เป็นที่รู้กันว่า จำนวนหัวรบอาวุธนิวเคลียของจีนพอๆกับ อังกฤษ และ ฝรั่งเศส คือไม่เกิน 300หัวรบ (บางแหล่งข่าวบอกว่าจีนมีประมาณ 220 หัวรบ)
และ เป็นความจริงที่ว่า สาเหตุหลักที่สหรัฐอเมริกา ยังเกรงกลัวรัสเซีย เนื่องจากรัสเซียมีอาวุธนิวเคลียมากถึง 8000 กว่าหัวรบ
ความขัดแย้งหลายเรื่องระหว่างสหรัฐ-รัสเซีย ...สหรัฐอย่างมากได้แค่ประท้วง ท้วงติง หรือ มากสุดก็แค่แซงชั่นเล็กๆน้อยๆ ไม่เคยกล้าที่จะเอ๋ยคำว่าจะใช้กำลังกับรัสเซีย
ต่างจากการปฏิบัติที่สหรัฐที่มีต่อจีน ซึ่งมักเอาเรือรบ เครื่องบินทิ้งระเบิดมาซ้อมรบ บินวนข่มขู่ แสดงความกร่างนอกชายฝั่งจีนเป็นประจำ และบ่อยครั้งที่ออกมาพูดชัดว่า จะใช้กำลังแทรกแซง
ผมเลยสงสัยว่า ด้วยความสามารถด้านเทคโนโลยี่ และ เงิน.....การเพิ่มจำนวยอาวุธนิวเคลียได้สักครึ่งหนึ่งของสหรัฐ จีนทำได้แน่นอน...
แต่ทำไมไม่ทำ ทำไมต้องมานั่งทนข่มใจก้มหัวอยู่นับสิบนับร้อยปี
หัวรบนิวเคลียร์มันเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้ครับ หลุดมาแม้แต่1หัวรบก็สร้างความเสียหายได้ระดับใหญ่หลวงเลย เรียกว่าไม่จำเป็นต้องมากๆขอแค่มีในครอบครองเพื่อป้องปรามอีกฝ่ายไว้ก่อน
อีกอย่างกรณีเกาหลีเหนือเราเองก็ไม่ทราบว่า มีมากแค่ไหนหรือการนำส่งสู่เป้าหมายมีคุณภาพมากแค่ไหน แต่ก็กดดันมหาอำนาจอย่างสหรัฐในคาบสมุทรเกาหลีได้อยู่นะ
อีกอย่างรูปแบบการใช้มันได้หลากหลายนอกจากขีปนาวุธก็มีกระสุนปืนใหญ่ ระเบิดทิ้ง เป็นต้น เรียกว่าการใช้หิวเคลียร์กรณีใดๆต่อเป้าหมายตรงข้าม อาจเป็นสงครามขนาดใหญ่เลยล่ะครับ
ทางรัซเซียอเมริกาไม่หน้กกว่าหรือครับ มีส่งเครื่องบินสอดแนมเข้าไป มีกกล นาโตหลายหมื่นนายอยู่ตามพรมแดน ทะเลรัสเซียมันเป็นน้ำแข็งซ่ะเป็นส่วนมาก เอาเรือไปฝึกก็ไม่ได้ อาวุธนิวเคลียแพงมากนะครับ เอาเงินมาจัดหาอาวุธอย่างอื่นดีกว่า 300กว่าลูกยิงไปสักสามสี่ลูกก็ตายเป็นแสนแล้ว อีกอย่าง จีนมีเป็นทางการแค่300แต่ที่ไม่เป็นทางการล่ะไม่มีใครรู้ครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/China_and_weapons_of_mass_destruction
คือรัสเซียบุกพันธมิตรของอเมริกาหรือลูกจ๊อกแก แกขยับแน่ครับ
ทีนี้รัสเซียมันมีเรื่องกับแต่ละประเทศ อเมริกาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียขี้เกียจเปลืองตัว เช่นจอร์เจีย ยูเครน อย่างมากก็ทำเป็นเชียร์ พอรบจริงก็ยืนมอง ฮา
ขณะที่โจทก์ของจีนแต่ละคนเป็นพันธมิตรอเมริกาทั้งนั้น เช่นไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปินส์ ซึ่งตัวรัสเซียเองนั้น ค่อนข้างจะนิ่ง ขณะที่จีนช่วงนี้อยู่ในช่วงสยายปีก เพราะตังกำลังงอก เริ่มแผ่นอิทธิพล เริ่มเอาเรือไปแล่นทัวร์ตามน่านน้ำสากล ง่ายๆคือสถาปนาตัวเองเป็นมหาอำนาจของโลกแบบที่อเมริกาถือเป็นลิขสิทธิ์ส่วนตัว จึงเกิดอาการคันคะเยอรีบหันกลับมาโฟกัสภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก หลังจากไปง่วนอยู่ที่ตะวันออกกลางซะนานในชื่อยุทธศาสตร์ pivot to asia
ความจริงระเบิดนิวเคลียร์ระดับร้อยลูกก็พอล้างสิ้นชาติกันแล้ว ไม่ต้องระดับพันลูกหรอก คือจีนไม่มีความจำเป็นในการต้องปั๊มหัวรบเป็นพันๆลูกหรอกครับ ตอนนั้นมันสงครามเย็นกันเขาถึงสะสมแข่งกัน ตอนนี้ก็ค่อยกระมิดกระเมี้ยนทำลายทิ้งกันไป
ผมคิดว่าเทคโนโลยีอาวุธนิวเคลียร์ของจีนยัง mature ได้อีกเยอะ เพราะมาทีหลังคนอื่น
คุณอาจจะมองว่าจีนโดนกดหัว ผมว่านั่นเป็นการมองแบบสืบทอดมาจากยุคล่าอาณานิคมของตะวันตก พวกฝรั่งหัวแดง มากดขี่ข่มเหงฯลฯ แต่ผมว่าสองประเทศนี้อยู่ในระดับเดียวกัน แล้วที่ผ่านมาก็ไม่เห็นอเมริกาจะทำอะไรจีนได้ ด้านการต่างประเทศก็ด่ากันไปด่ากันมาแค่นั้น ผมว่าจีนควรพัฒนาอาวุธประเภท conventional เช่น เครื่องบินรบ เรือรบ ซึ่งถ้ามองกันแบบเป็นกลางแล้วยังตามหลังคู่แข่งแบบอเมริกาหรือนาโต้อยู่ โดยเฉพาะเรือขนเครื่องบิน/โจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกที่จีนยังเพิ่งตั้งไข้ ทำให้ความสามารถในการทำ expeditionary warfare ไม่มี
ส่วนผมขอมองเรื่องงบประมาณครับ
การมีหัวรบ ไม่ได้หมายถึงงบประมาณในการจัดสร้างเท่านั้น แต่ยังต้องรวมงบประมาณในการเก็บรักษาให้ปลอดภัย และพร้อมใช้งานด้วยครับ การทำให้ปลอดภัย ก็หมายรวมถึง ปลอดภัยจากตัวอาวุธเอง (ต้องมีเจ้าหน้าที่เทคนิค คอยบำรุงรักษาให้พร้อมใช้งาน ไม่ให้ชำรุด รั่วไหล เสียหาย) และปลอดภัยจากผู้ที่คิดจะทำลายหรือช่วงชิง (ต้องมีหน่วยงานมาดูแลความปลอดภัยให้)
ด้านความพร้อมใช้งาน ก็ต้องมี จนท.เทคนิค ในการยิงหรือปล่อยหัวรบ เพียงพอที่จะทำการยิงได้ ถ้าอยากยิงได้ทันที 10 ลูก ก็ต้องมี จนท. 10 ชุดปฏิบัติการ
ทั้งหมดนี้ เงินทั้งนั้น ถ้าต้องคงหัวรบ หมื่นลูกเอาไว้ ก็ต้องจ่ายเงินให้ จนท. ที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ หมื่นระบบด้วย ถ้า 1 ระบบ ต้องมี จนท. 10 คน ก็ใช้กำลังคน 1 แสนนาย (จริงๆอาจจะไม่ถึง แต่อยากเสนอภาพว่า ต้องใช้คนเป็นจำนวนมาก) ซึ่งกำลังคนขนาดนี้หากต้องคงไว้โดยไม่รู้ว่าจะได้ใช้เมื่อไหร่ ก็จะเป็นภาระงบประมาณที่มากเชียวครับ ถึงจีนจะรวยก็เถอะ แต่เขาก็ต้องคิดเหมือนกันว่า เหมาะสมหรือเปล่าที่จะต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้น
เทียบกับ มีแค่ไม่มากแต่พร้อมยิงทุกลูก (ใช้คนไม่มากตามไปด้วย) แบบหลังนี้ น่าจะดีกว่านะครับ
ด้านบนทั้งหลายที่คอมเมนท์มาก็มีเหตุผลดีหมดครับ
อย่างไรก็ตาม ถ้าผมเป็นจีน การเพิ่มหัวรบนิวเคลียอาจไม่ต้องถึง 3000หัว(ประมาณเกือบครึ่งของอเมริกา) แต่น้อยๆ ควรอยู่ระหว่าง 1000-1500...เพื่อประหยัดทั้งงบประมาณ การบำรุงรักษาให้ดีตลอดเวลา และ ยังสามารถสร้างความเกรงใจได้จากนักเลงโลกได้พอสมควร และ คงได้รับความเคารพมากขึ้นจากญี่ปุ่นได้ด้วยเช่นกัน....
เหตุที่ อเมริกามุ่งพัฒนาระบบอาวุธต่อต้านจรวด ก็เพื่อหวังผลกับประเทศที่มีหัวรบไม่มากนักเช่น จีน (เกาหลีเหนือ และ อิหร่านแค่ข้ออ้างของอเมริกา จรวดเกาหลีเหนือแค่ยิงให้พ้นเกาหลีใต้ก็ยากแล้ว)
อเมริกาหวังว่า เมื่อใดที่มันใช้กำลังกับจีน แล้วถูกจีนตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลีย ระบบต่อต้านของมันจะสามารถสกัดจรวดจีนได้ 95-99เบอร์เซ็นเลยทีเดียว (ถ้ายิงมาน้อยอาจได้ 100 เบอร์เซ็น) หลังจากนั้น อเมริกาก็จะใช้นิวเคลียถล่มจีนให้ทั้งประเทศเหลือแต่ซาก แล้วจัดการแบ่งประเทศจีนเป็นส่วนๆนับ 10 กว่าประเทศ เพื่อเป็นการกำจัดประเทศที่อาจจะท้าทายตัวเองได้เป็นการถาวร...
แต่วิธีนี้ใช้กับประเทศที่มีหัวรบนิวเคลียมากๆไม่ได้ เพราะสกัดยังไง ก็ต้องมีหัวรบรอดมาได้นับสิบๆหัวตกใส่ตัวเอง เท่ากับตายพังหมดทั้งคู่ หรือ ทั้งโลก...
อเมริกา + ประเทศตะวันตก + ญี่ปุ่น...3 พวกนี้ ข่มแหงรังแกประเทศเอเซียนานนับหลายร้อยปีมาแล้ว..และยังคงดำเนินการอยู่ต่อไป
"อเมริกาหวังว่า เมื่อใดที่มันใช้กำลังกับจีน แล้วถูกจีนตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลีย ระบบต่อต้านของมันจะสามารถสกัดจรวดจีนได้ 95-99เบอร์เซ็นเลยทีเดียว (ถ้ายิงมาน้อยอาจได้ 100 เบอร์เซ็น) หลังจากนั้น อเมริกาก็จะใช้นิวเคลียถล่มจีนให้ทั้งประเทศเหลือแต่ซาก แล้วจัดการแบ่งประเทศจีนเป็นส่วนๆนับ 10 กว่าประเทศ เพื่อเป็นการกำจัดประเทศที่อาจจะท้าทายตัวเองได้เป็นการถาวร"
อันนี้ไปเอามาจากไหนครับ
จีนไม่ใช้หัวรบนิวเคลียร์หรอกครับ เพราะถ้าใช้ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายใช้ยิงคืน
"อเมริกา + ประเทศตะวันตก + ญี่ปุ่น ข่มแหงรังแกประเทศเอเซียนานนับหลายร้อยปีมาแล้ว..และยังคงดำเนินการอยู่ต่อไป" ถ้ามองอย่างเป็นกลางนะครับ ประเทศไหนมีอำนาจก็เบียดเอารัดเอาเปรียบประเทศอื่นๆโกยประโยชน์เข้าหาตัวทังนั้นแหละเป็นมาตลอดประวัติศาสตร์โลก ผลัดกันรุ่งผลัดกันดับ การdominate ของฝั่งตะวันตกในปัจจุบันเป็นผลพวงมาจากยุค enlightenment และการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้วิทยาการก้าวล้ำไปมาก กองทัพกลายเป็นล้ำยุคเอามาไล่กินประเทศอาณานิคมทั่วโลกโกยทรัพยากรณ์สร้างความร่ำรวย ก็ยิ่งไปทวีคุณกลายเป็นอำนาจเพิ่มไปอีก ญี่ปุ่นเพิ่งมามีอำนาจเมื่อไม่ถึงสองร้อยปีเองครับ แต่ก่อนก็ไม่ได้ต่างจากจีน โดนประเทศตะวันตกรุกราน แต่ญี่ปุ่นมีลูกฮึดทำการปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฏิรูปประเทศไล่ตามตวต. และมาเรืองอำนาจช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง แล้วก็กลายเป็นจากผู้ถูกล่าไปเป็นคนล่าคนอื่นแทน หลังสงครามโลกญี่ปุ่นก็ดับแล้วครับ เป็นหุ่นเชิดไว้กันชนกับจีนให้อเมริกาเท่านั้นเอง และก็ไม่ได้รังแกประเทศอะไรอีกเลยนับจากจบสงครามโลก นอกจากมีปัญหากับจีนและเกาหลีเหนือ เนื่องด้วยกฏหมายที่เป็นผลพวงจากการแพ้สงครามโลกและอเมริกาที่ยังคงมีอำนาจเหนือญี่ปุ่น
จีนตอนนี้ก็เริ่มๆแผ่อำนาจไปทางประเทศในทวีปอัฟริกาที่จนๆ กับตะวันออกกลางอย่างอัฟกานิสถานปากิสถานแล้วครับ ใช้อำนาจทางเศรษฐกิจกับทางทหาร ในอาเซียนก็แทรกแซงเช่นกัน มันเป็นสงครามชิงอำนาจธรรมดา
ทำไมจีนไม่สร้างหัวรบนิวเคลียร์เยอะๆ ??
เพราะจีนมีนิวเคลียร์ไว้เพื่อ "ป้อมปราม" ไม่ใช่เพื่อรุกราน
ตามแผนยุทธศาสตร์นิวเคลียร์ของจีน ยังไงล่ะครับ
ทั้งนี้ จำนวนหัวรบที่จีนครอบครองอยู่ ถือว่าเพียงพอต่อภัยคุกคาม
หากไม่นับระบบโล่ห์ขีปนาวุธของอเมริกัน ที่ทำให้ระบบนี้ผิดเพี้ยนไป
และตัวแปรสำคัญของอาวุธชนิดนี้คือ งบประมาณ ครับ
ดูจาก 2 มหาอำนาจพยายามลดจำนวนหัวรบที่ครอบครอง
เพราะต้องใช้งบมหาศาลในการดูแลรักษาให้พร้อมใช้งานนั่นเองครับ
รายละเอียด ยุทธศาสตร์นิวเคลียร์ของจีน China's nuclear strategy
http://www.nti.org/media/pdfs/Xia_Liping.pdf
http://belfercenter.ksg.harvard.edu/files/Chinas_Search_for_Assured_Retaliation.pdf
http://www.jamestown.org/single/?tx_ttnews[tt_news]=3625&no_cache=1#.U-sWXkgQKUc
ความจริงการลดจำนวนหัวรบ พวกประเทศที่สะสมมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็นก็ลดลงทั้งนั้น รวมทั้งลดแพลทฟอร์มการนำส่งหัวรบด้วย ตอนนี้อังกฤษมีเฉพาะยิงจากเรือดำน้ำ ส่วนฝรั่งเศสก็มีเรือดำน้ำกับเครื่องบิน ส่วนฐานยิงบนบกโละทิ้งไปตามอายุไข
ไม่นับการลดขนาดกองทัพในด้านอื่นๆ แม้แต่ไทยเราเองพออาวุธที่ได้มาตั้งแต่ยุคนั้นหมดอายุการทดแทนจำนวนก็น้อยลง (รถถัง เครื่องบิน ฯลฯ) ไม่มีตัง
เรื่องรัสเซียกับอเมริกา ผมว่าการลดหัวรบก็กั๊กกันไปมา เพราะต้องการคานอำนาจกันอยู่ดี จึงเป็นที่มาของสนธิสัญญาในการลดจำนวนหัวรบให้ได้ตามโควต้าในเวลาที่กำหนด
เอามาจากข่าวนะครับตาม link นะครับ
น่าจะเป็นอีกชนวนวิวาทะ ระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจ จีน – สหรัฐ หลังมีการเปิดประเด็น ผลวิจัยทางยุทธศาสตร์ของกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ซึ่งสรุปว่า กองทัพจีนมี “หัวรบนิวเคลียร์” ถึง 3,000 ลูก มากกว่าที่ประเมินกันก่อนหน้านี้ประมาณ 7 เท่า
หัวรบนิวเคลียร์ติดขีปนาวุธเหล่านี้ เก็บไว้ในเครือข่ายอุโมงค์ลับใต้ดินหลายแห่งทั่วประเทศ รวมระยะทางกว่า 5,000 กิโลเมตร โดยรังใหญ่สุดอยู่ใต้เทือกเขา เขตมณฑลเหอเป่ย ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ไกลจากกรุงปักกิ่งเมืองหลวง และอีกแห่งที่มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้
การวิจัยเริ่มหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 2 ระลอก ระดับ 8.0 และ 7.9 ริคเตอร์ ที่มณฑลเสฉวน เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2551 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตราว 68,000 คน จากภาพถ่ายทางอากาศในรายงานของสถานีโทรทัศน์ แสดงให้เห็นภูเขาหลายลูกในเขตมณฑลเกิดการยุบตัวพังถล่มอย่าง “ผิดปกติ” และมีการตรวจพบร่องรอยการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสี ทำให้เจ้าหน้าที่ด้านเทคนิกกัมมันตรังสีหลายพันคนแห่กันไปที่นั่นสุดท้ายทางการจีนยอมรับว่า พื้นที่แถบนั้นมีการสร้างโครงข่ายอุโมงค์ใต้ดิน
รายงานผลการวิจัยขนาดความยาว 363 หน้า ยังไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชน มีเพียงกระทรวงกลาโหมสหรัฐ หรือ เพนตากอน ที่นำออกเผยแพร่เป็นการภายใน แล้วรั่วไหลไปถึงสื่อยักษ์ใหญ่ หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ซึ่งนำเสนอเป็นบทความ ในฉบับวันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา สร้างความฮือฮาในวงการได้พอสมควร
อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยชิ้นนี้คือ ฟิลิป เอ. การ์เบอร์ อดีตคณะกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ ในสังกัดสภาความมั่นคงอเมริกันของเพนตากอน ในยุคสงครามเย็น ทำหน้าที่เสนอรายงานหรือคำชี้แนะ ส่งโดยตรงถึงรัฐมนตรีกลาโหม และประธานคณะเสนาธิการร่วม กลุ่มลูกศิษย์นักศึกษาที่จอร์จทาวน์ ใช้เวลาวิจัยนาน 3 ปี รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อย่างครอบคลุม
การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ก่อนหน้านี้ หัวรบนิวเคลียร์พร้อมใช้งานในครอบครองของ 5 ประเทศ กลุ่ม “รัฐอาวุธนิวเคลียร์” หรือ เอ็นดับเบิลยูเอส (Nuclear-Weapon States : NWS) จีนมีน้อยที่สุด (แต่ลึกลับและน่าสงสัยมากที่สุด) ประมาณ 180 – 240 ลูก มากกว่าใครเพื่อนคือรัสเซีย 2,430 – 11,000 ลูก ตามด้วยสหรัฐ 1,950 – 8,500 ลูก อันดับ 3 ฝรั่งเศส 290 – 300 ลูก และอันดับ 4 สหราชอาณาจักร 160 – 225 ลูก
ประเทศที่ประกาศว่ามี หรือเชื่อกันว่ามีอาวุธนิวเคลียร์นอกจากนี้ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม ชมรมนิวเคลียร์ (Nuclear Club) เช่น อิสราเอล อินเดีย ปากีสถาน และเกาหลีเหนือ อิสราเอลคาดว่าน่าจะมีอยู่ประมาณ 80 – 200 ลูก นอกนั้นต่ำกว่าร้อย
อันที่จริง เรื่องอุโมงค์นิวเคลียร์ใต้ดินของจีน ไม่ใช่ของใหม่ หรือเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนแต่อย่างใด ทางการจีนเคยเปิดเผยและยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเองมาแล้ว โดยสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี ของทางการปักกิ่ง รายงานในเดือน มี.ค. 2551 ว่า นับตั้งแต่ปี 2538 กองพลน้อยทหารปืนใหญ่ที่ 2 ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (พีแอลเอ) ซึ่งเป็นหน่วยที่รับผิดชอบดูแลขีปนาวุธและหัวรบนิวเคลียร์ ระดมกำลังทหารหลายหมื่นนาย ขุดเจาะอุโมงค์ลึกลงไปใต้ดิน“หลายร้อยเมตร” แถบเทือกเขาในมณฑลเหอเป่ย เพื่อใช้เป็น “ฐานขีปนาวุธ”
ปี 2552 วารสารทางการของพีแอลเอ ยืนยันว่ามีฐานขีปนาวุธใต้ดินจริง โดยเรียกเครือข่ายอุโมงค์เหล่านี้ว่า “กำแพงเมืองจีนใต้ดิน” จุดประสงค์เพื่อใช้เป็นฐานยิงตอบโต้ หากเกิดเหตุการณ์จีนถูกโจมตีด้วยนิวเคลียร์
บทความในนิตยสารแวดวงกลาโหม เอเชีย-แปซิฟิก ดีเฟนซ์ ของไต้หวัน ระบุว่า ขีปนาวุธพิสัยกลาง – ไกล ติดหัวรบนิวเคลียร์ยุคแรกๆ ของจีน ถูกติดตั้งไว้บนดินทั้งหมด ต่อมาคงนึกได้ว่าตกเป็นเป้าสายตา ถูกตรวจจับจากดาวเทียมจารกรรมของศัตรู และอาจถูกโจมตีได้ง่าย พีแอลเอเลยเคลื่อนย้ายลงใต้ดินทั้งหมด
พีแอลเอบอกว่า เครือข่ายอุโมงค์นิวเคลียร์ใต้ดินถูกออกแบบเป็นพิเศษ สามารถต้านทานการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์จากข้างบน แบบมั่นใจได้ 100 %
ช่วงกลางเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ประเด็นการตัดลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลสหรัฐกำลังคุกรุ่น ไมเคิล เทอร์เนอร์ ส.ส.พรรครีพับลิกันจากรัฐโอไฮโอ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกองทัพแห่งสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเตือนการตัดลดงบประมาณกองทัพ โดยยกเรื่องจีนก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดิน เพื่อซ่อนอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งสหรัฐไม่มีทางล่วงรู้ขอบเขตและขีดขั้นสมรรถนะ
ทางแก้คือต้องจัดสรรงบ พัฒนานิวเคลียร์ของสหรัฐ ให้เหนือชั้นอยู่เสมอ
สหรัฐและรัสเซียมีความคืบหน้า ในการเจรจาและตกลงลดอาวุธนิวเคลียร์ ในครอบครองของแต่ละฝ่าย แต่กับจีนสหรัฐเจรจาแบบทวิภาคี ในหลายระดับมากว่า 10 ปี แต่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ประเด็นนี้ กริกอรี คูลัคกี นักวิเคราะห์อาวุโสโครงการความมั่นคงโลก เปรียบเปรยว่า “เหมือนไก่พูดคุยกับเป็ด”
ต่างฝ่ายต่าง “ไม่เข้าใจ” หรือไม่ก็ “ไม่เชื่ออย่างสนิทใจ” ในคำพูดของอีกฝ่าย
ทุกรอบการเจรจาวอชิงตันยืนกรานตลอด ปักกิ่งต้องโปร่งใสมากกว่านี้ เกี่ยวกับขอบเขตและขีดขั้นสมรรถนะ ของอาวุธนิวเคลียร์ที่มีในครอบครอง ปักกิ่งก็โต้ว่าโปร่งใสอยู่แล้ว และโปร่งใสกว่าสหรัฐเสียอีก อย่างเช่น นโยบายนิวเคลียร์ จีนประกาศชัด “จะไม่โจมตีใครก่อน” ขณะที่สหรัฐแค่ “ให้คำมั่น” จะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตี รัฐใดๆ ที่ “ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตนเอง”
การประเมินแสนยานุภาพกองทัพจีน โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐประจำปี 2554 เผยแพร่ในเดือน พ.ค. คาดว่าจีนน่าจะมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 155 – 240 ลูก ในจำนวนนี้ติดขีปนาวุธพิสัยไกล 75 ลูก พิสัยกลางอีกประมาณ 120 ลูก
ส่วนของสหรัฐ ถึงเดือน พ.ค. 2553 รัฐบาลวอชิงตันประกาศว่ามีหัวรบนิวเคลียร์ ติดตั้งทั้งพร้อมใช้งานและสำรองทั้งหมด 5,113 ลูก และปลายเดือน ต.ค. ปีนี้ ข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ระบุว่า กองทัพสหรัฐมีหัวรบนิวเคลียร์พิสัยไกล พร้อมใช้งาน 1,790 ลูก อีก 822 ลูกติดตั้งในขีปนาวุธข้ามทวีป เรือดำน้ำ และเครื่องบินทิ้งระเบิด
จีนบอกว่าที่สหรัฐย้ำคำเรียกร้อง ให้จีนโปร่งใสเรื่องจำนวนนิวเคลียร์ในสต๊อก เป็นแค่ความพยายามเบี่ยงเบนประเด็น กลบเกลื่อนที่จีนท้าให้สหรัฐกล้าประกาศนโยบายเดียวกัน นั่นคือ จะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีใครก่อน
ตอนนี้สภาคองเกรส และหลายหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐ เริ่มมีการพูดถึงงานวิจัยของกลุ่มลูกศิษย์อาจารย์การ์เบอร์มากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมอาวุธทำลายล้างสูงหลายคน รวมถึงคูลัคกี ได้เรียงหน้าออกมาโจมตีผลวิจัยชิ้นนี้ มั่วและผิดพลาด
ฮันส์ คริสเตนเซ่น ผอ. โครางการข้อมูลนิวเคลียร์ของสมาพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกา บอกว่า จีนมี่มีวัตถุดิบเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ มากพอจะผลิตหัวรบได้ถึง 3,000 ลูก อีกทั้งไม่มีระบบสำหรับยิงหัวรบมากมายขนาดนั้น
ส่วนความเห็นของคูลัคกี งานวิจัยของการ์เบอร์และลูกศิษย์เชื่อถือไม่ได้ในทางวิชาการ เพราะการค้นหาข้อมูลมั่วไม่เป็นระบบ แม้กระทั่งจากนิยายวิทยาศาสตร์ ในรายการโทรทัศน์ของจีน ที่สำคัญฐานข้อมูลส่วนใหญ่ เอามาจากข้อความที่โพสต์บนบล็อกของจีน.
สุพจน์ อุ้ยนอก
http://www.dailynews.co.th/Content/Article/107940/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99+-+%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C
ทุกวันนี้ ไม่มีสงครามขนาดใหญ่ จะมีก็แต่สงครามย่อส่วน จำกัดพื้อที่ อาวุธ
ส่วนนิวเคลียร์มีไว้เพื่อป้องปรามครับ ไม่มีใครคิดจะใช้จริงหรอกแม้แต่สหรัฐเอง
สู้มีน้อย แต่พัฒนาด้านสักยภาพการทำลายน่าจะดีกว่ามีเยอะ แต่ด้อยคุณภาพ
/ ทุกวันนี้ ถ้าประเทศใหญ่เขาจะรบกัน จะรบด้านเศรษฐกิจและด้านการเงินซะส่วนมาก ซึ่งร้ายแรงกว่านิวเคลียร์เยอะ
สงครามนิวเคลียร์เป็นทางออกสุดท้ายสำหรับทางตันบนโต้ะเจรจาเท่านั้น เพราะถ้าเมื่อไรเกิดสงครามนิวเคลียร์มันจะพังพาบไปทั้งโลกไม่ใช่แค่คู่กรณี
มีเรือดำน้ำพร้องยิงหัวรบ แบบในหนัง mission impossible 4 สัก 4-5ลำ ก็พอแล้ว