น่านเจ้าไม่ใช่อาณาจักรของไทย เพราะไม่เคยมีคนไทยอยู่อาณาจักรน่านเจ้า และคนไทยไม่เคยอพยพถอนรากถอนโคนจากน่านเจ้าลงมาตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก
นักวิชาการประวัติศาสตร์โบราณคดีมานุษยวิทยาทั่วโลก รับรู้ทั่วกันมานาน มากว่าน่านเจ้าเป็นบ้านเมืองและอาณาจักรของชนชาติไป๋, ยี๋ (พูดภาษาตระกูลจีน-ทิเบต หรือโล-โล้, หลอ-หลอ) คนพื้นเมืองดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ในหุบเขา(รอบทะเลสาบเอ๋อร์ไห่) ทางเหนือของมณฑลยูนนาน
มีศูนย์กลางอยู่บริเวณที่ปัจจุบันเรียกเมืองต้าหลี่(ตำนานไทยเรียก เมืองตาลีฟู)
มีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยของนักวิชาการจีนและนักวิชาการนานาชาติจำนวนมาก ยืนยันตรงกันมานานหลายสิบปีแล้วว่า ไม่มีคนไทยในน่านเจ้า เพราะน่านเจ้าไม่ใช่อาณาจักรของไทย จึงไม่เคยมีคนไทยถูกขับไล่ให้อพยพหลบหนีจากน่านเจ้า
พญานาคแปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวช
ความเชื่อพื้นฐานของคำว่า "นาค" ปัจจุบัน
คราวหนึ่ง พญานาคตัวหนึ่งอึดอัด ระอา เกลียดการเกิดเป็นนาคของตน คิดว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นจากกำเนิดนาค และสามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้เร็วขึ้น แล้วคิดต่อไปว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม หากได้บวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ก็จะสามารถพ้นจากการเกิดเป็นนาคและเกิดเป็นมนุษย์ได้เร็วขึ้น
เมื่อพญานาคคิดอย่างนี้จึงแปลงกายเป็นชายหนุ่ม เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบวช ภิกษุทั้งหลายจึงให้เขาบรรพชาอุปสมบท
พระนาคนั้นพักอยู่ในวิหารท้ายวัดกับภิกษุรูปหนึ่ง ครั้นใกล้สว่าง ภิกษุรูปนั้น ตื่นนอนแล้วออกไปเดินจงกรมอยู่ด้านนอก พอภิกษุรูปนั้นออกไปแล้ว พระนาคนั้นก็วางใจเผลอจำวัดได้กลายร่างกลับเป็นพญานาค วิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงูใหญ่ ขนดหางยื่นออกไปทางหน้าต่าง
ครั้นภิกษุรูปนั้นผลักบานประตูเข้าไปด้วยตั้งใจจักเข้าวิหาร ได้เห็นวิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงู ก็ตกใจร้องเอะอะขึ้น ภิกษุทั้งหลายพากันวิ่งเข้าไปแล้วได้ถามภิกษุรูปนั้นว่า ร้องเอะอะไปทำไม ภิกษุรูปนั้นบอกว่า วิหารนี้ทั้งหลังเต็มไปด้วยงูใหญ่
ขณะนั้น พระนาคนั้น ได้ตื่นขึ้นเพราะเสียงเอะอะนั้น แล้วนั่งอยู่บนอาสนะของตน ภิกษุทั้งหลายจึงถามว่าท่านเป็นใคร ภิกษุนาคตอบว่า ผมเป็นนาค
ภิกษุทั้งหลายถามว่าทำเช่นนี้เพื่อะไร พระนาคนั้นจึงบอกให้ภิกษุทั้งหลายทราบว่า ตนอึดอัด ระอา เบื่อหน่ายในการเกิดเป็นนาค จึงคิดว่าหากได้บวชเป็นพระภิกษุในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ก็จะสามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้เร็วขึ้น ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลแด่พระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ได้ทรงประทานพระพุทธโธวาทนี้แก่นาคนั้นว่า พวกเจ้าเป็นนาคมีความไม่งอกงามในธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดา ไปเถิดเจ้านาค จงไปรักษาอุโบสถในวันที่ ๑๔ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักษ์นั้นแหละ ด้วยวิธีนี้เจ้าจักพ้นจากกำเนิดนาค และจักกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน ครั้นนาคนั้นได้ทราบว่า ตนมีความไม่งอกงามในพระธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดาก็เสียใจหลั่งน้ำตา ส่งเสียงดังแล้วหลีกไป
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาค มีสองประการนี้ คือ เวลาเสพเมถุนธรรมกับนางนาค ผู้มีชาติเสมอกัน ๑ เวลาวางใจนอนหลับ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาค ๒ ประการนี้แล
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย เนื้อความในพระไตรปิฎกจบแต่เพียงเท่านี้
บัณฑิตรุ่นหลังนิยมเรียกผู้จะบวชว่านาค ตามเรื่องราวของนาคตนนี้ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก เพื่อเป็นการระลึกถึงศรัทธาอันแรงกล้าของนาค ซึ่งแม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉานแต่ก็ยังปรารถนาที่จะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธ ศาสนา จนถึงกลับจำแลงเป็นมนุษย์มาขอบวช
นอกจากนั้น ท่านยังเล่าความเสริมต่อไปว่า เมื่อพระพุทธองค์ให้นาคสึกนั้น นาคเสียใจเป็นอย่างมากจนถึงกลับหลั่งน้ำตาเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจว่าตนไม่ ได้เกิดเป็นมนุษย์ จึงขอร้องให้หมู่ภิกษุเรียกผู้ที่จะบวชเป็นพระว่านาค เพื่อให้ระลึกถึงตน และชื่อของตนจะได้ปรากฏอยู่ชั่วกาลนาน
การที่เราเรียกสัตว์เลื้อยคลานจำพวกพญางู ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานกึ่งเทพ ว่าเป็น "พญานาค" เนื่องมาจากสัตว์จำพวกนี้แม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉานแต่ก็แสวงหาคุณอันประเสริฐ
เรื่องราวของนาคตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ยืนยันถึงศรัทธาและความเพียรพยายามในการบำเพ็ญบารมีของนาค แม้บางครั้งจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่เมื่อได้รับการฝึกหัดกล่อมเกลาจิตใจ ก็กลับกลายเป็นผู้ประเสริฐขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ในอีกด้านหนึ่ง กุลบุตรผู้จะบวชเป็นพระภิกษุดำเนินชีวิตตามเส้นทางของพระอริยเจ้า ปฏิปทาของพระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นปฏิปทาอันประเสริฐ เพราะเว้นเสียจากการทำบาปทั้งปวง ผู้จะดำเนินชีวิตตามปฏิปทาอันประเสริฐนั้นจึงถูกเรียกว่า "นาค" แปลว่า ผู้ประเสริฐ ตามไปด้วย
เนื่องจากเราถูกสอนมาเป็นเวลานานว่าเรามาจากอณาจักรน่านเจ้า ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยก็ยังเชื่อตามน้ันอยู่ ผมคิดว่า สิ่งนี้น่าจะเป็นประโยชน์บ้างสำหรับคนทั่วไป เพราะอย่างน้อยเค้าจะได้ไม่ไปสอนลูกหลานว่า เรามาจากอณาจักรน่านเจ้าอีก เพราะอณาจักรน่านเจ้าเป็นของชนเผ่าไป๋ มาต้ังแต่ดังเดิม และทุกวันนี้คนเผ่าไป๋ ก็ยังคงอาศัยอยู่ ณ ที่เดิม ที่เมืองต้าหลี่ หรือตาลีฟู ตามที่พวกเราชอบแอบอ้างกัน..
และผู้เขียนหนังสือเรื่องคนไทยมาจากอณาจักรน่านเจ้า คือ ขุนวิจิตรมาตรา ก็เคยออกมายอมรับแล้วว่า เค้าแต่งหนังสือเรื่องนี้เพื่อส่งเข้าประกวดการแต่งหนังสือ ไม่ได้มีวัตุถุประสงค์เพื่อให้เป็นแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์แต่อย่างใด แต่ด้วยเหตุกลใดไม่ทราบได้ ปัจจุบันนี้แบบเรียนดังกล่าวได้ถูกถอนออกจากแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์แล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนเป็นจำนวนมากที่ยังเข้าใจผิดเรื่องนี้อยู่
นักวิชาการจีน กับนักวิชาการนานาชาติ นานาชาติที่ว่า คือ ฝรั่งเศสหรือเปล่าครับ ให้เดาสมัยก่อนจอสเซเดก็หลอกคนไทยมาแล้วว่า ไทยมาจากเทือกเขาอัลไต ที่จริงคำว่าน่านเจ้า หมายถึงอาณาจักรของคนไทยโดยรวมๆนะครับ ท่านรู้ไหมครับว่า หลักการปกครองของจีนแต่โบราณมีว่า ถ้าปกครองยากให้เอาคนของเราเข้าไปผสมแล้วความยากในการปกครองจะง่ายขึ้น พูดสั้นๆมันคือ การกลืนชาติประเภทหนึ่ง
ถ้าแหล่งข้อมูลที่ว่า หรือมาจาก จกขท เอง ผมเดาว่าท่านมีเชื้อจีนแน่นอน เลยอยากถามท่านที่ได้อ่านคอมเม็นท์ผมว่า ท่านจะเชื่อคนจีนหรือเชื่อคนไทญาติเราเอง
ผมจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง อันนี้หาอ่านได้จากประวัติเมืองอุบลราชธานีนะครับ โดยเรื่องมีอยู่ว่า เจ้าฟ้าเมืองเชียงรุ่ง ให้ลูกสาวอพยพหนีลงมาพึ่งเจ้าฟ้าหลวงพระบาง ที่ต้องมาพึ่งเพราะเห็นว่าเป็นไทด้วยกัน รู้ไหมครับว่าทำไมต้องอพยพลงมาที่หลวงพระบาง ก็เพราะตอนนั้นกองทัพจีนยกมาปล้นเมือง ทำให้ต้องหนีลงมา เมืองเชียงรุ้งก็คือ ไทลื้อ พ่อขุนเม็งรายพ่อท่านก็เป็นไทลื้อ แม่เป็นไทยวน
ยังจำข่าวเล็กๆได้ไหมครับ เรื่องว่าด้วยการวิจัยประวัติศาสตร์ผ้าไหม ปรากฏว่า จีนเงิบ ทันที เพราะสืบประวัติแล้ว การเลี้ยงไหมทอผ้าของจีนไม่ได้เก่าที่สุด หลักฐานที่พบมันออกกระเดียดมาทางไทเรามากกว่า ถึงบ่งชัดไม่ได้ว่าเป็นไทแต่มันกระเดียดมาทางเรามากกว่า เรื่องนี้ที่จีนจะโปรโมทเส้นทางสายไหมโดยเริ่มจากวัฒนธรรมทอไหมเลยต้องหยุดไปเลย
มันก็จะวนกลับไปที่ตอนต้นที่ผมกล่าว คือจีนพยายามกลืนทุกชนชาติเพื่อให้ปกครองได้ง่าย โดยลบุกสิ่งทุกอย่างของอตลักษณ์เดิมๆออกไป หลักฐานไม่ต้องดู ดูที่วิธีคิดของคนจีนต่อการจัดการปัญหาในชินเกียงก็รู้คือเอาคนจีนเข้าไปผสมเพื่อให้คนท้องถิ่นถูกกลืนและสู้ไม่ได้ ปัญหาต่างๆก็จะจัดการง่ายขึ้น
กลับไปที่ประวัติคนอุบลอีกที บรรพบุรุษคนอุบลเขาเล่าให้ลูกหลานฟังแบบนี้ ท่านจะเชื่อคนจีนพูด หรือท่านจะเชื่อไทลื้อพูดก็พิจารณาเอา ท่านจะฟังคนอื่น หรือจะฟังพี่น้องเรา
ดีครับหลายสิ่งหลายอย่างในหนังเรียนเขียนไว้แบบผิดๆ ผมอีกคนหนึ่งที่ไม่เชื่อในประวัติศาสตร์ที่เขียนกันไว้สักเท่าไร
อยากบอกจขกท.ว่าอย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆจนฝังหัวครับ ไม่เช่นนั้นคุณก็จะเหมือนคนที่คุณบอกว่าถูกสอนมาจนฝังหัว เพียงแต่เปลี่ยนทฤษฎีไปอีกหน่อย
..
บทความนี้เพียงแต่บอกว่า คนไทยไม่ได้มาจากน่านจ้าว แต่ก็ไม่ได้ให้คำตอบว่า คนไทยมาจากไหน จึงยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นะครับ เมื่อยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ จะให้นำมาลบล้างสิ่งที่คนเชื่อถืออยู่ในปัจจุบัน คงยังไม่ได้หรอกครับ
และอันที่จริง บางเรื่อง "ฝังหัว" ไว้ก็ไม่เสียหายนะครับ เช่นเรื่องอยุธยาแตกเพราะคนไทยขาดความสามัคคี ประวัติศาสตร์สมัยใหม่เริ่มมีความคิดที่ต่างออกไป ว่า อยุธยาแพ้เพราะยุทธศาสตร์การตั้งรับผิดพลาดมากกว่าจะแพ้เพราะอ่อนแอ (ถ้าอยุธยาอ่อนขนาดจะยีงปืนใหญ่ที ก็ต้องไปขออนุญาตขนาดนั้น ข้าศึกจะเสียเวลาขุดรากเผากำแพงเมืองทำไมให้เสียเวลา) แต่ การที่คนรุ่นก่อนเขาเอาเรื่องอยุธยาแตกมาสอนเรื่องความสามัคคี ก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย
เพราะฉะนั้น เรื่องฝังหัวก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมดหรอกครับ
เรื่องคนไทยยุคปัจจุบันเป็นใครมาจากไหน ถ้าสนใจกัน ผมจะค่อยนำเสนอให้รับทราบกันต่อไป
สำหรับงานวิจัยต่อไปหาอ่านเอากันเองนะครับ... ผมทราบดีว่าบางท่านยากจะยอมรับได้เพราะถูกสอนกันมาต้ังแต่เล็ก เพราะมีหลายท่านที่เป็นคนทั่วไป อยากไปดูว่าเมืองตาหลี่ที่เค้าว่าเป็นบรรพบุรุตของเรา เป็นยังไง พอไปแล้วคงต้องผิดหวัง เพราะสภาพวัฒนธรรม สิ่งก่อสร้างต่างๆ มันไม่มีเค้าโครง ศิลปแบบบ้านเราเลย ภาษาที่พูด คน ก็ไม่ใช่ โบราณสถานต่างๆ มันก็ไม่มีเค้าโครงแบบของเราแม้แต่นิดเดียว ดูแล้วลองเปรียบเทียบเอา นะครับ
ร่องรอยเมืองของอาณาจักรโบราณที่เคยเรียนในประวัติศาสตร์ไทย ของพีล่อโก๊ะ –โก๊ะล่อฝง-ปัจจุบันคือเมืองต้าหลี่ (ๅคง็) ซึ่งเป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองของชนชาติไป๋ ในมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน เมืองนี้เป็นเมืองโบราณอยู่ด้านทางตะวันตกของคุนหมิง ห่างประมาณ ๔๐๐ กิโลเมตรอยู่บนที่ราบสูงระหว่างเทือกเขาชังช้าน (่ๅฑฑ)ตะวันตกที่สูง ๔,๐๐๐ เมตรกับเทือกเขามังกรหยกอยู่ทางด้านตะวันตกของเมือง ด้านตะวันออกติดทะเลสาบเอ๋อไฮ่ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของจีน นับมีภูมิเมืองที่ดีจนหาเมืองใดมาเทียบได้ โดยมีกำแพงล้อมรอบ นับเป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดของจีนและเป็นถิ่นฐานของชาวไบ๋และชาวอี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ด้วยความสูง๑,๙๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จึงทำให้อากาศเย็นสบายตลอดปี
ขอสงวนสิทธิ์ตอบก่อนว่า ไม่จริงครับ เพราะการทีี่เอามาจากพงศาวดารจีน ซึ่งจีนกับไทย จะเรียกไม่เหมือนกัน
บางคร้ังออกเสียงคล้ายกัน แต่ความหมายต่างกัน อย่างเช่น สมัยราชวงษ์หยวน ตามการจดบันทึกของทูตจีน เรียก ละโว้ ว่า หลอหู
ถ้าคนสมัยนี้ไปอ่านก็คงจะงงไม่น้อยว่ามันคืออะไร เดี๋ยวผมจะเอา บันทึกของ โกษาปาน ที่เดินทางไปฝรั่งเศษ มาให้ดูกันว่า จะแปลกันออกมัย ซึ่งขนาดเป็นภาษาไทย แต่เขียนคนละยุคคนละสมัย คนปัจจับัน อ่านก็ไม่เข้าใจแล้ว ... อย่างกรณีของพระเจ้าเหา นี้ น่าจะมาจากความคิดเห็นส่วนตัว แล้วก็แต่งหนังสือขาย..เพราะเนื้อเรื่องมันน่าสนใจ บวกกับชาวบ้านก็เข้าใจง่ายและคล้อยตามได้ง่าย
บันทึก โกษาปาน ตอนเป็นทูต ไป ฝรั่งเศษ สมัยสมเด็จพระนารายณ์
อ่านกันออกม้ัยครับ.. ที่เอามา มี หน้า 10 กับ หน้า 35
รายมือโกษาปาน แท้ๆ กรมศิลปากร ไปคัดลอกมา จากพิพิธภัณฑ์ที่ฝรั่งเศษ..
น่าเสียดายที่เอกสารทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกันบรรพบุรุษของเราหาใด้น้อย. แต่ทฤษฎีที่ว่าชนชาติไทอพยพมาจากทางใต้ของจีนมันจะขัดแย้งกับภาษาพูด ภาษาเขียนของเราที่มีรากมาจากบาลีสันษกฤตมั๊ยครับ? ส่วนตัวผมว่าเรารู้ให้แน่ๆรู้รายละเอียดข้อเท็จจริงทั้งหมดของคนไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยลงมา แล้วคนรุ่นเราทำให้ประวัติศาสตร์ของชาติในช่วง 200ปีหลังสุดชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรณ์ น่าจะเพียงพอนะครับ
บาลี สันตกฤษ เราได้รับอิทธิตอนรับพุทธศาสตร์ครับ ไม่เกี่ยวกับที่มาของคนไทย อักษรไทย คล้ายกับอักษรขอมโบราณครับ หลายตัวใช้เหมือนกัน..ไม่อยากลงลึก ประมาณนี้นะครับ ใครอยากรู้ คนไทยมาจากไหน ลองอ่านดูที่ผมแจ้งไว้ แล้วไปศึกษาเพิ่มเติมดูเพราะหลักฐานมีมากมายถ้าเอามาอธิบาย จะทำให้น่าเบื่อเกินไป
ณ ตอนนี้ นักประวัติศาสตร์ ยุคใหม่ ให้น้ำหนัก เชื้อสายหลักของไทย ไปทาง เมืองกวางสี ในประเทศจีน เพราะพบว่า มีวัฒนธรรม และภาษาพูด เหมือนกับภาษาไทย-ลาว
อยากทราบมั้ยครับ ว่า คนไทย อย่างพวกเรา เป็นใคร มาจากไหน.. อันนี้พวกท่านจะเชื่อหรือไม่ ไม่เป็นไร แต่ผมขอเสนอความคิดเห็นและขอ้มูลทางวิชาการ แล้วพวกท่านลองนำ ไปใครครวญ ด้วยตัวเองดูนะครับ
คนไทย ปัจจุบัน ผสมผสานด้วยคนหลายเชื้อชาติ แต่จะมีสายหลักอยู่ คือ ลาว เขมร มอญ จีน แขก และคนพื้นเมือง ผสมร่วมกัน เป็นคนไทยทุกวันนี้ นี้คือสิ่งที่นักวิชาการในเมืองไทยทุกคนยอมรับ แล้วคนไท ไปอยู่ตรงไหน ไม่เห็นมีไทยเลย คำว่า ไท คือคำสมมุติ พบหลักฐาน ว่าคนไท เรียกตัวเองว่า คนไท เมื่อสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (กรุงศรีอยุธยา) เพราะพบในจดหมายเหตุ ของ ลาลูแบร์ ที่เดินทางมาค้าขายในกรุงศรี ก่อนหน้าน้ัน ไม่เคยพบว่า มีหลักฐาน ที่คนไทย เรียกตัวเองว่า คนไท เลย
มีพระราชนิพนธ์ใน รัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 ทรงนิพนธ์ไว้ ว่า สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง เป็น ลาว
เราพบหลักฐานอีกหลายอย่างที่เชื่อได้ว่า คนในแคว้นสุพรรณภูมิ เป็นคนลาว เมื่อแคว้นสุพรรณภูมิเติบใหญ่ เข็มแข็งขี้น ก็สามารถสถาปนากรุงศรีอยุธยา และปลดแอกจากอำนาจครอบงำของ เขมรได้ และพบหลักฐานหลายอย่างว่า คนลาว และ เขมร ได้แต่งงาน และอยู่ด้วยกัน ฉันเครือญาติ บวกกับคนเชื้อสายมอญด้วย
หลายๆ คนคงสงสัยแล้ว ว่า แล้วจะเชื่อได้อย่างไร ว่าคนในแคว้นสุพรรณภมิ และเปลี่ยนมาเป็นคนกรุงศรี ในภายหลัง เป็นคนลาว
ข้อสังเกตุสิ่งแรก ในสมัยกรุงศรี สำเนียงเน่อ ถือว่า เป็น สำเนียงราชการ ทุกวันนี้คนที่พูดเน่อ ก็ได้แก่ คนอยุธยา คนสุพรรณ คนเพชรบุรี
คนนครศรีฯ และอีกหลายจังหวัด คนพวกนี้ถ้าอยูในสมัยกรุงศรีเค้าถือว่าเป็นคนกรุง เพราะสำเนียงเค้าเป็นสำเนียงคนเมืองหลวง ท่านสงสัยมัยว่า แล้วทำมัยคนกรุงเทพไม่พูดเน่อ เหตุผลง่ายนิดเดียว ก็เพราะคนกรุงเทพ เป็น สำเนียง ลาว ผสม จีน ถ้าเป็นในสมัยกรุงศรี เค้าก็เรียกพวกเราว่า บ้านนอก
แล้วพูดเน่อนิ มันเกี่ยวอะไร กับ คนลาวด้วย.. เหตุผลง่ายนิดเดียว เพราะว่า เน่อสุพรรณของเรา มันดันไปเหมือนกับ เน่อหลวงพระบาง
ถ้าใครมีโอกาสไปหลวงพระบาง ท่านลองฟังเค้าพูดดู ท่านจะพบญาติที่จากกันมานาน เพราะ แม่งโครตเน่อ เงย.. กูว่าสุพรรรณเน่อแล้ว มันเน่อกว่าอีก.. สิ่งนี้เป็นการเชื่อมโยงทางภาษา บวกกับ การละเล่น หลายๆอย่างในสมัยกรุงศรี มันเป็นการละเล่นแบบเดี่ยวกันกับคนในหลวงพระบาง และวัฒนธรรมหลายๆ อย่าง ก็เป็นแบบเดียวกัน ..
จริงๆแล้ว มีอีกมากมายก่ายกอง ที่ทำให้เรารู้ว่า ในคนไทยทุกวันนี้ผสมด้วยชาติพันธิ์ คือ คนลาว คนเขมร คนมอญ คนจีน และอื่นๆ
แต่วันนี้เรารู้ว่าคนพวกนี้เละ คือ บรรพชนของเรา ไม่ใช้ พระเจ้าเหา หรือ พระเจ้าหอยที่ไหน
มีคำแดกดันของคนลาว เค้าพูดไว้ว่า กินข้าวเหนียว จ้ำปลาแดก สู่ขัว ก้อบะยอมหับว่าตนเป็นลาว อันนี้แสดงได้เห็นว่าคนผู้น้ันปฏิเสธการเป็นคนที่เจริญแล้ว และปฏิเสธบรรพบุรุตของตนเอง..
ขอกล่าวถึง คำถามที่ว่า พุทธ กับ พราหมณ์ ทำไม ผสมกันจนแยกไม่ออก..
ก่อนอื่นท่านต้องทราบถึง วิวัฒนาการความเชื่อในสังคมไท-ลาว-เขมร ก่อน โดยมีลำดับดังนี้
ศาสนาเก่าแก่ ที่สุด ที่มากับสังคมของเรา คือ ศาสนาผี.. หรือว่าไม่จริง คนไท-ลาว ดังเดิม นับถือผีบรรพชน การกราบไหว้ผี หรือยกย่องผีบรรพชน เป็นเรื่องปกติ ทุกวันนี้ก็ยังเห็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทำโกธใส่กระดูกพ่อแม่ไว้กราบไหว้ ศาลเพียงตา ศาลเจ้าแม่ ต่างๆ อันนี้เป็นความเชื่อเก่าก่อนของเราท้ังสิ้น
ศาสนาพราหมณ์ เริ่มเข้ามา ความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ของพราหมณ์เริ่มเข้ามา โดยผ่าน เขมร
ศาสนาพุทธ ก็เริ่มเข้ามาหลังสุด
แล้วท่านคิดว่า เมื่อศาสนาหนึ่งเข้ามาแล้ว เราจะเลิกความเชื่อเก่ามัยครับ บางอย่างของศาสนาเก่าเราก็ลดความสำคัญลง บางอย่างก็ถูกผสมกลมกลืนกับศาสนาใหม่
คนที่บอกว่า ศาสนาพุทธที่เรานับถือมัน บริสุทธแท้ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีของศาสนาอื่นเจือเลย ท่านช่วยตอบคำถามของผมบ้าง
1.พิธีกรรมบวชนาค เอามาจากไหน เพราะในศาสนาพุทธไม่มีบัญญัติไว้แม้แต่บรรทัดเดียวว่าในพระไตรปิฎก ว่าต้องบวชนาคก่อนบวชเป็นพระ ช่วยตอบที ถ้่าไม่รู้ ผมจะตอบให้ พิธีกรรมบวชนาค เป็นพิธีกรรมของศาสนาผี คือต้องการบอกให้นาครู้ว่า แม่นาค น้ัน ลำบากยากเย็น กว่าจะเลี้ยงเจ้านาคมาจนเติบใหญ่ ต้องอดเปรียว อดหวาน กว่าเจ้านาคจะได้บวชเป็นพระในวันพรุ่งนี้ เมื่อเจ้านาคบวชไปแล้ว จงอย่าลืมบุญคุณที่แม่นาคได้เลี้ยงเจ้ามา...
2.ศาลพระภูมิ ที่ท่านกราบไหว้กันเกือบทุกบ้าน มันของพราหมณ์ ชัดๆ เป็นการกราบไหว้เทวดา เดิมที่สมัยก่อนการสร้างศาลพระภูมิต้องใช้พราหมณ์ ในการเบิกเนตร แต่ทุกวันนี้ใช้ พระไปทำพิธีเชยเลย ท้ังๆ ที่ ในพระไตรปิฎก ไม่มีบัญญัติไว้แม้แต่บรรทัดเดียว
3.พิธีกรรมงานศพต่างๆ อันนี้ชัดมาก เป็นการผสมกันระหว่าง ศาสนาผี ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ มาครบทุกศาสนา เช่น งานศพ เป็นพิธีกรรมเก่าแก่ของศาสนาผี พุทธไม่มี แต่เชิญพระมาสวด หลังสวดเสร็จ เผ่าแล้ว ก็ไปลอยอังคาร อันนี้มันพราหมณ์ ชัดๆ
ประมาณนี้นะครับ... เราไม่ได้รับสิ่งใหม่แล้ว..แล้วโยนความเชื่อเก่าท้ิงไป แต่เราเอามันมาผสมกับความเชื่อใหม่ เป็นความเชื่อในแบบฉบับของเรา.....
ขอเกร็ดประวัติศาตร์นิดหนึ่งนะ ตอนจีนปฏิวัติวัฒนธรรม เขตปกครองตนเองสิบสองปันนาก็โดนด้วยคือ ภาษาจีนเป็นภาษาราชการเท่านั้น
การกินข้าวต้องใช้ตะเกียบ แม้เป็นเขตปกครองตนเองก็เป็นเพียงชื่อ รับบาลจีนสนับสนุนการแต่งงานก็คนไท และป้องกันคนไทลื้อแต่งงานกันเอง ลักษณะแบบนี้เป้นการกลืนชาติประเภทหนึ่งซึ่งปัจจุันจีนก็ยังทำแต่ในสิบสองปันนาถือว่าจีนกลืนชาติสำเร็จเลยค่อนข้างผ่อนคลายนโยบายนี้
อีกเรื่องคือสมัยหนึ่ง ไม่รู้ใครคิดนโยบายนี้คือ การนำเข้าคนจีนจากแผ่นดินใหญ่เข้ามา เพื่อจุดประสงค์เดียวคือ เพื่อพัฒนาชาติยังผลให้เกิดการเบียดบังราษฎรในท้องถิ่นเป็นอันมาก เพราะคนจีนเหล่านี้ถุกจ้างมาลดอำนาจเจ้าเมืองท้องถิ่น จึงทำทุกวิถีทางเพื่อบัดทอนอำนาจทางท้องถิ่น เรื่องนี้ม่บันทึกในพงศาวดารของไทยจะบอกให้
ขอเกร็ดประวัติศาตร์นิดหนึ่งนะ ตอนจีนปฏิวัติวัฒนธรรม เขตปกครองตนเองสิบสองปันนาก็โดนด้วยคือ ภาษาจีนเป็นภาษาราชการเท่านั้น
การกินข้าวต้องใช้ตะเกียบ แม้เป็นเขตปกครองตนเองก็เป็นเพียงชื่อ รับบาลจีนสนับสนุนการแต่งงานก็คนไท และป้องกันคนไทลื้อแต่งงานกันเอง ลักษณะแบบนี้เป้นการกลืนชาติประเภทหนึ่งซึ่งปัจจุันจีนก็ยังทำแต่ในสิบสองปันนาถือว่าจีนกลืนชาติสำเร็จเลยค่อนข้างผ่อนคลายนโยบายนี้
อีกเรื่องคือสมัยหนึ่ง ไม่รู้ใครคิดนโยบายนี้คือ การนำเข้าคนจีนจากแผ่นดินใหญ่เข้ามา เพื่อจุดประสงค์เดียวคือ เพื่อพัฒนาชาติยังผลให้เกิดการเบียดบังราษฎรในท้องถิ่นเป็นอันมาก เพราะคนจีนเหล่านี้ถุกจ้างมาลดอำนาจเจ้าเมืองท้องถิ่น จึงทำทุกวิถีทางเพื่อบัดทอนอำนาจทางท้องถิ่น เรื่องนี้ม่บันทึกในพงศาวดารของไทยจะบอกให้
อีกเรื่อง คนไทยคือ ชนชาติผสม ด้วย จีน มอญ เขมร แขก ไม่รู้ใครต้นคิดเหมือนกัน เหมือนธรรมของพระพุทธเจ้า บางคนบอกว่า
ศาสนาพุทธกับพราหมณ์เหมือนกันจนผสมแยกไม่ออก ความคิดนี้ผิด เป็นความคิดของคนหลง เพราะพระพุทธเจ้าได้จำแนกแจกแจงธรรมะของท่านไว้ชัดเจนไม่เหมือนศาสนาใดเลย ฉันใด คำว่าชนชาติไทยเป็นลูกผสมก็เป็นความคิดของคนหลงโดยแท้ ฉันนั้น
เพราะถ้าเป็นลูกผสม คำว่าชนชาติไท จะเกิดมาจากไหนหากไม่มีจุดกำหนดบริสุทธิของมัน และการดำรงอยู่ของอัตลักษณ์จะหายไปทันที
เช่นสิงคโปร เป็นที่ทราบชัดว่าสิงคโปรก็คือคนจีนอพยพนั้นเอง แต่ว่าด้วยการนำพาของผู้นำ คนจีนอพยพได้ทิ้งอัตลักษณ์ทั้งสิ้นทั้งปวง เหลือแต่เพียงสัญลักษณ์เท่านั้น สิงคโปรเข้าสู่สังคมลูกผสมทันที เวลาท่านมองสิงคโปรท่านจะไม่เห็นอัตลักษณ์ของเขา นั้นคือท่านจะไม่เห็นวิถีจีนในชีวิตเขานอกจากหน้าตา เช่นกันถ้าไทเป็นชนชาติลูกผสมท่านจะไม่เห็นอัตลักษณ์ของชนชาติไทเลย ว่าด้วยภาษา กริยาท่าทาง แต่ล่ะชนชาติจะไม่เหมือนกัน ถ้าคนไทเป็นลูกผสม ท่านจะไม่เห็นว่าเวลาฝรั่งจัดกลุ่มภาษาและชาติพันธุ์ในอาเซียน ไทยกับลาวจะได้รับการยกเว้นว่าไม่ใช่จีน ไม่ใช่มลายู แต่เป็นกลุ่มเล็กๆตรงกลางเสมอ
เรื่องสิงคโปร์ไม่มีอัตลักษณ์นั้นเพราะมันใหม่ไงครับ ของไทยเรารับอิทธิพลมาหลายด้านมาก นานแล้ว ภาษาเราก็ไม่ใช่สันสกฤตหมด แต่มีทั้งจากเขมร ลาว ด้วย แล้วก็มีรากภาษาไทยที่ไม่เหมือนจากไหน อินเวนท์เอง
ผมไม่รู้นะ ว่าทำไมเราต้องอพยพมาจากที่อื่นด้วย แต่ก่อนตรงนี้ร้างหรือ เพราะเขตประเทศไทยมีมนุษย์อยู่มาตั้งโคตรนานแล้วครับ ตั้งแต่ยุคโฮโมอิเร็คตัส
สมัยนี้ศึกษากันจากดีเอ็นเอได้หมดแล้วจริงๆนะครับ evolutionary theory ต่างๆก็ยืนยันกันด้วยยีนส์แล้ว ไม่ใช่ morphology เหมือนเมื่อก่อน หายีนส์ต่างๆเลยว่ามากจากชาติพันธ์ุไหน เพราะมันสามารถดูได้ด้วยว่ายีนส์ไหนยาวสั้นมีอายุเท่าไหร่ ก็จะสามารถ trace แกะรอยได้เลยโดยดูจากยีนส์ในกลุ่มพลเมืองต่างๆ แต่ของเราอาจจะไม่มีคนทำหรือไม่มีตัง
ขอตอบเรื่อง คนไทยปัจจุบันประกอบผสมกันด้วยคนหลายเชื้อชาติก่อนนะครับ..ผมขอยกตัวอย่างดังนี้
รัชกาลที่ 1 ทรงแต่งงาน กับ คุณนาค (เป็นคนมอญอัมพวา) มีลูกออกมา เป็นรัฐกาลที่ 2 (ไทย+มอญ)
รัชกาลที่ 2 ทรงมีสนมสมัยยังไม่ได้ขึ้นครองราช กับคุณเรียม (มีเชื้อสายแขกเปอร์เซีย) มีลูกออกมา เป็นรัฐกาลที่ 3 (ไทย+มอญ+แขก)
รัชกาลที่ 3 ทรงแต่งงานมีพระอัครมเหสี ชื่อ คุณบุญรอด (เป็นลูกจีนพ่อชื่อนายขรัวเงิน แซ่ตัน) ลูกออกมาเป็นรัฐกาลที่ 4(ไทย+มอญ+จีน)
แต่นี้พอทราบนะครับว่า ไอ้สายบริสุทธิ์ ผุดผ่อง แบบเลือดไท 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีเลือดอื่นปน แบบเลือดอารยัน มันไม่มีในประเทศไทย หรอกครับ ถ้ามีช่วยบอกด้วย... เพราะเค้ามีงานวิจัยไปสำรวจ dna กันมาแล้วไม่มี แม้แต่แม้ว เย้า บนเขา ตรวจออกมาก็ถูกผสมมาต้ังแต่ในอดีตแล้วท้ังส้ิน ... คนที่เชื่อเลือดบริสุทธิ จะได้ตาสว่าง ซะที่ นะครับ..
ผมให้คำจำกัดคำว่าไทย เป็นคำสมมุติ เพื่อบ่งบอกว่า นี่เละ คือ วิถีชุมชน วิถีชีวิต ของเราที่อาศัยอยู่ในถิ่น แถวนี้ เราจึงเรียกตัวเองว่าไท
ส่วนสายหลักเราเป็นใคร ผมขอย้ำว่า ก็คือ คนที่อยู่แถวนี้มาแต่ดังเดิม และอพยพ เข้ามาใหม่ อันได้ แก่ คนเขมร คนมอญ คนลาว คนจีน คนแขก และคนพื้นเมือง แต่ทุกกลุ่มยกให้ สาย ไท-ลาว เป็นสายหลัก
ส่วนไท น้ันจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ แต่เราพบว่า เราเรียกตัวเองว่า ไท ที่มีหลักฐานเก่าสุดที่พบก็สมัยสมเด็จพระนารายณ์นี่เอง
ส่วนเรื่องพุทธกับพารหมร์ ผมจะอธิบายให้ฟังต่อไป จะได้เข้าใจกันให้ถูกต้องต่อไป....
ได้อ่านทุกความเห็นในบอร์ดนี้แล้ว มีข้อคิดเห็นส่วนตัวนิดนึงนะครับ ปกติในกรณีแบบนี้ เขา (รัฐบาล) จะตั้งคณะกรรมการ (หรือจะเรียกในชื่ออะไรก็แล้วแต่) มาชำระประวัติศาสตร์ หรืออาจจะเรียกว่าค้นหาความจริง (หรือจะเรียกในชื่ออะไรก็แล้วแต่) ทำให้มันชัดเจนกันไปจะได้จบ ให้มันเคลียร์ชัดเจนกันไป ซึ่งจากที่ดูสารคดีการค้นหาความจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โดยเฉพาะในตะวันตก เขาจะมีทีมนักวิจัย แล้วใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์กันไปให้จบ แล้วก็เผยแพร่มันทีเดียวทุกคนก็เข้าใจตรงกันไม่มีข้อโต้แย้งอีก แต่ทำไมประเทศนี้จึง ? ลองคิดดูกันเอาเองนะครับ
เรื่องบวชนาค กับศาลพระภูมิ นี้ เป็นเรื่องพิธีกรรม แต่พระไตรปิฎกเป็นการบันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าจะไม่มีเรื่องอื่นๆ ด้วย ก็ไม่น่าแปลกนะครับ ถ้าจะดูว่า ศาสนายังเป็นเหมือนเดิมแท้หรือไม่ ผมคิดว่า สมควรดูที่คำสอน ส่วนเรื่องปลีกย่อยอื่นๆไม่น่าจะนำมาพิจารณาได้ มิเช่นนั้น จะมีอีกหลายเรื่อง แม้กระทั่งธรรมเนีียมการสร้างพระพุทธรูป ก็ไม่มีในพระไตรปิฎก ถ้าหยิบยกเอาเรื่องนี้มากล่าวว่า พระพุทธศาสนาไม่บริสุทธิแล้ว ผมคิดว่ายังไม่น่าจะสรุปอย่างนั้นได้ครับ
ผมขอสงวนสิทธิ ม่ก้าวล่วงไปถึง คำสอน ของพระพทุธเจ้า นะครับ.. เพราะผมเชื่อว่า ทุกคนในนี้ รวมท้ังผม ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ผมพูดถึง ความเชื่อ และพิธีกรรมต่างๆ ที่มันประกอบด้วยความเชื่อทั้ง ผี พราหมณ์ พุทธ ผสมปนเปกัน จนเป็นแบบที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน อย่า หลงประเด็น นะครับ.... ที่อ้างพระไตรปิฎก เพื่อให้เห็นภาพว่า พิธีกรรมนี้มันไม่ใช้ของพุทธ แค่น้ันเอง...
หลายๆ ท่านยังสงสัย ถึงเชื้อลาว และเชื้อเขมร ในตัวเรา ผมเพียงแค่นำข้อมูลที่มีอยู่ทั่วไป นำมาเสนอให้พวกท่านพิเคราะห์ดูนะครับ
อันนี้ฝั่งสุโขทัยบ้าง ฝั่งอยุธยาผมบอกไปข้างบนแล้วจะครับด้วยเหตุผลการเป็นลาว
พ่อขุนผาเมือง เป็นบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดผู้หนึ่งในการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย[3] เป็นผู้นำอพยพไพร่พลจาก
บริเวณลุ่มน้ำคาย เมืองเชียงทอง หรือล้านช้าง หลวงพระบาง นำไพร่พลมาตั้งเมืองใหม่ริมลำน้ำพุง ตั้งแต่
บ้านหนองขี้ควาย มาจนถึงบริเวณวัดกู่แก้ว สถาปนาอาณาจักรขึ้นให้เรียกว่าเมืองลุ่ม
ขุนผาเมืองได้อภิเษกสมรสกับนางสิขรมหาเทวี พระธิดาของผีฟ้าเจ้าเมืองศรีโสธรปุระ (พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เมื่อราว พ.ศ. ๑๗๖๒)
หมายเหตุ เมืองศรีโสธรปุระ คือชื่ออณาจักรขอม ที่เราชอบเรียกเขมรกัน นะครับ ข้อมูลจาก หลักศิลาจารึก หลักที่ 2 วัดศรีชุม
คำว่า ผีฟ้า อย่าเข้าใจผิดไม่ใช่หนังเรื่องปอบ นะครับ ผีฟ้า ในที่นี้ตามความหมายคน ไท-ลาว เค้าหมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน หรือกษัตริย์
น้ันเอง หรืออีกความหมายหนึ่ง ก็คือผีบรรพชนผู้เป็นใหญ่ในหมู่ผีบรรพชนท้ังปวง ความหมายคือๆ ก็ กษัตริย์น้ันเละ
ในความคิดผมนะ ผมว่าบรรพบุรุษเราไม่ได้มาจากไหนหรอกครับ ก็อยู่มันที่นี่แหละ แพร่ลูกออกหลาน ผสมกันมา ดูอย่างบ้านเชียง ยังย้อนอดีตไปกว่า 4,000 ปี ก็คงเป็นอาณาจักรแถวนี้นี่แหละ ที่เปลี่ยนถิ่นที่อยู่ไปมา ไม่ว่า จะเป็น ขอม มอญ จาม ละโว้ สุวรรณภูมิ ศรีวิชัย ไทลื้อ หรืออะไรก็ตาม ที่ติดต่อ เราคงอยู่ที่นี่นั้นแหละ ถ้าจะมีเชื้อสายจีนมาผสม ที่ชัดๆ ก็น่าจะมาตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร เพราะเห็นมีการค้าขายกับจีน แต่งตั้ง คนจีน เป็นขุนนางไทย หรือจากประวัติศาสตร์ ส่งธิดาจีนมาแต่งงานกับกษัตริย์ไทย (วัดพนัญเชิง) หรือแม้แต่คนจีนทางยูนาน (สิบสองจุไท) ไหหลำ หรือ แม้แต่จีนในปัจจุบัน ก็ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากกษัตริย์เป็นสาธารณรัฐ ที่อพยพมาเยอะเลย เสื่อผืนหมอนใบ ที่เราได้ยิน ก็ผสมไปเรื่อย เพียงแต่เมื่อพูดสื่อถึงประวัติศาสตร์ มันต้องเล่าถึงความยากลำบากของบรรพบุรุษ จะได้สร้างแรงกระตุ้น จิตสำนึกในการรักชาติ
การย้ายถิ่นที่ชัดๆ สมัย ร.1 มีการบุกไปตีเวียงจันท์ หลวงพระบาง ก็เกณฑ์เทครัวคนลาวมาขุดคูเมือง สร้างกำแพงเมือง กว่าแสนคน พวกมอญที่ช่วยรบก็ไปอยู่ ปากเกร็ด พระประแดง คนเมืองปัตตานี ก็เกณฑ์เทครัวมาขุดคลองแสนแสบ ทำสวนไร่นากันรอบนอกเมือง (ที่ตอนนี้กลายเป็นในเมืองไปหมด) ส่วนคนกรุงศรีแท้ๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปอยู่พม่า ตอนเสียกรุงครั้งที่ 2 (ซึ่งเหตุการณ์จำพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดาของในอดีต ต้องตัดกำลังคู่ต่อสู้) ฉะนั้น ถ้าใครอยู่กรุงเทพฯ ก็อย่าคิดว่าเป็นคนกรุงเทพฯ แท้ๆ นะครับ อิอิอิ
ขอเสริมหน่อยนะครับ...
คนลาวที่เราไปกวาดต้อนมา ในสมัย ร.1 และ ร.3 เป็นคนและกลุ่มก้อนกับคน ของพ่อขุนผาเมือง และ คนของแคว้นสุพรรณภูมิ เพราะเกิดคนละสมัยกัน และคนลาวยุคหลังจะเป็นลาวพวน โดยมาต้ังรกราก กระจายตัวอยู่ทั่วไป ในภาคกลาง ต้ังแต่ นนทบุรี ลพบุรี สระบุรี และอีกหลายๆ จังหวัด ส่วนลาวในสมัยก่อนจะเป็นลาวหลวงพระบาง เพราะพูดสำเนียงเน่อ แต่ลาวพวน จะพูดคล้ายภาษาเหนือล้านนาของเรา หรือสำเนียงคล้ายลาวเวียงจันทร์
เหตุที่ทำให้รับรู้ได้ว่า สำเนียงเน่อน้ัน เป็นสำเนียงราชการ หลักฐานชิ้นหนึ่ง นอกจากที่เรารับรู้โดยทั่วกันอยู่แล้วว่า คนอยุธยา คนสุพรรณพูดเน่อ ก็คือ บทขับใน โขน ราชสำนัก ที่ทุกวันนี้ กรมศิลปากร ก็ยังนำมาแสดงเวลามีงานสำคัญ ๆ ต่างๆ เป็นบทขับที่ใช้มาต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มันเป็นสำเนียงเน่อ ซึ่งผู้รู้ทางนี้ บอกว่า บทขับ ต่างๆ เหล่านี้ ไม่สามารถแก้ได้ เนื่องจาก เป็นโขน ราชสำนัก ต้องยืดตามหลักแบบแผน มาต้ังแต่โบราณ พูดง่าย เค้าสืบทอดกันมาภายในราชสำนัก และไม่เคยแก้ไขบทขับร้อง เน่อมายังไง ทุกวันนี้ก็ยังคงร้องเน่อกันอยู่อย่างน้ัน
ขอสมทบเพิ่มเติม ทฤษฎีเรื่องภาษาหน่อยละกันครับ ภาษาไทยของเรานั้นอยู่ในตระกูลภาษา ไท-กะได ซึ่งปัจจุบันคนกลุ่มคนที่ใช้ภาษาจากตระกูลนี้มีอยู่ในประเทศไทยและลาวแค่นั้นครับ...ซึ่งตัวอักษรไทยดั้งเดิมนั้นเคยมีบันทึกเอาไว้ชัดเจนแล้วว่าพ่อขุนรามท่านดัดแปลงมาจากภาษาขอมครับ...ส่วนบาลี สันสกฤต นั้นเข้าใจว่ารับอิทธิพลมาภายหลังสังเกตุง่ายๆ คำไทยที่เป็นไทยแท้ๆจะไม่มีการสมาส หรือ สนธิคำ แต่จะเป็นคำที่มีความหมายตรงๆเลย เช่น ชื่อคนก็ต้องเป็น ดำ แดง อิน จัน เป็นต้น
อีกทฤษฎีที่มีนักวิชาการเคยอธิบายและอ้างอิงไว้ก็คือ ชนชาติไทยนั้นแท้เดิมแล้วไม่ได้อพยพมาจากไหนหากแต่เป็นกลุ่มคนท้องถิ่นอยู่แต่เดิมก่อนแล้วดังที่มีการขุดค้นพบอารยธรรมโบราณแถบสุวรรณภูมิหลายแหล่ง เช่นบ้านเชียง เป็นต้น หากเอาเรื่องภาษาไปจับก็จะทำให้น่าเชื่อได้ว่าชนชาติไทยอาศัยอยู่ในดินแดนนี้มาช้านานแล้ว
ข้อมูลอ้างอิงเรื่องตระกูลภาษา ผมเอามาจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่คลองหลวง ตึก 3 เค้าทำเป็นสื่อสวยงามมีปุ่มกดเล่นหนุกหนานครับ 5555
ผมว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรมน่าจะช่วยคลี่คลายความจริงได้ในระดับหนึง จากคลิปวิดิโอนี้ นาทีที่ 5.10 ได้แสดงข้อมูลเกี่ยวกับคนไทยด้วยครับ https://www.youtube.com/watch?v=sUMJMk7U3sk
ท่าน พอลพต ครับ ...ผมอ่านมาหลายความเห็น ตอนแรกคิดว่าคุณพิมพ์ผิด .... เหน่อ ครับ ไม่ใช่ เน่อ
ขอบคุณท่าน sada77 สำหรับคำว่า เหน่อ..
ในเรื่องของ DNA น้ัน ได้มีการเปรียบเทียบ DNA ของชนกลุ่มน้อยใน มณฑลกวางสี ผลที่ออกมาสร้างความแปลกประหลาดใจให้กับนักวิชาการจีนมาก เพราะผลตรวจ DNA น้ัน มาตรงกันกับ คนลาว หลวงพระบาง...
นอกจากนี้ ในอดีต มีนักวิชาการทางด้านภาษา ได้ออกบทความทางวิชาการออกมาว่า ภาษาไทย น้ัน มีรากเหง้า มาจากชนกลุ่มน้อยในมณฑลกวางสี ซึ่งตอนน้ันทางบ้านเราไม่ค่อยยอมรับเท่าไร เพราะยังเชื่อว่า คนไท มาจาก เทือกเขาอัลไต
แต่ด้วยปัจจุบันนักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ได้เดินทางไปวิจัย และสำรวจ สถานที่จริงมากขึ้น ต่างจากในอดิตที่นักวิชการบ้านเราจะอ่านหนังสือที่ฝรั่งแต่งขึ้นแล้วก็เอามาเขียนหนังสือ แล้วบอกว่านี่เละผลงานทางวิชาการ ทุกวันนี้ก็ต้องยอมรับว่า มีงานวิจัยเรื่องที่มาของคนไทยก้าวหน้ากว่ายุคในอดีตอย่างมากมาย จนทำให้พอที่จะมองเห็นภาพว่าคนไท เป็นใคร มาจากไหน..
และปัจจุบัน ได้มีนักวิชาการเดินทางไปเมืองกวางสีเพื่อวิจัยเกี่ยวกับเรื่อง คนไท กันอย่างมากมาย แม้แต่เจ้าฟ้า ก็ยังไปเปิดศูนย์ภาษาไทยที่ มณทลกวางสี และคนกลุ่มน้อยในกวางสี เค้าก็รู้สึกตื่นเต้นที่รู้ว่า ชาติพันธิ์ของเค้ากับคนไท น่าจะมีรากเหง้าเดียวกัน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าชาติพันธ์ของท่านเป็นใคร สิ่งแรกที่ท่านต้องเข้าใจก่อนว่า ชื่อที่เราเรียกตัวเองว่า ไท น้ัน ในอดีตเราอาจจะไม่ได้เรียกอย่างน้ันก็ได้.. เพราะเมื่อไปถามคนที่พูดภาษาเดียวกับเรา ทุกกลุ่ม เค้าบอกเหมือนกันว่า เค้าไม่ใช่คนไท เค้าคือ คนลาว คนลื้อ คนพวน คนจ้วง ไม่มีสักกลุ่มที่บอกว่า ตัวเองเป็น ไท เลย
แล้วคำว่า ไท มาจากไหน อันนี้ผมก็ไม่ทราบเพราะยังไม่มีข้อมูลการจดบันทึกเพื่อยืนยันได้ แต่น่าจะมาจากเรืองของความมั่นคง
เพราะในสมัยน้ัน จะมีชาติพันธ์ หลายกลุ่มที่อย่ในยุคเดียวกัน และอยู่รวมกัน เช่น มอญ มีอำนาจ ต่อมาขอม มีอำนาจ และมาลาวมีอำนาจ ถ้าท่านเป็น กษัตริย์ที่สามารถยึดอำนาจได้ ถ้าท่านบอกกับประชาชนของท่านว่า เราทุกคน คือคนลาว ท่านว่าคนเขมร คนมอญ จะยอมมั้ย.. ให้ดูยูเครน เป็นตัวอย่าง แล้วท่านจะทำอย่างไร ในเมื่อ ประชากร ก็พอๆ กัน มีท้ัง ลาว เขมร มอญ ถ้าเป็นผม ผมก็จะบอกกับ ประชากรของผมว่า เราทุกคนเป็นคนไท ทุกกลุ่มก็น่าจะยอมรับได้ในระดับหนึ่งเพราะมันถือว่าเท่าเทียมกัน...
ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับคำว่า ไท ครับอาจมาจากภาษาอิสานหรือภาษาลาวที่ใช้เรียกกลุ่มของตัวเองเช่น ไทเฮา แปลว่าพวกเราเป็นต้นครับ
แหม่ ผมก็นึกว่าคุณ pornpoj เขียนแบบอกเสียงสมจริง เพราะคนพูดเหน่อเค้าก็ออกเสียงเป็นเน่อทั้งนั้นแหละ มีแต่คนกรุงเทพที่เรียกเหน่อ
หลายคน..คงสงสัยว่าาเพราะเหตุใด ผมถึงชอบกล่าวอ้าง ลาวหลวงพระบาง ต้องขอบอกก่อน ผมไม่ใช้คนลาว นะครับ.. เป็นคนกรุงเทพฯ
เรียนหนังสือกรุงเทพ และรับราชการคร้ังแรกก็ที่กรุงเทพ...
แต่ที่ต้องกล่าวอ้างถึงหลวงพระบางบ่อย... ก็ข้อมูลมันมาอย่างน้ัน ..ถ้ามีเวลา ผมจะนำอณาจักรเปรียบเทียบ ความเชื่อมโยง ของแคว้นต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณนี้ ก่อนที่จะเป็นอณาจักรกรุงศรีอยุธยา มาให้ชมกัน ท่านก็จะพอมองภาพออกถึง การเดินทาง ติดต่อค้าขายกัน รวมท้ังการส่งลูกสาวไปแต่งงานกับแคว้นอื่น จนเยื่อมโยงกันเป็นเครือญาติ ของเขตภูมิภาคนี้ .....
เป็นกระทู้ที่ไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีแต่เป็นกระทู้ที่ดีและน่าสนใจอีกกระทู้หนึ่งเลยครับ
เท่าที่ผมเคยเรียนวิชาประวัติศาสตร์มาตามอัตภาพก็พอจะเข้าใจได้ว่า คนไท หรือ คนไทย นั้นมีความหลากหลายทางชนชาติมากเพราะอดีตก่อนที่จะมาเป็นไทยในปัจจุบันคนดินแดนแห่งนี้ที่เราเรียกว่า สุวรรณภูมิ ได้มีหลายอาณาจักรที่ครอบครองและรุ่งเรืองมาก่อน(ในสมัยประวัติศาสตร์) เท่าที่เคนอ่านเจอก็ อาณาจักรฟูนัน ทวาราวดี ศรีวิชัย พุกาม จำปา ล้านนา ล้านช้าง สุโขทัย อยุทธยา ธนบุรี รัตโกสินทร์ และชนชาติที่มีในแถบบนี้ก็จะมี มอญ พม่า ขอม ลาว เขมร ลื้อ พวน จาม ส่วนไทนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากไหนก็อย่างที่เพื่อนสมาชิกบอกนั่นล่ะครับว่าอาจมากจาก ตอนใต้ของจีนบ้าง เทือกเขาอันไตยบ้าง โดยอ้างจากบันทึกและหลักฐานทางศึกษาของทั้งในและนอกประเทศเรื่องนี้ยังต้องรอการพิสูจน์ต่อไปครับ
ผมไม่ทราบว่าทำไมเจ้าของกระทู้จึงเข้าใจว่า คนไทยถูกสอนให้เชื่อฝั่งหัวว่าฝั่งหัวว่าคนไทยมาจากอาณาจักรน่านเจ้า
เท่าที่จำได้สมัยมัธยม ก็จะสอนอยู่ราวห้าทฏษฎี และยังไม่มีใครสรุปยืนยนว่าอันไหนถูกต้อง
มีแค่ทฤษฎีเก่าแก่อันเดียวที่นำเสนอสมัยที่ใช้เพื่อสร้างความเป็นชาตินิยม
คือทฤษฎีที่บอกว่าคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต ไม่ใช่ทฤษฎีที่ว่าคนไทยมาจากน่านเจ้า
ส่วนในวงการประวัติศาตร์ค่อนข้างจะเชื่อเรื่อง สยามหลากเผ่าหลายพันธุ์ มากกว่าครับ
คนไทยในอดีตก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ ผมเชื่อว่า มีทั้งชนพื้นเมืองเดิม คนลาว คนเขมร คนมอญ คนมลายู เวียดนาม อยู่กันมานานแล้ว
แต่ ถ้าเทียบกัน หลังจาก ร.5 ผมว่าคนไทยดั้งเดิมแทบจะไม่เหลือสายพันธ์เดิมๆแล้วละครับ
.. เอาง่ายๆ ท่านลองถามเพื่อนๆรอบตัวดู ว่าใครบ้างไม่มีเชื่อสายจีน .. ผมว่า 100 คน มีไม่ถึง 10 คน ที่ไม่มีเชื้อสายจีน
ร.1 เอง ยังมีเชื้อสายฝรั่งเศษเลย ( ตอนเด็กๆ ผมดูรูป ร.1 ก็ยังสงสัยว่าทำไมพระองค์ถึงหน้าตาออกไปทางฝรั่ง )
.. เนื่องจากคนไทย เกือบ 70% มีเชื้อสายจีน เหตุนี้แหละ ที่คนจีนถึงได้กล่าวอ้างว่า คนไทยอพยพมาจากประเทศจีน
แต่ .. คนจีน ที่มาอยู่ไทย ปัจจุบันดีเอ็นเอที่ชอบเสียงดังโฉ้งเฉ้ง กลายเป็นยีนส์ด้อย เพราะคนไทยเชื้อสายจีนไม่ชอบเสียงดังวุ่นวาย
ถ้าจะให้ฟันธง ว่าคนจีนที่อพยพมาไทย ว่า มาจาก ยูนนาน หรือ กว่างสี ผมว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ผมเคยลองคุยกับอาแปะแถวบ้าน
แกบอกว่า คนจีนที่อพยพมาไทย มาจากหลายๆหัวเมืองจากประเทศจีน แกบอกว่า แกพอรู้ว่ามาจากใหน ดูจาก แซ่...เอา
ส่วนผมก็ได้แต่ฟังผ่านๆ .. ชวน บรรหาร ทักษิณ อดีตนายกเหล่านี้ก็เชื้อสายจีน ส่วน อภิษิต เชื้อสายเวียดนาม .. แล้วคุณคิดว่า
คนไทยสายเลือดไทยแท้ๆ ยังมีหลงเหลืออยู่อีกเหรอครับ
ปล. ทวดฝ่ายพ่ออพยพมาจากอินเดีย ทวดฝ่ายแม่อพยพมาจากจีน .. แบบนี้ จะให้เรียกผมว่าคนไทยได้หรือเปล่า แต่ ถ้า จีน หรือ
อินเดีย ยกทัพมารุกรานไทย ผมก็ขอสู้จนตายบนแผ่นดินไทยนี้แหละครับ
ขอตอบคุณ tumx ที่กล่าวว่า ตอนสมัยเรียนเค้าก็ไม่ได้สอนเรื่องคนไทยมาจากน่านเจ้าแล้ว
..ใช่ครับ ปัจจุบันนี้ ไม่อยู่ในหลักสูตรเรียนแล้ว เพราะมันมีงานวิจัยออกมา ว่าทฤษฎีนี้ไม่น่าจะใช้ เค้าก็เลยให้ถอดออกจากบทเรียนวิชาประวัติศาสตร์ แต่ถ้ารุ่นผมหรือรุ่นก่อนผม ก็เรียนกันมาว่า คนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต ผมสังเกตุดู คนจำนวนมากก็ยังคิดมาบรรพชนของตนมาจากเทือกเขาอัลไต ใน web นี้ผมก็เคยอ่านเจอ ก็เลยอยากเอาข้อมูลใหม่ๆ มาให้รับทราบกัน ...
ด้านทางตะวันตกกับตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนาน ก็มีผู้คนที่ครอบครองอยู่แล้ว และจีนเรียกว่า หวู-หม่าน (Wu-man)
หรือ “คนป่า-คนเถื่อนดำ” พวกนี้พูดภาษาในตระกูลทิเบต-พม่า คล้ายกับพวก “โลโล่” หรือ “ละหุ” ที่ก็ยังอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้
พวกหวู-หม่านแห่งยูนนานตะวันตกนี่แหละที่ในศตวรรษที่ ๗ ได้กลายเป็นศูนย์กลางของรัฐน่านเจ้า
จดหมายเหตุร่วมสมัยที่ครอบคลุมเรื่องน่านเจ้าได้ดีที่สุดคือ “หม่านชู” (Man Shu) ที่เขียนขึ้นโดยข้าสำนักจีนเมื่อประมาณปี ๘๖๐
บันทึกรายการของคำศัพท์น่านเจ้าที่กล่าวถึงไว้ในหนังสือหม่านชู ก็เทียบได้กับภาษาโลโล่ ไม่ใช่กับภาษาไท และตำนานชนเผ่าไท
หรือพงศาวดาร ก็ไม่มีการเอ่ยถึงอาณาจักรน่านเจ้าหรือเจ้าตนใดเลย...
เทือกเขาอัลไต อยู่ในเขตการปกครองของรัสเซีย ... ผมก็สงสัยทษฏีที่ว่า คนไทยส่วนหนึ่งอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตเหมือนกัน
พอดีได้รู้จักคนรัสเซียที่อยู่แถวพัทยาเค้าพอจะพูดไทยได้นิดหน่อย ก็เลยชวนคุยเรื่องนี้ .. คนรัสเซียท่านนั้นก็เล่าว่า
ในอดีตเมื่อซัก 40 - 50 ปีที่แล้ว ชาวอัลไตยังใช้มือเปิบอาหารคล้ายๆคนไทย รวมไปถึงรูปทรงการสร้างบ้านก็นิยม จั่ว หรือ เพิงหมาแหงน
ซึ่งมันดันคล้ายการสร้างบ้านของคนไทยในสมัยก่อน .. อีกอย่าง คนรัสเซียท่านนั้นเค้ามีเพื่อนเป็นชาวอัลไต วันหนึ่งเพื่อนเขามาเที่ยว
ที่พัทยา .. ผมเห็นแล้ว อุ แม่เจ้า รูปร่าง หน้าตา นี่มันคนไทยชัดๆ แล้วที่ผมตะลึงไปกว่านั้น ชาวอัลไตยกมือไหว้ทักทายผมเหมือน
คนไทยไหว้ ( ไม่เหมือนฝรั่งไหว้ ที่ดูเข็งๆไม่เป็นธรรมชาติ ) ชาวอัลไตท่านนั้นพูดเป็นแต่ภาษารัสเซีย พูดอังกฤษได้นิดหน่อย นับถือพุทธ
.. น่าแปลกใจไหมล่ะ อัลไต กับ ไทย อยู่ห่างกันเกือบค่อนโลก แต่ หลายๆสิ่งดันเหมือนๆกัน ทษฤนี้ คงต้องใช้วิทยาศาสตร์พิสูจน์
ดีเอ็นเอกันแล้วละครับ .. อัลไต กับ ไทย มีจีนคั่นกลางอยู่ แต่ วัฒนธรรมดันเหมือนกัน เอาแค่เรื่องกิน จีนใช้ตะเกียบ อัลไต กับ ไทย
ใช้มือเปิบ มันน่าแปลกใจมั๊ยล่ะ
ขอตอบคุณ soda77
เทือกเขาอัลไต น้ัน อยู่ในพื้นที่ของ ประเทศมองโกลเลีย แต่อดีตน้ัน อยู่ในพื้นที่ของ อดีตสหภาพโซเวียด ดังน้ัน คนแถวเทือกเขาอัลไต ไม่ใช่คนรัฐเซีย แน่นอน ไม่แปลกที่หน้าตาจะคล้ายกับคนเอเชีย เพราะเค้าเป็นคนมองโกลเลีย ส่วนรูปบ้านมุมจั่ว ก็ไม่แปลกอีก เพราะท่ัวโลกก็บ้านทรงจั่วท้ังน้ัน ลองเปรียบเทียบดูนะครับ ท้ังบ้าน กับ ผู้คน ถ้าเป็นคนไทย ท่านอาจลืมไปอย่างหนึ่ง ตามหลักฐานที่มีการจดบันทึกไว้ คนไท โบราณ จะมีเอกลักษณ์ อย่างหนึ่งคือ อยู่บ้านหลังคาจั่ว ยกเสาสูง ไม่ว่าจะอยู่ที่ราบลุ่ม หรือบนภูเขา จะเป็นบ้านแบบ หลังคาจั่ว ยกเสาสูง ไม่ใช้เพราะบรรพชนเรากลัวน้ำท่วม แต่เพราะ วิถีชีวิต คนสมัยก่อน จะมีกิจกรรมต้องทำหลายอย่างในใต้ถุนบ้าน ต้ังแต่ เลี้ยงสัตร์ ทำเครื่องจักรสาน ทอผ้า เก็บเครื่องมือการเกษตร หรือเกือบทุกกิจกรรม จะถุกทำที่ใต้ถุนบ้าน นี่คือวิถีชีวติของคนไท มาแต่ดังเดิม ไม่ใช้ ดูเพียงว่า บ้านหลังค่าจั่ว เหมือนเรา แล้วต้องเป็นคนไท การที่คนรัฐเซียมองคนมองโกลเลียวว่าเหมือนคนไทย มันไม่แปลกหรอกครับ แต่อย่ามาสรุปว่า คือ คนไท แค่น้ันคงยังไม่พอ การยกมือไหว้ เหมือนเรา ก็ไม่แปลกอีก คนแถวกวางสี หรือคนจีน บางพวก ก็ยกมือไหว้ เหมือนเรา .. การที่จะสรุปว่าใช้อัตลักษณ์เดียวกับเราหรือเปล่า เราคงต้องเข้าไปดูวิถีชีวิต แต่ดังเดิม ภาษาที่ใช้ และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะมันต้องมีอะไรที่สืบทอดมาถึงพวกเราด้วย..
ลืมรูป
เอา พุทธ ผสมกับ ความเชื่อผี.. เพื่อสื่อสารกับผู้คนว่า ดูสิ แม้แต่ พญานาค ที่พวกท่าน นับถือ ยังต้องมาบวช เป็นพระ ความเชื่อเรื่องพญานาค เป็นความเชื่อดั่งเดิม ของคนถิ่นนี้มาแต่นมนาน ก่อนมีศาสนาพารหมณ์ และศาสนาพุทธ อีก... เวลาท่านอ่านประวัติเกี่ยวกับพญานาค โปรดระวัง เพราะเค้าใช้คำว่า ตำนาน นั้นหมายถึง เรื่องเล่า น้ันเอง โดยผู้เล่าอาจมีวัตถุประสงค์อะไรก็แล้ว แต่ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะเล่งเห็นผลได้ ก็คือ เพื่อชักจูงให้ผู้ที่นับถือศาสนาผี อยู่เดิม มานับถือ ศาสนาพุทธน้ันเอง เพราะเจตนามันชัดแจ้งอยู่ใน ตำนานแล้ว ...
ความเชื่อดั่งเดิม ของคนไทยและคนแถบนี้ ก็คือความเชื่อ เรื่อง สิ่งเล้นลับ ผี ความเชื่อเรื่องนี้เก่าแค่ไหน ก็เพียงแค่ มันเกิดขึ้นมาพร้อมกับมนุษย์ แค่นั้นเอง เมื่อมีความเชื่อเรื่องพราหมณ์เข้ามา พราหมณ์ก็แทนตนเป็นเทวดา อะไรที่เป็นเทวดา ไม่ว่าจะ พระอิน พระนารายณ์ เทวดาทุกพระองค์ ถือว่าเป็นความเชื่อของพารมหณ์ ต่อมาก็ศาสนาพุทธเข้ามา ศาสนาพุทธก็นำความเชื่อของผี และความพราหมณ์ มาผสม กับ พิธีกรรมต่างๆ ของพุทธ จนมาเป็นพุทธ แบบของเรา