คือผมอ่านมีบางช่วงในหนังสือบอกว่้า จริงๆแล้วมีการใช้อาวุธเคมีมาทำiedในอิรักบ่อย ก็สรุปได้ว่ามีwmdแต่ถูกใช้โดยกลุ่มอัลไคด้า ซึ่งข้อมูลในหนังสือเอามาจากวิกิลีค และ ยังมีตอนที่บุกบ้านพักบินลาเดน ที่ข้อมูลขัดแย้งกับหนังสือno easy dayค่อนข้่างเยอะ หนังสือเล่มนี้เขียนโดยครูฝึกหน่วบซีล ผมเลยขอความเห็นสำหรับคนที่อ่านแล้วหน่อยว่า หนังสือมีความน่า้่เชื่อถือไหม
อาวุธเคมี ไม่จำเป็นต้องถือว่า เป็นอาวุธทำลายล้างสูงก็ได้ครับ คำนี้สหรัฐใช้เป็นคำอ้างในการบุกอิรัก และอิรักก็มีอาวุธเคมีใช้นานแล้ว ส่วนระเบิด IED ในอิรักส่วนมากเลย จะใช้หัวกระสุนปืนใหญ่ หรือกับระเบิดรถถัง ซึ่งมีอยู่มากมายมหาศาล หลังจาดซัดดัม โดยบุชล้มไป มาใช้ในการทำลายยายยนต์สหรัฐ แต่อิรัก มีหลายกลุ่ม หลายนิกาย ซึ่งปกติก็ขัดแย้งกันเองอยู่แล้ว กลายเป็นช่องให้ อัลไคด้า เข้ามาหนุนกลุ่มต่างๆ ในการสู้กับทหารสหรัฐมากกว่า เปิดศึก 2 ด้าน ทั้งในอิรัก กับ อัฟกานิสถาน ในหนังสือ no easy day ผมว่าเชื่อถือได้ แต่มันเป็นการเล่าถึงปฐิบัติการสังหาร บินลาเดน มากกว่าครับ ต้องเข้าใจว่าหลัง 9/11 สหรัฐบุกอัฟกานิสถานก่อน แล้วหาเหตุมาล้างแค้น ซัดดัมต่อ
เสริมนิดนึง ตั้งแต่สหรัฐยกกองทัพเข้าอิรักจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีการพบ หรือหลักฐานยืนยันได้เลยครับ ว่า อาวุธทำลายล้างสูง ที่ บุช ใช้เป็นข้ออ้างนั้น มันคืออะไร ??
อย่าแค่เฉพาะประเทศอิรักต้องเหมารวมไปถึงประเทศอัฟกานิสถานด้วยครับ
อาวุธเคมีทำลายล้างสูงของอเมริกามันเป็นแค่ข้ออ้างครับ
ความต้องการที่แท้จริงของสหรัฐ ก็คือ
1. ผลประโยชน์กับน้ำมันดิบจำนวนมหาศาลในผืนแผนดินของประเทศอิรัก
2. ผูกขาดการควบคุมกลไกตลาดและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกแบบต่อเนื่อง (ของกลุ่มเฮดฟัลด์ ผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองสูงสุดในสหรัฐและ OPEC)
3. สร้างขอบเขตการแผ่ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและทางทหารของประเทศจีนในภูมิภาคตะวันออกกลาง และควบคุมปริมาณน้ำมันดิบที่จะถูกส่งไปป้อนให้ภาคการขนส่งและอุตสาหกรรมในประเทศจีน (เรียกง่ายๆ คือ เตะขัดขาจีนนั้นเอง)
4. เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังทางการเมืองในประเทศอิรักและอัฟกานิสถาน
เหตุผลแค่นี้น่าจะเพียงพอแล้วที่สหรัฐอเมริกาจะหาความชอบธรรมในการลงมือส่งกองทัพเข้าไปแผ่อิทธิพลทั้งในประเทศอิรักและประเทศอัฟกานิสถาน ก่อนที่จีนจะลงมือ
ตอนนี้ก็น่าจะเหลือแต่แค่ประเทศ อิหร่านเท่านั้น ที่อเมริกายังไม่สามารถสั่งหันซ้ายหันขวาได้ และแถมยังเป็นประเทศที่ขายน้ำมันให้กับประเทศจีนมากเป็นอันดับหนึ่งอีกด้วย แต่ก็เชื่อว่าอีกไม่นานอิหร่านก็จะมีสภาพไม่แตกต่างกันกับประเทศอิรัก
(ปล.ตำรวจโลกถ้าคิดจะทำอะไรไม่มีใครหืออยู่แล้ว....พูดง่ายๆคือข้าถูกเสมอใครจะทำไม)
จะเล่นอิหร่านยากครับ รัสเซีย จีน ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องแน่ ซึ่งสหรัฐคงต้องคิดดีๆ นอกจากใช้การเมืองภายใน สร้างความวุ่นวาย แล้วสร้า้งรัฐบาลหุ่นเชิดเข้ามาแทน แล้วค่อยเข้าไปหาผลประโยชน์ แต่ถ้าจะให้ยกทัพบุกอิหร่านคงไม่หมู เหมือนอิรัก กองทัพอิหร่านเองอาวุธก็ทันสมัย
ไอ้ข้อมูลที่พวกคุณยกมาอันนี้ผมทราบดีอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีใครตอบผมเลยว่าชื่อหนังสือที่ผมยกมันมาเป็นหัวข้อเนี่ย มันเชื่อถือได้ไหม เพราะอ่านหนังสือเล่มนี้มีแต่ข้อมูลที่ผมไม่เคยเจอเลย
คุณจะไปซีเรียสอะไรกันนักกันหนากับไอ้ข้อมูล ลับ ลวง พราง พรรณนี้ ครับหนังสือพวกนี้ถูกเขียนและแต่งขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนความจริงเท่านั้นหรือไม่ก็เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นครับ
เอ้าดูอย่างเหตุการณ์ 11 กย. ก็ได้เชื่อมั้ยครับว่ามีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นชาวอเมิริกันได้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อวิภาควิจารณ์และจับผิดการทำงานขององค์กรลับต่างๆของสหรัฐอเมริกา (Against a secret organization of the U.S. government.)ออกมาวิเคราะห์และให้เหตุผลและข้อสังสัยแก่ประชาชนชาวอเมริกันในอีกแง่มุม ดังนี้
ข้อสังเกต 1) หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่มีคนของ CIA และคนในรัฐบาลสหรัฐออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อข้อบกพร่องใดๆต่อหน้าความผิดชอบของตนเองเลย
2) สื่อสารมวลชนทุกแขนงต่างพากันพุ่งเป้าไปที่กลุ่มก่อการร้าย อัลกอร์อิดะที่กบดานอยู่ในอัฟกานิสถาน โดยรัฐบาลตะลีบัน และพยายามเชื่อมโยงเครื่อข่ายแบบฟาดงวงฟาดหางให้ได้วงกว้างมากที่สุดก็คือ ซัดดัมฮุดเซน ผู้นำของอิรัก โดยยัดข้อหาว่าให้การสนับสนุนการก่อร้ายและรวมไปถึงประเทศอิหร่านด้วย (แทนที่จะโจมตีหรือเสนอข่าวเกี่ยวกับข้อบกพร่องและหาผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศตนเอง)
3) สื่อมวลชนทั้ง New York Time, CNN, ABC, Twenty, Wall Street journals สื่อค่ายหลักๆเหล่านี้มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นชาวยิวทั้งหมด (เหมือนกับรู้เห็นและร่วมมือกันกับรัฐบาลสหรัฐมาอยู่ก่อนแล้ว)
โอสะมะ บินลาเดน เคยถูกส่งไปฝึกงานการจารชนและการจารกรรม ในหน่วยงานCIA ในปี 1981
(**** คุณเชื่อหรือว่าพวกมันเป็นศัตรูกันจริงๆ????**** )
การตั้งข้อสังเกตและให้แง่คิดของกลุ่มคนดังกล่าว 1) หลังจากช่วงสิ้นสุดยุคสงครามเย็นระหว่าง อดีตสหภาพโซเวียตกับตะวันตก ทำไมตอนนั้นรัฐบาล ประธานาธิบดี จอร์จบุช (ผู้พ่อของจอร์จ ดับเบิ่ลยู บุช) 1988-1992 เคยให้สัมภาษณ์กับทาง CNN ภายหลังจากการทำสงครามอ่าวเปอร์เซียในครั้งแรกๆว่า “สงครามเย็นระหว่างโลกเสรีประชาธิปไตยและโลกคอมมิวนิส คงจะไม่มีอีกแล้ว หลังจากนี้ไปก็คงจะมีแต่สงครามการก่อการร้าย” ซึ่งในตอนนั้นทั่วโลกว่าเรื่องการก่อการร้ายมันเรื่องเล็กน้อยที่มีระดับความรุนแรงอยู่ในวงจำกัดไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมาย เทียบไม่ได้กับสงครามระหว่างประเทศแน่ๆ (แต่ทุกคนกลับมองข้ามสาระสำคัญที่ว่า บุชผู้พ่อ ถึงได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดทำไม???)
2) สหรัฐพยายามสร้างข่าวและรวมไปถึงการสนับสนุนให้ผู้สร้างหนังและอื่นๆพยายามทำหรือสร้างบรรยากาศและยกระดับความรุนแรงและให้ความสำคัญถึงปัญหาการก่อการร้ายมากขึ้นเลยๆ
กลุ่มได้วิเคราะห์กันว่า CIA อาจจะแอบร่วมมือกับ บินลาเดน และกลุ่มตะลีบัน ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกามาก่อนในช่วงยุคระหว่าง 1978-1988 เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ประเทศจีนกำลังเปิดประเทศใหม่ๆหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ***(ก่อนที่จีนจะทำการเปิดประเทศอเมริกาได้เริ่มจัดหน่วยงานประเมิณผลถึงศักยภาพและขีดความสามารถการพัฒนาการตัวเองของประเทศจีนในแต่ละช่วงปีและรวมไปถึงประเมินถึงภัยคุกคามของประเทศจีนเอาไว้ล่วงหน้าถึง 50 ปี 1985-2035 และแผนยุทธศาสตร์การเข้าคุกคามความมั่นคงของประเทศจีนโดยรวมจัดตั้งองค์กรลับต่างๆเพื่อใช้โจมตีประเทศจีน เช่นการจัดตั้งให้องค์กรสากล เพื่อโจมตีด้านสิทธิมนุยษชน การให้การสนับสนุนลัทธิทางความเชื่อต่างๆ และให้การสนับสนุนแคว้นทิเบต, แคว้นแยงซี(ซึ่งพลเมืองส่วนใหญ่เป็นพุทธและอิสลาม)แยกตัวเองเป็นอิสระ นั้นคือการวางแผนการจำกัดการแผ่อิทธิพลของประเทศจีนเอาไว้ตั้งแต่จีนเพิ่งเริ่มรู้จักไก่ KFC นั้นเอง (ภายหลังจากเสี่ยนหนามตัวฉกาจอย่างโซเวียตล่มสลายไปแล้วและคิวต่อไปก็คือ ประเทศจีน )***
3) กลุ่มได้ตั้งคำถาม - อยู่ดีๆ บินลาดิน ก็ออกมาก่อตั้งกลุ่มอัลกอร์อิดะ เพื่อมาต่อต้านการแผ่อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาเพื่ออะไร ทั้งๆที่อยู่ว่าอเมริกาให้การหนุนหลังประเทศในอาหรับมานานแล้วตั้งแต่ยุคสงครามเย็นไม่ว่าจะเป็น ตูนีเซีย อียิปย์ ซาอุฯ การ์ต้า โอมาน บาร์เรนและปากีสถานแล้วพึ่งจะมาคิดได้เอาเมื่อไม่นานมานี้หรือ???.... ถ้าสมมุติว่าอเมริกาต้องการควบคุมประเทศในอาหรับ ที่ยังควบคุมไม่ได้ก็คือ อิรักกับอิหร่าน วิธีเดียวก็คือต้องหาเรื่องสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองในการส่งกองทัพเข้าไปยึดประเทศเหล่านั้น
4)กลุ่มได้ให้เหตุผลสนันสนุนในเรื่องนี้ว่า
- เมื่อสหรัฐอเมริกายัดข้อกล่าวหาว่ากลุ่มตะลีบันเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนการก่อการร้ายแล้วส่งกองทัพเข้าไปยึดอัฟกานิสถานแล้วแต่ทำไมจนปานนี้ กลุ่มตะลีบันยังคงอยู่และมีอิทธิพลอยู่ในทางตอนเหนือของปากีสถาน ทำไมอเมริกาไม่บังคับให้รัฐบาลปากีสถานส่งกองกำลังไปปราบกลุ่มนี้ให้สิ้นซาก
สหรัฐกลับเพิกเฉยปล่อยให้กลุ่มตะลีบันเข้าไปหลี้ภัยอยู่ในปากีสถาน แบบว่าแม้แต่รัฐบาลปากีสถานยังต้องเกรงใจ
- ทั้งข่าวและภาพเหตุการณ์การส่งหน่วย G.I. เข้าไปลอบสังหาร บินลาเดน แบบมีข้อเงื่อนงำและข้อสงสัยหลายๆอย่างว่าเป็นเรื่องจริงหรือ ละครฉากหนึ่งที่สร้างขึ้นมา เพราะสหรัฐสามารถใช้เครื่องบินบินผ่านเข้าไปในเขตน่านฟ้าของปากีสถานได้แบบ FREE FLY ZONE ให้สำหรับกองทัพสหรัฐและอังกฤษตามมติสหประชาชาติในช่วงก่อนบุกอัฟกานิสถานอยู่แล้วและยังมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน แต่ PENTAGON กลับออกมาให้ข่าวว่าปฎิบัติการครั้งนั้นทางหน่วย G.I.ได้วางแผนกำหนดเวลาในการแอบลักลอบบินเข้าไปในปากีสถานในพื้นที่ที่ บินลาเดน กบดานอยู่ไว้เป็นอย่างดีแบบรวดเร็วและฉับไวคือทั้งเข้าและถอนกำลัง G.I.ออกมาโดยมีเวลาจำกัด **คำถามคือ ต้องแอบบินเข้าไปด้วยหรือ??? ** และที่เหตุผลสำคัญหลายอย่างที่ไม่ชัดเจน ถ้าหน่วย G.I. มีเวลามากมายถึงขนาดถ่ายภาพ บินลาเดนตอนนอนตาย+สภาพห้องและสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ขนาดนั้น ก็มีคำถามว่าแล้วทำไมไม่พากันหิ้วศพ บินลาเดนกลับมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยซะเลยละ
- เหตุที่ต้องสร้างข่าวการสังหารบินลาเดน นั้นก็เพราะประชาชนชาวอเมริกันบางส่วนเริ่มจะระแคะระคายถึงความไม่ชอบมาพากลถึงลำดับเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กย จวบจนปัจจุบัน และสิ่งที่สำคัญก็คือ อิหร่านได้ถูกโดดเดี่ยวในอาหรับแล้ว รอเวลาที่สหรัฐแน่ใจแล้วว่าอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองจริงๆเท่านั้นก็จะส่งกองทัพบุกเข้าไปทันที (โดยใช้เหตุผลหลักคือการมีอาวุธนิวเคลียร์ต้องห้ามที่ทางอเมริกาได้ได้วางหมากเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้นว่าห้ามไม่ให้อิหร่านมีอาวุธดังกล่าวไว้ครอบครองเพราะเกรงว่าอาวุธดังกล่าวอาจจะตกไปถึงมือกลุ่มก่อการร้ายอัลกอร์อิดะ โดยได้ทำการโน้มน้าวให้ชาติสมาชิกส่วนใหญ่ในสหประชาชาติลงเป็นประชามติไปแล้ว ต่อให้จีนหรือรัสเซียจะไม่เห็นชอบด้วยก็ตามเพราะทั้งสองประเทศนี้ไม่สามารถขัดมติสหประชาชาติได้)
ดังนั้นตัวละครที่ชื่อ บินลาเดน ก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป
(**ปล.ข้อมูลนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เป็นแง่คิดของกลุ่มคนอเมริกันดังที่ได้กล่าวข้างต้นที่ได้ให้เหตุผลแง่คิดที่เห็นต่างเท่านั้น ซึ่งจริงๆมีข้อมูลที่คนกลุ่มนี้หยิบยกขึ้นมามีเยอะกว่านี้มากครับ แต่ผมเขียนสรุปมาให้อ่านกันโดยย่อเท่านั้น***)