“สวพ.ทบ.” ร่วมกับ “เมก้า ฟอร์ซ อินเตอร์” เดินหน้าวิจัยและพัฒนาเครื่องช่วยฝึกยิงด้วยแสงเลเซอร์ เพื่อฝึกการรบประชิดแบบสองฝ่าย โดยหวังลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างประเทศ เสริมความสามารถปฏิบัติภารกิจเสี่ยงภัย และต่อยอดสู่การฝึกระดับสูง...
พลตรี หม่อมหลวง ระวีวัฒน์ เกษมสันต์ ผอ.สวพ.ทบ. กล่าวว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหากรณีพิพาทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ ของผู้ก่อความไม่สงบและผู้ไม่หวังดี กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการจัดเตรียมกำลังพล จำเป็นต้องมีการฝึกซ้อมกำลังพลให้มีความพร้อมต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ ภายใต้การดูแลของกรมยุทธศึกษาทหารบก และเพื่อให้การฝึกมีประสิทธิภาพสูงสุด หน่วยงานฝึกจำเป็นต้องอาศัยเครื่องฝึกจำลองการยิงอาวุธทหารราบด้วยแสงเลเซอร์ หรือ IWESS (Infantry Weapon Effect Simulating System) ที่จัดซื้อมาจากต่างประเทศตั้งแต่ปี 2535 แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการที่นำไปทดแทนของเดิมที่ชำรุด
“จากที่กล่าวมาข้างต้น กองทัพบก โดย สวพ.ทบ. จึงได้มีดำริร่วมวิจัยและพัฒนากับ บจ.เมก้า ฟอร์ซ อินเตอร์ วิจัยและพัฒนาต้นแบบเครื่องช่วยฝึกยิงด้วยแสงเลเซอร์ ฝีมือคนไทย ภายใต้ชื่อ LCCS ( Laser Close-Combat Simulator System) ที่สามารถผลิตได้จริงในประเทศ โดยมีศักยภาพเทียบเท่ากับเครื่องที่นำเข้าจากต่างประเทศ มีความเหมาะสมตรงกับความต้องการของผู้ใช้ สอดคล้องกับการฝึกตามระเบียบหลักสูตรการฝึกของกองทัพบก ทั้งนี้ สวพ.ทบ.เป็นผู้อำนวยความสะดวกด้านสถานที่ เครื่องมือ และยุทโธปกรณ์ที่จัดหาได้ภายในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการพึ่งพาตนเองทางทหาร รวมถึงแก้ไขปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุง และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ” ผอ.สวพ.ทบ.กล่าว
นายศักดา ศรีวิริยะไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เมก้า ฟอร์ซ อินเตอร์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับต้นแบบเครื่องช่วยฝึกฯ LCCS เป็นชุดยิงเลเซอร์ ติดประกอบปืนจริง เพื่อใช้ฝึกแทนกระสุนจริงโดยใช้ได้ทั้งเอ็ม 16 ปืนเล็กยาว หรืออื่นๆ ตามความเหมาะสม สำหรับฝึกรบแบบประชิดสองฝ่าย สามารถประเมินผลการยิง การบาดเจ็บ การสูญเสีย และเก็บสถิติ มาประกอบการประเมินผลทางยุทธวิธีของทหารได้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของกำลังพลในการใช้อาวุธจริงเมื่อต้องออกปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์เสี่ยงภัย เนื่องจากเป็นการจำลองเหตุการณ์ได้เสมือนจริง ทำให้ประหยัดงบประมาณและประหยัดเวลาในการฝึก ทั้งยังมีความปลอดภัยต่อกำลังพลในขณะฝึกอีกด้วย
กก.ผจก.บ.เมก้า ฟอร์ซ อินเตอร์ กล่าวอีกว่า โครงการวิจัยและพัฒนาต้นแบบเครื่องช่วยฝึกฯ นี้ มีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับจากวันที่ได้รับการอนุมัติให้เริ่มดำเนินการ โดยโครงการวิจัยฯไม่ได้ใช้งบประมาณจากภาครัฐ เนื่องจากเราตระหนักถึงความสำคัญของโครงการที่จะเป็นพื้นฐานการฝึกของกำลังพลที่จะเข้าไปปฏิบัติภารกิจเสี่ยงภัยต่างๆ อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดสู่โครงการวิจัยและพัฒนาเครื่องช่วยฝึกเทคโนโลยีสูงอื่นๆ อาทิ ระบบเลเซอร์ซ้อมรบรถถัง ระบบศูนย์อำนวยการควบคุมการฝึก เพื่อเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างยั่งยืน และรองรับการก้าวไปสู่เขตการค้าเสรีอาเซียนไปพร้อมๆ กัน
ทั้งนี้ บจ.เมก้า ฟอร์ซ อินเตอร์ มีแผนต่อยอดโครงการในอนาคต โดยร่วมมือกับ บมจ.ล็อกซ์เล่ย์ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการนี้ ในการร่วมกันต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ผ่านบริษัท แอล ฟอร์ซ 1 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.ล็อกซ์เล่ย์ และ บจ.เมก้า ฟอร์ซ อินเตอร์ เพื่อทำตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับแรงสนับสนุนสำคัญจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ที่เล็งเห็นความสำคัญงานวิจัยของคนไทย โดย NIA ได้มอบทุนสนับสนุนการวิจัยบางส่วนให้กับบริษัทฯ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ในครั้งนี้อีกด้วย.