การอนามัยโลกแจ้งเตือนทั่วโลกยาที่ใช้อยู่อาจใช้ไม่ได้ผลแล้ว เนื่องจากการใช้ยาไม่ถูกวิธีทำใช้เชื้อโรคมีการพัฒนาตนเองจนป้องกันตัวเองจากยาปฏิชีวนะ
PS.อาจจะหายนะครั้งในระดับโลกเลยทีเดียวไปอ่านในกระทู้ pantip หรือถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็เข้าฃไปอ่าหน้าเว็ปของอนามัยโลกแทน
คนใช้ยาไม่เป็นกันเยอะ ใช้มั่วว่างั้นเหอะ ไม่รู้จะโทษคนว่าไม่หัดหาความรู้หรือโทษหน่วยงานรัฐว่าไม่เผยแพร่ห้เจ้าถึงคน นึกว่าเป็นยาวิเศษ ปวดหัวตัวร้อนเจ็บคอมีน้ำมูกปวดขา กินยาพาราฯ ครอบจักรวาลเลย เออก็แปลกดี
ยาปฏิชีวนะใช้กันพร่ำเพรื่อมากจนเชื้อดื้อยากันหมด
เอ่อ ท่าน toeytei ผมคิดว่าโทษคนกินอย่างเดียวก็ไม่ถูกนะครับ ยาปฏิชีวนะตัวเเรกคือ เพนนิซิลิน ถูกค้นพบสมัยสงครามโลกครั้งที่สองครับ เเล้วอีตาอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง คนที่ค้นพบ ก็นำไปทดลองจนมันสามารถใช้รักษาโรคได้สารพัด สมัยนั้นใครเป็นโรคอะไรก็กินเพนนิซิลินเพราะมันเป็นยาครอบจักรวาลเหมือนพาราสมัยนี้น่ะครับ อีกอย่าง นักวิทยาศาสตร์ก็ลืมไปว่า เชื้อโรคก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน มันก็มีวิวัฒนาการเหมือนกัน จนมันดื้อยาได้ กว่าจะรู้ตัวเเล้วคิดยาชนิดใหม่มารักษาได้ เชื้อโรคก็วิวัฒนาการไปถึงไหนต่อไหนเเล้วครับ
คุณ toeytei หมายถึงว่าการใช้พร่ำเพรื่อโดยไม่มีวินัย หรือไม่จำเป็นเป็นการเร่งให้เกิดการดื้อยาครับ
คือการกลายพันธ์ของเชื้อมันเป็นอะไรที่ห้ามไม่ได้อยู่แล้ว อันนั้นผมไม่เถียง ดังนั้นประเด็นคือจะทำอย่างไรให้การดื้อยาหรือกลายพันธุ์นี้เกิดขี้นช้าทีสุด
แรกเลยการใช้ยาพร่ำเพรื่อ เวลาเป็นไข้ปวดหัวตัวร้อน ยาปฏิชีวนะไม่ได้จำเป็นเลย (นอกจากสาหัสเสี่ยงตาย เช่นภูมิอ่อนหรือร่างกายกำลังอ่อนแอ โรคแทรกซ้อนอะไรก็ว่าไป) เพราะภูมิร่างการสามารถเอาชนะได้อยู่แล้ว การใช้ยาปฏิชิวนะเป็นแค่การกดอาการ ซึ่งร่างกายเราก็ฟื้นด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ยาปฏิชิวนะ ไม่ได้ฟื้นฟูร่างกายหรือรักษาให้หายอะไร ในทางกลับกันเนื่องจากการใช้ยามากๆ จะทำให้เชื้อกลายพันธุ์เร็วขี้นเป็นเงาตามตัว การที่เราไอ้ค็อกๆ แค็กๆ แล้วไปซื้อยาปฏิชิวนะมากิน ก็เป็นการทำให้คนที่ติดโรคติดเชื่อหนักๆ มีสิทธิ์ตายไวขี้นอีก
ข้อต่อมาเรื่องการใช้ไม่ถูกวิธี การใช้ยาปฏิชีวนะ มันต้องใช้ตามที่ถูกออกแบบมา เช่นกินทุกกี่ชั่วโมงติดๆ กันจนหายสนิท เชื้อซี้แหงแก๋ ไม่เช่นนั้นการที่เราไม่จัดการเชื้อให้ตายไปทันที จะทำให้เชื้อแข็งแรง(ดื้อยา)ขื้นเรื่อยๆ เหมือนให้เวลานอกให้เชื้อพักตัวมาสู้กับยาเพิ่มนั่นแหละ และทุกขณะที่เรากำลังสู้กับเชื้อ ไอ้การที่เชื้อจะแพร่ต่อไปก็ย่อมยาวขี้นด้วย ดังนั้นการที่เราไม่กินยาให้ถูกต้องตามเวลาตามคำสั่งแพทย์ หรือซื้อมากินเองมั่วๆ ก็จะมีผลให้ยากลายพันธุ์เร็วขี้น ดังนั้นยาปฏิชีวนะจึงเป็นยาที่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ในหลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นสหรัฐฯ ส่วนเมืองไทยก็เดินไปซื้อหน้าเคาน์เตอร์ได้เลย
การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบไม่พร่ำเพรื่อจึงถือเป็นหน้าที่ของเราทุกๆ คน เพราะทุกวันนี้ไอ้การคิดยาปฏิชิวนะตัวใหม่ๆ มันยากขี้นแบบยกกำลังไปเรื่อยๆ ไม่ได้ง่ายๆ เหมือนช่วงแรกๆ แล้ว และบริษัทต้องลงทุนเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท พอเสร็จได้ยาก็ผู้บริโภคนี่แหละ จ่ายบานตะไท
พูดสั้นๆ ง่ายๆ คือ พยายามอย่าใช้ยาปฏิชีวนะครับ
ปล. พารามันใช่ยาปฏิชีวนะเหรอ?
รายางนขององค์การอนามัยโลกสรุปหลักๆ ที่ปชช. ทั่วไปควรทราบดังนี้
เหมือนทีผมบอกก่อนหน้านี้แหละครับ ว่ายามันช่วยกดอาการขณที่ร่างกายทำการฟื้นฟูตัวเอง จึงจำเป็นเฉพาะในบางกรณี ขณะที่ถ้าชิวๆ ร่างการภูมิสู้ได้อยู่แล้ว ก็อย่าไปใช้ให้เชื้อมันได้ทำความรู้จักกับยา (และพัฒนาห้ต่อต้านยา)
บ้านเรายาแก้อักเสพ ยาปฎิชีวนะซื้อง่ายมากครับ ไม่สบายไปร้านขายยานขายก็จัดให้ ในต่างประเทศยาพวกนี้ต้องหมอสั่งอย่างเดียวซื้อเองไม่ได้ คนไทยมีโรคประหลาดอีกอย่างคือไม่สบายชอบไปซื้อยากินเอง หรือไม่ก็ไปร้านขายยาให้จัดยาให้ ไม่ยอมไปหาหมอ... นอกจากนี้หมอไทยก็ชอบจ่ายยากลุ่มฆ่าเชื้อปฎิชีวนะจริงๆ เจ็บคอ เป็นหวัดก็จัดมาเหมือนถ้าไม่มียากลุ่มนี้ เหมือนไม่ได้ไปหาหมอหรือยังไงก็ไม่รู้