบ
ด้วยกำลังทั้งหมด..ไม่ใช้อาวุธหนักพังเมืองให้ย่อยยับ..พยายามรบกัน..ด้วยแผนการรบ..
........ก็ทำนองคล้ายๆ..เคารพในความเป็นสุภาพบุรุษของสุไลมาน..เขาจะยอมนำ..ธงรบ..ของ..
สุไลมาน..ขึ้นไปชักอยู่คู่กัน..กับ..ธงของเมืองกึ๊นส์...ถือเป็นการสงบศึกและ..ให้เกียรติกัน......แล้ว..
ก็ขอให้..ทางสุไลมานนำทัพกลับออกจากที่นี่ไป..โดยที่ทางเขาจะไม่มีการโจมตีใดๆ......
............ตามข้อมูลนั้น..บอกว่า..การตกลงนี้..ทำกันภายในวันเดียว..อย่างรวดเร็ว....
..นั่นก็แสดงว่า..เป็นที่พอใจของสุไลมาน..เพราะรูปแบบดังกล่าว..เมื่อชี้แจงต่อ..แม่ทัพนายกองที่ยัง
สงสัย..ก็จะหมดปัญหา..ยิ่งถ้าออกมาในแนวให้เกียรติกษัตริย์ของเขา..ก็ย่อมต้องผ่านไปด้วยดี..
..แม้ว่า..เนื้อแท้ทุกคน..โดยเฉพาะอิบราฮิม..หรือ..ผู้บัญชาการหน่วยกล้าตายที่เป็นกำลังรบหลัก..
อาจไม่พอใจนัก....แต่ทหารทุกคนนั้นก็คงดีใจที่จะได้กลับบ้าน...และด้วยเหตุผลต่างๆที่กล่าวมา..
เหล่าแม่ทัพนายกองก็..คงได้แถลงกับ..ลูกน้องเรื่องการล้มเลิก..การไปโจมตีเวียนนา.....
..........................
.........เมื่อ..นิโคล่า..กลับเข้าเมือง..เขาก็กลับมาพร้อมกับธงรบ..ของเตอร์ก..แล้วก็ทำการอย่างที่
ได้สัญญาไว้คือ..ชักธงรบเตอร์ก..ขึ้นไปคู่กับ..ธงประจำเมือง....
........เมื่อสุไลมานมองเห็น..ธงของตัวเองขึ้นไปอยู่เคียงกับ..ธงประจำเมือง..เข้าก็พอใจ..และประกาศ
ยุติการปิดล้อมให้เหล่าทหารหาญเตอร์กทราบ..และก็ดำเนินการ..ถอนเต๊นท์..และเดินทางกลับ...
....ซึ่งการรบครั้งนี้..ไม่มีเตอร์กคนไหน..หรือ..แม้แต่..สุไลมาน..เข้าไปในเขตกำแพงได้แม้แต่คนเดียว...
.......................
.......................
......เมื่อ..กองทัพเตอร์กเคลื่อนย้ายออกไป..จากเขตเมืองเท่านั้น..
....นิโคล่า..ก็นำธงรบของเตอร์ก..ลงมาเหลือ..แต่ธงประจำเมือง...
...แล้ว....ระฆังทุกตัวในโบสถ์..และ..ในปราสาท...............
..(.ซึ่งตามข้อมูลนั้นคือ..เวลา ๑๑.๐๐ น.)..
..ที่ยังใช้งานได้..ก็เปล่งเสียงติดต่อกันไม่ขาดเป็นชั่วโมง..เป็นการเฉลิมฉลอง..ท่ามกลางสภาพปรักหักพัง
ของเมือง..พร้อมกับเสียงสวดมนต์กึกก้องในโบสถ์..เพื่อสรรเสริญ..และ..ขอบคุณพระเจ้า..ทั้งๆที่รู้ว่า..
....คนที่ช่วยให้เมืองนี้รอดหายนะ..ก็คือ..นิโคล่า..ก็ตาม..
...ตามข้อมูลที่สืบค้นจากทาง..ตัวเมืองนั้น..เหลือ..ประชาชนและ..ทหารรวมกัน..ประมาณ ๒๐๐
(..อันนี้..ก็ไม่เป็นทางการ).....แต่ที่แน่ๆ..คือ..ทหารเหลือแค่..หลับสิบ..เท่านั้น....
......ตกกลางคืน..ทุกคนที่เหลืออยู่..และยังพอลุกได้แม้จะบาดเจ็บก็ตาม..ก็..ฉลองชัยกันตลอดคืน....
.........ตลอด..สี่อาทิตย์..ที่มีแต่เสียงปืนใหญ่..เสียงบาดเจ็บครวญครางของทหารและ..ชาวบ้าน.....
..............มาบัดนี้..เหลือแต่เสียงหัวเราะ..และ..ร้องรำทำเพลง...เหล้า..ไวน์..ที่เก็บไว้ก็นำมาฉลองกัน
..ทั่วทั้งเมือง........รอจนถึงพรุ่งนี้..ที่ทุกคนก็จะมีหน้าที่..หนักในการ..เก็บศพ..ฝังศพ..รื้อ..และ..ซ่อมสร้าง
....เพื่อทำให้เมือง..ได้กลับมา..เป็นที่พักพิงของพวกเขาอีกครั้ง.....
................ส่วนเมื่อ...กองทัพเตอร์ก..จากไปแล้ว..นิโคล่า..ส่งลูกน้องตามไปดู..ทิสทางการเดินทัพ..ของ
พวกเตอร์กอีกระยะ..จนแน่ใจ..เมื่อกลับมารายงานที่เขาแล้ว..เขาจึงส่งลูกน้องเดินทางไปเวียนนา..เพื่อ
แจ้งข่าว..การเดินทางของพวกเตอร์ก..กับ..เฟอร์ดินานด์อีกครั้ง....
.........................
..........ส่วนเหตุผล..ที่ผมเลือกในแนวทางข้อ ๓. เพราะความสมเหตุสมผล...ด้วยที่ฝ่ายเตอร์กจะกลับไป
เฉยๆนั้นมันยาก..เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าอับอาย..ถึงแม้ยุคนั้นไม่มีสื่อ..คนที่เหลือรอด..มันก็ไปเล่าต่อกันได้
..ไอ้ที่สำคัญกว่าคือ..ภายในกองทัพของตัวเอง..นั่นแหละเรื่องใหญ่..สุลต่านจะยกทัพกลับเฉยๆ..ตัวสุลต่าน
เองก็ต้องคิดแล้วว่า..ลูกน้องมันจะยอมรับได้ยังไง...
........แต่การที่..นิโคล่า..เสนอทางออกให้นั้น..ทหารระดับขุนพลของเตอร๋ก..ก็ต้องยอมรับได้...เพราะทุกคนใน
ที่นั้น..ตระหนักได้ว่า..ฝ่ายตรงข้ามมี..ขุนพลที่แกร่งกล้า..และ..เก่งกาจ..เขาคือผู้นำของฝ่ายตรงข้าม...
..เมื่อ..เขาให้เกียรติ..ในการสงบศึก..ครั้งนี้..โดยเอาธงรบของพวกตน..ที่เป็นทั้งตัวแทนของ..สุไลมาน..และ..
กองทัพเตอร์ก..ขึ้นชักคู่..กับธงของเมืองเขา...ก็เป็นการให้เกียรติและเคารพในฝีมือ..ซึ่งกันและกัน...
....เป็นการสงบศึก...ที่ไม่มีอะไรต้องติดค้าง..ทั้งสองฝ่ายรบอย่างมีเกียรติ..ทั้งคู่..ในการรบครั้งนี้....
..........เป็นการยกย่อง..ทั้งสองฝ่ายเสมอกัน.........
.....อย่างนี้แหละครับ..ที่ผมว่า..สุไลมาน..กับ..เหล่าขุนพล..ยอมรับได้..เพราะ..สมเหตุสมผล.....
...นักรบที่ดี..นั้นถือเรื่องเกียรติเป็นสำคัญ..ไม่ว่าชาติไหน..และ..เคารพยกย่องผู้เก่งกล้าในสนามรบ..
....แม้แต่..ฝ่ายตรงข้าม....ยกตัวอย่าง..เช่น..เครื่องบินของ..บารอนแมนเฟรด วอน ริชโทเฟ่น...หรือ...
ที่เรารู้จักกันนาม..เรดบารอน...ตกลงในเขตของฝ่ายสัมพันธมิตร....และตัวเขาตายคา..เครื่องบิน..
....ทหารสัมพันธมิตรทุกคน..รู้จักว่าเขาเป็นใคร...และ..เขาเก่งกาจขนาดไหน..แม้เขาจะยิงเครื่องบิน
ของฝ่ายสัมพันธมิตรตกมากมายกว่าใคร..แต่ใครๆก็นับถือเขา....
...................ทหารสัมพันธมิตร...ยังเรียงแถวยิงปืนขึ้นฟ้าสดุดี..และ..ไว้อาลัยเขา..พร้อม..
นำศพของเขา..พร้อมกองเกียรติยศ..ไปมอบให้กับ..เยอรมันอย่างสมเกียรติ..
.................นี่แหละครับ..นักรบที่ดี..ย่อมให้เกียรติ..นักรบฝ่ายตรงข้าม..เช่นกัน.......
.......................
......เรื่องประวัติศาสตร์ของเตอร์ก..ที่ไปเขียนกันทีหลังนั้น..คนเขียนไม่ใช่นักรบ..แต่เป็นนักเขียน..
...เพราะฉะนั้น..เขาต้องเขียนสิ่งที่จะไม่ทำให้..คนของเขาที่ศรัทธา..สุไลมานดุจพระเจ้า..เสื่อมคลาย
...ในความเก่งกาจ..เหนือใครของเขาได้...ก็คงต้องบิดเบือน..และ..ตัดทอนบางส่วนออกไปซะ..ให้มันดูดี
..ก็แค่นั้นเอง....
.........................
.........................
........นิโคล่า..ได้รับการยกย่องจากเฟอร์ดินานด์...รวมทั้งเงินช่วยเหลือ..การบูรณะเมือง...ให้กลับไปสมบูรณ์
...เขาเองหลังจากนั้น..ไม่กี่ปี..ก็ได้รับตำแหน่งเทียบเท่าบารอน..และ..เป็นผู้บัญชาการกองทหารของโครเอเทีย
ทั้งหมด..นอกจากนี้..ก็ยังเป็นผู้บัญชาการทหาร..ของ..ออสเตรียตอนใต้(..ติดชายแดน..และ..ลงใต้เข้าไปในเขต
โครเอเทีย)..รวมไปถึง..แคว้นสลาโวเนีย..ที่เดิมอยู่ในความครอบครองของฮังการี..ด้วย..เขาแต่งงานกับ..
สาวจากตระกูลขุนนางชั้นสูงของฮังการี..เมื่อปี ๑๕๔๑...และไม่ว่า..การงานด้านทหารของเขาจะมีอาณาเขต
กว้างขวาง..ต้องเดินทางไปไหน..ก็ตาม..กึ๊นส์..หรือ..โคสเซ็กซ์...ก็ยังคงเป็นบ้านของเขาอยู่ตลอด.....
....เพราะเขาก็กลับมาตาย..ในสมรภูมิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา..คือ..เมืองกึ๊นซ์..ในปี ๑๕๔๕...
.....................
.......สำหรับเมืองกึ๊นซ์...นั้น..นอกจากจะมีรูปปั้นของ..นิโคล่า..เพื่อรำลึกถึง..วีรกรรมแล้ว...
....ทุกวันที่ ๓๐-๓๑ สิงหาคม..ของทุกปี..ก็จะมีการฉลองที่ยิ่งใหญ่..เพราะเป็นวันที่..พวกเตอร์ก
ได้ถอนทัพ..ออกไป...จะมีการแต่งตัวย้อนยุค..เดินพาเหรดในเมือง..มีการจำลองการปิดล้อมของ
พวกเตอร์ก..การต่อสู้ป้องกันของทหารและชาวเมือง...เรียกว่า..กิจการทุกอย่างปิดหมด..เฉลิมฉลอง
กันอย่างเดียว...๒ วัน.....
.......................
.............เรื่องนี้..สอนให้คนทั่วไปรู้ว่า...ปัญหาที่ใหญ่มหาศาลเข้ามา..แม้ดูจะเกินกำลังของตน....
...แต่เมื่อ..มันเป็นสิ่งเผชิญหน้ากับเราโดยตรง...ก็ต้องคิดสู้กับมันเองก่อน...อย่าไปหวังพึ่งใครมาช่วย
..เพราะ..คนอื่นเขาไม่ได้เดือดร้อนด้วย..เขาอาจจะช่วยหรือ..ไม่ช่วยก็ได้..แล้ว..เขาจะช่วยเมื่อไหร่..
..พอคิดจะช่วย..มันอาจจะสายไปแล้ว......
.........ตนเป็นที่พึ่งของตน..นั้นต้องมาก่อน...และ..ต้องใช้สติพิจารณา..ปัญหานั้นๆ..พร้อมกับ..
พิจารณาตนเอง..ว่าเรามีปัจจัยอะไรบ้าง..มีความสามารถแค่ไหน..มีอะไรอยู่ในมือ..ปัญหามันใหญ่..
..สู้ธรรมดาไม่ได้..ก็ต้องพลิกแพลงเอา...รอบคอบ..และ..ประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา..ไม่ละเลย..
..ที่สำคัญคือ..ต้องอึด..และ..อดทน..ถึงแพ้..ก็ยังภูมิใจว่า..ทำเต็มที่แล้ว..แต่ถ้าผ่านมันไปได้...
.....มันก็จะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่...
.................................
....ครับ..จบแล้ว..หวังว่า..ท่านผู้อ่านคงได้อะไรไว้ประดับสมองกันบ้าง..แม้เล็กน้อยก็ถือว่า..
ผมเขียนไปไม่สูญเปล่า..ครับ...ไอ้เรื่องที่จะเขียนต่อเดิม..ว่าจะเขียนต่อเลย....
...แต่..ผมรู้สึกเนือยๆตอนนี้...ก็ขอพักก่อน...ซักหลายเดือน..แล้วค่อยมาต่อกันใหม่ตามสัญญาครับ..
...........................
................
...............
..............
........ภาพแรกนั้น..ไม่ทราบที่ครับ..น่าจะอยู่กับ..อนุสรณ์สถาน....
........ภาพที่สอง..นั้น..อยู่ที่เมืองกึ๊นซ์ ( โคสเซ็กส์)..ในฮังการี....
........ภาพที่สาม..อยู่ที่เมืองเซนจ์..บ้านเกิดของ..นิโคล่า..ในโครเอเทีย...
........ภาพที่สี่..อยู่ที่เมืองหลวง ซาเกร็บ..โครเอเทีย.....
ขอบคุณครับ ที่เสียละเวลามาเล่ามาเขียนให้ความรู้ประดับในสมองน้อยๆของผม หวังว่าคราวหน้าจะมีเรื่องดีๆมาเขียนให้อ่านอีกนะครับ รอได้ครับ
ขอบคุณมากครับ อ่านกันมานาน ได้เกล็ดความรู้มากมาย ขอบพระคุณครับ
รอติดตามเรื่องใหม่ๆๆอยู่ตลอดไปครับ
........ขอบคุณเช่นกันครับ...คุณAPCและคุณCHAITANA.....
....ที่แจ้งให้ผมทราบ..ว่า..ได้ความรู้ไปประดับสมอง..จากบทความของผม..
....แค่นี้..ก็..ดีใจมากแล้วครับ..ที่ไม่เสียหลาย..เขียนไอ้โน่น..ไอ้นี่..เลี้ยวไป..เลี้ยวมา
......ก็ซัก ..ไม่เกิน ๒-๓ เดือนครับ..ชาร์จพลังหน่อย..คนแก่ครับ..แบตฯมันเก่า..
ต้องชาร์จไฟนาน..หน่อยๆ....เรื่องที่จะเขียนนะ..มันมีอยู่ในสมองอยู่แล้วครับ..
...เพราะสัญญาไว้..อย่างเช่น...ยอดกษัตริย์..แจน โซบีสกี่...
....และ..๒แสน..ถล่ม..๒พัน..ยอดคน..นิโคล่า ภาค ๒.....
....ก็..รอ..ติดตามกันได้...........
โอย สนุกมากครับ ผมติดตามอ่านมาตลอด และจะว่าไป ผมชอบการเลี้ยวออกนอกทางหลักเสียด้วย เพราะไม่ใช่เลี้ยวออกไปจนเสียเรื่อง แต่เป็นการเลี้ยวไปชี้ชวนให้ชมสิ่งอื่นๆ ที่ประกอบกับเรื่องหลัก ทำให้เข้าใจเรื่องหลักมากขึ้น (ซึ่งผมก็มาชวนเลี้ยวออกนอกทางอยู่หนึ่งครั้ง แหะๆ)
อ่านการรบครั้งนี้ ผมนึกถึงการรบของประเทศเราคราวหนึ่ง นั่นคือคราวศึกอะแซหวุ่นกี้ ซึ่งในคราวนั้น ทัพพม่าก็มีกำลังมากกว่าทัพเมืองพิษณุโลกของเจ้าพระยาทั้ง 2 ท่านอยู่ไม่น้อย แต่เนื่องจากความต้องการให้การรบครั้งนั้นเป็นการแสดงฝีมือของทัพพม่า อะแซหวุ่นกี้ จึงทำอะไรหลายๆอย่าง เช่น ไม่ชิงความได้เปรียบด้วยการเข้าตีทันทีที่ยกทัพมาถึง แต่รอให้เจ้าพระยาจักรียกทัพเข้าไปสมทบกับเจ้าพระยาสุรสีห์ก่อน การจัดกองทหารแบบเดียวกัน จำนวนเท่ากันออกไปรบกางแปลง ฯลฯ ทำให้ทัพพม่าหักเอาเมืองพิษณุโลกไม่ได้
แต่เนื่องจากเกิดโรคระบาดในเมืองพิษณุโลก ข้างทัพพม่าก็เริ่มขัดสนเสบียง การรบเลยเลิกแล้วต่อกันด้วยการเจรจาอย่างให้เกียรติต่อกันแล้วเกิดกรณีการขอดูตัวแม่ทัพดังที่เราได้ทราบกันในประวัติศาสตร์
ไม่ทราบว่า กรณีทั้งสองนี้ มีความคล้ายคลึงกันบ้างหรือไม่ครับ
....ขอบคุณครับ..คุณNARIS..ที่ติดตามและ..ชื่นชมบทความของผม...
.....เรื่องศึกพิษณุโลก..นี่ต่างกันครับ...เพราะ..
๑. ขนาดของเมือง..เป็นขนาดใหญ่...กึ๊นส์นี่เมืองเล็ก...
๒. กำลังทัพแม้พม่า..จะมากกว่า..แต่ไม่ได้ต่างกัน..มหาศาล..แบบเป็น ๑:๑๐๐..แบบที่กึ๊นส์นี่....
ต่างกันไม่ถึง ๑:๑๐...ด้วยซ้ำ.....
๓. ฝ่ายบุก..คือ..พม่า..เปิดศึกการรบเต็มรูปแบบ..ใช้กำลังทั้งหมด..เข้ารบ...
แต่เคอร์ก..ไม่ได้รบเต็มรูปแบบ..ใช้แค่กำลังบางส่วน.....
๔. ฝ่ายบุก..คือ..พม่า..เป็นฝ่ายขอดูตัวแม่ทัพฝ่ายไทย..เพราะทึ่งในฝีมือ..และ
ไม่เคยรู้จักมาก่อน...
........แต่..ฝ่ายเตอร์กไม่ได้ขอดูตัว..เพราะทั้ง..สุไลมาน..และ..อิบราฮิม..รู้จัก..นิโคล่าอยู่ก่อนแล้ว
....และ..ฝ่ายนิโคล่า..ที่ตั้งรับ..เป็นฝ่ายเข้าไปขอเจรจาก่อน...
๕. ฝ่ายไทย..แม้คนน้อย..แต่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบ(มีปืนใหญ่ด้วย)...
.................ฝ่ายนิโคล่า..นอกจากจะคนน้อยต่างกันเยอะแล้ว...ไม่มีอาวุธหนัก..อย่างปืนใหญ่..แม้แต่กระบอกเดียว..
๖. ฝ่ายไทย..กำลังในการรบ..คือ..ทหาร....แต่ฝ่ายนิโคล่า..เป็นกำลังผสมคือ..ชาวบ้านกับทหาร...
.............เอาแค่นี้พอครับ......
........สรุปคือ..ต่างกันครับ....
ผมตืดตามอ่านเรื่องนี้ ได้ความรู้มากทีเดียว การอ่านเรื่องนี้เรื่องเดียวแต่ได้ความรู้ในหลายเรื่องมากครับ ของคุณสำหรับประวัติศาสตร์ดีๆ
แบบนี้ ลักษณะการเขียนแบบนี้ทำให้เข้าใจได้ง่าย ขอเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนครับ
ขอบคุณมากครับ ที่กรุณาสละเวลามาเขียนให้ความรู้ ผมติดตามอ่านมาจนจบ ต้องบอกว่าทั้งสนุกและได้เกร็ดความรู้มากมาย
ขอให้กรุณาช่วยเขียนเรื่องราวสนุกๆเช่นนี้อีกเรื่อยๆนะครับ จะติดตามอ่าน
ขอบคุณสำหรับความรู้ทั้งหมดครับ รออ่านเรื่องใหม่นะครับ :)
....ขอบคุณเช่นกันครับ..คุณP55..คุณ8IAM..และ..คุณBIRD..ที่ชิ่นชมกับบทความผม..
.....ครับ..กลับมาเขียนแน่นอนครับ..ไม่ต้องห่วง..แล้ว..เรื่องสไตล์การเขียนก็ไม่ต้อง
ห่วงครับ..ไม่เปลี่ยนแน่นอน..อะไรที่พัวพันเข้ามาเกี่ยวในเรื่อง..แล้วจะแตกความรู้
..ออกไปได้..ผมก็จะเลี้ยวไปทันที..ไม่รีรอ..เพื่อเพิ่มสาระและ..ความรู้เพิ่มเติม..ให้ผู้อ่าน
....ตามแบบฉบับเดิมของผมครับ.....สั้นๆ..ไม่...รวบๆ..ก็..ไม่..ตรงๆ...ยิ่ง..ไม่ใหญ่...
.....ออกแนว...ไอ้แก่อินดี้..ครับ...
ขอถามหน่อยครับ ผมดูหนังเรื่องดาบมังกรฟัดของเฉินหลงแสดงที่มีกองทัพโรมบุกมาถึงเมืองจีนนี้มันมีเรื่องจริงอยู่รึป่าวครับ
ขอบคุณมากครับ รอติดตามเรื่องต่อไปนะครับ
กลับบ้านมาเปิดคอม ต้องรีบมาอ่านกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกเลยครับ ขอบคุณมากๆครับ
...ขอบคุณครับ..คุณLIMMNAJAA..ที่ชื่นชอบบทความผม.....
....สำหรับ..คุณZADDMAN...นี่ผมขอตอบให้แบบนี้แล้วกัน....
..........................
......ผมละ..ขอร้องเลยถ้าถามเรื่องประวัติศาสตร์...ที่มาจากหนังที่ทำจากประเทศจีน..
...เพราะการอ้างอิงประวัติศาสตร์จีน..ที่เกี่ยวพันกับชาติอื่น..จะเว้อร์..ทั้งนั้น...
.....ก็คุณดูซิว่า...ประวัติศาสตร์จีน..มันบอกว่า..ไทยเป็นเมืองขึ้นมัน..เพราะส่งเครื่อง
บรรณาการให้มันทุกปี...มันมองว่า..บรรณาการที่เรามอบให้เป็น..”ส่วย”..ไม่ได้มองว่า..
..เป็นเรื่องของการผูกมิตร...ฉันใด..ก็..ฉันนั้น.....
......ความจริงเรื่องนี้..มันต้องอธิบายกันยาว..มีรูปภาพ..ประกอบเยอะ..ถึงจะเข้าใจ..ผมให้คุณ
..ไปเซิร์จรูปภาพใน..กูเกิ้ล..เอาเอง..ว่า..อาณาจักรโรมัน..กับ..อาณาจักรฮั่นตะวันตก(ร่วมสมัยกัน)..นะช่วง
ที่เจริญรุ่งเรือง..ที่สุด..มันห่างกันขนาดไหน....โดยดู..ทะเลสาบแคสเปี้ยน(ทะเลสาปน้ำจืดใหญ่ที่สุด
ในโลก)..เป็นสำคัญ...เพราะทั้งสองเจ้านี้..ไม่เคยเข้าไปได้ใกล้..ทะเลสาปนี้เลย...ระยะห่างกัน..
หลายๆพันไมล์...แล้วไอ้กองทัพโรมัน..มันจะมาเจอกับกองทัพจีนได้ยังไง...สรุปคือ..ตอแหล...
....มันแค่..เคยมีเสี้ยวหนึ่ง..ในช่วงนั้น...ในการรบที่ ZHIZHI ซึ่งกองทัพฮั่นยกไปปราบพวกเซียงหนู..
(..เผ่ากึ่งเร่ร่อน..ที่เป็นสายพันธ์เดียวกับ..มองโกล..อยู่ทางทิศตะวันตกเฉีงเหนือ..ของจีน..และ...อยู่
ในบางส่วนของทุ่งเสต็ปป์)..ไปพบทหารแค่กลุ่มเดียว..ที่แต่งตัวแปลกตัวใหญ่..มีรูแบบการรบ..ที่แปลกไป
..และ..ไม่ใช่เซียงหนู..มีการใช้โล่ห์ตั้งขบวนรบแบบ”เกล็ดปลา”..(..ก็คือ..รูปแบบของทหารโรมัน..)...
.....เพราะจริงแล้ว..พวกเซียงหนู..ที่ชอบปล้นชาวบ้านนี้..คือ..เดินทางไกล..ไปจนถึงอาณาจักรพาร์เที่ยน..
(ที่ไกลไป..ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้...ร่วมพันไมล์..)
ไปรบ..แล้วจับเชลยที่เป็นนักรบรับจ้างที่เป็นกองทหารเล็กๆชาวโรมันมา..เพราะเห็นว่าพวกนี้น่ากลัวดีก็เลย
เอามาเป็นทหารของตน...ที่มาของพวกนี้..ก็คือ..การขยายดินแดนไปทางตะวันออกของโรมัน..แล้วไปไม่รอด
เคยมาโจมตี..ชายแดนของ..พาร์เที่ยน..แล้วพ่ายแพ้..ทหารโรมันก็ถูกจับเป็นเชลย..จำนวนไม่น้อย..พาร์เที่ยน..
ก็เลย..เอาทหารโรมันที่เหลือบางส่วน..เอามาไว้ใช้เป็นทหารของตน................
..........สรุปว่า..ทหารจีน..เคยเจอ..ทหารโรมันจริง..แต่..ไม่ใช่กองทัพ..แต่เป็น..แค่หน่วยเล็ก..ของเผ่าเซียงหนู..
.....และ..กองทัพโรมัน..และ..กองทัพจีน..ไม่เคยมีการปะทะกัน..แม้แต่ครั้งเดียว....
....ขอบเขตอาณาจักรทั้งสอง..ห่างกัน..หลายๆพันไมล์.....
..........ดูหนังจีน..แล้วอย่าไปอินมาก...ยิ่งถ้าเกี่ยวข้องกับ..ชาติอื่น....
....ยิ่งเป็น..ไอ้เฉินหลง..ยิ่งแล้ว....ไอ้กิมย้งยิ่งไปกันใหญ่...
....ก้วยเจ๋ง...ยังไปเป็น..ราชบุตรเขย..ของเจงกิสข่าน....
...ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิง..เป็นหัวหน้านายธง..ของพรรคเม้งก่า..เป็นลูกน้องเตียบ่อกี้มาก่อน..
...อุ้ยเซี่ยวป้อ..เป็น..เพื่อนสนิทตบกบาลกันได้กับ..จักรพรรดิคังซี...
.............ดูเอามัน..อย่างเดียวพอ..........
โห๋ ยาวมากเลยครับกว่าจะอ่านจบ ขอคุณมากๆ นะครับ สนุกมาก
ยังรอ อ่าน เรื่อง ต่อไปนะครับ
ผมก็รออ่านอยู่ครับ เป็น ผู้อ่านที่ดีมาก
อ่านเงียบๆ
.....ขอบคุณครับ..คุณJEAB..ที่ยังรออ่านอยู่....ผมหายหน้าเป็นปีเลย..เข้ามาดูอีกทีแปลกใจว่า..ไอ้เรื่อง ๘๐๐ ของผม
..มันยังอยู่หน้าแรก..แถวต้นๆ..พอมาดูจำนวนครั้งที่เเปิดอ่าน..ก็เพิ่มขึ้นมาก..ทั้งๆที่เรื่องจบไปแล้ว..
...ก็..แสดงว่า..ยังมีคนสนใจแนวทาง..และ..รูปแบบที่นำเสนอ..แบบไม่เหมือนชาวบ้านเขา..พอควร...
....ครับ..ผมบอกไว้แล้วว่า..จะกลับมา..ก็จะกลับมา..ครับ..ในเรื่องใหม่..แต่..แนวเขียนไม่เปลี่ยน
..เพราะมันเป็นตัวผม...ถ้าไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค..ก็เร็วๆนี้..แต่ถ้าหายไปอีกก็แสดงว่า..มีอุปสรรค..ครับ...
ขอบคุณมากครับสำหรับกระทู้ดีดี
เป็นเรื่องราวที่น่าติดตามมากๆมันในแต่ละตอน
ผมอ่านยังไม่ถึงไหนเลยแต่ก็สนุกมากผู้เขียนเอง
เขียนเเละเล่าได้ดีมากๆในแต่ละบนความที่เขียน
มาทำห้รู้เรื่องราวใหม่มากมายเลย เหมือนกับว่า
เปิดดลกอีกใบที่ไม่รู้จัก เป็นสิ่งที่ดีมากเลยครับ
หวังว่าจะเขียนผลงานออกมาให้อ่านให้ติดตามต่อ
ไปนะครับ ความรู้ที่เราไม่หยุดค้นหามันมันจะสร้าง
ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ให้กับเรา