ภาพประกอบข่าวที่เห็นคือ AK-102
มีการเปิดเผยถึงสาเหตุของความล้มเหลวของ "Kalashnikov" ในเวียดนาม
กระทรวงกลาโหมเวียดนามได้ปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญากับ "Rosoboronexport" ในการเปิดสายการการผลิตปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikovs ในประเทศเพราะข้อเสนอของรัสเซียมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป "- รายงานจากหนังสือพิมพ์ "Kommersant" โดยอ้างแหล่งที่มาใน "Rosoboronexport"
การซื้อสิทธิบัตรสำหรับตั้งโรงงานผลิต Kalashnikovs ที่มีมูลค่าประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ เป็นผลให้เวียดนามได้ตัดสินใจเปลี่ยนไปลงนามกับอิสราเอลในการซื้อสิทธิบัตรผลิตปืนไรเฟิลอัตโนมัติ Galil ACE-32 ซึ่งมีมูลค่า 170 ล้านดอลลาร์
การจัดประกวดราคาสำหรับซื้อสิทธิบัตรผลิตปืนอัตโนมัติของกลาโหมเวียดนามได้มีบริษัทจากรัสเซีย อิสราเอล และจีนเข้าร่วมประกวดราคาแต่ราคาที่เสนอจากจีนไม่มีการเปิดเผยจากแหล่งข่าวโดยเงื่อนไขในการแข่งขันหลักๆคือต้องสามารถทำการผลิตได้ถึง 50,000 กระบอกต่อปี.
เราฉวยโอกาศนี้ ตกลงเซ็นสัญญากับค่ายรัสเซีย จดสิทธิบัตร ด้วยวงเงิน 180 ล้านดอลล่า
ยังไง ยี่ห้อ AK ก็มีความน่าเชื่อถือมากกว่าอยู่แล้ว ยอดสั่งซื้อคงเยอะกว่า อย่างน้อยก็ผลิตใช้เอง
.. บวกลบคูณหารดูแล้ว .. คุ้มยิ่งกว่าแฟลตปลาทอง
ยุคนี้ต้องซื้อสิทธิบัตรปืนอยู่หรอเนี่ย งบประมาณอื้อซ่าซะด้วย ถ้าไม่ใช่AK102 ก็มีปืนที่สิทธิบัตรหมดอายุเพียบเลย AK47 นี่หมดไปชั่วอายุคนแล้ว AR15 นี่ก็หมด ออกลูกออกหลานมาเพียบ ถ้างบนี้หลักๆไปลงที่เครื่องจักรคิดเป็นค่าวิจัยพัฒนาไม่มากเท่าไหรถือว่าคุ้มค่า เพราะปืนสมัยนี้ก็เอาหลักการทำงานของปืนที่สิทธิบัตรหมดอายุมาพัฒนาเองกันทั้งนั้น
คิดแบบท่าน idaho .. มันก็มีส่วนถูกเหมือนกัน .. ถ้า .. จะเอามาผลิตใช้เองภายในประเทศ ..
แต่ ถ้า .. จะผลิตเป็นระดับอุตสาหกรรมส่งออก " แบรนด์ " เป็นสิ่งจำเป็นครับ มันจะช่วยในเรื่องความน่าเชื่อถือ
สมมุติ .. รองเท้าไนกี้ เราซื้อสิทธิบัตรมาผลิตภายใต้แบรนด์เค้า เราก็ขายได้ เพราะยังไงมันก็เป็นไนกี้ แม้จะเมดอินไทยแลนด์ก็ตาม
แต่ .. ถ้าเราไม่ซื้อสิทธิบัตร ออกแบบก็อบปี้จากไนกี้ทุกส่วน แล้วผลิต โดยตั้งชื่อแบรนด์เราว่า " ใครกี้ " มันจะมีคนซื้อเหรอครับ
สำหรับรูปแบบปืน Ak 47 ดูเหมือนทาง ทบ.จะไม่ค่อยชอบเท่าไร ทั้งตำแหน่งคันบังคับการยิง และตำแหน่งของศูนย์หลังที่อยู่ค่อนไปทางกึ่งกลางลำกล้อง แต่ก่อนก็ให้ทางทหารพราน กับหน่วยในกองพันของ ศร. เป็นผู้ใช้ครับ
ถ้าทำดีมีคุณภาพสมราคา มีคนซื้อแน่นอนครับ การตัดสินใจซื้อหลักๆมาจากราคากับคุณภาพ แบรนด์ก็ไม่ใช่อะไรนอกจากภาพสะท้อนของคุณภาพหรือสิ่งรับประกันคุณภาพ ทำให้คนซื้อเชื่อว่าเขากำลังซื้อคุณภาพ
ลองคิดว่าก่อนมีนายกี้คู่แรก ชื่อนายกี้มีแบรนด์รอยัลตี้มั้ย ไม่มีแน่เพราะเมื่อยังไม่ได้ออกขายก็ไม่มีใครรู้จัก พอเจ้าของนายกี้เริ่มทำสินค้าออกวางขาย เมื่อสินค้านายกี้มีคุณภาพที่ดี ชื่อนายกี้จึงเริ่มติดตลาด และเกิดมีแบรนด์ขึ้นมา
ถ้าเกิดมีคนซื้อแบรนด์นายกี้ไปแล้วทำสินค้าห่วยๆออกมาขาย แบรนด์นายกี้ก็จะดิ่งเหวอย่างรวดเร็ว จากลูกค้าที่ซื้อไปเมื่อไม่พอใจสินค้าเขาก็จะบอกว่าอย่าไปซื้อนายกี้ไม่มีคุณภาพ
เพราะฉะนั้นคุณภาพกับราคามีผลมากกว่าแบรนด์ แบรนด์หลายแบรนด์ที่เคยโด่งดังในอดีต ล้มหายตายจากไปก็มีเยอะ
..