หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ยาปฏิชีวนะเสียคุณสมบัติในการรักษาแล้วทั่วโลก

โดยคุณ : sam เมื่อวันที่ : 05/05/2014 10:33:45

การอนามัยโลกแจ้งเตือนทั่วโลกยาที่ใช้อยู่อาจใช้ไม่ได้ผลแล้ว เนื่องจากการใช้ยาไม่ถูกวิธีทำใช้เชื้อโรคมีการพัฒนาตนเองจนป้องกันตัวเองจากยาปฏิชีวนะ  

PS.อาจจะหายนะครั้งในระดับโลกเลยทีเดียวไปอ่านในกระทู้ pantip หรือถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็เข้าฃไปอ่าหน้าเว็ปของอนามัยโลกแทน

 





ความคิดเห็นที่ 1


คนใช้ยาไม่เป็นกันเยอะ ใช้มั่วว่างั้นเหอะ ไม่รู้จะโทษคนว่าไม่หัดหาความรู้หรือโทษหน่วยงานรัฐว่าไม่เผยแพร่ห้เจ้าถึงคน นึกว่าเป็นยาวิเศษ ปวดหัวตัวร้อนเจ็บคอมีน้ำมูกปวดขา กินยาพาราฯ ครอบจักรวาลเลย เออก็แปลกดี

ยาปฏิชีวนะใช้กันพร่ำเพรื่อมากจนเชื้อดื้อยากันหมด

 

โดยคุณ toeytei เมื่อวันที่ 04/05/2014 22:23:08


ความคิดเห็นที่ 2


เอ่อ ท่าน toeytei ผมคิดว่าโทษคนกินอย่างเดียวก็ไม่ถูกนะครับ ยาปฏิชีวนะตัวเเรกคือ เพนนิซิลิน ถูกค้นพบสมัยสงครามโลกครั้งที่สองครับ เเล้วอีตาอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง คนที่ค้นพบ ก็นำไปทดลองจนมันสามารถใช้รักษาโรคได้สารพัด สมัยนั้นใครเป็นโรคอะไรก็กินเพนนิซิลินเพราะมันเป็นยาครอบจักรวาลเหมือนพาราสมัยนี้น่ะครับ อีกอย่าง นักวิทยาศาสตร์ก็ลืมไปว่า เชื้อโรคก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน มันก็มีวิวัฒนาการเหมือนกัน จนมันดื้อยาได้ กว่าจะรู้ตัวเเล้วคิดยาชนิดใหม่มารักษาได้ เชื้อโรคก็วิวัฒนาการไปถึงไหนต่อไหนเเล้วครับ

โดยคุณ maritime เมื่อวันที่ 04/05/2014 23:15:37


ความคิดเห็นที่ 3


คุณ toeytei หมายถึงว่าการใช้พร่ำเพรื่อโดยไม่มีวินัย หรือไม่จำเป็นเป็นการเร่งให้เกิดการดื้อยาครับ 

คือการกลายพันธ์ของเชื้อมันเป็นอะไรที่ห้ามไม่ได้อยู่แล้ว อันนั้นผมไม่เถียง ดังนั้นประเด็นคือจะทำอย่างไรให้การดื้อยาหรือกลายพันธุ์นี้เกิดขี้นช้าทีสุด 

แรกเลยการใช้ยาพร่ำเพรื่อ เวลาเป็นไข้ปวดหัวตัวร้อน ยาปฏิชีวนะไม่ได้จำเป็นเลย (นอกจากสาหัสเสี่ยงตาย เช่นภูมิอ่อนหรือร่างกายกำลังอ่อนแอ โรคแทรกซ้อนอะไรก็ว่าไป) เพราะภูมิร่างการสามารถเอาชนะได้อยู่แล้ว การใช้ยาปฏิชิวนะเป็นแค่การกดอาการ ซึ่งร่างกายเราก็ฟื้นด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ยาปฏิชิวนะ ไม่ได้ฟื้นฟูร่างกายหรือรักษาให้หายอะไร ในทางกลับกันเนื่องจากการใช้ยามากๆ จะทำให้เชื้อกลายพันธุ์เร็วขี้นเป็นเงาตามตัว การที่เราไอ้ค็อกๆ แค็กๆ แล้วไปซื้อยาปฏิชิวนะมากิน ก็เป็นการทำให้คนที่ติดโรคติดเชื่อหนักๆ มีสิทธิ์ตายไวขี้นอีก 

ข้อต่อมาเรื่องการใช้ไม่ถูกวิธี การใช้ยาปฏิชีวนะ มันต้องใช้ตามที่ถูกออกแบบมา เช่นกินทุกกี่ชั่วโมงติดๆ กันจนหายสนิท เชื้อซี้แหงแก๋ ไม่เช่นนั้นการที่เราไม่จัดการเชื้อให้ตายไปทันที จะทำให้เชื้อแข็งแรง(ดื้อยา)ขื้นเรื่อยๆ เหมือนให้เวลานอกให้เชื้อพักตัวมาสู้กับยาเพิ่มนั่นแหละ และทุกขณะที่เรากำลังสู้กับเชื้อ ไอ้การที่เชื้อจะแพร่ต่อไปก็ย่อมยาวขี้นด้วย ดังนั้นการที่เราไม่กินยาให้ถูกต้องตามเวลาตามคำสั่งแพทย์ หรือซื้อมากินเองมั่วๆ ก็จะมีผลให้ยากลายพันธุ์เร็วขี้น ดังนั้นยาปฏิชีวนะจึงเป็นยาที่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ในหลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นสหรัฐฯ ส่วนเมืองไทยก็เดินไปซื้อหน้าเคาน์เตอร์ได้เลย

การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบไม่พร่ำเพรื่อจึงถือเป็นหน้าที่ของเราทุกๆ คน เพราะทุกวันนี้ไอ้การคิดยาปฏิชิวนะตัวใหม่ๆ มันยากขี้นแบบยกกำลังไปเรื่อยๆ ไม่ได้ง่ายๆ เหมือนช่วงแรกๆ แล้ว และบริษัทต้องลงทุนเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท พอเสร็จได้ยาก็ผู้บริโภคนี่แหละ จ่ายบานตะไท

พูดสั้นๆ ง่ายๆ คือ พยายามอย่าใช้ยาปฏิชีวนะครับ

ปล. พารามันใช่ยาปฏิชีวนะเหรอ?

โดยคุณ tongwarit เมื่อวันที่ 05/05/2014 01:38:36


ความคิดเห็นที่ 4


รายางนขององค์การอนามัยโลกสรุปหลักๆ ที่ปชช. ทั่วไปควรทราบดังนี้

  1. การดื้อยาของยาโด๊ปหนักๆ แบบมาตรการสุดท้าย เกิดขี้นมากขี้นๆ ทำให้สิทธิ์ตายสูงขี้น ระยะการป่วยนานขี้น
  2. ใช้ตามที่แพทย์สั่ง เช่นกินให้หมด แม้จะรู้สึกสบายดีแล้ว (แต่ความจริงเชื้อยังมี ดังนั้นต้องกินไปให้หมดจนเชื้อตาย) และอย่าไปเที่ยวกันเองโดยแพทย์ไม่ได้สั่ง
  3. รักษาอนามัยให้ดี เพื่อป้องกันการติดเชื้อในที่แรก ทั้งแพทย์ ทั้งปชช. ต้องช่วยกัน

เหมือนทีผมบอกก่อนหน้านี้แหละครับ ว่ายามันช่วยกดอาการขณที่ร่างกายทำการฟื้นฟูตัวเอง จึงจำเป็นเฉพาะในบางกรณี ขณะที่ถ้าชิวๆ ร่างการภูมิสู้ได้อยู่แล้ว ก็อย่าไปใช้ให้เชื้อมันได้ทำความรู้จักกับยา (และพัฒนาห้ต่อต้านยา)

โดยคุณ tongwarit เมื่อวันที่ 05/05/2014 02:15:29


ความคิดเห็นที่ 5


บ้านเรายาแก้อักเสพ ยาปฎิชีวนะซื้อง่ายมากครับ ไม่สบายไปร้านขายยานขายก็จัดให้ ในต่างประเทศยาพวกนี้ต้องหมอสั่งอย่างเดียวซื้อเองไม่ได้ คนไทยมีโรคประหลาดอีกอย่างคือไม่สบายชอบไปซื้อยากินเอง หรือไม่ก็ไปร้านขายยาให้จัดยาให้ ไม่ยอมไปหาหมอ... นอกจากนี้หมอไทยก็ชอบจ่ายยากลุ่มฆ่าเชื้อปฎิชีวนะจริงๆ เจ็บคอ เป็นหวัดก็จัดมาเหมือนถ้าไม่มียากลุ่มนี้ เหมือนไม่ได้ไปหาหมอหรือยังไงก็ไม่รู้

 

โดยคุณ skysky เมื่อวันที่ 05/05/2014 10:33:45