นายกฯ ชี้นั่งควบกลาโหม เหตุจะได้ทำงานเป็นเอกภาพ วอนสื่ออย่าตีไข่ครม.ใหม่ ขัดแย้ง แจงเฉลิม ไม่เข้าร่วมประชุมเพราะลากิจไปตรวจสุขภาพประจำปี
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาเปิดเผยถึงสาเหตุที่ตนเข้านั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปพร้อมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นเพราะต้องการให้เกิดเอกภาพในการทำงาน ระหว่างกองทัพกับรัฐบาล โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ รวมถึงเพื่อให้เกิดความรับรู้ และความต้องการของกองทัพ
นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้กล่าวถึงกระแสข่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เตรียมจะลาออกจากคณะรัฐมนตรี หลังไม่พอใจที่ถูกโยกย้ายจากรองนายกฯ ไปดูแลกระทรวงแรงงาน ว่า ที่จริงไม่ได้มีปญหาอะไร ยังพูดคุยกันปกติ แต่การที่ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่เข้าร่วมประชุม ครม. นั้นเป็นเพราะได้ลากิจไปตรวจสุขภาพประจำปี ที่ได้แจ้งล่วงหน้าไปก่อนหน้านี้
พร้อมกันนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้ขอร้องสื่อให้เห็นใจรัฐบาล และวอนขออย่านำเสนอเกี่ยวกับความขัดแย้งของครม.ชุดใหม่ด้วย
http://news.mthai.com/headline-news/251478.html
ง่ายต่อการเสนอและการตัดสินใจ
ในความคิดของผมและจากที่ได้ยินมางานนี้เป็นเกมส์การโยกย้ายตำแหน่งกันในกองทัพ แล้วคนที่ได้ประโยชน์งานนี้คือ ทร. น่ะครับ คือว่างานนี้ ทร.อยากได้อะไรก็คงได้ เพราะสถานะตอนนี้เสมอกัน 3-3 จาก 7 เสียง ดังนั้นเสียงของ ทร. จึงสำคัญที่สุดครับ งานนี้ ทร. อาจจะได้ประโยชน์จากเกมส์นี้ที่สุดถ้า ทร. เล่นเกมส์เป็น ไม่มีไรมากอ่านแล้วก็ผ่านไปน่ะครับ
ปล.ความคิดของผมคนเดียวน่ะครับ อิอิอิ อย่าคิดมาก
เห็นด้วยเพราะเวลาอยากได้อะไรจะได้ง่ายๆหน่อยเสนอไปแปปๆสรุปเลยได้หรือไม่ได้
" งดการเมือง " นะครับ
ผมว่าง่ายต่อการรับรู้ข่าวสาร ขึ้นตรงกับรัฐบาลและรับทราบปัญหาต่างๆของทุกๆเหล่าทัพ
ก็ไม่เห็นจะแปลกในอดีตก็เห็นควบกันมาหลายคนแล้ว ก็ดีเหมือนกันเพราะเท่าที่รู้มา คนในรัฐบาลที่กำกับดูแลงานแก้ปัญหาไฟใต้ไม่เป็นทีมเวิร์คเลยครับต่างคนต่างทำ แถมบางทีไม่รับรู้รับทราบปัญหาและเกี่ยงงานกันรับผิดชอบด้วย (คือ 2 คนที่ถูกปรับ ครม.นั้นแหละคงไม่ต้องบอกนะครับว่าใคร) การทำงานระหว่างตำรวจ ทหาร และข้าราชการพลเรือนไม่เป็นเอกภาพ งานนี้สงสัย ทบ.จะถูกมอบหมายเป็นหัวเรือใหญ่ในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะเห็นข่าวว่า ท่านผบ.ทบ ถูกเรียกไปนั่งคุยกับท่านนายกอยู่นานกว่าชั่วโมงก่อนที่โผครม.ชุดใหม่จะถูกประกาศออกมาในภายหลัง
สำหรับภาคราชการ คงมีผลกระทบกับการทำงานที่เกี่ยวกับ กห. บางเรื่อง เช่น ถ้าเป็นเรื่องที่ กห. เสนอ แต่ต้องเข้า ครม. ปกติ ก็จะต้องมีการขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณา แต่เมื่อปรากฎว่า รัฐมนตรี กห. ที่เซ็นขออนุมัติมา กับ นายกฯ ที่จะเป็นผู้พิจารณาอนุมัติในขั้นสุดท้าย เป็นคนๆ เดียวกัน หน่วยงานที่เสนอความเห็นประกอบ คงลำบากใจถ้าจะเสนอความเห็นแย้ง และคงไม่รู้จะเสนอความเห็นเรื่องอะไรดี
ก็อาจจะทำให้เรื่องต่างๆ ของ กห. ผ่านง่ายขึ้นได้จริงๆ กระมังครับ
ปกติที่เสนอไม่ค่อยผ่านเช่นเรือดำน้ำ จะเป็นสภากลาโหม ไม่อนุมัติ ไม่ใช่นายกไม่อนุมัติ(เรื่องไม่ถึง)
ผมว่าถ้ามันทำให้การอนุมัติของทร.จะมีโอกาสมากขึ้นก็คงเป็นการดี แต่ใจจริงผมอยากให้คนเป็นรมว.กลาโหมเป็นทหารครับ
การบริหารงานระดับสูง ตามธรรมชาติจริงๆผู้นำสูงสุดก็มักจะไม่มีความรู้ความชำนาญไปเสียทุกด้านอยู่แล้ว ดังนั้นผู้นำควรจะต้องหาผู้มีความรู้ความสามารถที่ชำนาญเฉพาะด้านมาทำงานให้ลุล่วงแทน กรณีที่ผู้นำเป็นบุคคลที่ไม่เคยเป็นทหารมาก่อนแล้วลงมาควบคุมงานกลาโหมเอง ไม่ว่ายุคไหนก็แสดงให้เห็นว่า มันผิดปกติ และผมเชื่อว่า นายกคงจะใช้วิธีขอคำปรึกษาจากนายทหารที่ยังรับราชการอยู่แทนมากกว่า จนกว่าจะหาคนที่มีบารมีพอและน่ายอมรับจากสังคมได้ ซึ่งตราบใด เรามีระบบการเมืองแบบนี้ จะใครเป็นรัฐบาล ก็เกิดปัญหาขาดคนทำงานจริงๆอยู่ดี เพราะคนทำงานจริงเค้าไม่เลือกฝ่าย ไม่เลือกพรรคพวก แต่จะเลือกที่จะยุติธรรม ซึ่งแน่นอนมันไม่มีทางถูกใจขั้วใดๆเลย
Gripen NG อีกซัก หก ลำ
งานนี้กองทัพเรือสมหวังเรื้อง"เรือดำน้ำ" แน่นอนคับ เรือดำน้ำของประเทศไทยได้เกิดแน่นอนคับ ดีไม่ดี อาจลามไปถึงโครงการรถถังใหม่ของนาวิกโยธิน นะคับ งานนี้กองทัพเรือยิมแก้มปริ ^_^ คับ เรือดำน้ำสมหวังแน่นอน (ถ้าต่อรองเป็น)
ต้องมีข้อสังเกตไว้เหมือนกันนะครับว่า การที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ หรือคุ้นเคยกับเรื่องนั้นๆมาก่อน อาจทำให้ท่านไม่เข้าใจเหตุผลความจำเป็นของเรื่องบางเรื่องก็ได้นะครับ เมื่อไม่เข้าใจความจำเป็น ก็เลยไม่อนุมัติเรื่องนั้นๆ ก็เป็นไปได้เหมือนกัน
ยิ่งลักษณะงานของทหารบางเรื่อง คนทั่วไปไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยเห็นภาพ ยกตัวอย่างว่าท่านจะไปบอก พลเรือนคนหนึ่งว่า ทัพเรือ ขอซื้อ รถถัง !!! รับประกันได้ว่า ท่านไม่เข้าใจแน่ๆ เมื่อไม่เข้าใจความสำคัญ จะไปบอกให้ท่านอนุมัติเงินเป็นพันๆล้าน ก็คงจะยากอยู่นะครับ
กรณีอย่างนี้ก็เป็นหน้าที่ของกองทัพที่จะต้องอธิบายให้ท่านเข้าใจหละครับ
ก็ต้องคอยดูกันต่อไปครับ อย่าเพิ่งสรุปกันเลยครับว่า จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
สำหรับผู้นำ การที่ไปทำงานหลายๆ กระทรวง เป็นการดีนะผมว่า ได้เรียนรู้+ประสบการณ์ในงานด้านนั้นๆ
บางประเทศขุนผู้นำ-ที่จะรับช่วงต่อในรุ่นต่อๆไป ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ให้ไปทำงานกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ ให้ทำงานแทบจะทุกกระทรวง เพื่อการเรียนรู้+ประสบการณ์และการตกผลึก เพราะผู้นำ จะต้องรู้ทุกเรื่องให้มากที่สุด+การเข้าใจในงานนั้นๆ
พวกเรา ก็ได้แต่เพียงจับตาดูกันต่อไปครับ