อเมริกา จะเอาหน้าไปไว้ไหน ดาหน้าโจมตี ด่า + ข่มขู่ จีนว่าล้วงความลับข้อมูลผ่านเน็ต แต่กลับถูกแฉจากคนของตัวเองว่า สหรัฐเป็นตัวการดักฟังล้วงความลับข้อมูลทั่วโลก โดยเฉพาะจีนถูกสหรับล้วงตับนาน 15 ปี ไม่ต่ำกว่า 61000 ครั้ง..
ไม่ใช่ครั้งแรก และ เรื่องนี้เท่านั้น ที่สหรัฐทำแบบนี้
ทุกครั้งที่สหรัฐอยากจะเล่นงานใคร มักสร้างเรื่อง ใส่ร้าย แล้วใช้เป็นข้ออ้างเล่นงาน
http://www.komchadluek.net/detail/20130616/161089/เอ็ดเวิร์ดสโนว์เดนเสรีชนทนไม่ไหว.html#.Ub0daNA5Pm4
หน่วยงานทางความมั่นคงของหลายประเทศ (ที่พอมีสมอง) ก็ไม่ใช้วินโดว์ครับ ใช้พวกลินุกซ์เป็นพื้นฐาน
ว่ากันว่า
พวกชิปคอมพิวเตอร์ และ ซอฟแวร์ดังๆ มีประตูหลังเปฺิดไว้สำหรับหน่วยสืบราชการลับของอเมริกา
ฉะนั้น เวลาสหรัฐต้องการล้วงข้อมูลจากเซิฟเวอร์ใด ไม่ต้องใช้วิธีแบบ แฮกเกอร์ แค่เดินเข้าไปหยิบได้เลย
ว่าแต่เขา_อิเหนาเป็นเอง (ว่าแต่คนอื่น_ตัวเองแหล่ะทำมากที่สุด)
มันต่างกันครับ เนื่องจากจีนเล่นแฮ็กเอาครับ เจาะเข้าระบบเอฟบีไอ กลาโหม ฯลฯ บริษัทผลิตยุทโธปกรณ์ ข้อมูลอาวุธไฮเท็คๆ เอฟสามห้า ฯลฯ
ส่วนจีนไม่มีอะไรให้อเมริกาขโมย นัยว่าขาดทุนย่อยยับ อเมริกาเลยมาร้องแรกแหกกระเชอ ตามประสาคนเอาแต่ใจ
จุดประสงค์หลักของการจารกรรมข้อมูลของฝ่าย CIA ก็เพื่อเฝ้าระวังและติดตามระดับความก้าวหน้าเทคโนโลยีทางทหารของจีนเท่านั้น เพื่อนำไปใช้เปรียบเทียบแล้วไปประเมิณความเป็นไปได้ในการรักษาระยะห่างด้านขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตนเองและฝ่ายจีนครับ นอกจากนั้นก็ยังเป็นการตรวจข้อมูลทางทหารของฝ่ายตนว่าถูกฝ่ายจีนจารกรรมไปมากน้อยเท่าไรแล้ว
พูดง่ายๆตามหลักยุทธพิชัยสงครามของซุนวู รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งครับ
ถึงแม้ในตอนนี้เทคโนโลยีทางทหารของฝ่ายจีนของยังห่างชั้นกับกองทัพสหรัฐอยู่มากก็ตาม แต่ฝ่ายสหรัฐก็ไม่เคยประมาทจีน
(ปล.ส่วนในกรณีของนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์แดนนั้นไม่ใช่ CIA คนแรกที่มีพฤติกรรมขายชาติหรือทรยศหักหลังองค์กรและประเทศ มันมีมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็นแล้วครับแต่มันไม่เป็นข่าวใหญ่โตเท่านั้น เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด)
ผมคิดเหมือนกับท่าน odd ครับ
พวกชิป นอร์ตบริจน์ หรือ เซาท์บริดจ์ หรือ ซีพียู อย่างยี่ห้อ อินเทล หรือ เอเอ็มดี
ผมว่ามันมีช่องโหว่ สำหรับ ให้บางหน่วยงานเข้าไปดูข้อมูลได้คล้ายๆ ช่องยูเอสบี
หรือแม้แต่ เมนบอร์ด หรือ ฮาร์ดดิสก์ มันก็มีรหัสเป็นเลขฐาน 16 แต่ละตัวไม่ซ้ำกัน
( ผมเคยอัพเฟิร์มแวร์ ของฮาร์ดดิสก์ จึงได้รู้ว่ามันมีรหัสตรงนี้ด้วย )
ดังนั้น .. พวกแฮกเกอร์ที่จะแฮกข้อมูล ส่วนมากจะเข้าทางไอพีของเครื่องคอมพิวเตอร์
ส่วน CIA ผมว่าเขาเดินเข้าไปหยิบเอาข้อมูลได้ โดยผ่านทางโค้ดของ ซีพียู หรือ ฮาร์ดดิสก์
ในกรณีของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์นั้น อเมริกาเป็นผู้คิดค้นและออกแบบ ส่วนจีนเป็นผู้ผลิตและcopy
มันก็เข้าข่ายดังสุภาษิตที่ว่า " ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ "นั้นแหละครับ
แม้แต่ทางจีนก็ใช่ว่าจะไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบสหรัฐ ก่อนหน้านี้ยังเคยมีเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของจีนท่านหนึ่งเคยออกมาโยนหินถามทางและให้คำเตือนในเรื่องของการให้ความไว้วางใจในการผูกขาดการใช้ระบบปฎิบัติการ window ของ microsoft มากจนเกินไป ทั้งระบบของกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานด้านความมั่นคงต่างๆของจีนว่า ว่าถ้าหากสมมุติว่า microsoft ให้การช่วยเหลือแก่กองทัพสหรัฐในการทำ spy ware หรือ virus computer แอบแฝงมากับเจ้า software window เพื่อเข้ามาเปิดช่องทางในการทำลายระบบ sever หรือระบบ net work online เรด้าห์และดาวเทียมในหน่วยงานกองทัพต่างๆของจีน มันจะผลกระทบร้ายแรงต่อความมั่นคงของจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รู้สึกข่าวนี่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับจีนโดนสหรัฐฯ ล้วงข้อมูลนะครับ
เรื่องที่ว่าชิพและซอฟท์แวร์ดังๆ มีประตูหลังให้หน่วยงานสหรัฐฯ ล้วงข้อมูลไป ผมว่าติ๊งต๊องครับ ในทางทฤษฎีนั้นทำได้ แต่ยากโคตระๆๆ ซึ่งคงมีคนเปิดเผยเรียบร้อยถ้าเป็นเรื่องจริง คิดดูว่าขณะหน่วยงานข่าวกรองของรัฐบาลยังมีคนในออกมาแฉ แล้วบริษัทเอกชนจะไม่มีคนแฉเลยเหรอครับ นอกจากนี้การออกแบบขิบแต่ละตัวมันไม่ใช่นั่งทำกันคนสองคน ดังนั้นเก็บความลับไม่ง่ายขนาดนั้นแน่นอน
เรื่องการมีช่องคล้ายๆ ยูเอสบีพอร์ต นั้นเป็นไปไม่ได้เลยครับ ไม่เนียนอย่างร้ายแรง
นอกจากนี้หากมีการแฝงทรานซิสเตอร์แปลกปลอมไปในซีพียูจริง ก็ไม่ได้แปลว่าสหรัฐจะไปเอาข้อมูลจากคอมฯ หรือเซิรฟเวอร์ของจีนได้สบายๆ จะเอาบุคคลไปก็อปข้อมูลแบบเดินดุ่มๆ เข้าไปในออฟฟิศก็คงไม่ใช่ หากจะเอาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ทก็อย่าลืมครับว่า อินเตอร์เน็ทของจีนมีการฟิลเตอร์ด้วยระบบที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดีไม่ดีจะโดนจีนจับได้ก่อน
เรื่องรหัสฮาร์ดแวร์ มันมีรหัสแทบทุกชิ้นสำคัญๆ ละครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงหรือการจารกรรม แต่เป็นเรื่องของการ identify ชิ้นส่วนเวลาฮาร์ดแวร์สื่อสารกัน
การแฝงโปรแกรมเราสามารถตรวจจับด้วยการจับ activity ของเครื่องคอมฯ ได้ครับ ไม่ได้ถึงกับล่องหนอะไร ด้วยความสามารถด้านการแฮ็กของพี่จีน คงไม่เหวอขนาดไม่รู้เรื่องรู้ราวแน่
ที่คุณ obeone บอกว่า snowden ทรยศหักหลังชาติ ผมว่าอันนี้มันพูดยาก ถ้ามองในแง่ว่าสหรัฐฯเป็นรัฐทหารเผด็จการ ประชาชนเป็น subject ของรัฐเฉยๆ แน่นอน อย่างนั้นเป็นการทรยศชาติแน่ แต่ถ้ามองในแง่ว่าประเทศสหรัฐฯ เป็นของประชาชนทุกคนอย่างนั้นไอ้คนทรยศ ไม่ใช่หน่วยงานข่าวกรองหรอกเหรอครับ ที่ทำการสอดส่องข้อมูลของประชาชนตัวเองและโกหกว่าเปล่า อย่างนี้เหรอครับ อย่างช่วงสงครามเย็น การที่ซีไอเอทำการ หลอกปธน. จนสหรัฐฯ แทบฉิบหาย อย่างนั้นไม่ใช่ซีไอเอทรยศชาติเหรอครับ หรือว่าชาวสหรัฐฯ ที่ประท้วงปฏิบัติการณ์ทางทหารของสหรัฐฯ ในเวียดนามเป็นคนขายขาติ?
เรื่องการกล่าวหาว่ากันไปมาว่าอีกคนแฮกระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นั้น ผมว่าที่ผ่านมาทางสหรัฐฯ ฟังดูน่าเชื่อถือกว่า แรกเลย สหรัฐเวลาออกมากล่าวหา มีการ trace ต้นตอที่มาด้วยครับ ไม่ใช่กล่าวหาลอยๆ และส่วนใหญ่ก็ออกมาเปิดเผยด้วยว่าใครหรืออะไรถูกแฮกไป ซึ่งส่วนใหญ่ที่เปิดเผยออกมาส่งผลต่อแง่ลบกับสหรัฐฯ มากกว่า เพราะทำให้ประชาชนสูญเสียความมั่นใจ ง่ายๆ เลยว่าถ้าเกิดมันไม่ได้เกิดขึ้นจะดีกว่า ส่วนจีนเวลากล่าวหาสหรัฐฯ ว่าชอบแฮกจีน จะเป็นเสมือนการสวนหลังโดนกล่าวหามากกว่าและไม่พูดเฉพาะเจาะจงลงไปว่าใครโดนแฮกอะไร
นอกจากนี้หลายครังการตีข่าวว่าสหรัฐฯ โดนแฮ็กไม่ได้มาจากรัฐบาลสหรัฐฯ แต่จะเป็นรัฐบาลมายอมรับทีหลังมากกว่า เพราะอย่างที่บอกไปว่าข่าวทำนองนี้ทำให้คนสูญเสียความมั่นใจ รวมทั้งข่าวเวลาบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐโดนแฮกด้วย
การที่ผมเขียนสาธยายให้อ่านนั้นก็แค่จะบอกว่ากรณีของนายเอ็ดเวิร์ดมันเป็นกรณีที่ไม่ใช้เรื่องแปลกอะไรคือธรรมดามากๆ(ขอย้ำอีกรอบ) แต่ที่คนก่อนหน้านี้ไม่เป็นข่าวนั้นก็อาจจะเป็นเพราะว่าถูก CIA อุ้มหรือเก็บกวาดไปแล้ว และก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราๆจะต้องไปเดือดร้อนกับเขาเลย
ส่วนการทรยศต่อองค์กรนั้นทรยศแน่นอนครับในเมื่อคุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณกำลังทำอะไร อยู่ใน CIA ถ้ารับไม่ได้ก็ควรจะถอนตัวออกมาซะตั้งแต่รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ในกรณีของนายเอ็ดเวิร์ดทำงานมาอยู่ใน CIA มาตั้งหลายปี (และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งด้วย) ผมมองว่ามันเหมือนกับแบ่งชิ้นเค็ก หรือผลประโยชน์กันไม่ลงตัวมากกว่าพอรู้ว่าภัยจะมาถึงตัวก็เลยแปรพักษร์ไปเข้ากับจีนเพื่อหาเกราะกำบังให้กับตนเอง
ส่วนเรื่องการขายชาติก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วเมื่อคุณลวมตัวเข้ามาอยู่ในวงการนี้แล้ว แล้วคิดจะแปรพักษร์ ข้อหานี้ย่อมเป็นสิ่งที่คนใน CIA รู้อยู่แก่ใจ เข้าแล้วออกยากถ้าจะออกก็ออกเสียตั้งแต่เนิ่นๆ (ดูอย่างในหนังเรื่อง THE BOURNE ทั้ง 4 ภาคซิครับ ถามว่าคดีการฆ่าคนอเมริกันของคนระดับสูงในCIAซึ่งผิดกฎหมายของสหรัฐแต่ท้ายที่สุดแล้วคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกฎบ ก็คือคนที่พยายามแฉเบื้องหน้าเบื้องหลังขององค์กร)
ไอ้เรื่องของ CIA กับเรื่องผลประโยชน์ใต้ดินมันมีมาตั้งนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบขายอาวุธในประเทศโลกที่สาม หรือเข้ามีส่วนพัวพันกับสิ่งผิดกฎหมายนอกประเทศ และอาจจะเกี่ยวโยงร่วมกับนักการเมืองและนายพลระดับสูงในสหรัฐอเมริกาเองด้วยต่างหาก
ยกตัวอย่างง่ายๆอเมริกาใช้นโยบายต่อต้านกลุ่มพ่อค้ายาเสพติดในประเทศโคลัมเบียอย่างแข็งขัน แต่ภาพที่ปรากฎในข่าวทางทีวีหลายครั้งมักจะพบเห็นกองกำลังเหล่านี้พกพาอาวุธปืน M16 หรืออาวุธอื่นของอเมริกาอยู่บ่อยๆ มันหมายความว่ายังไงกันละครับ (หาเก็บได้จากตามท้องถนนเหรอ)
ที่คุณ tongwarit บอกว่า CIA ปั่นหัวประธานาธิบดี จนเกือบชิบหายนั้นอันนั้นผมไม่เชื่อ อย่างกรณี คดีวอเตอร์เกต นิกสันต์ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในคดีเพราะเป็นหัวเรือใหญ่ มีรึ CIA คิดแผนโปรเจ็กใหญ่ๆอะไรแล้วระดับประธานาธิบดีจะไม่รู้เรื่อง อย่าลืมนะครับการจะดำเนินการอะไรมันต้องใช้เงินเป็นค่าใช้จ่าย ทุกสิ่งทุกอย่างต้องให้ประธานาธิบดีเห็นชอบและเซ็นอนุมัติ
กรณีการสอดส่องข้อมูลประชาชนของตนเองของ CIA มันก็เป็นปัญหาของคนอเมริกันเค้าอีกนั้นแหละครับ ก็ในเมื่อประชาชนชาวสหรัฐให้การสนับสนุนการใช้สงครามการต่อต้านการก่อการร้าย เค้าก็ต้องยอมรับโดยสดุดีกับผลกระทบที่จะตามมาในภายหลัง เท่าที่ทราบมาในช่วงหลังเหตุการ 11 กันยา คนอเมริกันสว่นใหญ่เห็นดีเห็นงามในการแก้แค้นเพื่อเอาคืนกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย
ส่วนกรณีสงครามเวียตนามนั้นผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับการที่กลุ่มคนออกมาประท้วงต่อต้านสงครามว่าขายชาติ แต่เท่าที่รู้มาแรกๆคนอเมริกันเองนั้นแหละที่สนับสนุนรัฐบาลตนเองให้ส่งทหารไป(ไม่ประท้วงหรือต่อต้านแถมพากันไปลงสมัครเป็นทหารด้วย เพราะช่วงนั้นเศรษฐกิจอเมริกาอยู่ในช่วงขาลง คนอเมริกาหลายล้านคนกำลังอยู่ในช่วงว่างงาน) แต่พอหลังๆมาสงครามมันไม่หมูอย่างที่คิด เริ่มมีทหารอเมริกันบาดเจ็บและล้มตายมากกว่าที่คาดคิด ก็เลยพากันออกมาประท้วงเพื่อยุติสงคราม
ส่วนเรื่องการจารกรรมข้อมูลทางคอมพิวเตอร์นั้นอันนี้ผมไม่ขอเพิ่มเติมอะไรเพราะไม่มีความรู้ลึกซึ้งอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่ที่ยกตัวอย่างในกระทู้ก่อนๆก็แค่แสดงทรรศนะในแง่มุมที่พวกระดับโปรแกรมเมอร์เก่งๆมันน่าจะสามารถทำอะไรแบบที่เราๆไม่คาดคิดได้เสมอๆละ อย่าง virus computer ในสมัย run อยู่บน dos ใหม่ๆใครจะไปคาดคิดว่าในเวลาต่อมาให้หลังจะมี virus พวกนี้เข้ามาป่วนระบบ mainflame และseverในคอมพิวเตอร์ของเรา
(ปล.ที่ผมพูดมาทั้งหมดแค่ยกตัวอย่างและเหตุผลให้ได้คิดเท่านั้นไม่ได้ปกป้องใครทั้งอเมริกาหรือจีนก็ตาม เพราะผมเป็นคนไทยที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับคู่กรณีในข่าวนี้อยู่แล้ว)
ฝากถามคุณ toeyei แล้วหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยเราตอนนี้ใช้ microsoft window หรือเจ้า ลินุกซ์ อยู่ครับ
สหรัฐไม่ใช่ล้วงข้อมูลด้านทหารเท่านั้น มันล้วงทั้งด้านทหาร เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา การฑูต เทคโนโลยี่ ฯลฯ
เช่น เซิฟเวอร์ของมหาวิทยาลัยฮ่องกง สหรัฐเข้าเยี่ยมประจำ
และ วิธีการได้มาซึ่งข้อมูลของคนอื่น..สหรัฐไม่ใช่ล้วงจากเน็ตเท่านั้น มีทั้งดาวเทียม เคเบิลใต้น้ำ เครื่องบินสอดแนม ดักฟันโทรศัพย์ จรากรรมด้วยคน(ให้คนไปแฝงตัวในบริษัทข้ามชาติต่างๆทั่วโลก ) ฯลฯ
ก่อนหน้านี้สหรัฐด่าประเทศอื่นเรื่องนี้ประจำ สร้างภาพลักษณ์ตัวเองเสมือนเป็น ตร ไซเบอร์โลก แต่หลังเรื่องนี้แดง... ชาวโลกคงรู้แล้วว่า นี่มันโจรในเครื่องแบบ ตร ชัดๆ
ถ้าเป็นเซิร์ฟเวอร์ เกือบทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ส่วนมากจะใช้ลีนุกซ์
แต่เครื่องลูกข่าย( PC ) ส่วนมากจะใช้วินโดวส์ แต่ ในระบบหน่วยงานความมั่นคงผมไม่รู้
ยิ่งถ้าเป็นหน่วยงานเอกชน การใช้วินโดวส์มันสะดวกกว่าเยอะ เพราะระบบมัลติมีเดียพร้อมกว่าเยอะ 55
ผมเดาเอาว่า ระบบของหน่วยงานความมั่นคง น่าจะมีเซิร์ฟเว่อร์เป็น 3 ระดับ
1 พวกข้อมูลที่ไม่ค่อยเป็นความลับ ทุกหน่วยงานย่อยสามารถติดต่อได้ตลอดเวลา
2 พวกข้อมูลเป็นความลับ อาจจะต้องใช้รหัสของหัวหน้างานในการเข้าถึงข้อมูล
3 พวกข้อมูลที่เป็นความลับขั้นสูงสุด พวกข้อมูลนี่น่าจะเก็บไว้ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
หรือ ศูนย์บัญชาการทหาร ข้อมูลประเภทนี้น่าจะไม่ได้เชื่อมโยงกับระบบเน็ตเวิร์ค
เวลาจะสืบค้นข้อมูล ก็ต้องเดินไปหาเอาเอง อาจจะต้องผ่านด่านหลายขั้นตอน
( แบบว่า ดูหนังแนว CIA บ่อย นึกภาพเอาน่ะ อิอิ )
"ศูนย์บัญชาการทหาร ข้อมูลประเภทนี้น่าจะไม่ได้เชื่อมโยงกับระบบเน็ตเวิร์ค เวลาจะสืบค้นข้อมูล ก็ต้องเดินไปหาเอาเอง"
อันนี้หมายถึงแฟ้มเอกสารที่เป็นกระดาษวางอยูบนชั้นตู้หรือเปล่าครับ (ฮา)