กลุ่มกบฏยอมรับผิดแล้วกรณีการใช้อาวุธเคมี
กลุ่มติดอาวุธในซีเรียสารภาพกับนักข่าว AP แล้วว่าพวกเขาจัดการผิดพลาดกับอาวุธเคมีที่ซาอุดี ส่งมาให้ จนเกิดเป็นอุบัติเหตุ
โดย Paul Joseph Watson
เผยแพร่ใน Infowars.com วันที่ 30 สิงหาคม 2556
กลุ่มกบฏซีเรียที่อยู่ในเขตฆูเฏาะฮ์ ชานเมืองดามัสกัส ให้การยอมรับสารภาพกับผู้สื่อข่าวที่ชื่อ Dale Gavlak แล้วว่า พวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบในเหตุการณ์การใช้อาวุธเคมีที่สื่อตะวันตกเอาไปใช้ประณามกองกำลังทหารของบัชชาร อัลอะซัด พร้อมทั้งเปิดเผยว่าการบาดเจ็บล้มตายของผู้คนจำนวนมากในเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นผลมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการจัดการผิดพลาดกับอาวุธเคมีเหล่านั้นที่ทางซาอุดีอาระเบียส่งมาสนับสนุนพวกตน
“จากการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นคณะแพทย์ ประชาชนผู้อาศัยในเขตฆูเฏาะฮ์ ตลอดจนนักรบในกลุ่มกบฏและครอบครัวเองของพวกเขา... หลายคนเชื่อว่ากลุ่มกบฏบางคนได้รับอาวุธเคมีมาจากเจ้าชายบันดาร์ บินซุลตาน หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของซาอุดี และพวกเขาเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการโจมตีด้วยอาวุธแก๊ส (ที่คร่าชีวิตผู้คน)” Gavlak รายงาน
กลุ่มกบฏบอกแก่ Gavlak ว่า พวกเขาไม่ได้รับฝึกอบรมมาในด้านการใช้อาวุธเคมี หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร พวกเขาคิดว่าอาวุธเหล่านี้ถูกขนส่งมาตั้งแต่ตอนแรกให้แก่ญับฮะฮ์ อัลนุศเราะฮ์ ซึ่งเป็นสาขาย่อยของอัลกออิดะฮ์
“พวกเราเองก็อยากรู้เกี่ยวกับอาวุธพวกนี้เหมือนกัน แต่โชคร้ายตรงที่นักต่อสู้บางคนจัดการกับอาวุธพวกนี้ไม่ถูกต้อง เลยทำให้เกิดการระเบิดขึ้นมา”นักรบติดอาวุธ ชื่อย่อ J บอกแก่ Gavlak
คำบอกเล่านี้ได้รับการยืนยันจากการให้สัมภาษณ์ของนักรบหญิงอีกคนหนึ่ง ชื่อย่อ K ซึ่งได้เล่าให้ Gavlak ฟังว่า “พวกเขาไม่ได้บอกเราว่าอาวุธเหล่านี้คืออะไร และจะต้องใช้อย่างไร เราไม่รู้เลยว่ามันคืออาวุธเคมี เราไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นอาวุธเคมี”
อะบูอับดิลมุนอิม พ่อของนักรบในกลุ่มกบฏคนหนึ่ง ได้บอกกับ Gavlak ว่า “ลูกชายของผมมาหาเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ถามถึงสิ่งที่ผมเข้าใจว่าเป็นอาวุธที่พวกเขาถูกสั่งให้ขนย้าย” เขาบรรยายภาพอาวุธพวกนั้นว่า “มีลักษณะเป็นแท่งๆ” บางส่วนก็ “คล้ายกับขวดแก๊สขนาดมหึมา” ชายคนดังกล่าวเอ่ยชื่อของนักรบชาวซาอุดีที่ส่งมอบอาวุธนี้มาให้ว่าเขาชื่อ อะบูอาอิชะฮ์
ตามข่าวที่ได้รับจาก [อะบู] อับดุลมุนอิม อาวุธเหล่านั้นเกิดการระเบิดขึ้นในอุโมงค์ ทำให้มีนักรบฝ่ายต่อต้านเสียชีวิตไปถึง 12 คน
“นักรบมากกว่า 12 คน ที่ถูกสัมภาษณ์ได้ให้ข่าวกับเราว่า พวกเขาได้รับเงินเดือนจากรัฐบาลซาอุดี” Gavlak เขียนไว้ในรายงานข่าวของเขา
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เรื่องนี้จะเป็นการทำลายแผนการของอเมริกาในการเข้าโจมตีซีเรียที่สร้างขึ้นมาบนข้อกล่าวอ้าง “ที่ไม่อาจปฏิเสธได้” ว่า อัลอะซัดอยู่เบื้องหลังการสังหารผู้คนด้วยอาวุธเคมี
ความน่าเชื่อถือของ Dale Gavlak เป็นสิ่งที่เราต้องทึ่งเลยทีเดียว เขาเป็นผู้สื่อข่าวตะวันออกกลางที่ทำงานให้แก่ Associated Press มาแล้วนับสองทศวรรษ ทำงานให้แก่ National Public Radio (NPR) แล้วยังเขียนบทความลงตีพิมพ์ใน BBC News อีกด้วย
เว็บไซต์ที่เผยแพร่เรื่องนี้เป็นครั้งแรก คือ Mint Press (ซึ่งขณะนี้เกิดความขัดข้อง อันเนื่องจากมีการเปิดเข้าไปอ่านบทความดังกล่าวในปริมาณมหาศาล) เป็นองค์กรสื่อที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย มีสำนักงานประจำอยู่ที่รัฐมิเนโซตา สหรัฐอเมริกา และเมื่อปีกลาย หนังสือพิมพ์มิเนโซตาโพสต์ก็ได้ตีพิมพ์ประวัติความเป็นมาและผลงานของสำนักข่าวดังกล่าวเอาไว้
บทบาทของซาอุดีอาระเบียในการสนับสนุนอาวุธเคมีให้แก่กลุ่มกบฏไม่ใช่เรื่องใหม่ที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะมีกระแสข่าวเล็ดลอดออกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ซาอุดีได้แสดงท่าทีข่มขู่รัสเซียว่าอาจจะมีเหตุก่อการร้ายในงานโอลิมปิกฤดูหนาวที่จะจัดขึ้นในเมืองโซชชิ ปีหน้านี้ ถ้าหากว่ารัสเซียไม่ถอนตัวจากการสนับสนุนประธานาธิบดีซีเรีย
“ผมรับประกันกับคุณได้ว่าจะปกป้องงานโอลิมปิกฤดูหนาวปีหน้าไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น (เพราะ) กลุ่มกบฏเชเชนที่ถือเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยของงานมหกรรมกีฬาดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา” รายงานข่าวหลายชิ้นของหนังสือพิมพ์ Telegraph ระบุคำพูดของเจ้าชายบันดาร์ บินซุลตาน ซึ่งกล่าวกับวะลาดิเมียร์ ปูติน
รัฐบาลของโอบามาเตรียมความพร้อมที่จะแสดงผลการสืบข่าวในทางลับที่ได้จากหน่วยข่าวกรองของตน เพื่อนำมาพิสูจน์ให้เห็นว่ากองกำลังของอัลอะซัดอยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วยอาวุธเคมีเมื่อสัปดาห์ก่อน แม้ว่าเจ้าหน้าที่อเมริกาเองจะออกมายอมรับกับนิวยอร์กไทมส์แล้วว่า เรื่องดังกล่าว ไม่มี “เบาะแส” ใดๆ ที่สามารถเชื่อมโยงประธานาธิบดีอัลอะซัดกับเหตุการณ์โจมตีที่เกิดขึ้นได้เลย
เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาได้บอกกับ Associated Press ว่า กระแสข่าวเกี่ยวกับความผิดของอัลอะซัดที่สืบได้ไม่มีเรื่องใดที่จะเป็น “จุดตาย” ให้เขาดิ้นไม่หลุดได้เลย
ดังที่เราได้รายงานมาก่อนหน้านี้แล้วเมื่อต้นสัปดาห์ว่า หน่วยสืบข่าวลับได้เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเพียงไม่กี่ชั่วโมง กระทรวงกลาโหมของซีเรียได้โทรศัพท์ไปยังกรมอาวุธเคมีหลายต่อหลายครั้งด้วยความตื่นตระหนก เพื่อคาดคั้นเอาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องอาวุธเคมี ซึ่งเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการสั่งการของกองทัพอัลอะซัดแต่อย่างใด
อัพเดท : Associated Press ได้ติดต่อมายังเราเพื่อยืนยันว่า Dave Gavlak เป็นผู้สื่อข่าว AP อย่างแน่นอน แต่ทว่ารายงานของเขาเรื่องนี้ไม่ได้ถูกตีพิมพ์ภายใต้ชื่อของสำนักข่าวดังกล่าว จึงขอชี้แจงในที่นี้ว่า ทางเราไม่ได้กล่าวอ้างว่าข่าวนี้รายงานโดย Associated Press เพียงแต่กล่าวถึง Associated Press ในฐานะต้นสังกัด เพื่อชี้ให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของ Dave Gavlak ที่นอกจากจะเป็นผู้สื่อข่าว AP แล้วยังเขียนข่าวป้อนให้แก่ PBS, BBC และ Salon.com
*********************
Paul Joseph Watson เป็นบรรณาธิการและนักเขียนของ Infowars.com and Prison Planet.com.
เขาเขียนหนังสือชื่อว่า Order Out Of Chaos นอกจากนี้ Watson ยังเป็นผู้จัดรายการ Infowars Nightly News อีกด้วย
*********************
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sahibzaman.com/index.php?view=article&catid=1%3Anews-update&id=1984%3A2013-08-31-15-25-09&option=com_content&Itemid=55
ลิงค์ต้นฉบับ (ภาษาอังกฤษ) http://www.infowars.com/rebels-admit-responsibility-for-chemical-weapons-attack/
ตอนนี้ก็ตีเนียนส่งเรื่องให้สภาลงมติแล้วครับ
ไม่ใช้อำนาจปนธ.สั่งลง
เล่ห์เหลี่ยมการเมือง ณ ตอนนี้เราไม่รู้หรอกใครใช้อาวุธเคมี แต่.....
ถ้าผมเป็นรัฐบาลซีเรียผมไม่ใช้หรอก เพราะแค่อาวุธที่มีก็ปราบกบฏได้ ถ้าหากไปใช้อาวุธเคมีจะเป็นช่องทางให้ตะวันตกแทรกแซง
ในความคิดผมมองว่า ฝ่ายกบฏใช้ใส่พวกเดียวกันเพื่อใส่ร้ายฝั่งตรงข้าม ทำให้พวกตัวเองได้รับความเห็นใจจากโลกและเปิดช่องให้มหาอำนาจอย่างอเมริกา มีข้ออ้างในการใช้กำลังทางทหาร
ปล.มองด้วยตาเราอาจเห็นแค่รัฐบาลกะกบฏสู้กัน แต่มองด้วยความคิดผมเห็นรัสเซียกะอเมริกาสู้กันเพราะต้องการขยายอิทธิพลทางทหาร เหมือนสงครามเกาหลี
1 ระเบิดเกิดระเบิดขึ้นมาแล้วทำไมคนให้สัมภาษณ์มันไม่ตาย ??
2 เดือนหน้า12เดนนรกมันจะได้เงินเดือนจากซาอุอีกไหมเอ่ย ??
3 สงสารอเมริกาแท้ เรือรบฝรั่งเศสตีคู่กันไปเห็นๆ งานที่แล้วก็ปล่อยให้ราฟาลเป็นพระเอกจนอินเดียซื้อไปร้อยกว่าเครื่องแล้วนะ
เห็นเหมือนกับท่าน superboy
อย่าลืมว่า รัฐบาลอัสซาดเป็นผู้คุมอำนาจรัฐ ดังนั้น ข่าวที่ออกมาจากปากของฝ่ายรัฐบาลเชื่อได้แค่ใหน
ขนาดเฟสบุ๊คของ FSA ยังโดนปิดไปแล้ว นับประสาอะไรกะการปล่อยข่าวแค่นี้
ผมเริ่มมองเห็นเงาหัวของอัสซาดลางๆแล้ว ว่าจะต้องจบลงแบบเดียวกับ กัดดาฟี คือ โดนชาวบ้านรุมกระทืบตาย
ข่าวที่ว่ากบฎ มีอาวุธเคมีน่าเชื่อถือแค่ไหนครับ สื่อหลังๆไม่ว่าจะเป็น โbbc cnnไม่ได้ลงเรื่องนี้เลย และ หากข่าวข้างต้นเป็นจริงแปลว่า ซาอุดิอาระเบีย มีอาวุธ เคมีอยู่ในครอบครอง????โ งานนี้คงต้องรอ UN สรุป
ส่วนอเมริกา ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจในการสั่งใช้กำลังหรือ ประกาศสงครามกับต่างชาติ อำนาจดังกล่าวเป็นอำนาจของสภา แต่กฎหมายอเมรืกัน เปิดช่องให้ ปธน ในฐานะ ผู้บัญชาการสูงสุด หรือ จอมทัพ ของกองทัพ สั่งเคลื่อนกำลังได้เท่านั้นเอง ซึ่งที่ผ่านมา ปธน มักอาสัยช่องนี้สั่งโจมตี แต่คราวนี้หาก โจมตีไปแล้ว un สรุปว่า รบ ซีเรียไม่ได้ทำ งานนี้ปธน คงซวย นอกจากนี้ ประชาชนไม่สนับสนุนให้ส่งกำลังเข้าไปในซีเรีย ปัญหาคือ หากยิงจรวดถล่มซีเรีย แล้วจะได้อะไร??? ยิงทำลายคลังอาวุธเคมีก็ไม่ได้ ถล่มหนักก็ไม่ได้หาก รัฐบาลซีเรียแพ้ แล้วอาวุธเคมีทั้งหลายจะไม่ไปตกอยู่ในมือกบฎ ซึ่งมี อัลกออิดะหนุ่นหลังหรือ เพราะหากไม่ส่งทหารเข้าไป ก็ไม่มีประโยชน์
Conspiracy Theory ทั้งนั้น
คือผมได้ลิงค์มาแล้วเห็นว่ามันค่อนข้างน่าเชื่อถืออยู่ครับเลยนำมาโพส แต่ก็อย่างที่หลายๆท่านบอกนั่นแหละครับ เรื่องแบบนี้ยังไม่มีใครรู้ต้องรอ UN สรุปก่อนเพื่อความแน่ใจ
@คุณ superboy ผมว่าคุณตีความผิดเล็กน้อยนะ เพราะ "มากกว่า 12 คน"ที่ถูกสัมภาษณ์และ "12 คนที่ตาย" มันคนละคนกันนะ และที่มันบังเอิญเป็น 12 พอดีเพราะในลิงค์ต้นฉบับ (http://www.infowars.com/rebels-admit-responsibility-for-chemical-weapons-attack/) มันเขียนไว้ว่า
According to Abdel-Moneim, the weapons exploded inside a tunnel, killing 12 rebels.
“More than a dozen rebels interviewed reported that their salaries came from the Saudi government,” writes Gavlak.
คือ dozen มันคือ โหล ซึ่งจริงๆผู้เขียนคงจะหมายความว่าประมาณจำนวนหนึ่ง แต่คนไทยที่นำมาแปลตีความให้มันเป็น 12 ไปเลย ข้อความที่ออกมาเลยดูงงๆเล็กน้อยครับ
ผมคิดแบบเดียวกับคุณkakachiนะ
ถ้าผมเป็นรัฐบาลผมไม่ทึ่มขนาดใช้อาวุธเคมีหรืออะไรก็ตามที่จะเปิดช่องให้อเมริกาเข้ามายุ่งเต็มตัวหรอก ไม่มีประโยชน์อะไรกับฝ่ายตนเองเลยมีแต่เสียกับเสีย(แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์เต็มๆชัดๆที่สุดคือฝ่ายFSA) สู้ทำสงครามแบบนี้ไปยังมีโอกาสชนะมากกว่า
ดังนั้นผมไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะเป็นฝ่ายใช้
ปัญหาจริงคือ ค่ายตะวันตก ต้องการโค่น รัฐบาลที่ไม่ใช่มิตรกับตน...ก็แค่นั้น (เป็นแบบนี้มานับร้อยปีแล้ว)
เรื่องความถูกต้อง ปกป้องชีวิตผู้บริสุทธ์ หรือ สิทธิมนุษยชน ล้วนเป็นข้ออ้างทั้้งแพ
อย่าง อิหร่าน เป็น ปชต ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่สหรัฐก็ไม่ปลื้ม
ตรงกันข้าม ซาอุ..ไม่เป็น ปช่ต เลย กลับเป็นมิตรแท้ของสหรัฐ..
................
ในอดีต พวกชาวผิวขาว พวกชาติตะวันตกไม่ใช่หรือ ที่ไล่ยึดประเทศอื่นเป็นเมืองขึ้นทั่วโลก ฆ่าคนไปแล้วเท่าไหร่
ตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่ยอมละทิ้งนิสัยเอาเปรียบชนชาติอื่น เพื่อผลประโยชน์ของชาติผิวขาว พวกมันเองยังรวมตัวกันข่มแหงชาติอื่นทั่วโลก
ว่าแล้ว....มือที่สามก็คือ ซาอุฯนี่เอง (เป็นชาติมุสลิมที่ใกล้ชิดกับอเมริกามากที่สุด)......ออกโรงเล่นเองเลยงานนี้ สงสัยได้เห็นแขกมุสลิม รบกันเองแน่ๆ เพราะเชื่อเถอะว่า เมื่อชาติตะวันตกอย่างสหรัฐเสียหน้าแล้วงานนี้ ผู้ที่ทำงานพลาด(ซาอุฯ)คงต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบโดยการออกโรงเล่นเองอย่างเต็มตัว คือส่งทั้งอาวุธและนักรบแฝงตัวเข้าไปในซีเรียเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน โดยมี CIA คอยให้การสนับสนุนทางด้านเทคนิค
นี้ถ้ารัสเซียยังไม่เลิกหนุนหลัง อัล อัซสาดอีก สงสัยคงจะได้เห็นสงครามกองโจรกองกำลังฝ่ายกบฎแคว้นเชชเนียกับทหารรัสเซียอีกแน่ๆ เพราะถ้ารัสเซียยังไม่เลิกยุ่ง ซาอุฯคงจะส่งเงินให้การช่วยเหลือกลุ่มต่างๆที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนในประเทศรัสเซีย
.
.
ผมอ่านข่าวนี้ แล้ว รู้สึกขัดแย้งในรายละเอียดยังไง บอกไม่ถูกครับ
ผมไม่รู้จักแก๊ส "ซาริน" แต่เข้าใจว่า มันจะต้องเตรียมมาแบบสำเร็จรูป บรรจุมาในถังขนาดใหญ่หลายถัง
คงไม่ได้ใช้ทำให้เกิดเป็นปฏิกริยาเคมีในพื้นที่ใช้งานแน่ (เพราะช้าและไม่ทันกิน)
ผมเคยเห็นแก๊ส "คลอรีน" ในโรงงานผลิต ในเมืองไทย ที่โรงงานแยกน้ำเกลือด้วยไฟฟ้า (กลุ่มอุตสาหกรรม Alkalite)
ซึ่งการผลิตทำได้ช้ามาก จึงต้องผลิตใส่ถังสะสมไว้ก่อน หากจะผลิตเอาไปใช้กลางแจ้งแบบนั้น
คงต้องใช้เวลาผลิตเป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือน ครึ่งเดือน จึงเพียงพอใช้งาน (ยกเว้นใช้ในพื้นที่แคบ)
ทั้งที่เป็นโรงานขนาดใหญ่ ขนาดถังบรรจุที่เค้าใช้ส่งให้ลูกค้า ก็มีขนาดถังเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 80 cm
ยางไม่น้อยกว่า 3 เมตรแล้ว (กะด้วยสายตา) ก๊าซ "ซาริน" คงต้องใช้ถ้งขนาดนี้ไม่ต่ำกว่า 10 ถังแน่นอน
ต้องใช้รถบรรทุกไม่ต่ำกว่า 5 คันนะครับ
ถ้าหากก๊าซ "ซาริน" เป็นก๊าซที่ทำปฏิริยาได้รวดเร็วแบบแก๊สน้ำตา ก็จะต้องใช้เป็นร้อยลูก หรือหลายร้อยลูกเลย ครับ
สำหรับการใช้งานในพื้นที่เปิดโล่ง..แล้วทำให้คนตายมากมายขนาดนั้น .(ผมคิดเอาเองนะ ครับ)
แล้วก๊าซพวกนี้จะต้องเป็นก๊าซที่หนักว่าอากาศแน่นอน คนที่อยู่ในอาคาร ชั้น 3 หรือชั้น 4 ต้องมีโอกาสรอดบ้าง
และพวกที่มีโอกาสรอด น่าจะบอกเล่าเหตุการที่เกิดขึ้นได้..นะครับ (แต่เกิดเหตุเวลากลางคืน คงลำบากหน่อย)
ดูจากคุณสมบัติคล่าวๆ ของก๊าซ "ซาริน" ครับ (จากเวบโพร์สจัง)
เป็นของเหลว ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เป็นพินร้ายแรงกว่า "ไซยาไน" 500 เท่า ระเหยได้เร็ว โดยไม่ต้องผสมอะไร
แบบนี้ผมว่ามันต้องผลิตมากจากโรงงานแบบสำเร็จรูป มาเป็นถังขนาดใหญ่ๆ แล้วละครับ
ส่วนตัวผมว่าเรื่องนี้มันยังสรุปอะไรไม่ได้จากทั้งสองฝ่าย ว่าใครเป็นคนทำกันแน่ ระหว่าง รบ. กับ กบฏ ก็วิเคราะห์กันไปรอ ยูเอ็น ล่ะกันครับ แต่ว่าผล ผมว่าสามารถชี้นำกันได้
แต่หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับรัสเซีย ชาติตะวันตกต่างๆ คงไม่มีใครกล้ายุ่ง หรือ กล้าแทรกแซง เหมือนกรณี เชชเนีย กับ จอร์เจีย
คนซีเรีย ผมว่าน่าสงสารครับ เด็กๆ น่ารักทั้งนั้นเลย ถ้าอเมริกาโจมตีจริง คนที่น่าสงสาร คือ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ครับ กลัว รบ.ซีเรียจะเอามาเป็นโลห์มนุษย์ ทางเดียวที่ไม่ต้องสูญเสียไปมากกว่านี้ครับ ให้รัสเซีย จีน อิหร่าน ช่วยกันบีบผู้นำซีเรียให้เปิดเจรจาปรองดองกับฝ่ายกบฏจะดีกว่า แม้ว่า รบ.จะเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ตาม ยังไงก็คนชาติเดียวกัน
หากเรื่องนี้ เกิดขึ้นกับประเทศไทย ผมก็คงไม่อยากให้ต่างชาติเข้ามายุ่งวุ่นวายมากนัก
รัสเซียส่งรายงาน 100 หน้าถึงสหประชาชาติ ระบุฝ่ายต้านซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือน
เว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศรัสเซีย โพสต์ข้อความระบุว่ารัสเซียได้มอบรายงาน 100 หน้าให้สหประชาชาติ(UN) เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ระบุว่า กองกำลังฝ่ายต่อต้านใช้แก๊สพิษซารินโจมตีชานเมืองอาเล็ปโป้ของซีเรีย เมื่อเดือนมีนาคม ไม่ใช่กองกำลังของประธานาธิบดี บาชาร์ อัลอัสซ้าด โดยในรายงานยังมีรายละเอียดการวิเคราะห์ตัวอย่าง ที่ผู้เชี่ยวชาญรัสเซียเก็บมาได้จากพื้นที่ที่ถูกโจมตี คือ ข่าน อัล อาซัล ทางตอนเหนือของซีเรีย ที่มีผู้เสียชีวิต 26 คน
ฟาร์ฮัน ฮัค โฆษกสหประชาชาติ ยืนยันว่า รัสเซียเสนอรายงานให้สหประชาชาติ เมื่อเดือนกรกฎาคมจริง แต่ไม่มีการเผยแพร่ แต่จากการเปิดเผยล่าสุดในเว็บไซต์ ได้แสดงการเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่รัสเซียระบุว่า เป็นรายละเอียดทางวิทยาศาสตร์กับผลการสรุปข่าวกรองที่ยาวกว่าของสหรัฐ อังกฤษและฝรั่งเศส ที่ออกมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการประเมินผลว่า รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีโจมตีชานกรุงดามัสกัส เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม
รายงานของฝรั่งเศสที่มีอยู่ 9 หน้า ซึ่งยาวที่สุดใน 3 ประเทศ ได้อาศัยหลักฐานทางสภาพแวดล้อม และไม่สอดคล้องกับรายละเอียดบางอย่าง ที่รวมทั้งตัวเลขผู้เสียชีวิต
รัสเซียเตือนสหรัฐและพันธมิตร ไม่ให้ใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรีย จนกว่าสหประชาชาติจะเสร็จสิ้นการศึกษารายละเอียดทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมเสียก่อน และยังระบุด้วยว่า ความต้องการที่จะใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรียของตะวันตกในตอนนี้ ไม่ต่างจากการใช้ข้ออ้างผิด ๆ และข่าวกรองที่ไร้ประสิทธิภาพที่นำไปสู่การที่สหรัฐนำกองทัพนานาชาติบุกอิรัก เมื่อปี 2546
ทำเนียบขาว ระบุว่า รายงานของรัสเซียไม่ช่วยให้สหรัฐเปลี่ยนใจ และยืนยันว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีอัสซ้าด เป็นผู้รับผิดชอบการใช้แก๊สพิษโจมตีที่ข่าน อัล อาซัล เมื่อเดือนมีนาคมและที่ชานกรุงดามัสกัส เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม
ในรายงานของรัสเซีย ระบุว่า กระสุนที่ใช้ในการยิงอาวุธเคมี ไม่เหมือนกระสุนที่ใช้ในกองทัพซีเรีย แต่กลับเหมือนของที่ผลิตกันในพื้นที่ตอนเหนือของซีเรีย นอกจากนี้ ตัวอย่างกระสุนและดินที่เก็บได้ ยังปนเปื้อนแก๊สซารินด้วย และที่น่าสังเกตคือ ส่วนผสมไม่ใช้เวอร์ชั่นที่้ใช้ในการผลิตแก๊สพิษที่ใช้ในยุคนี้ แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ชาติตะวันตกใช้ผลิตอาวุธเคมีสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2