กติกาเหมือนเดิมนะครับ ขอให้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเรื่องเกี่ยวกับ เขาพระวิหารและชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ที่กระทู้นี้เท่านั้นครับ เหตุผลเหมือนกับกระทู้ที่ผ่านๆมา เพื่อให้ทีมงานตรวจสอบและควบคุมได้สะดวกและง่ายขึ้นครับ
ขอบคุณสำหรับความร่วมมือครับ/ ADMIN
**เพิ่มเติม ระมัดระวังเรื่องการแสดงความคิดเห็นด้วยครับ**
ถ้าเอาตามเนื้อผ้า แค่ให้สองประเทศไปเจรจากันเองนี่ก็บุญโขแล้วครับ
การอ่านคำตัดสินมีการอ่านเป็นภาษาฝรั่งเศษก่อนแล้วค่อยอ่านเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะครับ ซึ่งก็น่าคิด
ทำไมไม่อ่าเป็นภาษาอังกฤษไปเลยทีเดียว....และฝรั่งเศษถือหากัมพูชาด้วย..... ( T_T )
admin ช่วยลบโพสผมด้วยครับพอดีมีรูปเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่หลงป่าติดมาด้วย ที่เห็นท้ายปืน HK
เป็นห่วงสถานการณ์จริงๆ ถึงแม้ว่าวันนี้ทางกัมพูชาจะออกมาปฏิเสธเรื่องการเสริมกำลังทหารแต่ก็ไม่อาจวางใจได้ ยังไงก็เชื่อมือทหารของเราครับ
ต้องรอดูพรุ่งนี้หลังคำพิพากษา"อาจจะ"ได้เห็นความเคลื่อนไหวหากคำตัดสินไม่ถูกใจทั้ง 2 ฝ่ายต้องรอกันไปก่อน :D
ส่วนตัว ขอมองในแง่ดีไว้ก่อน คือศาลโลกจะไม่ตัดสินเข้าข้างใคร หรือบอกว่าไม่มีอำนาจตัดสิน
ส้งที่ทำให้คิดแแบบนั้น เพราะหากโลกตัดสินให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ ฝ่ายที่ไม่พอใจอาจประท้วงและเกิดการใช้กำลัง
ซึ่งอาจลุกลามกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ
ผมไม่คิดว่าศาลโลกพยายามจะทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายเพิ่มความขัดแย้ง หรือต้นเหตุของสงครามระหว่างไทย เขมร
ส่วนเรื่องการเสริมกำลัง ทั้งของเราและเค้า มันเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ ต่างก็มี action กันทั้งคู่ ไม่มีสิแปลก
ถ้าเราต้องเสียดินแดน หรือไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องยอมรับความจริงครับ ต้องเคารพคำพิพากษาของศาลโลก เหมือนในอดีตที่บรรพบุรุษของเราต้องยอมรับมาแล้ว และต้องรักษาคำพูดครับ ในเมื่อรัฐบาลเราไปคุยกับเค้าแล้วว่าต่างฝ่ายจะต้องยอมรับตามคำพิพากษาตีความของศาลโลก คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ จะไปยั่วยุ ใช้อารมณ์ ให้เกิดความรุนแรงก็ไม่ใช่ ถ้าจะผิดต้องโทษตัวเราเองครับ การอ้างคำว่า พื้นที่ทับซ้อน มาตั้งนานแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลย ไปเข้าทางเค้าเหมือนกับว่าเขมรก็ไม่ได้สละสิทธิ์ในที่ตรงนั้น ถ้าตอนนั้นล้อมรั้วแล้ว จัดตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หรือ ร้านค้าสินค้าที่ระลึก จากเขาพระวิหาร ตรงเชิงบันไดฝั่งเรา รวมถึงเข้าไปพัฒนาพื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็นสวนสาธารณะ แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ก็จบเรื่องไปแล้ว ถ้าเรามั่นใจว่าที่แห่งใดเป็นพื้นที่ของเราก็ขอให้ประกาศออกไปเลยครับว่าพื้นที่ของเรา ประเทศอื่นจะได้ไม่มาอ้างสิทธิ์อีก อยากให้ดูตัวอย่าง ญี่ปุ่น กับ จีน เป็นต้น
ท่าน tommy ถ้าศาลโลกพิพากษาให้เราต้องเสียดินแดน (แค่พื้นที่ 4.6 ตร.กม) ผมจำเป็นต้องทำใจยอมรับอย่างที่ท่านว่า ทำไงได้เพราะคนของเรามันเลว ที่ไปยืนมีดให้คนอื่นมาเฉือนแผ่นดินแม่ของตัวเอง แต่สิ่งที่ผมกลัวมากกว่านั้นคือ คำพิพากษาของศาลโลกที่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ของเขมรสิน่าเป็นห่วง ว่าเรื่องมันจะไปจบ เท่ากับว่า เขมรจะเอาคำพิพากษาที่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไปจิ้มเอาดินแดนแถวตะเข็บชายแดนที่ติดต่อกลับเขมรตรงไหนหรือยาวลงไปในทะเลซึ่งจะทำให้เราเสียบ่อก๊าซที่เรายังไม่ขุดทั้งหมดก็เป็นได้น่ะครับ
ปล. อาจจะแรงไปหน่อยแต่น่าเป็นห่วงจริงๆ กับเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 200,000
เข้าใจว่าพื้นที่ทางทะเลนั่้นไม่เกี่ยวน่ะครับเพราะไทยกัมพูชามีการปักปันเขตแดนแบบพิเศษบกฉบับนึงทางทะเลก็อีกฉบับนึง
อ้างอิงจากคลิปนี้ครับ
ผมสนับสนุนให้ศาลชี้ขาดแนวเขตไปเลย ต่อไปจะได้ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกันอีก ไม่ต้องออกแนวกั๊ก หรือ เกรงใจกัน และถ้าคำพิพากษาเป็นโทษแก่ฝ่ายเราอีก คราวหน้า เราก็อย่าไปขึ้นศาลโลกเพราะความเป็นธรรมไม่มีในโลก จะได้รู้ไว้ว่าการแบ่งอาณาเขตสากลเค้าไม่ได้ถือตามแนวสันปันน้ำกันแล้ว จะถือแนวไหนก็ได้ถ้ามหาอำนาจขีดเส้นไว้แล้ว ต่อไปเราก็ต้องพยายามรักษาดินแดน อธิปไตยไว้ไม่ให้เสียอีก ส่วนอาณาเขตทางทะเล ถ้าไทยเห็นว่าพื้นที่ทางทะเลไหนเป็นของไทย ก็ส่งเรือรบหรือเรือยามฝั่งไปเฝ้าเอาไว้เลยครับ เหมือนที่ญี่ปุ่นเค้าเฝ้าเซนกากุ แม้จีนจะอ้างสิทธิก็ตาม ถ้าต้องรบก็รบกัน อีกหน่อยเรื่องปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรจะต้องเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเราต้องหวงเหนไว้ให้ลูกหลาน หากเราไม่เข้มแข็ง ก็จะเสียให้ประเทศอื่นเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ทั้งที่อยู่ในอาณาเขตของเรา เหมือนอย่างกรณี มาเลเซีย ลากอาณาเขตทางทะเลเข้ามาเกือบถึงสงขลา เราก็ยอมเค้า ทั้งที่ต้องแบ่งตามเส้นเขตแดนที่สิ้นสุดระหว่างกัน
คุณ FiTaLipz...รู้สึกว่าคลิปนี่ทำขึ้นมาโดยใครไม่ต้องบอกนะ...แต่ถ้าในอนาคต มันลามไปถึงแนวดินแดนอื่นๆแล้วเขาก็ปัดความรับผิดชอบให้คนในคลิปซะ แล้วเกิดมีบ่อน้ำมันจริงๆแล้วจะไปทวงเอากับใคร หรือกลายเป็นมาตรฐานให้ฝ่ายกัมพูชาฟ้องเอาดินแดนอื่นๆในอนาคต....คุณลองนึกภาพออกนะ ไม่สนุกหรือง่ายๆอย่างในคลิปแน่นอน........กันเหนียวไว้ก่อนจะดีกว่าไหม (โดยคนไทยเหมือนกัน)
แหม่ก็ในคลิปเค้าถึงกับเอาทหารเรือมายืนยันนี่ครับว่าแต่ใครทำคลิปนี้หรอครับผมไม่ทราบ ??? ถ้างั้นแล้วสรุปเรามีการปักปันเขตแดน
แบบไหนกับกัมพูชาหรอครับ ??? เพราะผมดูมาแค่ 2 คลิปคลิปนี้กับอีกอันที่กระทรวงการต่างประเทศทำไว้ขอคนมีความรู้ชี้แจงหน่อยครับ
คลิปข้างบนนี้เนี้ย ผมว่ามันโลกสวยเกินไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกไหนทำ หึหึ
เสียดายจัง น่าจะมาทันนะ จะได้ใช้งานจริงๆ ให้เห็นสักที
5 คันแรกของเรา หล่อมากๆ
เดี๋ยวนะ...คลิปข้างบน...จริงๆแล้วศาลโลกมันอุทธรณ์ไมไ่ด้ไม่ใช่เหรอ?
เอาไปอีกคลิปอีก 1 มุมมองครับเสนอคนล่ะแบบ
*ย้ำอีกครั้งนะครับ กระทู้ยึดถือตามแนวที่ผมเคยตั้งมากรณีพิพาทไทย-กัมพูชา คือ ขอให้เป็นการแสดงความคิดเห็นแบบมีวุฒิภาวะ อย่านำเอาข้อความหรือความคิดเห็นในแนวทางเชิงปลุกระดม ยุยงให้รบกันครับ ถ้าทีมงานพิจารณาแล้วมันเข้าข่าย จะลบข้อความทันที และถ้าเป็นสมาชิกท่านเดิมกระการซ้ำอีกคือระงับการใช้ทันทีครับ*
ปี 2505 ศาลมันตัดสินเป็นของเขมรได้ไงหว่า... ทั้งที่พื้นที่ทางภูมิศาสต์ มันเป็นของไทยชัดๆ
ถ้าครั้งนี้มันตัดสินเข้าทางกัมพูชา ผมว่าอย่าไปยอมรับเลยครับไอ้ศาลโลกเนี๊ยะ
สุดท้ายแล้วคำพิพากษาศาลโลก ไม่ได้ตัดสินใจอาณาเขตชายแดนไทย-กัมพูชาได้หรอกครับ ยังไงซะ ทั้งสองประเทศก็ต้องตกลงปักปันเขตแดนกันเองอยู่ดี ถ้าตกลงด้วยสันติไม่ได้ ก็ต้องใช้กำลังกันบ้าง เมื่อเกิดความสูญเสียทั้งสองฝ่ายในระดับนึง ก็จะย้อนเข้ามาสู่โต๊ะเจรจากันอีกที ผมมองว่าการที่กัมพูชาฟ้องศาลโลก เป็นเพียงแค่ต้องการเบียงเบนประเด็นการเมืองภายในประเทศของกัมพูชาเองที่มีปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในทางกลับกันมันเป็นปัญหาของประเทศเราทันทีแถมด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศด้วย ซึ่งสิ่งนี้ เหมือนฮุนเซนต้องการให้เป็นอย่างนั้น เพื่อให้ประชาชนของกัมพูชาเกลียดคนไทยและประเทศไทย ลดกระแสต่อต้านเวียดนามลงได้มากเลย คิดเหมือนผมรึป่าวครับ
ท่าน FiTaLipz ผมไม่ได้อยากมาค้านท่านแต่ประการใด แต่ที่ผมห่วงคือ คำพิพากษาของศาลโลกเท่านั้นถ้าไม่เสียดินแดนพื้นที่ 4.6 ตร.กม ก็จบครับ แต่ถ้าเสียนี้คนละเรื่องเลยน่ะครับ ต้องแยกให้ออกระหว่างตัวปราสาทกับพื้นที่ 4.6 ตร.กม ซึ่งตัวปราสาทและพื้นที่ ที่ตั้งของตัวปราสาทนั้นเราก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับเขาตั้งนานแล้วน่ะครับ แต่ที่มีปัญหาคือ พื้นที่ 4.6 ตร.กม ที่อยู่ข้างๆนี้ล่ะที่ทางเขมรบอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของตัวปราสาท เพราะมันอ้างอิงจากแผนที่ 1 ต่อ 200,000 มันเลยทำให้กินพื้นที่ 4.6 ตร.กม ผมสมมุติว่าเขมรชนะ ลองคิดเล่นๆน่ะครับว่าเขมรมันจะหยุดอยู่แค่พื้นที่ 4.6 ตร.กม หรือเปล่า หรือว่าได้คืบจะเอาศอก
ด้วยความเค้ารพครับ ภาพเหตุการณ์ข้างบน เป็นภาพในเดือนกุมภา ปี 2011 ครับ
เอิ่มมาค้านอะไรผมครับยังไม่ได้บอกอะไรเลยแค่ลงคลิปให้ดูกันเฉยๆ 2 มุมมองมาค้านอะไรผมล่ะเนี่ย = _=''
ภาพของท่าน TOP4 มันตั้งแต่ปี 2011 แล้วครับ :D
ท่าน admin ลบภาพของผมได้เลยครับ เพี่อนส่งมาอย่านี้นึกว่าของจริงครับ ต้องขอโทษสมาชิกทุกท่านด้วยครับ
แปลคร่าวๆ จาก pantip ครับ
ผู้พิพากษาตีความคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 (คร่าว ๆ)
ศาลโลก - ผู้พิพากษาศาลโลกเริ่มด้วยการสรุปเกี่ยวกับคำพิพากษาเมื่อปี 2505 เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร ตามด้วยคำฟ้องของกัมพูชาที่ให้ยื่นขอตีความใหม่
ศาลโลก - ศาลพูดถึงความเข้าใจที่แตกต่าง เรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ศาลโลก - ศาลโลกระบุมีอำนาจตีความคำพิพากษาครั้งก่อน
ศาลโลก - ศาลระบุ ต้องตีความคำพิพากษา 2505 และถือตามแนวปฏิบัติที่ผ่านมา พร้อมกับอาศัยดูจากน้ำหนักของพยานหลักฐาน
ศาลโลก - ศาลไม่อาจตีความเกินขอบเขตคำพิพากษา 2505 ไม่สามารถตีความในลักษณะขัดแย้งกับคำพิพากษา 2505 ได้'
ศาลโลก - ศาลไม่ถือว่า บทสรุปในคำพิพากษาปี 2505 มีผลกระทบต่อการตีความในปัจจุบัน
ศาลโลก - คำพิพากษาไม่อาจถือเป็นสนธิสัญญาหรือตราสารที่จะผูกพันคู่กรณี
ศาลโลก - ตามสนธิสัญญากรุงเวียนนา - ขอบเขคหรือความหมายไม่อาจเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของคู่ความ
ศาลโลก - กลับไปดูคำพิพากษา 2505 พบว่า กรณีเป็นประเด็นเขตอำนาจอธิปไตย มากกว่าการกำหนดเขตแดน
ศาลโลก - ศาลจะรับพิจารณาเฉพาะข้อที่เป็นเหตุ ไม่ใช่บทปฏิการ ไม่มีการแนบแผนที่ในคำพิพากษา
ศาลโลก - ประเด็นหลัก คู่ความได้รับรองแผนที่ภาคผนวก 1 และการปักปันเขตแดนว่า มีผลผูกพันหรือไม่
ศาลโลก - ศาลได้ดูพฤติกรรมของคู่ความโดยเฉพาะกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จเยือนมี ฝรั่งเศสเป็นการยอมรับว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในอำนาจฝรั่งเศส
ศาลโลก - การยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 โดยคู่ความทั้งสอง ทำให้แผนที่ภาคผนวกหนึ่งถูกบรรจุไว้ในสนธิสัญญา
ศาลโลก - กัมพูชาบอกว่า ขอบเขตพื้นที่พิพาทเล็กมาก (ปี 2505) / ศาลเห็นว่า เป็นขอบเขตพิพาทที่เล็กมากเช่นกัน
ศาลโลก - คำพิพากษา 2505 ศาลไม่ได้ทำหน้าที่ในการปักปันเขตแดน เป็นเรื่องของการกำหนดอธิปไตย มากกว่ากำหนดเขตแดน
ศาลโลก - การกำหนดขอบเขตข้อบทปฏิบัติการชัดเจน กรณีที่ศาลเห็นว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนและอธิปไตยของกัมพูชา
ศาลโลก - กองกำลังทหาร-ตำรวจไทยที่อยู่ในพระวิหาร ไม่ได้มีกำหนดไว้ว่าจะให้ถอนไปที่ใด
ศาลโลก - พิจารณาหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ไทยประจำการอยู่
ศาลโลก - จากหลักฐาน พบว่า มีเจ้าหน้าที่เฝ้ายาม มีการตั้งแคมป์และบ้านพัก ทางทิศเหนือของปราสาท
ศาลโลก - เส้นแบ่งเขตแดนตามมติ ครม. ไทย ไม่ถือเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศได้
ศาลโลก - ที่ตั้งพระวิหารมีความโดดเด่นอยู่ที่หน้าผา เทือกเขาดงรัก ซึ่งเป็นช่องทางที่กัมพูชาสามารถเข้าถึง
ศาลโลก - เมื่อพิจารณาในปี 2504 กัมพูชาไม่ถึงว่า ภูมะเขืออยู่ในบริเวณพระวิหาร
ศาลโลก - จนท.กัมพูชายืนยันเอง ภูมะเขือไม่ใช่ของกัมพูชา
ศาลโลก - เขตภูมะเขืออยู่นอกเหนือพื้นที่นอกคำพิพากษา ปี 2505
ศาลโลก - กัมพูชาและไทยควรคุยกันเอง ภายใต้อการดูแลให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโก
ศาลโลก - เมื่อปี 2551 ไทยอ้างว่าการปะทะกันเกิดจากคำพิพากษา ซึ่งคำพิพากษาไม่ใช่สนธิสัญญา
ศาลโลก - ด้วยมติเอกฉันท์ ศาลจึงพิจารณาบทปฏิบัติการที่ 1.กัมพูชามีอำนาจในพื้นที่ทั้งหมดตามคำตัดสินเดิมในปี 1962
ศาลโลก - นายทะเบียนอ่านคำพิพากษา 1962 เป็นภาษาฝรั่งเศส สรุปว่า ไทยต้องถอนทหารออกจากปราสาทพระวิหารให้หมด
ศาลโลก - ปิดศาล
สรุปคือ ตัวประสาท เป็นของเขมร พื้นที่ขัดแย้ง ศาลไม่สามารถพิพากษาได้ ต้องเจรจาหาบทสรุปเอง
เพราะ ศาล ไม่สามารถทำหน้าที่ ปักปันเขตแดนได้
เครดิต http://pantip.com/topic/31226930
สรุปคร่าวๆ จากท่านทูตวีระชัย
1.ศาลมีอำนาจพิจารณาเรื่องตีความของเชมร
2.พื้นที่ 4.6 ตร.กม. เขมรไม่ได้ไป
3.ภูมะเขือไม่ใช่ พท.ของเขมร
4.ศาลเน้น พท.เล็กมากๆ ต้องกลับไปดูว่า พท.ตรงไหน
ฟังจากแปลสดๆ นี่ศาลโลกมีมติให้ไทยถอนทหารออกพื้นที่โดยรอบปราสาทเขาพระวิหาร....
แบบนี้เค้าเรียกว่าเสีย หรือไม่เสียละครับท่าน
ฟังท่านฑูตโดยตรงแล้วกันนะครับ
ศาลบอกว่า ให้ไืทยถอนทหารออกจากบริเวณเล็กๆ รอบปราสาทพระวิหาร แต่ไม่ได้บอกว่าไอ้บริเวณเล็กๆนี่มันเท่าไหรนิครับ ให้ไปคุยกันเอง ถ้าเอาตาม พรบ อาคารเบบก่อนสร้าง (ซึ่งไม่เกี่ยว) ตัวอาคารต้องอยู่ห่างจากแนวเขตที่ อย่างน้อย 2 เมตร ก็น่าจะแปลว่า ที่ดินรอบเขาพระวิหาร 2 เมตรจากตัวอาคาร เป็นของเขมร ถามว่าเสียไหม ตอบตรงๆว่าเสียมากขึ้น แต่ไม่ใช่4.6 ตร กม TAF บอกว่าเสียประมาณ 0.07 ตร กม หรือประมาณโ 70 ตารางเมตร
ถ้าถามผมว่างานนี้ใครได้เปรียบ ผมว่าไทยได้เปรียบนะ เพราะเท่ากับว่าเขมรต้้องเลือกเอาระหว่างเจรจาหรือ รบ ก็อยู่ที่ ทางการไทยว่าจะเข้มแข็งแค่ไหนในการเจรจา เพราะรบเราคงไม่กลัวอยู่แล้ว
คำถาม เห็นมีพูดถึงป้อมตำรวจ ไอ้ป้อมตำรวจที่ว่ามันอยู่ตรงไหนในแผนที่ครับ
สรุปตามที่ผมคิดคือ เสียมากขึ้นนิดหน่อย
แต่ที่ดีใจคือ ศาลโลกบอกว่า ภูมะเขือและ 4.6 ตร.กม. ไม่ใช่ของเขมร ตามที่มันอ้างครับ และไม่ยอมรับเรื่องแผนที่ 1 : 200,000 ด้วย
ดังนั้น เขมรจะใช้กฏหมายปิดปากกับไทยไม่ได้ในเรื่องภูมะเขือและ 4.6 ตร.กม. ดังนั้นถ้าต้องการให้มันจบ ก็เจรจาตามกรอบของ JBC ซะ
ถ้าไม่ต้องการเจรจา ก็ถือปืนมาแล้วเอามายิงกันต่อ จบข่าว
win win ทั้งคู่ครับ แต่ถ้าเปรียบเทียว่าใครชนะ ไทยชนะนะครับ เพราะพื้นที่ที่เขมรอ้างไม่สามารถใช้ได้ อีกอย่างศาลบอกว่า ให้ไทยและกัมพูชารจัดการปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลกร่วมกัน แบบนี้เรา Win
อ้างอิงจาก https://twitter.com/ThaiArmedForce
ถือว่าเคลียร์กันไปในระดับหนึ่งครับ นั้นคือ
- ศาลตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรและพื้นที่โดยรอบเล็กน้อย (ไปตกลงกันเอง)
- ภูมะเขือและพื้นที่ 4.6 ตร.กม. อื่นๆ ไม่เกี่ยวกับการตัดสินครั้งปี 2505 ตามเขมรอ้างสิทธิ์
- ไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200000
ประโยคที่ว่า "ภูมะเขือและพื้นที่ 4.6 ตร.กม. อื่นๆ ไม่เกี่ยวกับการตัดสินครั้งปี 2505 ตามเขมรอ้างสิทธิ์" ผมว่าประโยคนี้ทำให้หลุดพ้นคำตัดสินตอนปี 2505 เลยละครับ
เพราะนั้นหมายความว่า ศาลโลกยอมรับว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็นพื้นที่พิพาท ดังนั้นถ้าเขมรล้ำเข้ามา แล้วเรายิงชุดใหญ่ใส่เขมร ก็ถือว่าไม่ผิด เพราะพื้นที่ 4.6 ตร.กม. นั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องปี 2505
ตอนนี้ก็อยู่ที่ฝ่ายทหารแล้วละครับ ว่าจะนำคำตัดสินนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างไร เพราะการประทะครั้งก่อนปี 53 เขมรอ้างว่าไทยบุกรุกเข้าพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ซึ่งเป็นของเขมรตามคำตัดสินปี 2505
ตอนนี้ศาลโลกออกมาเคลียร์ชัดเจนแล้วว่า "ไม่ใช่" ดังนั้นฝ่ายทหารจะทำอย่างไรก็แล้วแต่จะเห็นควรเถอะครับ
ในกรณีเขตปลอดทหารนั้น ไม่แน่ใจว่าเป็นการปรับเปลี่ยนเขตหรือเพิ่มเติม
แต่ทางเราสามารถใช้วิธีแก้ไขโดยส่งกองกำลังกึ่งทหาร หรือ ตชด. เข้าไปแทนได้นิครับ
ผมว่าเราก็ไมใด้เสียหายเพิ่มขึ้นจากปี 2505 นะครับ เพราะศาลให้ไปตกลงกันเองเรื่องเขตแดน และเห็นว่าที่ไทยควรทำคือ
1) แสดงเจตุจำนงค์อย่างชัดเจนว่าก้มพูชาต้องถอนทหารและอาวุธออกจาก พท อย่างไม่มีเงื่อนไข รวมทั้งเก็บกู้ทำลายกับระเบิด ออกให้หมด
2) ไทยสงวนสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ในการพิจารณาความเหมาะสมในการจัด "พื้นที่ผ่อนปรน" ซึ่งเป็นอธิปไตยของไทย ในการอำนวยความสะดวกเพื่อการบริหารปราสาทพระวิหารใด้ (ผมหมายถึง 0.07 ตร กม ตามที่เป็นข่าว ถ้ามันจำเป็นจริงๆในการจัดการ ) การกระทำการใดๆใน พท นี้ ต้องใด้รับการอนุมัติจาก รบ และ กองทัพไทย *** อันนี้สำคัญมากต้องประกาศก่อนที่จะมีการตกลงใดๆ***
3) ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ทั้งสองฝ่ายเข้าใจคำตัดสิน ป้องกัน ฮุนเซนยั่วยุ บิดเบือนข้อมูลอีก
ดูถ่ายทอดสดคำแถลงเมื่อกี้ เป็นอันว่าเหมือนกลับไปที่เดิมครับ 2505 ซึ่งมันทำให้เราได้เปรียบ ที่นี้ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลละครับ ส่วนเรื่องถอนทหาร รัฐมนตรีกลาโหมยืนยันว่าจะยังไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่ให้กองกำลังอยู่ตามเดิมจนกว่า จะมีการทำข้อตกลงเสร็จ แบบนี้ก็เหมือนเราชนะละครับ เพราะเขมรไม่ได้ตามที่ขอเลย แถมต้องมาเจรจาใหม่อีกรอบ ไปฟ้องเขาแท้ๆแต่ถูกสั่งให้มาตกลงกันเอง เหมือนเด็กน้อยแย่งขนมกันไปฟ้องพ่อพ่อบอกมันเป็นเรื่องของลูกลูกต้องไปตกลงกับเพื่อนเอง ฮ่าๆ
ฟังจากแปลสดๆ นี่ศาลโลกมีมติให้ไทยถอนทหารออกพื้นที่โดยรอบปราสาทเขาพระวิหาร....
แบบนี้เค้าเรียกว่าเสีย หรือไม่เสียละครับท่าน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ฟังหมดทุกข้อความหรือเปล่าครับ จากคลิปที่ท่านทูต วีระชัยแถลงก็น่าจะชัดเจนแล้วนะครับ
พื้นที่โดยรอบ ระบุหรือเปล่าละครับว่าโดยรอบขนาดไหน เพราะในเขตปราสาทเขาพระวิหาร ไม่มีทหารอยู่ตั้งแต่ ปี 2505 แล้วนี่ครับ
ผมฟังจากการแถลงสรุปเอะครับหลังจากนายกแถลงเสร็จ พื้นที่โดยรอบที่ท่านทูตบอกต้องไปตกลงกันเองแม้แต่ศาลก็ไม่ตัดสินไม่ให้แนบแผนที่1:200000 ด้วย ก็เหมือนกลับไปก่อนจะปะทะกัน เพราะกัมพูชาอ้างแผนที่ 1:200000 เพื่อที่จะได้มีอำนาจเหนือ4.6 ก่อนจะปะทะกันก็ยังตกลงกันไม่ได้ว่าพื้นที่รอบตัวปราสาทมันถึงตรงไหนเพราะศาลให้มาตกลงกันเองตั้งแต่2505 เพียงแต่ไทยได้ทำรั้วลวดหนามกั้นไว้ ผมถึงบอกว่าอยู่ที่รัฐบาลเจรจาครับ ละที่นี้ว่าจะมีแนวถึงตรงไหน จะขยายออกมาจากแนวลวดหนามเดิมหรือจะลดเข้าไปหรือจะเอาตามแนวลวดหนามเดิม ถึงจะรู้ได้ว่าเสียหรือไม่เสีย
มาพูดถึงแนวปราสาทก่อนครับที่ไทยทำลวดหนามไว้ข้างในไม่มีเจ้าหน้าที่เราอยู่ตั้งแต่2505แล้ว เราก็ใช้แนวนี้มาตั้งแต่2505 กัมพูชาได้มีการประท้วงแต่ก็ไม่ได้มีการทำอะไร(ผมพูดตามคำแถลงสรุปจากทีมงานท่านทูฑนะครับหลังนายกแถลงเสร็จ) เส้นสีเหลือง
ต่อมากัมพูชาต้องการพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรจึงอ้างแผ่นที่1:200000(เส้นไข่ปลาสีแดง) จนได้มีการปะทะกันศาลจึงตัดสิ้นวันนี้ไม่ให้แนบแผนที่1:200000 เป็นอันว่าภูมะเขือ กับทุกส่วนของ 4.6ตารางกิโลเมตร กัมพูชาไม่มีสิทธฺิที่จะอ้างว่าเป็นของตน
แต่ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ ไอ้เส้นสีเหลืองๆที่ไทยทำลวดหนามไว้ศาลก็บอกว่าไทยก็ไม่มีสิทธิเหมือนกันเพราะเป็นการทำของไทยฝ่ายเดียวศาลจึงให้ไทยกับกัมพูชามาตกลงกันว่า สรุปแล้วแนวเขตปราสาทมันถึงตรงไหนกันแน่ ผมถึงบอกว่าอยู่ที่รัฐบาลแล้วจะเจรจาได้ไหม จะเสียพื้นที่หรือไม่เสีย หรือเสมอตัวก็ต้องดูที่ตรงนี้ ครับ
ผมถึงพูดว่าก็เหมือนกลับมาที่จุดเดิมตั้งแต่2505 ไงครับ ถึงบอกว่าเราก็เหมือนชนะเหมือนเป็นการบังคับกัมพูชาไปในตัวไม่ให้ใช้แผ่นที่ 1:200000 แต่ก็ยังไม่ได้ชนะขาดเพราะยังมีช่องทางให้กัมพูชาอ้างเรื่องพื้นที่บริเวณโดยรอบตัวปราสาท เพราะศาลก็ไม่เอาตามแนวลวดหนามที่ไทยเคยทำไว้เหมือนกันโดยอ้างว่าไทยทำโดยฝ่ายเดียวกัมพูชาก็ได้มีการประท้วง แต่ให้ไปตกลงกันเอาเอง
ผมชอบที่คำตัดสินออกมาแบบนี้นะครับ ดูแล้วเป้นผลดีกับไทยเราทีเดียว แล้วที่สำคัญกว่านั้นคืออย่าเอาไปเล่นเป็นประเด็นการเมือง รีบเชิญผู้มีส่วนเกียวข้องทั้งสองฝ่ายมาคุยและตกลงกันให้เสร็จ จะได้ช่วยกันพัฒนาสักที แล้วก็รีบแบ่งๆให้เสร็จทุกๆด้านเลย เพราะความเป็นจริงก็คือเราและเขาไม่สามารถย้ายหนีจากกันได้เหมือนย้ายบ้าน จะให้รบกันเอามันนี้เพื่ออะไรก็ไม่รู้ ปลูกฝังให้เกลียดกันจนชั่วลูกหลานเห็นว่าหาประโยชน์ไม่ได้
ปล.จริงอยุ่ว่าวันนี้สู้กันเราได้เปรียบ ในอนาคต อาจจะสูสี ผลที่ได้คือสูญเสีย เสียทั้งสองฝ่าย แต่ถ้ามีเหตุต้องสู้ต้องรบกัน ก็ต้องสู้และสู้เต็มทีครับ
ตามข้อ 98 ศาลบอกให้ไปดูพื้นที่จริงครับ มันมีพื้นที่รอบปราสาทที่มีที่ Slope ลาดลุ่ม(คลอง)ลงไปครับ ตามแนวที่ผมทำให้นี้ครับ
ตามมติคณะรัฐมนตรีปี 05 ก็มีสองแนวทางให้เลือกคือ สามเหลี่ยมใหญ่แบบที่ผมวาด กับ สามเหลี่ยมเหลือง ๆ นั่นครับ ซึ่งเราก็เลือกแบบเล็ก
การตัดสินถือว่าเป็นกลางแล้วครับ ดีกว่าเอียงด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าเราจะเสียดินแดน เราคงจะเสียเพราะคนในประเทศเรานี้แหละครับ ทะเลาะกันไม่รู้จักจบจักสิ้น
แล้วพื้นที่ที่คนไทย (คุณวีระ/คุณราตรี) ถูกจับและกล่าวหาว่ารุกล้ำเขตอธิปไตยของกัมพูชาล่ะครับ สรุปว่าตรงนั้นอยู่ในเขตแดนของใคร ตามคำพิพากษาล่าสุดนี้ครับ
และถ้าหากพื้นที่นั้นเป็นดินแดนของไทย แล้วเราควรจะดำเนินการช่วยเหลือและรักษาสิทธิ์ของคนไทยผู้รักชาติและเสียสละทั้งสองท่านนั้นอย่างไรบ้างครับ
ปล.กรุณาอย่าลากเข้าประเด็นการเมืองนะครับ
โดยส่วนตัวคิดว่าเราแพ้ในการต่อสู้ในคร้งนี้ครับ เสียนิดเดียวก็คือเสียน่ะแหละ แต่ถึงอย่างใรพท.4.6ก็ไม่ไช่ของเราซะทีเดียวเพราะว่ามันเป็นพท.ทับซ้อน
มองได้หลายอย่างครับ
เราเสีย พท เพื่มก็ได้
เราไม่เสีย 4.6 ตรกม ก็ได้ อย่าลืมว่า พท ทั้ง 4.6 ตร กม เป็น zero sum ใครได้อีกคนก็เสีย แต่ถามว่าเราได้มาไหม ท่านทูตใช้คำว่า เขมร ไม่ได้ไป ท่านไม่ได้ใช้คำว่าเราได้ แปลว่า เรา ยัง ไม่ได้เสียไป ศาลไม่ได้ตัดสินตรงนี้ให้ไปเจรจากันเอง ซึ่งตรงนี้ต้องไปดูใน พื้นที่ว่า ทหารเรายึดอยู่แค่ไหน
ปัญหาอยู๋ที่ต้องไปเจรจา หากเขมรรับเส้นสีฟ้าๆ ที่ท่านสมาชิกลาก ก็แปลว่าเขายอมรับแค่นั้นแล้วจะเสีย พทที่เหลือให้ไทย ซึ่งผมว่าเขาไม่ยอมรับ หากรับ หาก รบไทยให้แค่นั้น แล้วบอกว่าที่เหลือค่อยคุยกัน คนในชาติก็ไม่ยอมอีก สรุปงานนี้คุยกันไม่ได้ ทางเลือกมี 3 ทางคือ
รบ เจรจา หรือ อยู่เฉยๆ ไม่ไปทำอะไรกับมัน ผมว่า ในระยะนี้ ทั้งสองประเทศเลือกที่จะอยู่เฉยๆ ครับ เพราะเจรจาไปก็แพ้ทั้งคู่ ไม่มีใครยอมใครได้
ด้วยความเคารพ.... จากโพสท์ของท่าน YUKIKAZE ทำให้ผมเห็นว่าประเทศไทยเราควรชำระประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับเขาพระวิหาร เพราะนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเกือบสูญเสีย 4.6 ตร กม ไป.... แต่ไรมา การแบ่งปันเขตุแดนก็อาศัยเขตุแดนธรรมชาติเช่นสันปันน้ำ แม่น้ำ เป็นต้น... คนไทยจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่าทั้งตัวเขาพระวิหารอยู่และปริมณฑล อยู่บนสันเขาที่ลึกเข้ามาในฝั่งไทย หรือที่เรียกว่าสันปันน้ำเส้นแบ่งเขตุแดนตามธรรมชาติ การที่ศาลโลกตัดสินให้ กพช ใด้ครอบครองปราสาทพระวิหารเป็นเพราะอิทธิพลของมหาอำนาจที่มีในองค์กรศาลโลก... เป็นเพราะการล่าอาณานิคมที่ทำให้เส้นเขตุแดนสมมติเกิดขึ้น เช่นการแบ่งประเทศในแอฟริกาตามเส้นรุ้ง เส้นแวง... และล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากการแสวงผลประโยชน์ของมหาอำนาจ
หลายคนอาจจไม่พอใจความเห็นผม แต่ผมว่าน่าจะจัดทำเขตแดนรอบๆ ตัวปราสาทและตัวปราสาทให้เป็นดินแดนสากลไปเลย เป็นของทั้งโลก และตั้งคณะกรรมการมาดูแลจัดการอันประกอบด้วยฝ่ายไทยและเขมร ไม่งั้นก็ตีกันไปกันมาอยู่อย่างนี้ สงสารชาวบ้านแถวนั้นว่ะ
ผมสรุปเองครับ ขอย้ำนะครับเป็นความเห็นส่วนตัว
1. ไทยเสียดินแดนเพิ่มครับ แต่ไม่ถึง 4.6 ตร.กม.
2. แผนที่ 1:200,000 annex one นำมาใช้ไม่ได้ (เพราะมันไม่ได้อิงหลักวิชาการใดๆ มารองรับ)
3.การตัดสินหมายถึงเฉพาะพื้นที่พิพาทโดยรอบบริเวณปราสาทตามคำพิพากษา พ.ศ. 2505 (โดยปราสาทเป็นของกัมพูชา อันนี้ศาลย้ำแน่ชัด) ไม่รวมถึงพื้นที่อื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง รวมถึงเขตแดนทางทะเล
4.ให้ไทยกับกัมพูชาไปเจรจาหาข้อสรุปถึงแนวเขตแดน ซึ่งต้องยึดถือตามหลักกฎหมายธรรมชาติ หรือ แนวเขตแดนตามหลักสากลคือสันปันน้ำ รวมถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และการดูแลรักษามรดกโลก
ปล. ท่านฑูตวีระชัยฯ บอกว่านะครับ การขีดเส้นเขตแดนตาม มติ ครม. 2505 มีสองแนวทาง คือ 1.(แนวไหนไม่รู้) 2.แนวเขตที่เราขีดในปัจจุบันคือล้อมตัวปราสาทไว้ (ซึ่ง ครม.ตอนนั้น เลือกแนวเขตที่ 2 และศาลบอกว่าไม่ใช่แนวนี้ แต่ก็ไม่ถึงกับเส้นที่กัมพูชาขีด) ตอนนี้ปลดชั้นความลับ อยู่ในเว็บไซต์ กต. ซึ่งผมเองก็ยังไม่ดูเหมือนกัน ว่า แนวเขตที่ 1 เป็นอย่างไร ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับการตีความของศาลในปัจจุบัน และไทยน่าจะยึดถือตามแนวนี้ ก็ขอให้เพื่อน TFC ไปดูกันเองนะครับ
คำตัดสินของศาลโลกฟังๆดูแล้ว มันไม่ใช่การตัดสินครับเพราะมันไม่มีครงไหนเลยที่เป็นการฟันธงว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่มันเป็นการตีความหรือแปลความเสียมากกว่าเช่นการแปลความที่ว่าพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.ม ตามที่เขมรกล่าวอ้างว่าเป็นของเขมรจริงๆแล้วมันยังไม่ใช่ของเขมรเพราะเมื่อปี 2505 ศาลโลกในยุคนั้นไม่ได้ตัดสินในเรื่องนี้ เพียงแต่ตัดสินแค่เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นว่าเป็นของผู้ใด
ในส่วนของที่ทับซ้อนเหตุที่ศาลโลกไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นของใครถ้าอย่างนั้นสิทธืในการถือครองที่ก็ยังเป็นเราอยู่เพราะเราเป็นฝ่ายเข้าไปปักเขตแดนแล้วตั้งแต่เมื่อ 2505 แล้วในสมัยนั้นเขมรไม่ได้ทำการทักท้วงใดๆเกี่ยวกับพื้นที่ตรงนั้น ก็ถือว่าเป็นพื้นที่ของเราครับ
ดังนั้นถ้าเป็นอย่างนี้แล้วไม่มีใครแพ้ใครชนะครับ คือฝ่ายไทยเราเสมอตัว คือ ตัวปราสาทเป็นของเขมรเหมือนเดิมและพื้นที่ทับซ้อนเป็นของเรา ส่วนการจะเจรจาหรือไม่เจราจานั้นมันขึ้นอยู่กับฝ่ายเราครับว่าจะเจรจาด้วยหรือไม่เท่านั้นละ
ฝีมือตำรวจตระเวนชายแดนใช้ปืนกล M60 ยิงครับ
รูป ซากเฮลิคอปเตอร์ตรวจการของเขมรถูกตำรวจตระเวณชายแดนไทยยิงปืน เอ็ม 60ตกเมื่อบินเข้ามาในพื้นที่นอกเขตรั้วลวดหนาม เมื่อปี พศ. ๒๕๐๖ คือพื้นที่บริเวณ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารในเวลานี้
ฮ.เขมรบินล้ำเข้ามายังถูกยิงตก
เราเคยอยู่บนนั้นมาก่อน แม้ศาลโลกจะเคยตัดสินเมื่อปี 2505 เราก็ยอมเสียแค่ตัวปราสาท และตั้งข้อสงวนสิทธิ์ที่จะทวงคืนในอนาคต
ภาพยนตร์ แผ่นดินของใคร? ถ่ายทำบนเขาพระวิหารเกือบทั้งเรื่อง
ฐานบินนครพนม ปี 2518
ย้อนอดีตวันวาน
ได้ข่าวว่า รัฐบาลให้ถอดกำลังออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ตามคำสั่งศาลโลก จริงรึป่าวครับ ขอผู้รู้ช่วยตอบด้วย ขอบคุณล่วงหน้าครับ
โดยส่วนตัวผมมองว่า ศาลโลกพิพากษาแบบ "Save ตัวเอง" มากๆ จนแทบไม่ได้ชี้ขาดอะไรเลย คืออ่านแล้ว ไม่กระจ่างขึ้นกว่าเดิมเลย ศาลใช้การมองไปที่ตัวปราสาท แล้วบอกว่า ปราสาทเป็นของกัมพูชา รวมถึงพื้นที่รอบๆด้วย แต่ พื้นที่รอบๆ มีอาณาเขตถึงตรงไหน กว้างศอก ยาววา หนาคืบ อย่างไร ไม่แจ้ง ให้ 2 ประเทศมาคุยกันเอง ส่วนจุดอื่นๆ ศาลไม่ได้มอง
ผมคิดว่า ปัญหาในเรื่องนี้จะยังไม่จบลง เพราะแต่ละฝ่ายสามารถเอาคำวินิจฉัยที่กำกวมนี้ ไปกล่าวอ้างได้หลายนัย เช่นเรื่องพื้นที่ทับซ้อน ฝ่ายเราก็อ้างว่า ศาลบอกชัดเจนว่าไม่รวม เพราะไม่ใช่บริเวณปราสาท แต่ฝ่ายกัมพูชา ก็สามารถอ้างได้เช่นกันว่า ศาลบอกว่า เส้นเขตแดนเป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ดังนั้น พื้นที่ 4.6 ตร.กม. แม้ไม่ใช่บริเวณปราสาท ก็เป็นของกัมพูชาอยู่ดี หรือเรื่องคำว่า ชะง่อนผานั้น หมายถึงอย่างไรกัน ก็ยังต้องมีความเห็นต่าง เมื่อข้อเท็จจริงยังกำกวมอยู่อย่างนี้ เวลาที่ 2 ประเทศมานั่งโต๊ะเจรจากัน จะเป็นการเจรจาบนพื้นฐานข้อเท็จจริงเดียวกันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ฝ่ายคนไทยเราเอง ความกำกวมนี้ ทำให้เกิดเงื่อนไขความขัดแย้ง เพราะแต่ละฝ่ายต่างต่างมองในมุมของตน ส่วนหนึ่งมองว่า กัมพูชาไม่ได้พื้นที่ 4.6 หมายความว่า เรา "ไม่ได้เสีย" พื้นที่ตรงนั้น แต่อีกส่วนก็มองกลับกันว่า เรา "เสีย" สิ เพราะไม่สามารถคงกำลังทหารไว้บนนั้นได้ แถมพื้นที่แนวรัวลวดหนามก็ใช้ไม่ได้แล้วด้วย จะบอกว่าไม่เสียได้อย่างไร เรื่องความเล็ก-ใหญ่ ส่วนหนึ่งมองว่า เราเสียพื้นที่ "เล็ก" 0.07 ตร. กม. แต่สำหรับคนที่มองว่า เราไม่ยอมเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว 0.07 ตร. กม. เขาก็มองว่า "ใหญ่" และยังมีประเด็นอื่นๆ ที่เห็นต่างกันอีกหลายประเด็น
ผมคิดว่า ความกำกวมนี้ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกหลายเรื่องเชียวครับ
สมมุตินะครับ ที่ว่าไห้ไปตกลงกันเองในส่วน 4.6 เบ็ดเสร็จแล้ว กัมพูชาได่ไป4.5 แล้วเราได้ 0.5 มันจะเป็นอย่างใร แต่ก็ยังโชคดีที่รัฐบาลเราชุดนี้พอคุยกับทางกัมพูชาได้อาจจะวินๆที่
กัมพูชาได้ 3.6 ส่วนเราได้ 1.0 โดยส่วนตัวคิดว่าดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แล้วร่วมมือกันพัฒนาพท.
"ถอนทหาร" ความหมายว่าเราต้องปฎิบัติอย่างไรครับ
เรียนท่าน Admin ข้อความใดหรือภาพใดที่ผมโพสลงไปเห็นว่าไม่เหมาะสม ขอให้ลบออกได้เลยครับ
ไม่ต้องรอ Admin ลบหรอกมั้ง ลบเองก็ได้ ในมันความเห็นการเมืองล้วน ๆ จากคนบางกลุ่มเท่านั้นเอง
นักรบหน้าคอมเพจนั้นปลุกระดมกันสนุกสนานเลยหนิครับ :D ลบเองก็ได้มั้งครับ
ตามความเข้าใจของผมนั้นผมเข้าใจว่า เรื่องปราสาทนั้นยืนตามคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 ส่วนพื้นที่รอบนอกเป็นเรื่องของไทยกับกัมพูชามาตกลงกันเอง
หลักๆผมว่ากัมพูชาได้กำไรน่ะ เพราะของเดิมเขาจะได้แค่ที่เราล้อมรั้วให้ตามมติครม. คราวนี้ก็เลยไปตู่เอาพื้นที่ประเทศไทยตรงที่มันกำกวมเยอะๆ เรียกไปเยอะๆก่อนสุดท้ายพอศาลตัดสินก็ได้พื้นที่มากกว่าเดิม เพราะอย่างน้อยศาลตีความว่าvinicity (พื้นที่รอบตัวปราสาท)ว่าต้องถึงทีีตั้งป้อมตำรวจไทยในสมัยนั้น(ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่ามันถึงตรงไหนในแผนที่ แต่คาดว่าน่าจะเยอะกว่ารั้วที่ล้อมตามมติครม.ในสมัยนั้นน่ะครับ) แถมรัฐบาลกัมพูชาที่มีปัญหาเรื่อวการนับคะแนนกับพรรคฝ่ายค้านก็ได้คะแนนนิยมเพิ่มจากประชาชนของเขาด้วย นับว่าสองเด้งเลย
ดังนั้นจริงๆแล้วรัฐบาลและทหารไทยช่วงควรจะนิ่งแล้วคุยในประเทศก่อน เนี่ยทหารไทยดันไปกินข้าวกับเขาอีกเหมือนยอมรับการตีความvinicityของศาลโลกไปอีก ผมว่ารีบแสดงออกไปหน่อยน่ะ ถ้าคิกในแง่ว่าถ้ายึดตามกฎการปะทะแล้วเรามีกำลังเหนือกว่า และอาจจะเป็นข้ออ้างในอนาคตได้น่ะครับ
ผมเคยขึ้นไป2 ครั้ง ไอป้อมตำรวจที่ว่าเนี้ยใช่ป้อมที่มันอยู่ประตูเหล็ก ป้อมตานีตรงภาพหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจนะครับ เพราะตรงนั้นจะมีป้อมเล็กๆอยู่หลังหนึ่งก่อนข้ามลำห้วยเล็กๆไปยังตลาดเขมร หรือป้อมที่ว่านี้มันเป็นป้อมที่อยุ่ตรงทางขึ้นปราสาท
ถ้าแบ่งใหม่ตามสภาพทางธรรมชาติตามที่ศาลโลกบอก เขมรก็ได้ไม่เกินเส้นสีเขียวครับ
อันนี้คือแผนที่ annex 1 ที่ศาลใช้อธิบายขอบเขตในคดีใช่ไหมครับ
ถ้าผมคิดเล่นๆ ตามที่คุณRicebeanoilคาดการณ์ แสดงว่าพื้นที่ ที่เราต้องยอมรับว่าเป็นพื้นที่รอบปราสาทตามเส้นสีเขียวเนี่ยใหญ่เกินสองเท่าของเดิมเลยน่ะครับเนี่ย
“The Temple of Preah Vihear . . . stands on a promontory of the same name, belonging to the eastern sector of the Dangrek range of mountains which, in a general way, constitutes the boundary between the two countries in this region ๏พ Cambodia to the south and Thailand to the north. Considerable portions of this range consist of a high cliff-like escarpment rising abruptly above the Cambodian plain. This is the situation at Preah Vihear itself, where the main Temple buildings stand in the apex of a triangular piece of high ground jutting out into the plain.” (I.C.J. Reports 1962, p. 15.)
ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนโหนก(น่าจะหมายถึงเขา)ที่มีชื่อเดียวที่โผล่ขึ้นมาเป็นเหมือนหน้าผาบนพื้นที่ราบของฝั่งกัมพูชา
ผมว่าประโยคนี้ เป็นการตัดสินที่ลำเอียงของศาลโลกครับ ถ้าดูเส้นชั้นความสูงจริงๆจะเห็นว่าเป็นความสูงที่ 600 กับ 500 แสดงให้เห็นว่าตัวเขาพระวิหารนั้นตั้งอยู่แผ่นดินไทยแล้วตัววิหารก็ไปอยู่ที่ยอดอีกหนึ่ง น่าจะได้รับอิทธิพลจากชาติมหาอำนาจบางชาติหรือไม่ก็หลายชาติ
ลองนึกภาพเอา กาละมัง มาคว่ำบนโต๊ะผิวราบขนาดใหญ่ แล้วเอาแก้วน้ำไปวางบนก้นกาละมังชิดขอบด้านหนึ่ง แล้วจู่ๆมีตาอยู่เดินผ่านมาบอกว่าแก้วน้ำและขอบกาละมังเป็นส่วนหนึ่งของพื้นผิวโต๊ะ เป็นคนละส่วนกับกาละมัง
ผิวโต๊ะ = ที่ราบเขมร
กาละมัง = แผ่นดินฝั่งไทย
แก้วน้ำ = เขาพระวิหาร
ส่วนตัวปราสาท คงต้องหากล่องไม้ขีดไปวางบนก้นแก้ว
ส่วนตรงนี้เป็นเขตที่ศาลโลกคาดคะเนมาให้เสร็จสรรพ คาดว่ากัมพูชาคงใช้เป็นเครื่องมืออ้างต่อไป
102. The area with which the Court was concerned in the original proceedings, as has already been explained (see paragraph 78 above), is small and bounded, except to the north, by readily identifiable geographical features.
ส่วนตัวเห็นว่า จากหลักฐานทางภูมิศาตร์ เราไม่ควรยอมรับคำตัดสินของศาลระหว่างประเทศ ตีมึนและอึมครึมไปเรื่อยๆ(อันนี้ถ้ามองในมุมคนที่หวงที่ดินแบบบรรพชนนะครับ) แต่ถ้าคิดแบบโลกไร้พรมแดน คิดแบบนักธุรกิจหรือพวกนิยมAEC ก็คงว่าต้องยกให้เขาตามศาลโลกไปเถอะที่นิดเดียว แล้วมาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวกันเถอะบลาๆๆ ก็คงมีรีสอทผุดตามมาอีกบาน ตกแต่งสไตล์เขมรอะไรเทือกนั้น
คงแล้วแต่ว่าแต่ละคนจะมองอย่างไรครับ แต่ที่ข้องใจคือทหารทัพภาคสองจะรีบไปกินข้าวกับทหารกัมพูชาทำไมครับ ไม่เข้าใจจริงๆ
ถ้าเทียบแผนที่ผมกับแผนที่คุณ Recon แล้ว ผมคาดการณ์ว่า คงกินพื้นที่วัดแก้วฯ ไปด้วย จนเกือบถึงช่องอานม้าเลยละครับ
ให้เจรจาด้วยทีม JBC ก็เข้ากรอปเดิมตาม MOU43 อยู่ดี โดย MOU43 เราดันยอมใช้แผนที่ 1:200000 ไปแล้ว เดิมทีทหารเราอยู่ เราขายดั๋ว ขายน้ำเค้าทำอะไรไม่ได้ พอมี MOU เค้าได้ที เรื่องมันเริ่มจากเราแบท่าที่ตรงนี้ พอเค้าได้ที เนื่องจากใน MOU มันต้องปักปันหมุดกันใหม่หมด ซึ่งเราตกลงแบบนี้เลยพลาด เพราะหลายหมุดเค้าไม่กล้ายุ่งแล้ว เขาพระวิหารเค้าก็จนปัญญาแล้ว จากนั้น MOU มันมีข้อกำหนดคร่าวๆนะครับ เช่น ห้ามปรับเปลี่ยนพื้นที่ ห้ามมีกำลังทั้งสองฝ่ายเข้าพื้นที่ เป็นต้น ไอ้ทางเราก็ดีแบบไหนไม่รู้จะดีเทพขนาด เมื่อยึดแบบตามนี้เราขนออก เค้าขนเข้า สร้างบ้านสร้างวัด สร้างกระเช้าส่งของ นานปีภาพมันก็เปลี่ยน เค้าก็เริ่มยื่นมรดกโลก เพื่อเป็นอีกช่องทางที่จะได้พื้นที่โดยรอบ พี่ๆน้องทหารจริงน่าจะรู้นะครับว่าทหารก็มีเรื่องกับชาวบ้านปลอม พระปลอม แต่ก็เด้งหมด สรุปเราทำข้อตกลงพลาดและดึงดันใช่ไปเรื่อยๆ เค้าก็สบาย ดันเรื่องต่อศาลโลกซะเลย จริงเราไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับศาลโลก และยกเลิก MOU ใหม่ก็จบ เค้าอยากคุยหลักหมุดที่สำคัญก็ค่อยทำ MOU ใหม่ เอาแผนที่ 1:50000 เราไปสู้ ส่วนที่เค้าเป็นห่วงกันคือ MOU43 ตอนนี้ทำว่า 1:200000 จะถูกยกเป็นของถูกไปแล้ว ถ้าวันไหน MOU 43 ตกลงเสร็จ ซึ่งเรามีแต่เสียแน่เพราะมันแผนที่เค้า ได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน MOU43 เสร็จจะสามารถเจรจาตกลง MOU44 ทางทะเลต่อได้ทันที ส่วนตัวเลยนะครับ ศาลโลกก็คือศาลอำนาจฝ่ายอื่นอยู่แล้ว เราเมื่อปี 2505 ก็ไม่ได้สู้กับเขมร แต่สู้กับ ฝรั่งเศสซะมากกว่า มาครั้งนี้ไม่ใช่แค่ฝรั่งเศส ยังรวมอมเริกา ญี่ปุ่นอีก เราพลาดไปพอควรแล้ว ส่วนใครจะถามว่าเป็นไปได้หรือที่จะพลาดง่ายๆกันได้นาดนั้น มันเป็นไปได้ครับประวัติศาสตร์มันมีอยู่
1.ก็ตามที่ผมโพสไว้นั้นละครับ ถ้าพูดถึงตอนนี้คือเรายังไม่เสียดินแดนอะไรทั้งสิ้นครับ คือศาลเขาบอกให้เราไปตกลงกันเอาเอง ก็ต้องดูที่รัฐบาลว่าจะเก่งพอไหมละครับ
2.มันมีประเด็นใหม่ขึ้นมาก็คือตอนนี้ ผู้นำกัมพูชาเขาดันไปแถลงข่าวในสื่อที่บ้านเขาว่าศาลให้ไทยยอมรับ แผนที่1:200000 อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เพราะตีความการตัดสินไปคนละเรื่อง ถ้าเอาตามแผนที่ 1:200000 จริงเราเสียมากกว่า 4.6 ตร.กม. แน่นอนเพราะมันลากผ่านบางอำเภอของประเทศเราด้วยซ้ำ ต้องอยู่ที่รัฐบาลว่าจะเจรจาตกลงทำความเข้าใจการตีความของศาลได้ไหม ถ้ายึดตามแนวทางของกัมพูชา ก็ต้องรบกันละครับ รัฐบาลจะยอมรบหรือจะยอมยกดินแดนให้เขาไป ก็อยู่ที่รัฐบาล
อีกข้อลืมโพสครับ บางคนอาจจะงงว่าทำไมกัมพูชาถึงยังอ้างว่าศาล ให้ใช้แผนที่ 1:200000 มันมีมากับข้ออะไรจำไม่ได้ในเอกสารของศาลคือประมาณว่าศาลไม่ให้แนบแผ่นที่ 1:200000 ก็จริง แต่ให้ใช้เส้นเขต annex 1 แบ่งเขตบริเวณโดยรอบตัวปราสาท ก็จะออกมาเหมือนเส้นสีฟ้าของคุณBanyat (ขออนุญาติใช้รูปด้วยครับ) ประเด็นคือกัมพูชาไม่ได้ตีความเหมือนที่ทีมกฏหมายเราแถลงเลยซิครับ ผู้นำเขากลับใช้ข้ออ้างที่ให้ใช้ annex 1 เป็นเส้นแบ่งเขตบริเวณโดยรอบตัวปราสาท ว่าศาลให้ใช้แผ่นที่ 1:200000 ทั้งๆที่ศาลก็ไม่ได้ให้แนบแผ่นที่1:200000 แล้วก็ไม่ได้ชี้จุดหรือมีเส้นอะไรมาให้เลยและเป็นการแนะนำของศาละครับไม่ได้เป็นกฏ นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่เลยนะครับ ความหวังคืออยู่ที่รัฐบาลชุดนี้เพราะมีความสัมพันธ์น่าจะดีที่สุดกับกัมพูชาแล้ว (ความเห็นส่วนตัวนะครับ) ใจจริงก็ไม่อยากให้ใช้ความรุนแรงนะครับ แต่ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆน่าจะให้กำลังเข้ายึดพื้นที่ทั้งหมดแล้วค่อยเจรจา เพราะถ้าที่ของกัมพูชามันกวนโอ๊ยมากๆ มีที่ไหนบอกว่าศาลให้ใช้แผ่นที่1:200000ถ้าใช้จริงไม่อยากจะคิดจะจิ้มเอาตรงไหนก็ได้ และดูจากการตัดสินของศาลตรงไหนที่กำลังของเราเข้าไปอยู่แล้วศาลก็ไม่ให้กัมพูชาอ้างสิทธเช่นตรงภูมะเขือ
เท่าที่ผมมองนะ ในเมื่อศาลตัดสินออกมาแบบนี้สิ่งที่เราควรจะทำต่อไปคือ รัฐบาลและทหารควรเร่งปรึกษาหารือแนวทางกันอย่างเร่งด่วนที่สุด เพื่อกำหนดแนวทางการเจรจาไม่เช่นนั้นเราเสียมากกว่า 4.6 แน่นอนเพราทางนั้นเขาวางแผนมานานแล้ว ทั้งส่งคนเข้ามาตั้งหมู่บ้านหรือการสร้างกระเช้าขึ้นเขาพระวิหาร สร้างอะไรอีกหลายอย่างถึงแม้ว่าบางท่านอาจจะบอกว่าเราเสียแน่แต่ไม่มาก แล้วทำไมเราต้องยอมอยู่ร่ำไป ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่ามีใครมีส่วนในครั้งนี้แล้วทำไมเราไม่คุยกับคนที่มีส่วนในเหตุการณ์ครั้งนี้ก่อน ซึ่งรัฐน่าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกมหาอำนาจมันจ้องอยู่เราก็คุยกับมันสิ ปล่อยให้ฝ่ายดน้นคุยอยู่ฝ่ายเดียวทำไม(ธรกิจของมหาอำนาจพวกนั้นที่อยู่ในประเทศเรามีเท่าไหร่) หรือถ้าจะรบก็รบมันไปเลยให้มันรู้แล้วรู้รอดถ้าเขาแพ้เราก็พลัดันเขาออกจากพื้นที่ 4.6 ซะแล้ววางกรอบให้เขา ถ้าเราแพ้ก็ยอมรับไป..........ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ
ก่อนหน้านี้ช่วงที่ยังไม่มีการพูดเกี่ยวกับมรดกโลก ผมเข้าไปดูแผนที่ของ Google Earth บ่อย ๆ เส้นเขตต่าง ๆ ตรงบริเวณนั้นชัดเจนมาก ๆ ทั้งรูปตัวปราสาทก็ชัด เห็นได้ชัดเลยว่าตัวบันไดขึ้นตัวปราสาท อยู่ในเขตไทย (ตามเส้นในแผนที่) แต่พอมีเรื่องมรดกโลกและข้อถกเถียงรูปตัวปราสาทก็เบลอ แล้วอีกทั้งระยะแนวเขตก็เปลี่ยนไป วันนี้ดูอีก เหมือนกับว่ามีจุด(หมุดเกิดขึ้นใหม่)แปลก ๆ เช่น สถานที่ต่าง ๆ จะมีคำว่า of Thailand , This is land of Thailand ถ้ายังปล่อยไว้แบบนี้ คงมีปัญหาบานปลายตามอีกมาก และที่สำคัญผู้รับผิดชอบคงต้องเคลียร์ปัญหาต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีให้กับคนไทย รวมทั้งความหวาดระแวงเกียวกับผลประโยชน์ทับซ้อนอีกด้วย
จากคำพิพากษาบริเวณ วัดแก้วฯ และ ถนนที่เขมรตัดใหม่ เป็นพื้นที่ของเขมรหรือไทยครับ
ผมดูภาพเล็กเปรียบเทียบ 2505-2556 ของท่าน Top4 แล้ว มีข้อสงสัยอีกว่า เส้นสีดำที่เป็นเส้นแบ่งเขตนั้น มันเชื่อมกับเส้นเขตแดนตรงไหน
เส้นของปี 2505 นั้น เชื่อมกับแนวสันหน้าผา ซึ่งไทยเราอ้างเป็นเขตแดน มันถึงได้มีเส้นตัดอย่างนี้ได้ ถ้าถือว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ สองแสน เส้นอย่างนี้จะลากไม่ได้ ซึ่งเส้น 2556 ก็ยังคงลากโดยยังยึดว่า เส้นเขตแดนยังเป็นสันหน้าผาอยู่
แต่การที่ศาลโลกกำกวมเรื่องเขตแดนนี่เอง ทำให้ถ้าเส้นเขตแดนเป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อสองแสน กัมพูชาก็ไม่จำเป็นต้องลากเส้นใดๆเลย เพราะ "ปราสาทและอาณาบริเวณ" ทั้งหมด ตามที่ศาลวินิจฉัย อยู่ในอธิปไตยของเขาทั้งหมดอยู่แล้ว
ถ้าสองฝ่ายยังถือหลักกันคนละหลัก ถือเส้นกันคนละเส้นแบบนี้ ผมคิดว่า ในทางปฏิบัติจะยากมากครับ ที่จะเจรจากันได้ครับ เพราะพูดกันคนละเรื่องกัน ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็มาจากการที่ศาลโลก ตัดสินแบบ Save ตัวเอง ไม่ชี้อะไรให้ชัดๆ นั่นเองแหละครับ
คลิปอันนี้ทำดีนะ
http://www.youtube.com/watch?v=ueskgBvCNdM
ตามที่ท่าน top4 เขียนภาพแผนที่ออกมานั้นผมว่ามันจะเกินไปครับเขมรตัดถนนขึ้นมาก็จริงแต่ถ้าจะบ่งชี้ถึงเขตแดนก็น่าจะเป็นเส้นของถนนนั้นแหละคือพื้นที่ที่เขมรจะสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ (แต่ทางไทยเรายังไม่ได้ยอมรับว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของเขมรนะครับ และไม่รวมไปถึงพื้นที่ส่วนอื่นๆด้วย) และศาลโลกก็ไม่ได้บอกว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของเขมรแค่บอกว่าควรจะให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารมีทางขึ้นได้บ้างเท่านั้น และให้ไปหาทางออกโดยการเจรจาร่วมกันระหว่างไทยกับเขมร
1. การที่ทางศาลโลกเค้าอ้างอิงแผนที่ของเขมรก็ใช้อ้างอิงการตัดสินแค่เฉพาะตัวเขาพระวิหารเท่านั้นไม่ได้นำไปอ้างอิงร่วมกับพื้นที่ทับซ้อนอื่นๆนะครับ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปวิตกกังวลกันนักเลย
2. การที่ศาลโลกบอกใหฝ่ายไทยถอนกำลังทหารออกไปนั้นก็เพราะว่าเมื่อเป็นพื้นที่ที่ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นของใครก็ไม่ควรคงกำลังทหารเอาไว้ทั้งสองฝ่าย และก็เป็นการช่วยป้องกันการเผชิญหน้าหรือเกิดการปะทะกันของทหาร
3.การต้ดสินของศาลโลกอ่านๆดูแล้วทางเค้าเองค้อนข้างที่จะเกรงใจทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรทั้งคู่จึงสรุปและขยายความให้ชัดเจนแต่เพียงว่า พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวให้ทั้งสองประเทศเจรจาร่วมกันว่าจะพัฒนาพื้นดังกล่าวหรือหาผลประโยชน์ร่วมกันได้อย่างไรต่างหาก เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งจนเกิดสงคราม ส่วนตัวปราสาทก็เป็นของเขมรเหมือนเดิม
4. เพราะฉะนั้นผลที่จะเกิดกับประเทศไทยเราก็คือ เสมอตัวนั้นแหละไม่ได้ไม่เสีย เพราะถ้าจะบอกว่าเสียมันก็คงเสียมาตั้งแต่ครั้งเมื่อปี 2505 นู้นแล้ว เพราะในสมัยนั้นเราไม่รู้ว่าศาลโลกได้มีคำวินิจฉัยออกมาอย่างไรกันบ้าง มีแต่อาจารย์เสรีและคณะผู้ใหญ่ในบ้านเมืองในตอนนั้น เท่านั้นแหละที่รู้ แต่อย่างว่าประวัติศาสตร์หรือเหตุการณ์ในอดีตฝ่ายไทยเราแก็ไขอะไรไม่ได้แล้ว
ดังนั้นรัฐบาลไทยเราต้องเร่งตีกรอบการเจราจาเพื่อกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนอย่าให้เลยเถิดถึงขั้นที่เขมรเอาแผนที่ของตนเองนำไปใช้อ้างสิทธิ์ในพื้นที่อื่นๆได้อีกต่อไป
ตามที่ผมเข้าใจนะครับ
1. ตัวปราสาทและบริเวณโดยรอบเป็นของเขมร
2. ไทยต้องถอนทหารออกจากบริเวณที่เป็นของเขมร
3. เส้นมติ ครม ใช่ไม่ได้ ไทยจะลากเส้นกำหนดบริเวณปราสาทเองไม่ได้ แต่บริเวณโดยรอบตัวปราสาทจะต้องมีขนาดเล็กมาก ศาลใช้คำว่า very small
4. แผนที่ 1 200000 ใช้เฉพาะการกำหนดตัวปราสาท ไม่ได้ผูกพันถึงบริเวณอื่น
แปลแบบลูกทุ่งๆ คือ อั๋วตัดสินว่า ปราสาทและบริเวรอบปราสาทเป็นของเขมร ไทยต้องถอนทหารออกไป แต่บริเวณโดยรอบมันกว้างแค่ไหน ลื้อสองคนไปคุยกันเองนะ แล้วอั๋วตัดสินแค่ตรงปราสาทนะบริเวณอื่นไม่เกี่ยว
แผนที่ ท่ีท่านtop นำมาแสดงน่าจะใก้ลเคียงคำตัดสินที่สุดแล้วครับ
อ้างอิงจากคำตัดสิน วรรคที่98
98. From the reasoning in the 1962 Judgment, seen in the light of the pleadings in the original proceedings, it appears that the limits of the promontory of Preah Vihear, to the south of the Annex I map line, consist of natural features. To the east, south and south-west, the
promontory drops in a steep escarpment to the Cambodian plain. The Parties were in agreement in 1962 that this escarpment, and the land at its foot, were under Cambodian sovereignty in any event. To the west and north-west, the land drops in a slope, less steep than the escarpment but nonetheless pronounced, into the valley which separates Preah Vihear from the neighbouring hill of Phnom Trap, a valley which itself drops away in the south to the Cambodian plain (see paragraph 89 above). For the reasons already given (see paragraphs 92-97 above), the Court considers that Phnom Trap lay outside the disputed area and the 1962 Judgment did not address the question whether it was located in Thai or Cambodian territory. Accordingly, the Court considers that the promontory of Preah Vihear ends at the foot of the hill of Phnom Trap, that is to say: where the ground begins to rise from the valley.
In the north, the limit of the promontory is the Annex I map line, from a point to the north-east of the Temple where that line abuts the escarpment to a point in the north-west where the ground begins to rise from the valley, at the foot of the hill of Phnom Trap.
The Court considers that the second operative paragraph of the 1962 Judgment required Thailand to withdraw from the whole territory of the promontory, thus defined, to Thai territory any Thai personnel stationed on that promontory.
จะเห็นได้ว่า ศาลกำหนดเขตแดนมาครบทุกด้านเลย. ด้านยังไม่ชัดในการกำหนดจุดในภูมิประเทศจริง(ย้ำน่ะครับว่าในภูมิประเทศจริงไม่ใช่ในแผนที่) ก็คือด้านทิศเหนือ เนื่องจากศาลใช้เส้นแบ่งระหว่างประเทศตามแผนที่ 1:200,000 ตามคำร้องของเขมรอีกแล้ว แต่ไอ้แผนที่อันไทยไปแย้งว่าถ้าใช้จริง มันคลาดเคลื่อนมากกำหนดจุดลงไม่ได้ ศาลเลยบอกว่าด้านทิศเหนือให้ยึดตาม annex I map (ซึ่งก็คือไอ้แผนที่1:200,000)นั่นละแล้วให้ไทยกับเขมรตกลงกำหนดจุดเส้นแบ่งระหว่างประเทศในแผนที่เอามาลงในภูมิประเทศจริงกันเอง. (ลำเอียงอันที่หนึ่ง แผนที่มั่วขนาดนี้ยังเอาตามแผนที่มั่วๆอีก)
ส่วนด้านภูมะเขือก็ลากยาวจากปราสาทจนถึงตีนภูมะเขือ เอาพื้นที่ที่เป็นหุบเขาที่เขมรทำถนนไปด้วย(เป็นการลำเอียงอันที่สอง). ใครเขาแบ่งกันอย่างนั้นเอื้อต่อเขมรสุดๆ เราเสียพื้นที่ในหุบเขาไปด้วย
ดังนั้นโดยส่วนตัวผมจึงว่าเราควรเงียบและตีมึนไปเรื่อยๆ เนื่องจากทหารคงไม่อยากให้เกิดการรบกัน ก็ควรดื้อเงียบเพราะคำสั่งของศาลโลกจะปฏิบัติเมื่อไหร่ก็ได้ อีกห้าร้อยหรือพันปีค่อยปฎิบัติก็ได้จะรีบไปไหนกัน
ข่าวนี้ 50-50 นะครับ ไทยเราเตรียมผลักดันทหารกัมพูชาออกจากภูมะเขือ คิดว่าไม่เกินสิ้นเดือนนี้ถ้ารัฐบาลยังไม่มีข้อตกลงหรือกรอบเจรจากับฝั่งกัมพูชา คิดว่าจะปะทะกันอีกรอบแต่อาจจะรุนแรงกว่าเดิม
เป็นข่าวที่ได้รับมานะครับใช่วิจารณญาณในการรับฟังด้วยนะครับ
รู้สึกตอนนี้บ้านเขาก็มีการประท้วงอยู่เหมือนกัน เหตุการณ์ค่อนข้างรุนแรงพอสมควร
อันนี้ไปเจอมา
คำชี้แจงของท่านทูตวีระชัย ต่อที่ประชุมรัฐสภา มีคลิปด้วยครับ
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000141554
ผมฟังแล้ว โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า ท่านและทีมงานของท่าน อ่านคำวินิจฉัยแล้ว ท่านรู้ ว่ามีความหมายอย่างไร แต่ในฐานะที่เป็นการทำงานที่มีความสำคัญ ถ้าไม่แน่ใจ 100% ท่านจะยังไม่ยอมแถลง อีกอย่าง หลายๆท่านที่รับราชการ จะรู้ว่า มีบางเรื่องที่ "รู้ก็พูดไม่ได้" อย่างเช่นเรื่องนี้ ผมเชื่อว่า ท่านไม่อยากพูด เพราะหลังจากนี้ ท่านต้องไปเจรจากับกัมพูชาต่ออีก การพูดอะไรไปตรงนี้ อาจจะกลายเป็นข้อผูกพัน หรืออย่างน้อยๆก็อาจจะเป็นข้อที่กัมพูชาอาจจะยกขึ้นอ้างได้ว่า อ้าว วันนั้นท่านแถลงต่อสภาของท่านไว้อย่างนี้นี่ วันนี้ จะมาพูดเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร ฯลฯ
ฉะนั้น ในวันนี้ ท่านจึงเลือกที่จะบอกว่า ยังไม่รู้ ว่าศาลวินิจฉัยอย่างไร และยังไม่รู้ว่า ตัวปราสาทมีพื้นที่อย่างไร
ส่วนตัวชื่นชมท่านฑูตวีระชัยฯ ครับ ท่านก็ยืนยันว่าเรายังชี้เขตแดนไม่ได้ จนกว่าเราจะเจรจากับกัมพูชา ก็รอให้ถึงวันนั้นก่อนล่ะกันครับ และที่สำคัญผมก็เพิ่งเห็นท่านฑูตฯ ปี๊ด ตอนท่านออกมาตอบโต้ ท่าน ส.ส.ปชป.ท่านหนึ่ง ท่านชี้แจงได้ฉะฉาน และไม่กลัวนักการเมือง สมกับเป็นข้าราชการประจำที่ดีครับ
เรื่องนี้มันเกี่ยวกับผลประโยชน์และเกียรติภูมิของชาติ ซึ่งมันไม่ใด้ตัดสินที่ว่าใครพูดผิด/พูดถูก ในฐานะคนไทยต้องพูดในสิ่งที่รักษาผลประโยชน์และเกียรติภูมิของของชาติ และผมว่าคนไทยควรหยุดถามว่าเราจะแบ่ง พท ตรงนั้นยังไง เพราะเราไม่ต้องแบ่ง
1) การตัดสินของศาลโลกในปี 2505 ไม่ใด้ยึดหลักความเป็นจริงทางด้านภูมิศาสตร์ที่ว่า พท ทั้งหมดที่ปราสาทตั้งอยู่มันอยู่ในเขตแดนไทย ทำให้มันแก้ปัญหาไม่ใด้ เพราะมันไม่ยึดหลักความจริงทางภูมิศาสตร์ที่เทือกเขาพนมดงรักทั้งเทือก มีเส้นสันปันน้ำเป็นแนวที่ชัดเจน และปราสาทอยู่ทางทิศ ตต. - เหนือ- และ ตอ ของสันปันน้ำ เรียกว่าสันปันน้ำเป็นตัว V ล้อมรอบตัวปราสาทโดยที่มีด้านแหลมของตัว V ชี้ออกไปทาง กพช. อันนี้ภาพถ่ายดาวเทียม และ กราฟฟิคแผนที่ ตาม คห ของท่าน Top04 เป็นข้อมูลอ้างอิงที่ดี
2) จากข้อ 1) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปอิงคำตัดสินเฮงซวยของศาลโลกในปี 2505 เพราะมันผิดมาตั้งแต่ต้น ซึ่งไทยเองก็สงวนสิทธ์ในการรื้อฟื้นเพื่อโต้แย้งไว้แล้ว
3) ถึงเวลาแล้วที่จะเลิกนโยบายรอมชอม ลูบหน้าปะจมูก แบบนี้ โดยเฉพาะกับเขมร จำเหตุการณ์เผาสถานทูติไทยกันใด้มั๊ย เรื่องต้นตอคืออะไร หลังเหตุการณ์ กพช ขอโทษ หรือชดใช้อะไร แล้วไอ้เรื่อง 4.6 ตรกม เนี่ยเริ่มเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หลังเหตุการณ์เหล่านั้นทั้งหมดใช่มั๊ย
4) ถ้าจะแตกหักแล้วคิดว่าเราจะถูกโดดเดี่ยวในประชาคมโลกเหรอ ? คิดว่าเรามันแย่ถึงขนาดที่ถ้าหันไปอิงจีน - รัสเซีย แล้วค่ายตะวันตกจะไม่หนาวเหรอ ? มรดกโลกแล้วไง มันก็บอกอยู่แล้วว่าสถานะของมรดกโลกไม่เกี่ยวกับอธิปไตย เขตุแดน ถ้าปราสาทเป็นของไทย แล้ว กพช มาร่วมพัฒนา มันจะเสียหายตรงไหน ?
สุดท้าย... ทีขัดแย้งกันภายใน เราก็จะเอากันถึงตาย... ยอมไม่ใด้กันสักนิด แล้วเรื่องนี้จะมาอ้างว่ารอมชอมจะใด้ร่วมกันพัฒนาต่อไป ตลกมั๊ยคนไทยที่รักทุกท่าน??? คิดผิดคิดใหม่ดีกว่านะ... อยู่กันมานานๆแล้ว น่าจะรู้ว่าโลกมันไม่ใด้สวยนะ...
เห็นด้วยกับท่าน sam แต่ที่ทำให้ผมและเพื่อนที่เป็นทหารแปลกใจอยู่ทุกวันนี้ ตรงพื้นที่พิพาทกันทำไมเราไม่ผลักดันกองกำลังหรือชาวบ้านที่มาปักหลักบนภูมะเขือ จนเขาสามารถนำชาวบ้านและสร้างถนนขึ้นมาบนพื้นที่ได้ ถ้าเรามีแนวทางการปฎิบัติที่แน่วแน่และแน่นอน ผมว่าเรื่องมันคงไม่ยุ่งยากขนาดนี้ เพื่อนผมที่อยู่บนภูมันยังบ่นๆเลยว่าน่าจะรบให้เด็ดขาดแตกหักไปเลย เพราะการที่ต้องมาตั้งค่ายมันก็มีค่าใช้จ่ายและงบประมาณมากเหมือนกัน
ผมว่าเรื่องที่เราปล่อยให้เขาเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่อาศัยกันนั้น
ไม่รู้ว่าติดที่ทหารชั้นผู้ใหญ่หรือฝ่ายการเมือง
เพราะฝ่ายการเมืองต้องมองในทางการเมืองระหว่างประเทศด้วยไงครับ ขณะที่ฝ่ายทหารมองความมั่นคงทางทหารว่าสำคัญสุด
ทีนี้ถ้าเราเข้าไปผลักดันแล้วเกิดมีชาวบ้านตาย ข่าวออกไปทางต่างประเทศมันจะดูไม่ดี อีกอย่างก็อาจจะถูกเอามาเล่นประเด็นการเมืองกันเองในประเทศ ถ้าเราเอาชาวบ้านเข้าไปอยู่ตรงนั้นแล้วโดนยิงใครจะรับผิดชอบ (แค่ขึ้นไปทำไรก็ไม่รู้ ป่านนี้ยังไม่ออกจากคุกเลย นี่ขนาดนายใหญ่ซี้กันนะ)
สรุปคือผมมองว่าเขมรเอาชาวบ้านไปเสี่ยงตาย นัยว่าเป็นโล่ประชาชน ขณะที่เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้
ฝ่ายการเมืองความรู้เรื่องทางทหารน้อย ขณะที่ฝ่ายทหารความรู้เรื่องการเมืองก็น้อย มันก็เลยเป็นการทำงานรวมกันที่คับข้องใจว่าทำไมไม่ทำอย่างนี้วะ ที่สำคัญ อำนาจตัดสินอยูที่ฝ่ายการเมือง แต่ความรับผิดชอบในการปฏิบัติการหรือความเสี่ยงไปกองอยู่ที่ตัวทหาร
เขมรก็ใช้ประเด็นนี้เล่นทางการเมืองเหมือนกัน ปลุกกระแสรักชาติให้ประชาชนเอาเวลามาเกลียดเรา แทนที่จะไปต่อต้านฮุนเซ็น
ส่วนตัวผมคิดว่าเราต้องจัดการขั้นเด็ดขาด ไม่ต้องถึงกับกระทำการเหี้ยมเกรียมฆ่าล้างบางหรืออะไร แต่ต้องแสดงความเด็ดขาดให้เห็น ไม่งั้นมันก็แหย่ๆอยู่อย่างนี้
ส่วนหนึ่งของบางคน กลัวเกิดสงคราม กลัวเศรฐกิจจะเสียหาย กลัวจะโดนประเทศอื่นประนาม " แต่ไม่กลัวจะไม่มีแผ่นดินอยู่ " ประเทศไทยอยู่ได้เพราะคนไทยเข้มแข็งสามัคคี ไม่ได้อยู่ได้เพราะ ศาลโลก ไม่ใช่เพราะ พม่า ลาว เขมร มาเลย์
ผมเชื่อว่าความจริงโลกไม่ได้สวยงานมากมายนักครับ
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นครับ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีและอธิปไตยของประเทศครับ
ผมไม่ทราบว่าเราได้ดุลการค้าจากเขมรเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ แต่ถึงกับต้องแลกด้วยอธิปไตยของชาติ ที่บรรพบุรุษของเราได้เคยรักษาสิทธิ์พื้นที่รอบตัวปราสาทเอาไว้ แต่วันนี้เราต้องยอมๆมันไปเหรอครับ
ขออภัยหากพาดพิงนะครับ แต่ได้ยินคำนี้แล้วผมรู้สึกหดหู่มากครับ
ท่าน Woot1980 ท่านจะลองพิจารณาคำปรามาศของท่านในย่อหน้าที่ 2 3 และ 4 ใหม่อีกสักครั้งมั๊ยครับ ?
ผมว่าท่านไม่ใด้เพียงแค่แสดงความคิดเห็นนะครับ แต่ท่านตั้งตนว่าเป็นผู้รู้มากกว่าผู้ร่วมสนทนา (ท่านรู้จริงหรือเปล่าเดี๋ยวมาพิสูจน์กัน)
ผมรอฟังคำตอบอยู่นะครับ
ผมขอถอดคำถามข้างบนออกครับเนื่องจากกระทู้ก่อนหน้านี้ของท่าน Woot1980 ใด้ถูกลบไปแล้ว (ไม่ทราบว่าใครลบ) พย 15/2013
ผมก็กะแล้ว ว่ามันจะมีหลายมุมมองแน่ๆเรื่องนี้ บางคนก็ว่าเงินเรื่องใหญ่ที่ดินเรื่องเล็ก บางคนก็ความความสัมพันธ์เรื่องใหญ่เขาเกลียดเราแล้วเราทนไม่ได้ บางคนก็ว่าที่ดินเป็นมรดกและต้นทุนการเสียสละของบรรพบุรุษ
ถ้าเป็นเมื่อสัก สามสิบปีก่อน ประชาชนคนไทยคงมีความเห็นเป็นไปในทางเดียวกันมากกว่านี้
เพื่อนบ้านยังไงก็เป็นคนชาติอื่นครับ. เขาก็ต้องปกป้องผลประโยชน์ของชาติเขาอย่างเต็มที่เหมือนกับที่ชาติเราควรจะทำหรือกำลังทำอยู่ในตอนนี้
เรื่องราวคราวนี้ก็ไม่ใช่เกิดจากการโวยวายของเพื่อนบ้านเหรอครับ ทหารไทย ชาวบ้านชายแดนที่ตายในช่วงก่อนหน้านี้จากการโวยของเพื่อนบ้าน แล้วเรายังต้องไปเกรงใจเขาอีกว่าเขาจะเกลียดประเทศเราถ้าเราไม่ยอมรอมชอม
เปรียบเทียบกับด้านอื่น ชายแดนด้านพม่านั้น เขาก็เอาคนมาอยู่บนเกาะทรายกลางลำน้ำเมยเหมือนกัน ทำเป็นกระท่อมครัวเรือนอยู่อาศัยด้วย แถมยังเอาไม้ไผ่มาทำหลักรอปักให้กระแสน้ำมันเซาะกินตลิ่งฝั่งไทย ทหารไทยก็เคลียร์เงียบๆได้ก็ไม่เคยออกทีวีหรือถึงศาลโลกเหมือนเพื่อนบ้านฝั่งนี้
คนที่เอะอะก็อ้างการค้าบังหน้า. จริงๆแล้วชายแดนทุกด้านของประเทศมีผลประโยชน์แอบแฝงทั้งนั้น มันเกิดจากความไม่เท่าเทียมกันของสองประเทศ การเคลียร์วัดและชุมชนชาวต่างชาติ ในพื้นที่ที่เราอ้างเขตแดนและอธิปไตยไม่ได้แม้ว่ามีเรื่องออกมาหลายครั้ง ผมมองว่ามันก็สะท้อนอะไรบ้างอย่างเหมือนกัน
บางทีก็แอบคิดว่าเสียดาย ไม่น่าจะปล่อยให้มาตั้งศูนย์อพยพเลย สำหรับเพื่อนบ้านที่ไม่รู้จักความเกรงใจและมีน้ำใจ ปล่อยให้เขาวุ่นวายกันอยู่ในบ้านเขาก็คงดี
การดำเนินการก็ควรไม่แข็งและอ่อนเกินไป ถ้าอ่อนเกินไปเขาก็มาสร้างชุมชน สร้างวัดได้ ต่อเวลานานไปถ้าเราไม่ทำอะไร 10 ปี 20 ปีข้างหน้า ทั้งชุมชน ทั้งวัด ที่อยู่อาศัยก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ทำอะไร เราห่วงแต่เรื่องอื่นมากกว่า แต่ไม่ห่วงเรื่องอธิปไตย พื้นที่ตรงนั้นก็จะเป็นของเขาไปโดยปริยาย โดยอาศัยระยะเวลา
ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว จะ แบ่ง แยก มิได้ ตามนั้น