จากที่คุณ trai กับ A_Hatyaiถกกันเรื่องสงครามอินโดจีน ผมก็อยากจะแจมน่ะนะ แต่ว่ามันจะออกทะเลไปกันใหญ่ เลยขอตั้งกระทู้แล้วกัน
1. ถ้าพูดเรื่องประเด็นว่าใครเป็นภัยตัวจริง ผมว่าฝรั่งเศสครับ
ฝรั่งเศสจ้องจะงาบเขตแดนเรามานานแล้ว แล้วก็ได้ไปบางส่วนแล้ว ดูประเทศเพื่อนบ้านเราที่เป็นอาณานิคมสิครับ หลังสงครามจบ เจ้าอาณานิคมต่างก็กระโจนกลับเข้ามาเพื่อครอบครองอาณานิคมอีกครั้ง ประเด็นที่เราผืดพลาดคือไม่น่าประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร น่าจะแค่ยอมให้ใช้เป็นทางผ่านให้ไปพม่า(ตามออปชั่นที่ญี่ปุ่นให้เลือก) ซึ่งตอนแรกเราก็ประกาศตัวเช่นนั้นจนโดนฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทางรถไฟ+สะพาน ฯลฯเราจึงประกาศสงครามตอบโต้ แต่ตอนนั้นญี่ปุ่นฮ็อตสุดๆ ใครๆต่างมองว่าญี่ปุ่นชนะสงครามแน่นอนจึงเข้าร่วม ผลจากการเจรจากับฝรั่งเศสโดยญี่ปุ่นเข้ามาไกล่เกลี่ย เราได้ดินแดนหลายชิ้นที่โดนเจ้าอาณานิคมยึดไปครับ นอกจากนั้นญี่ปุ่นตีดินแดนในพม่า+มาเลย์ที่เคยเป็นเมืองขึ้นไทยก็ยกให้หมดครับตอนนั้น ในเขตเขมรลาวเราก็ได้มาหลายเมืองครับ
ญี่ปุ่นหลังสงครามก็เงิบ ไม่เป็นภัยกับใครจนถึงทุกวันนี้
2. ถ้าเราจะร่วมมือกับฝรั่งเศสต่อต้านญี่ปุ่นไหวมั้ย ก็ไม่ไหวครับ
ข้อแรกต้องบอกว่าการสงครามอินโดจีน ทางน้ำเราสู้ไม่ได้ แต่ทางบกกับอากาศไล่ถลุงครับ เพราะตอนนั้นฝรั่งเศสทางยุโรปโดนเยอรมันกินไปแล้ว ทางนี้จึงอ่อนแอ จอมพลป.เลยอาศัยจังหวะนี้แหละครับทวงดินแดน เครื่องบินก็ญี่ปุ่นทั้งบางที่เอาไปรบ
แต่กองทัพญี่ปุ่นใหญ่คอดๆครับตอนนั้น อันดับต้นๆของโลกเลย เราสู้ไม่ได้หรอกครับ ฝรั่งเศสนั้นอ่อนกว่าเราอีกฉนั้นหวังให้ฝรั่งเศาช่วยก็ไม่ได้
สาวนตัวผมก็ไม่ได้เลิฟญี่ปุ่นอะไรหรอกครับ ช่วงสงครามญี่ปุ่นก็มองเราเป็นเมืองขึ้นนั่นแหละ ทำอะไรแย่ๆไว้ก็เยอะตามสูตร หลายๆอย่างไทยเรากลายเป็นพลเมืองชั้นสองกลายๆ
เพียงแต่ว่ามันจำเป็นที่เราต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามสถานการณ์ สู้ไปตายเปล่า นอกจากสู้แบบที่เราทำอยู่แล้วคือการมีสงครามกองโจร หรือเสรีไทย
ผู้อยู่เบื้องหลังสงครามครั้งนี้คือญี่ปุ่นครับ ถึงจะบอกว่าเราประกาศตนเป็นกลางก็จริงแต่นโยบายการต่างประเทศเราเอียงข้างอย่างชัดเจน ญี่ปุ่นต้องการเข้ามาแทรกแซงอินโดจีนจึงสนับสนุนไทยอย่างลับๆและญี่ปุ่นหวังอะไรที่มากกว่าเห็นไทยชนะ
ผมก็อยากจะอธิบายให้เขาใจนะแต่อยากจะแนะนำให้อ่านหนังสือหลายๆด้าน มูลเหตุสงครามครั้งนี้มันมาจากหลายปัจจัย แต่ที่แน่ๆฝ่ายฝรั่งเศสไม่ใช่ฝ่ายเริ่มก่อน ใครจะว่าผมเข้าข้างศัตรูก็ช่าง แต่หากเราเข้าข้างตัวเองจนลืมข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ไป
แนะนำให้อ่านหนังเรื่องนโยบายการต่างประเทศของไทยในสมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม(ถ้าจำชื่อไม่ผิดนะ)อ่านเรื่องนี้แล้วท่านจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
เปิดกระทู้แบบนี้ดีครับ อึดอัดมานานเรื่องนี้ต้องยกความดีให้ครูบ้านนอกครับที่ท่านเปิดประเด็นเรื่อง เรือ ธน.ขึ้นมา
ผมกลับมองไปีกประเด็นนะครับ กองทัพบกไทยในยุคนั้นมีเป็นแสนคนเหมือนกันนะครับ หากสมบูรเต็มที่อาวุธพร้อม มีการเตรียมตัวตั้รับที่ดี ไทยไม่น่าจะถูกถลุงง่ายๆครับ(แต่คงเสียหายยับเยินแน่) อย่าลืมครับญี่ปุนเปิดศึกหลายด้านเกินไป ขนาดไทยยอมให้ผ่าน พร้อมส่งเสบียงให้พร้อมยังไปหมดฤทธิแค่พม่า หากไทยไม่มีกรณีพิพาทอิโดจีน อาวุธทั้2 ฝ่ายพร้อม ญี่ปุ่นจะเจอศึก 3 ด้าน คือ อินโดจีน ไทย อังกฤษ ผมคิดว่าเป็นกระดูกชินใหญ่ของญี่ปุ่นทีเดียวคร้บ
ส่วนกรณีข้อเสนอโจมตีท่าเรือไซ่ง่อนก่อน ผมเคยอ่านเจอข้อเสนอนี้แน่นอนครับแต่ข้อเสนอนี้ดูเหมือนท่านผู้นำไม่เห็นด้วยเลยพับไป ม่ทราบว่าเพื่อนสมาชิกท่านใดมีข้อมูในเรื่องนี้บ้าง
เราไม่ได้เริ่มก่อนหรอกครับถ้าฝ่ายฝรั่งเศสยอมรับตามเงื่อนไขของเราซึ่งฝรั่งเศสก็ไม่ได้เสียหายอะไรเลย ข้อเสนอเงื่อนไขของเราที่บอกว่า ถ้าฝรั่งเศสเลิกปกครองอาณานิคมแล้วขอให้ยกดินแดนคืนแก่เรา แต่ฝรั่งเศสมันโลภเมื่อก่อนตอนชิงดินแดนไป ตอนทำสนธิสัญาก็เหมือนเกดิม มันคงกะว่าหลังสงครามสงบจะปกครองต่อไปเรื่อยๆ ถ้าไม่โดนโฮจิมินตีแตกตอนทำสงครามที่เดียนเบียนฟู ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าฝรั่งเศสยังครองเขมรอยู่หรือเปล่า ถ้ายอมเราตามข้อเงื่อนไข ซึ่งสมัยนั้นใครจะเถียงว่าดินแดนในอาณานิคมก็เป็นของสยามที่ฝรั่งเศสใช้กำลังที่เหนือกว่าปล้นแย่งชิงไป มันก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของเราที่จะเรียกร้องดินแดนคืนหลังจากที่เจ้าอาณานิคมเลิกปกครองแล้ว อังกฤษก็เท่า เสปนก็ทำเมกาก็ทำ พอเรายื่นข้อเสนอไป ฝั่งโน้นไม่พอใจ แทนที่จะนิ่งๆ แต่พี่แกกลับส่งฝูงบินทิ้งระเบิด และทหารมาตอดตามแนวชายแดน ส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดในเขตไทยก่อนทั้งๆที่ไทยยังไม่ได้โจมตีก่อนเลย แล้วงี้ใครก่อสงครามก่อนครับืถ้าเราเป็นเหมือน รศ 121 เราก็คงจะเสียดินแดนเพิ่มไปอีกแน่ๆ และคงไม่แคล้วแพ้สงครามตามเดิม เพียงแต่ว่าช่วงสงครามอินโดจีนเรามียุทโธปกรณ์ไม่ได้เป็นรองฝรั่งเศสแล้ว เราถึงทำสงครามชนะ ถ้าญี่ปุ่นไม่มาเป็นตัวกลางเจรจาก่อนเราคงตีฝรั่งเศสแตกหมดอินโดจีนแน่ๆ แต่ญี่ปุ่นกลัวเสียแผนของตัวเองเลยเสนอมาเป็นตัวกลางเจรจา แล้วอย่างนี้เราเริ่มสงครามก่อนหรอครับ ว่ากันถึงเรื่องเราควรมองใครเป็นศัตรูในตอนนั้น แน่นอนคงไม่พ้นฝรั่งเศสที่เราแค้นใจมาตั้งแต่ รศ121 และการเสียดินแดนต่างๆ แต่ญี่ปุ่นก่อนเกิดสงครามโลกเราเห็นเป็นมิตรที่สนิทกันมากไม่ใช่ศัตรู อาวุธเราตอนนี้นก็ซื้อจากญี่ปุ่นเกิอบทั้งนั้น รถถัง เรือรบ เครื่องบิน ก็เมดอินเจแปนแทบทั้งหมด แถมยังช่วยเหลือขายอาวุธให้ขายเครื่องบินรบให้ ตอนที่เมกาอายัดเครื่องบินไว้ที่อินโด หรือฟิลิปปินส์นี่แหละ แถมญี่ปุ่นยังเสนอเป็นตัวกลางเจรจาให้เรากับฝรั่งเศส ถ้าฝรั่งเศสกล้าหือไม่ทำตามสัญญา ญี่ปุ่นก็จะจัดการให้เราเอง เดี๋ชวอาบน้ำแป็ปเดี๋ยวมาต่อช่วงเริ่มสงคราม
คุณchamp ขอประทานโทษนะครับ เรื่องนี้ทำไมไม่คิดบ้างว่าเป็นการสร้างความนิยมให้กับผู้บริหารในยุคนั้น อย่างผมว่านับจาก2448 มาไทยไม่มีเรื่องอะไรกับฝรั่งเศส ในสมัยร6,7เครื่องบินรบไทย มีหลายร้อยเครืองนะครับ ไม่วาเป็น สปัด นิเออร์ปอรท คอรแซร์ ฮอร์ค2,3 ฮอร์ค75(ใช้ทิ้งระเบิด พะตะบอง ศรีโสภนท์)เหล่านี้หาหตัดรุ่นแรกออกไปน่าจะมาจากusaทั้งนั้น ซึ่งน่าจะสั่งมาก่อนยุคท่านผู้นำ จะมีก็p34 or 36 ไม่แน่ใจครับทีถูกกักไว้ในสมัยหลังเนื่องจากไทยเริ่มใช้แนวชาตินิยมคร้บ จจืงทำให้ในตอนหลังไทยต้องใช้อาวุธจาก ญี่ปุ่นเกือบทั้หมดครับ
เขียนตกครับพิมพ์จากnote2
ช่วง2448-2478 ช่วงปลายสมัย ร 5 6 7 ผมคิดว่าไทยไม่มีเรื่องกระทบอะไรกับอินโดจีน ต่างคนต่างอยู่ จนถึงยุคท่านผู้นำถึงได้มีเรี่องกระทบกะทั่งกัน
ผมว่าที่ตอนก่อนหน้าสงครามอินโดจีนทำไมเราถึงไม่ทำสงครามก่อน ก็คงเป็นเพราะว่ายุคสมัยรัชกาบที่6และ7 เรากำลังสร้างชาติให้แข็งแกร่ง เร่งสร้างกองทัพสะสมอาวุธให้ทัดเทียมกับอารยประเทศอาวุธสมัยนั้นถือเป็นของใหม่ที่ไทยเราเพิ่งมีใช้ในกองทัพ หรือมีก็ยังจำนวนน้อย กิจการการริบก็เพิ่งเริ่มตั้งตัว นักบินยังต้องบินไปฝึกไปซื้อเครื่องบินจากฝรั่งเศสเลย สรรพกำลังเรายังไม่เทียบเท่าหรือแข็งแกร่งพอที่จะงัดข้อกับเจ้าอาณานิคมที่พร้อมสรรพกว่าเรา อีกอย่างตอนนั้นเราเพิ่งจะพัฒนาประเทศให้เหมือนกับตะวันตก เครื่องบินhawk หรืออื่นๆเราก็ซื้อมาจากเมกาไม่นานก่อนจะทำสงครามอินโดจีน สมัย ร6 ร7 เราคงไม่อาจหาญกล้างัดข้อกับฝรั่งเศสที่มีอาวุธเหนือกว่าเราหรอกครับ ไม่เหมือนกับตอนอินโดจีนที่เรามีความพร้อม ความชำนาญ ยุทโธปกรณ์ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับฝรั่งเศสแล้วครับ
ความเจ็บแค้นใจมันคงไม่หายไปจากคนสยามหรือไทยในสมัยนั้นไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ เพียงแต่ว่าถ้าเราสู้ไม่ได้ เราจะกล้าขืนสู้หรือครับมีแต่จะเสียดินแดนเพิ่ม ความคับแค้นใจของคนสมัยนั้นคงไม่ต่างจากคนสมียนี้แต่จะมากกว่าด้วยมั๊งครับเพราะประสบเหตุการณ์จริงมากับตัว คนไทยสม้ยนั้นคงไม่มีวันลืม วันที่กองทหารต้องขนเงินถุงแดงใส่กระสอบป่านบรรทุกรถเกวียนออกจากท้องพระคลังเพื่อจ่ายเป็นค่าปรับให้กับฝรั่งเศสตอนวิกฤติการปากน้ำที่เราต้องเสียทั้งทหาร เสียทั้งค่าปรับให้กับศัตรู นึกสภาพนะครับ รถขนเงินถุงแดงบรรทุกวัวเทียมเกวียน ต้องขนเงินออกจากพระคลังทั้งวันทั้งคืน ชาวบ้านร้องไห้กันระงมเมื่อเห็นขบวนเงินที่เราต้องเอาไปเสียค่าปรับให้ศัตรูผู้รุกราน รถขนเงินวิ่งทั้งวันทั้งคืนจนถนนเป็นร่องเพราะความหนักของเงินที่บรรทุกอยู่บนรถ เงินที่ รัชกาลที่3ทำการค้าขายและเก็บไว้และตรัสเล่นว่า ให้เก็บเอาไว้เป็นทุนสำรองเผื่อจะได้ใช้ไถ่บ้านไถ่เมือง สุดท้ายก็ได้ใช้ไถ่บ้านไถ่เมืองจริงๆ เพียงแต่ว่าสมัยนั้นเราสู้ไม่ได้คงไม่มีใครกล้าสู้ในขณะที่ย้งไม่พร้อมหรอกครับ กิจการต่างๆยังเพิ่มเริ่มพัฒนาอย่างที่ผมว่าไว้
ถกกระทู้นี้กับคุณchamp แล้วมีประโยชน์มากครับ เห็นเข้ามาแต่เช้าเชียวนะครับ
ผมมองว่าขบวนการสร้างชาตินิยม เรียกร้องดินแดนคืน หรือรุกเข้าอินโดจีน เป็นขบวนการการที่สร้างความนิยมให้กับผู้นำประเทศในยุคนั้น แต่สุดท้ายไทยถูกยึดครองโดยญี่ปุน ก็เป็นเมืองขึ้นเขานั่นแหละครับแต่ไม่มีนักประวัติศาสตรยอมรับ อันนี้ครับผู้บริหารประเทศในยุคนั้นไม่ไดกำหนดไว้เลยหรือครับว่าโอกาศที่ญี่ปุ่นจะรุกรานไทยมันมีใหม ถ้ามีเราจะป้องกันตัวอย่างไร แต่นี่ฉลองชัยอินโดจีนไม่ทันชนปี ญี่ปุ่นขึ้นบก ปะทะกัน ๑วัน๑คืน ยอมแพ้ท่านผู้บริหารปรเทศบอกว่าเรากำลังน้อยต้่านไม่อยู่ ผมว่ามันง่ายไปครับ มันเหมือนกับว่าไม่ด้มีการเตรียมแผนหรือมองว่า ไทยจะถูกรุกรานจากญี่ปุ่นเลยครับ หรือจะให้ผมมองอีกแง่หนึ่ครับตอนนั้นไทยเลือกข้างจะร่วมกับญี่ปุ่นเรียบ้อยแล้ว
ขอเล่าเกร็ดเพิ่มครับ เรามองแต่เงินถุงแดงสม้ย ร ๕ ตอนปลายสงครามญี่ปุ่นกู้เงินจากไทยมูลค่าปัจจุบันหลายแสนล้านบาท(บังคับกู้) ไม่รู้ว่าใช้คืนกันหรือไม่แต่ผมว่าสูญ เอกสารในส่วนนี้ผมมี แต่บังเอิญไม่ได้อยู่กับผม เอาไว้จะหามาแชร์ครับ
อีกเรื่องสมัยโชกุน ฮิเดโยชิ ตรงกับยุคพระนเรศวรเป็นเจ้าของกรุงศรีฯ ผมเคยอ่านเจอจากบันทึกต่างประทศว่า นอกจากบุกเกาหลีเพื่อเป็นทางผ่านเข้าจีน ท่านโชกุนยังส่งทูต ทวงบรรณาการจาก ฟิลิบปิน(เสปน) และ สยาม หากไม่ตอบรับให้เตรียมรับศึก ซึ่งคงเป็นเหตให้ตอปลายรัชการพระองค์ท่าน ทรงประทับอยู่ที่เพชรบุรี และมีการซ้อมรบทางทะเลบ่อยครั้ง
นี่แสดงว่าแนวความคิดว่าจะยึดครองเอซียบูรพาของญี่ปุ่นมีมาก่อนหน้าww2 กว่า ๓๐๐ปีแล้วครับ
คือเราไม่ได้เตรียมเลือกข้างก่อนหรอกครับ แต่คิดดูนะครับท่านtral ถ้าเราไม่ร่วมกับญี่ปุ่นให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่าน ทางญี่ปุ่นได้เตรียมเครื่องบินรบ100ลำ และทหารจากกองพลที่5ที่คอยอยู่ที่ริมชายแดนอินโดจีนพร้อมที่จะยาตราทัพเข้าโจมตีประเทศไทยทันทีถ้าไทยปฎิเสธไมตรีจากทางญี่ปุ่น ซึ่งผมคิดว่าทางญี่ปุ่นไม่ได้มองเราเป็นศัตรูแต่มองเราและให้เกรียติเราเป็นมิตรเพราะว่า เรากับญี่ปุ่นเป็นมิตรกันมานาน ไทยและญี่ปุ่นมีพระมหากษัตริย์เหมือนกัน พระมหากษัตริย์ของ2ประเทศทรงสนิทสนมกัน และที่สำคัญไทยไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษหรือฝรั่งเศส เป็นประเทศเดียวที่มีเอกราช ดังนั้นทางญี่ปุ่นจึงอยากได้เรารวมเป็นพันธมิตร โดยยื่นข้อเสนอให้เรา4ข้อ ผมจำได้ไม่ตรบ4ข้อเพราะเรียนมาตั้งแต่ม.ต้น แต่คร่าวๆว่า 1.ขอให้ทางประเทศไทยยอมอนุญาติให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยเพื่อเขีาสู่พม่า 2ขอให้ทางไทยเข้ารรวมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในการรบ 3ทางญี่ปุ่นจะยกดินแดนของไทยเดิมทางรัฐฉานคืนให้แก่ประเทศไทย 4ทางญี่ปุ่นจะยกดินแดนทางเหนือของมาเลเซียคืนให้กับไทย ซึ่งทางญี่ปุ่นได้บังคับมาว่า ถ้าไทยไม่ร่วมเข้าเป็นพวก เครื่องบินรบและทิ้งระเบิดของกองทัพญี่ปุ่น100ลำจะเข้าทิ้งระเบิดกรุงเทพให้พินาศทันทีพร้อมกองพลงิ ที่5 จะยาตราทัพจากชายแดนเขมรเข้าบดขยี้กองทัพประเทศไทย ซึ่งหน้าประวัติศาสตร์คงจะเปลี่ยนไปแน่ เราคงจะได้เห็นภาพควรมโหดร้ายของทหารญี่ปุ่นที่ทำต่อประชาชนประเทศที่แพ้ให้กับตนอย่างในพม่า จีน เกาหลี แทนที่จะได้เห็นความสุภาพอย่างที่เราเคยเห็นในหนัง ในทางที่จริงมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยที่ญี่ปุ่นจะบุกขยี้เราแต่เขาเลือกให้เกรียติเรามาเป็นพันธมิตรก่อน และทหารญี่ปุ่นที่มามารยาทสุภาพอย่างที่เราเห็นในหนัง เพราะว่าทางกองทัพเขาย้ำกับทหารว่าทหารไทย ประเทศไทยเป็นมิตรเป็นพันธมิตรร่วมรบไม่ใช่เชลย จะปฎิบัติเหมือนเชลยไม่ได้ ถามว่าถ้าเราไม่ยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่าน เราจะเอาอะไรไปต้านทัพเรรไมามีทางยันกองทัพญี่ปุ่นได้แน่ เพราะญี่ปุ่นคงจะทุ่มกำลังทหารมหาศาลเพื่อบุกยึดไทยเพราะไทยเราเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่จะเข้าสู่พม่าและมลายูมาเลย์ ในสภาพที่กองทัพไทยยังไม่สมบูรณ์เพราะเพิ่งเสร็จศึกอินโดจีนมาแค่8เดือน ทั้งรี้พล อาวุธ คงยังไม่พร้อมที่จะทำสงครามต่ออีก แล้วถ้ารบกับญี่ปุ่นใครจะมาช่วยเรา ฝรั่งเศสก็เป็นศัตรู แถมยังเอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน อังกฤษก็ร่อแร่ัอาตัวเองไม่รอด เมกาก็ไม่รอดเหมือนกันช่วงต้นสงคจาสแค่ปกป้องฟิลิปปินส์ยังไม่ได้เลย น้ำเชี่ยวท่านผู้นำคงไม่กล้าเอาเรือเข้าไปขวางหรอกครับ ถ้าเราให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่าน ก็เท่ากับว่ายอมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ก็คือทางปฎิบัติแล้วเราก็ประกาศสงครามกับชาติสัมพันธมิตรศัตรูของญี่ปุ่นไปในตัวแล้ว เหมือนกับไปตายเอาดาบหน้า ดีกว่าโดนญี่ปุ่นบุกขยี้ยึดครองเลย ผมีิดอย่างนี้นะครับ
นั่นแหละคุณchamp อันนี้ขอแยกประเด็นนะครับ สัมพันธ์ไทยญี่ปุ่นเพิ่งแนบแน่นในยุคท่านผู้นำ( แต่ในสมัย ร ๖ ๗ ผมว่าไม่ครับ เราจะสนิทกับทาง uk มากกว่า) นั่นคือมิตรภาพทางการเมืองระหว่างประเทศครับ
แต่อีกประเด็นหนึ่งคือการที่ญี่ปุ่นบุกไทย หลังจากที่ไทยซัดกับอินโดจีนจนอาวุธพร่องไปทั้งคู่ อันนี้เห็นมั้ยครับใครได้ประโยชน์เนื้อๆในสงครามอินโดจีน ทั้งไทยและอินโดจีนจะเอาอะไรไปต้าน แค่กระสุนปืน ในเวลา ๘เดือน เราหาไม่ทันแน่
เอางี้ดีกว่าครับคุณ champ ลองคิดดูครับหากไม่เกิดสงครามอินโดจีน อาวุธไทยกับอินโดจีนยังพร้อม ต่อให้ไม่ถูกกัน แต่งานนี้เจอทั้งไทยและอินโดจีนในสภาพพร้อมรบ แถมมี uk ที่ยังสดในพม่าและสิงคโปรเข้าร่วมผมว่ามันไม่ง่ายสำหรับญี่ปุ่นครับ
แต่ผมยอมรับครับประเทศไทยคงยับแน่ แต่คิดว่าหากพร้อมควรต้องสู้ครับ ไม่ใช่เราไม่เคยแพ้นะครับ ในอดีตไทยเคยเสียกรุงแพ้พม่าถึง ๒ ครั้ง ผู้นำในยุคนั้นสู้จนสุดฝีมือ แต่ครั้งนี้ ดูว่ามันผิิดตั้งแต่สงครามอินโดจีน ใช้กระสุนจนพร่อง มันก็เสร็จกองทัพสมเด็จพระจักรพรรดิ แบบว่า เขาชนะโดยยังไม่ทันรบครับ
ท่าน tral คิดถูกต้องเหมือนที่ผมคิด2ประเด็นแหละครับ แต่เหตุผลที่ผมคิดแบบนั้นะป็นเพราะว่า สมัยรัชกาลที่ 5 6 7 ที่เราไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ด้านการทหารกับญี่ปุ่น เป็นเพราะว่ายุีนั้นทางญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้มีความทันสมัยเหมือนกับทางอังกฤษและฝรั่งเศส อเมริกา ญี่ปุ่นก็ดหมือนชาติอื่นในเอเชียที่จะโดนยึดดินแดนและถูกกดขี่จากประเทศยุโรปเจ้าอาณานิคมเหมือนกับชาติอื่น ถ้าเคยดูหนังเรื่อง the last samuri อารมณ์ยุคนั้นคงประมาณนั้น เพราะญี่ญี่ปุ่นเอง ยังโดนเมกาเอาเรือปืนมาลอยลำขู่อยูู่ในทะเลเลย เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นทำสนธิสัญญาไม่เป็นธรรม มันก็เป็นต้นเหตุให้ญี่ปุ่นก่อสงครามโลกครั้งที่2ไปในตัวด้วยแหละครับ เพราะว่าญี่ปุ่นอยากจะปลดแอกตัวเองและประเทศอื่นในย่านเอเชียจากการกดขี่ของประเทศเจ้าอาณานิคม และปกครองเอเชียปกตรองเอเชียด้วยกันเองส่วนทำไม่ช่วง ร.5 6 7 เราถึงต้องสนิทสนมกับทางอังเฤษ ก็เพราะว่า เราเห็นว่าทางอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นชาติคู่แข็งกัน ถ้าเราคบอังกฤษไว้ซึ่งมีความเป็นมิตรมากกว่าใรั่งเศส อังกฤษก็จะช่วยรักษาถ่วงดุลอำนาจของฝรั่งเศสในสยามได้มากขึ้น ว่าง่ายๆคบอังกฤษไว้เป็นพวกให้ฝรั่งเศสเกรงใจนั้นแหละครับ แต่พอตอนวิกฤติการณ์ รศ.112 ทำให้สยามได้รู้ว่าเราไม่สามารถพึ่งอะไรอังกฤษได้ ด้วยการขอให้อังกฤษส่งเรือเข้ามาช่วยขู่ฝรั่งเศส แต่อีังกฤษกลับส่งเรือมาแค่2ลำมาลอยลำอยู่หน้าสถานทูตอังกฤษเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของอังกฤฟษเท่านั้นไม่ได้ช่วยเหลือเราแต่อย่างใด เราจึงเห็นในน้ำใจอังกฤษ รัชกาลที่5ท่านเลยเปลี่ยนไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย ถึงขนาดพระเจ้าซาร์เสด็จมาร่วมงานพระราชพิธีโสกัณให้แก่พระราชวงศ์องค์น้อย มีการต้อนรับกันยิ่งใหญ่ออกหน้าออกตาฉลองไปหลายวัน เพื่อจะแสดงให้อังกฤษและฝรั่งเศสได้เห็นว่าสยามกับอับรัสเซียมีความเป็นมิตรภาพกันขนาดไหน ขนาดพระเจ้าซาร์มงกุฎราชกุมารแห่งรัสเซียยังเสด็จมาร่วมงานด้วยตนเอง ไม่รวมกับเยอรมันอีกที่เราไปเจริญพันธไมตรีด้วยจนสนิทกันอย่างแนบแน่น จนทำให้ประเทศยุโรปอื่นต้องเกรงใจประเทศสยาม ร.5 ท่านเสด็จไปประเทศไหนทุกประเทศต้องให้การต้อนรับอย่างสมพระเกรียติ เพราะประเทศอื่นเห็นเยอรมันกับรัสเซียสนิทและให้พระเกรียติพระองค์ท่านและสยามปรึเทศแล้ว แม้แต่อังกฤษและฝรั่งเศสยังต้องให้การต้อนรับอย่างดีเช่นกัน
2ก็อย่างที่ท่านว่าแหละครับ มันเป็นแผนของญี่ปุ่นถูกต้องแล้ว ญี่ปะ่นตอนนั้นตอนอินโดจีน ญี่ปุ่นยังไม่ประกาศท่าทีอย่างโจ่งแจ้งว่าจะทำสงครามโลกครั้งที่2ทำให้ไม่มีชาติไหนคาดคิด แม้แต่ไทยเราก็คิดว่าญี่ปุ่นมาช่วยเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยให้ แต่ที่จริงแล้วญี่ปุ่นคอยดูอยู่ตั้งตานแล้ว
ไปเที่ยวสงกรานต์ครับ..เพิ่งจะได้เข้าWeb....โดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับคุณChamp ครับ....
คุณTraiครับ...ที่คุณบอกว่าก่อนสงครามอินโดจีน ไทยกับฝรั่งเศสไม่เคยมีเรื่องพิพาทกัน...
ผมว่ามันเป็นเพราะผู้นำของไทยช่วงนั้นรู้ตัวครับว่ากองทัพเราในยุค ร.5-ร.7ยังล้าสมัยกว่าทางฝรั่งเศสมากครับ
จำนวนโดยรวมทหารเราอาจจะมากกว่า...แต่เรื่องอาวุธและยุทธวิธีการรบสมัยใหม่เรายังด้อยกว่าเค้าอย่างเทียบไม่ติด
ไม่อย่างนั้นฝรั่งเศสคงไม่สามารถใช้เรือรบแค่ 2 ลำ มาทอดสมอ ขู่ให้ไทยยินยอมลงนามในสนธิสัญญาที่ไทยเสียเปรียบ
ในช่วงเหตุการณ์ รศ.112 หรอกครับ (ดูอย่างจีนในยุคนั้นที่มีกำลังทหารเป็นล้านแต่ยังล้าสมัย...สุดท้ายก็โดนญี่ปุ่นตีกวาด
เกือบครึ่งประเทศ)
ต่อมาเมื่อไทยเริ่มสร้างกองทัพได้เข้มแข็งขึ้น...ประจวบกัับฝรั่งเศสเริ่มอ่อนแอเนื่องจากเพลี่ยงพล้ำในการรบที่ฝั่งยุโรป
น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนให้ไทยกล้าเผชิญหน้ากับฝรั่งเศสมากขึ้น
ที่คุณบอกว่าช่วง ร.6-ร.7 เครื่องบินรบไทยมีร้อยเครื่อง.....แต่เครื่องบินเหล่านั้นมันเป็นเครื่องบินรุ่นเก่าที่ใช้เทคโนโลยี
ในยุคสงครามโลกครั้งที่1นะครับ...ในขณะที่ทางฝรั่งเศสมีเครื่องบินที่สมัยกว่า....ส่วนHawk-75 นั้นทางผู้ผลิตถ่วงเวลา
ให้ส่งมอบล่าช้าทำให้เราต้องไปจัดหาเครื่องบินรุ่นใหม่จากญี่ปุ่น
เท่าที่ผมอ่านมาจากนิตยสารแทงโก้สมัยแรกๆ...เครื่องบินที่เรานำไปใช้ทิ้งระเบิดในเขตกัมพูชาเป็นเครื่องบิยญี่ปุ่นนะครับ
คุณบอกว่าเราดำเนินนโยบายผิดพลาด..แต่ผมว่าผู้นำไทยในยุคนั้นดำเนินนโยบายถูกต้องทุกอย่างแล้วครับ.....ก่อนสงครามโลก
นั้นญี่ปุ่นเข้มแข็ง..เราผูกมิตรกับญี่ปุ่นทำให้เราได้ประโยชน์หลายประการ..กองทัพก็เข้มแข็งจนสามารถรับมือฝรั่งเศสได้
เมื่อเกิดสงครามโลกขึ้น...ด้านนึงเราจำยอมเป็นพันธมิตรญี่ปุ่น....เพื่อรักษาบ้านเมืองไว้เพราะหากรบกันจริงเราไม่
สามารถต้านญี่ปุ่นได้นาน (ซึ่งผิดกับฝรั่งเศสที่ทหารน้อยกว่าญี่ปุ่นแถมห่างไกลแผ่นดินแม่...แถมทางแผ่นดินแม่เอง
ก็กำลังมีสงครามไม่สามารถส่งกำลังหนุนมาได้....ไทยจึงสามารถรับมือฝรั่งเศสได้) อีกด้านนึงไทยก็ส่งคนไปติดต่อกับ
ทางสัมพันธมิตร(แม้ว่าจะไม่ได้ส่งไปเองโดยท่านผู้นำ...แต่ผมเชื่อว่าท่านน่าจะรับรู้อยู่บ้าง)..ทำให้เราเหมือนเหยียบ
เรือสองแคมหากญี่ปุ่นชนะ..เราก็มีแต่ได้ประโยชน์เป็นผู้ชนะสงคราม..อาจมีสิทธิเรียกร้องดินแดนที่เสียไปคืนได้
....หากญี่ปุ่นแพ้เราก็มีเสรีไทยเป็นข้ออ้างจนทำให้เราไม่จัดอยู่ในกลุ่มผู้แพ้สงครามทั้งๆที่เราอยู่ฝ่ายอักษะชัดๆ
คำนวณยังไงผมว่าเราก็มีแต่ได้กับได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง.....คุณอาจบอกว่าผลลัพท์ของคุณคือญี่ปุ่นบุกไทย
แต่ผลลัพท์ของผมก็คือ...เราพลิกมาใช้นโยบายตีสองหน้าจนทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นผู้แพ้สงครามแต่ผู้เดียว..ส่วนเรา
ก็เอาตัวรอดมาได้...ผมว่าตรงจุดนี้แหละ ที่มันควรจะเป็นผลลัพท์ขั้นสุดท้าย และเป็นผลลัพท์ที่ถือเป็นข้อยุติมากกว่านะ
อีกอย่างนึง.....หากไทยร่วมมือกับอังกฤษจริงเหมือนที่คุณว่า..เรามีแต่เสียกับเสียครับ...ส่วนอังกฤษได้ประโยชน์
เพราะอังกฤษอยู่ในพม่า..เค้า่ก็ต้องตั้งรับในเขตเค้า...และ ประเทศเราอยู่หน้าแทนอังกฤษอีกทีนึง
ทีนี้หากญี่ปุ่นจะรบกับอังกฤษก็ต้องผ่านเราไปก่อนจริงมั้ยครับ....อังกฤษก็สบายแฮ...เพียงแค่จัดแนวตั้งรับในพม่า..ไม่ต้องยก
ทหารมารบเองให้ล้มตาย..เพราะมีไทยเรารับหน้าเสื่อไปเต็มๆอยู่แล้ว...ถามจริงๆว่าเราจะงอมซะก่อนญี่ปุ่นจะได้รบกับอังกฤษมั้ย
....จะยอมให้อังกฤษยกทหารมาตั้งรับญี่ปุ่นในไทยก็ไม่ได้ซะด้วย...เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นกรณีไม่ต่างจากการยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพ
ผ่านเรานั่นแหละ...คุณจะเชื่อได้อย่างไรว่าหากอังกฤษกับฝรั่งเศสยกทหารมาช่วยเรารบ...พอจบเรื่องจบราวแล้วเขาจะยอม
ถอนทหารออกไปง่ายๆ...จริงมั้ยครับ
การที่ประเทศนึงผูกมิตรอีกประเทศนึงแล้วมารบกันทีหลังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ....อย่างตอนต้นสงครามโลกเยอรมันกับรัสเซีย
ก็มีความร่วมมือทางทหารกัน..และทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน...สุดท้ายก็มีฝ่ายหนึ่งฉีกสัญญาและยกทหารมารบกัน
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอครับ
ฉะนั้น...ในช่วงอินโดจีนญี่ปุ่นมาผูกมิตรกับไทย..หากเรารับไว้มันก็ไม่เสียหายอะไรเลยนี่ครับ..มันสำคัญที่ว่าหากอีกฝ่าย
มีการบิดพลิ้ว..ทางฝ่ายเราจะทำยังไงให้กลับมาได้เปรียบ..อันนี้สิสำคัญกว่า
อ้อ...อีกอย่างนึง..เห็นคุณบอกว่าญี่ปุ่นจ้องยกทัพมาตีเราตั้งแต่สมัยอยุธยา...ผมว่าคุณไม่ต้องมองไปไกลขนาดนั้นหรอกครับ
จะดำเนินนโยบายต่างประเทศแต่ละทีต้องมองย้อนไปถึงกรุงศรีเนี่ย...มันคงไม่ใช่แล้วล่ะ...ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ต้องเปิดสัมพันธ์
กับพม่า , ลาว ,กัมพูชา และ เวียดนาม เพราะเค้าเคยยกทัพมาตีบ้านเมืองของเรา...สมัยอยุธยากับต้นรัตนโกสินทร์
ยกทัพบุกกันมาจริงๆซะด้วย..ไม่ได้ขู่เหมือนโชกุนฮิเดโยชิ..ว่ามั้ยครับ
หากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ฝรั่งเศส...ยกทหารมาล่าอาณานิคมใน สมัยร.5 และ ขณะนั้นก็ยังยึดครองอยู่แถม
จ้องจะรุกล้ำเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
คุณว่าเหตุการณ์ไหนเป็นเหตุการณ์ใกล้ตัวที่ควรจะเอามาใช้พิจารณาและตัดสินใจมากกว่ากันครับ
ส่วนเรื่องญี่ปุ่นพยายามแผ่อิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคนั้นผมว่า...รัฐบาลไทยในสมัยนั้นรู้ครับ....แต่ตราบใดที่เค้าไม่ยกมารุกรานเรา
ตามมารยาทแ้ล้ว...เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสัมพันธ์กับเค้าครับ...
เหมือนกับทุกวันนี้ ทั้งจีนและอเมริกาพยายามแผ่อิทธิพลเข้ามาในแถบอาเซียนไม่ต่างกับญี่ปุ่นในยุคนั้น...พูดง่ายๆก็คือเค้าเห็นว่า
มีผลประโยชน์จึงได้เข้ามา...แต่เราก็ยังตามน้ำเข้าได้กับทุกฝ่าย...ไม่เห็นว่าเราจะมองจีน กับ อเมริกาเป็นภัยคุกคามบ้างเลยครับ.
สำคัญที่ว่าเราต้องพยายามแสดงจุดยืนของเราให้เค้าเห็นและเคารพอธิปไตยของเราให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้...ซึ่งผมเชื่อว่า
ผู้บริหารประเทศของเราในยุคสงครามอืนโดจีนและสงครามโลกนั้นพยายามทำอย่างเต็มที่แล้วครับ
ปล.อาจเข้ามาตอบช้าไปบ้างเพราะพาแฟนไปเที่ยวสงกรานต์..คงไม่ว่ากันนะครับ...และยินดีมากที่การถกเถียงของผมกับคุณTrai
จุดประเด็นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ที่เป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกในบอร์ดครับผม...ขอตัวไปดูพี่มากขา.....ก่อนละกันครับ
ต่อครับตะกี้แท็ปเล็ตทำท่าเหมือนจะค้างเลยรีบส่งก่อนเดี๋ยวหาย ทีนี้พอสยามไล่ยำฝ่ายฝรั่งเศสจนฝั่งฝรั่งเศสจวนจะเสียท่าทั้งหมดแล้ว ญี่ปุ่นกลัวว่าถ้าไม่รีบเสนอตัวเอ็นตัวกลางไกล่เกลี่ยแล้วทางไทยคงจะต้องไล่ตีฝ่ายฝรั่งเศสจนเข้าไปถึงเวียดนามแน่ ซึ่งจะทำให้แผนการของญี่ปุ่นที่จะบุกยึดเวียดนามและอินโดจีนส่วนนอกเสียแผนไปด้วยเพราะต้องรบกับไทยอีก เลยเจรจาเป็นตัวกลางให้ไทยกับฝรั่งเศสก่อนที่กองทัพไทยจะรุกไล่ไปจนถึงชายแดนเวียดนาม เราจึงหยุดบุกฝรั่งเศสต่อเพื่อเจรจากับฝรั่งเศสตามคำขอของญี่ปุ่นครับ และตอนลงนามสัญญาสงบศึกกันแล้ว ฝรั่งเศสยังมีตุกติดลอบโจมตีเรา ทำให้ญี่ปุ่นเคืองมากถึงขนาดลั่นปากว่าถ้าฝรั่งเศสยังเล่นตุกติกกับไทยอีก ญี่ปุ่นจะโจมตีฝรั่งเศสอย่างเด็ดขาดเอง ทำให้ฝรั่วเศสเกรงญี่ปุ่นจึงยอมสงบเสงีย่มตัวไปครับ งานนี้ญี่ปุ่นได้หน้าและได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ได้หน้าเพราะเป็นตัวกลางเจรจา ได้ประโยชน์เพราะสามารถให้ไทยจัดการฝรั่งเศสอินโดจีนตัดกำลังก่อนตัวเองจะทำการใหญ่ และให้ฝ่ายอินโดจีนฝรั่งเศสตัดรอนกำลังฝ่ายไทยในกรณีถ้าไทยไม่ยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านและจำเป็นต้องรบกับไทบ 3และสามารถสกัดไม่ให้ไทยรุกรบไล่ฝรั่งเศสเข้าไปในเวียดนามและเขมรส่วนนอก ซึ่งจะทำให้แผนการของญี่ปุ่นเสียแผน นั่นคือปรโยชน์ของญี่ปุ่นได้รับครับ ถึงเรากับฝรั่งเศสไม่รบกันก่อน แต่โอกาสที่จะรบชนะญี่ปุ่นนั้นก็ยากมากครับ เพราะท่านtral อย่าลืมว่าสงครามโลกมันเริ่มก่อนในยุโรปยะครับ รบกันมาก่อนที่ไทยกับฝรั่งเศสจะทำสงครามอินโดจีนด้วยครับ ช่วงทำสงครามอินโดจีนนี่ ประเทศฝรั่งเศสโดนเยอรมันยึดไปแล้วนะครับ เป็นรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ในอังกฤษ แล้วทางญี่ปุ่นจึงเปิดการบุกทางเอเชียต่อมา ซึ่งถึงเราจะไม่รบกับฝรั่งเศส ก้ไม่เห็นแววว่าจะรบชนะญี่ปุ่นครับ้พราะญี่ปุ่นเตรียมการณ์มาดีมากทั้งอาวุธยุทธภัณฑ์และกำลังทหารจากเกาหลีที่โดนเกณฑ์มารบอีก ในขณะที่ฝั่งฝรั่งเศสทางเมืองแม่แผ่นดินใหญ่ก็โดนเยอรมันงาบไปกินแล้ว อังกฤษก็จวนเจียนจะอยู่จะไป 2ประเทศนี้คงไม่มีปัญญาส่งอาวุธมาช่วยทางอินโดจีนกับพม่าหรอกครับ เพราะกว่าที่สองประเทศนี้จะตั้งตัวได้ เอ้ยไม่ใช่สองประเทศสิแค่อังกฤษประเทศเดียวทีาตั้งตัวได้เพราะฝรั่งเศสหมดสภาพไปนานแล้ว คิดหรือคระบว่าอาวุธที่มีแค่ในอินโดจีนของฝรั่งเศส ในพม่าอินเดียของอังกฤษจะพอรบยันกับญี่ปุ่นในเมื่อเมืองหลวงโดนยึดไปแล้วในยุโรป และตัวไทยเราเอง คิดบราจะรอดหรอครับถ้สขืนรบกับญี่ปุ่น เพราะระดับอาวุธเราเทียบเขาไม่ได้ ถึงกำลังจะพอยันได้แต่คงยันได้ไม่นาน ขนาดระเบิดมือ ทหารไทยก็เพิ่งได้รู้จักครั้งแรกตอนรบกับญี่ปุ่นที่ประวบนี่แหละครับ เพราะทหารญี่ปุ่นโยนใส่ทหารไทย ทหารไทยไม่รู้จักไม่เคยเห็นระเบิดมือมาก่อนโดนไปทีถึงกับเสียขวัญตกใจไปตามๆกัน เรา อีังกฤษ ฝรั่งเศส คงไม่มีปัญญาต้านญี่ปุ่นได้แน่ๆ ดูขนาดเมกาสิ ที่ฟัดตัวๆไม่ได้โดนประเทศอื่นถล่มก่อน ยังแทบเอาตัวเองไม่รอดเลย กว่าจะรบชนะญี่ปุ่นได้ยังต้องรบไปหลายปีตระเวณไปทั้วเอเชีย แล้วเรากับปังกฤษฝรั่งเศสจะรอดหรอครับในสภาพแบบนั้น ถ้าเมกาไม่ใช้ระเบิดปรมณูก็ไม่รู้ว่าสงครามจะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าไหร่
เอาง่ายๆครับ...ขนาดไทยเราสมัยนั้นกองทัพเล็กกว่าญี่ปุ่นยังสามารถเอาชนะฝรั่งเศสในอินโดจีนได้...แต่เราก็สู้ญี่ปุ่นไม่ได้
แล้วคุณTrai คิดว่ากองทัพฝรั่งเศสในอินโดจีนจะช่วยอะไรเราในการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นที่แทบจะมีขนาดใหญ่กว่ากองทัพเรา
กับฝรั่งเศสรวมกันซะอีก
ส่วนอังกฤษนั้นก็ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น...มีแต่เค้าจะได้ประโยขน์คอยตั้งรับญี่ปุ่นสบายๆในพม่า...เพราะมีเราเป็นหน้าด่าน
รบกับญี่ปุ่นแทนเค้า....จริงอยู่ในแถบมลายูก็มีทหารอังกฤษ..แต่การที่จะข้ามไปตีกำลังหลักของอังกฤษที่พม่าได้..ยังไงก็
ต้องผ่านไทยครับ
เรามีแต่สูญเสียฝ่ายเดียวเพราะรับหน้าเสื่อให้อังกฤษที่อยู่ในพม่า..ในขณะที่อังกฤษไม่ต้องเปลืองทหารซักคนเดียว
พอมองเห็นภาพมั้ยครับ
เรามีระเบิดมือใช้ตั้งแต่สมัยสงครามอินโดจีนแล้วครับ เอามาจากไหนที่ทหารไทยไม่รู้จักลูกระเบิดมือ
เหมือนเคยอ่านเจอในหนังสือจำไม่ได้ว่าเล่มไหน ว่าช่วงที่ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ประจวบ ทหารญี่ปุ่นมีการนำระเบิดมือมาใช้ แต่ทหารไทยไม่มีหรือไม่เคยเห็น พอโดนโยนระเบิดมือเข้าใส่ทำให้รนรานตั้งตัวไม่ติด ประมาณนี้แหละครับ ถ้าผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยครับเพราะอ่านมานานมากแล้วแต่พอจำได้บ้าง
เ รียนคุณ champ หากตามนี้เท่ากับผู้บริหารประเทศยุคนั้เดินตามเกมญี่ปุ่นนะครับ มันน่าแปลกไม่ได้ติดตามสถานการโลกในยุคนั้นเลยหรือครับ ไม่มแนวคิดว่าญี่ปุนจะรุกรานไทยเลยหรือครับจึงไม่ได้เตรียมตัวและพร้อมรับสถานการหากญี่ปุ่นบุก ผมคิดว่าข้อนี้เป็นข้อน่าตำหนิของผู้บริหารประเทศในยุคนั้นที่เป็นนักการทหารอย่างมากครับเพราะเป็นหน้าที่ของท่านไม่ใช่หรือครับในการป้องกันประเทศให้รอดพ้นจากการถูกรุกราน
อีกอย่างนึงครับ...
สมมุตินะครับ....สมมุติว่า.....ถึงไทย/อังกฤษ/ฝรั่งเศสร่วมมือกันจริง....ก็ไม่สามารถช่วยกันตั้งรับญี่ปุ่นได้
เพราะการรุกของญี่ปุ่นแตกต่างจากการรุกของเยอรมันในยุโรปที่ในตอนนั้นอังกฤษยังสามารถส่งทหารไปช่วย
ฝรั่งเศสรบกับเยอรมันได้
เพราะตอนนั้นกองทัพเยอรมันรุกมาทีละขั้นๆในภาคพื้นยุโรป...ซึ่งขณะนั้นอยู่ในขั้นตอนเกือบจะสุดท้ายก็คือ
ยึดฝรั่งเศสได้เป้าหมายต่อไปก็คือ อังกฤษ...ซึ่งก็หมายความว่าในตอนนั้นสงครามยังไปไม่ถึงแผ่นดินอังกฤษ
อังกฤษจึงสามารถส่งทหารของตนออกนอกประเทศไปช่วยฝรั่งเศสตั้งรับเยอรมันที่ดินแดนฝรั่งเศสได้
และเมื่อฝรั่งเศสแตก..อังกฤษก็ขนทหารของตนกลับไปป้องกันบ้าน...ทหารฝรั่งเศสและทหารชาติอื่นๆที่โดนเยอรมัน
ยึดประเทศได้ก็ลงเรือหนีไปอังกฤษด้วย..ใครที่มีเครื่องบินก็ขับเครื่องบินหนีข้ามช่องแคบไป...
ซึ่งทหารจากประเทศเหล่านี้บางส่วนที่เป็นทหารอากาศ เช่น ฝรั่งเศส , โปแลนด์ และ นักบินอาสาอเมริกัน
ก็จะกลับมาเป็นฝ่ายช่วยอังกฤษรบกับเยอรมันบ้าง...โดยช่วยขับเครื่องบินขับไล่ต่อสู้กับกองทัพเยอรมัน
เพื่อป้องกันเกาะอังกฤษในการรบแห่งบริเทน
แต่ในสถานการณ์ในภูมิภาคเราต่างกันครับ..เพราะการรุกของญี่ปุ่นไม่ได้รุกเป็นขั้นๆเหมือนเยอรมัน...แต่ญี่ปุ่น
ส่งทหารยกพลขึ้นบกแทบจะพร้อมๆทุกจุดในพื้นที่เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ฉะนั้น...ก็หมายความว่าเมื่อต่างฝ่ายต่างเผชิญวิกฤติการณ์เพราะถูกญี่ปุ่นจู่โจมพร้อมกัน...จึงย่อมไม่มีใครสามารถ
ยกไปช่วยใครได้เพราะต่างฝ่ายต่างต้องคงกำลังทหารไว้ตั้งรับญี่ปุ่นเพื่อรักษาดินแดนที่เป็นของตนไว้ก่อน
ซึ่งก็หมายความว่าถึงจะร่วมมือกันอย่างไร...แต่สุดท้ายผลการปฏิบัติก็คือ..ต่างคนต่างรบช่วยเหลือตัวเองกันไป
เพราะโดนเหมือนๆกันทุกคน....และสุดท้ายผลการรบก็คงไม่ต่างจากเดิมที่เราเห็นๆกันในประวัติศาสตร์ครับ
คุณTraiครับ...ผมว่าผู้บริหารประเทศในยุคนั้นต้องติดตามข่าวสารรอบโลกอยู่แล้วครับ
ผมว่าอย่าว่าแต่รัฐบาลเลยครับ....แม้แต่ประชาชนทั่วไปที่มีการศึกษาในยุคนั้นเค้าก็รู้ข่าวสาร
และถกเถียงกัน เรื่องที่ว่าหากสงครามมาถึงเราจะเข้าข้างฝ่ายไหน
ทวดของผมที่เสียไปแล้วแกยังเคยเล่าให้ฟังว่า คนในสมัยนั้นยังมานั่งเถียงกันว่าเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่น
ดีกว่าเพราะยังไงก็เป็นคนเอเซียด้วยกัน...ส่วนคนที่เคยไปเรียนเมืองนอกมาเคยอยู่อังกฤษมาก่อน
ก็อยากให้เราเข้ากับอังกฤษ...หากคุณเคยดูหนังเรื่องยุวชนทหารก็มีหลายฉากที่ตัวละครในหนัง
ซึ่งถกเถียงกันว่าถ้าสงครามมาถึง...เราจะเข้ากับฝ่ายไหน...ขนาดคนทั่วไปยังรู้แล้วทำไมคนใน
ระดับบริหารประเทศจะไม่รู้ครับ
คุณไม่คิดบ้างเหรอครับว่า...ในขณะนั้นรัฐบาลไทยก็ติดตามข่าวอยู่และรู้ว่าว่าญี่ปุ่นกำลังมาแรง
ซึ่งเราเองก็คงไม่สามารถต้านญี่ปุ่นได้
แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาคอยรบกับญี่ปุ่น...ก็เปลี่ยนมาเป็นหันหน้าผูกมิตรกับญี่ปุ่นแทนไงครับ
การเตรียมรับสถานการณ์ไม่จำเป็นต้องเตรียมรบกันอย่างเดียวหรอกครับ...หากวิเคราะห์แล้วว่า
เค้ามาแรงเราสู้เค้าไม่ได้จริงๆ..บางทีขั้นตอนการผูกมิตรทางการทูตก็ช่วยได้...นอกจากจะพูด
กันไม่รู้เรื่องจริงๆก็ค่อยว่ากันอีกที
สรุปก็คือการผูกมิตรกับญี่ปุ่นซะก่อนก็อาจเป็นขั้นตอนหนึ่งในการป้องกันญี่ปุ่นรุกราน
ส่วนสงครามของเรากับฝรั่งเศสนั้นผมว่ามันสุกงอมเต็มที่แล้ว...ถึงญี่ปุ่นจะเข้ามายุ่งหรือไม่...ยังไง
เราก็รบกับฝรั่งเศสอยู่ดีครับ
คุณไม่คิดบ้างเหรอครับว่า...ในขณะนั้นรัฐบาลไทยก็ติดตามข่าวอยู่และรู้ว่าว่าญี่ปุ่นกำลังมาแรง
ซึ่งเราเองก็คงไม่สามารถต้านญี่ปุ่นได้
แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาคอยรบกับญี่ปุ่น...ก็เปลี่ยนมาเป็นหันหน้าผูกมิตรกับญี่ปุ่นแทนไงครับ
การเตรียมรับสถานการณ์ไม่จำเป็นต้องเตรียมรบกันอย่างเดียวหรอกครับ...หากวิเคราะห์แล้วว่า
เค้ามาแรงเราสู้เค้าไม่ได้จริงๆ..บางทีขั้นตอนการผูกมิตรทางการทูตก็ช่วยได้...นอกจากจะพูด
กันไม่รู้เรื่องจริงๆก็ค่อยว่ากันอีกที
เรียน คุณ A-HATYAI หากข้อเขียนนี้ถูกต้อง ผมหมดข้อสงสัยครับว่าทำไมผู้บริหารประเทศยุคนั้นถึงยอมง่ายนัก มันเป็นการกระทำเพื่อความอยู่รอดแบบหนึ่งซึ่ผมไม่ถนัดในวิธีนี้ครับ ส่วนที่ว่าญี่ปุ่นน่าจะเป็นมหามิตรของไทย(ตามความเห็นของคุณ)นั่นแสดงว่าการเข้ายึดไทยของญี่ปุ่นเป็นการกระทำเยี่ยงมหามิตรอันนี้ผมไม่ขอเถียงคุณครับ และที่ว่าเราต้องยอมตามญี่ปุ่นเพื่อความอยู่รอดของไทย แนวคิดนี้มันก็ไม่ผิด แต่ผมผมมองจุดที่หน้าที่ของผู้นำประเทศในการปกป้องเอกราชของประเทศทางนโยบายและเป็นหน้าที่ของทหารในปกป้องประเทศจากการรุกรานครับ
อีกเรื่องครับ เครื่องบินรบหลักที่ไทยใช้ในสงครามอินโดจีนได้แก่ คอรแซร์ hawk3 เคอรติทมาร์ติน ส่วนhawk75และki ของญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาทตอนทิ้งระเบิดศรีโสภน ส่วนไทยสั่งซื้อเครื่องบินรบรุนใหม่จากญี่ปุ่นมันอยู่ในช่วงสงครามโลกแล้วครับ
อีกเรื่องผมต้องขอขอบคุณท่านผู้รู้อย่างมากครับ ที่ท่าน(ท่านคงป็นทหารอาชีพไม่ใช่นักรบไซเบอรอย่างผม)ได้เข้ามาชี้แจงว่าทหารไทยรู้จ้กการใช้ระเบิดมือมานานแล้ว อันนี้คงทำให้มุมมองศักยภาพของทหารไทยในสายตาของหลายคนดีขึ้นและสิ่งทำให้ผมเข้าใจอะไรอีกมากครับ ขอบคุณครับ
ผมก็มีความคิดแนวเดียวกับท่าน A Hadyai แหละครับ เรื่องระเบิดอันนี้ยอมรับครับว่าอาจจะไม่ชัวส์เพราะอ่านจากเหตุการณ์เดียว คงจะมีใช้แต่ยังไม่แพร่หลายทุกหน่วยมั๊งครับ การรบและการป้องกันประเทศไม่จำเป็นต้องรบอย่างเดียวถึงชนะหรอกครับ ชนะโดยไม่ต้องรบถือเป็นสุดยอดของชัยชนะแล้วครับ การทูตลิ้นทอง ทั่วโลกเขายกย่องให้ไทยอยู่แล้วแหละครับ แพ้สงครามแต่กลับพลิกมาชนะได้ด้วยการทูต จะมีซักกี่ประเทศที่ทำได้ ถึงรัฐบาลไทยจะรับรู้ว่าญี่ปุ่นกำลังจะทำการใหญ่ แต่ถ้าตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่มีท่าทีจะรุกรานเราอย่างโจ่งแจ้ง เราก็ไม่สามารถไปทำอะไรเขาได้หรอกครับ ที่เขาบอกว่า สู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคน อันนี้ยังใช้ได้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันแหละครับ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือเข้าไปขวาง การที่เรายอมให้ญี่ปุ่นใช้เป็นทางผ่าน อย่างน้อยก็เป็นการรักษาประเทศไม่ให้เสียเอกราชเพราะญี่ปปุ่นรุกรานไปเฉพาะหน้า ดีกว่าบ้านเมืองประชาชนต้องมาถูกกดขี่ทำลายเพราะเราขืนสู้กองทัพญี่ปุ่นที่มีกำลังอาวุธ กำลังทหารเหนือกว่า เก่งแค่ไหนก็ไม่รอดหรอกครับ การที่เรายอมไม่ใช่เราขี้ขลาด แต่เป็นการยอมเพื่อปกป้องประชาชนเมื่อรู้ว่ารบไปก็ไม่มีทางชนะ ก็เป็นมิตรกันซะเลย
ถูกต้องของคุณTrai ครับ ตอนเริ่มสงครามอินโดจีนเรามีเครื่องบินHawk3 และ คอร์แซร์อย่างที่คุณว่าผมไม่เถียง..และเราใช้
มันรบในช่วงแรกของสงครามด้วย
แต่ผมบอกคุณในกระทู้ข้างต้นแล้วไงครับว่าเครื่องบินเหล่านั้นถือว่าเรื่มล้าสมัยแล้วในยุคนั้น...เพราะเป็น
เครื่องบินปีก 2 ชั้น...ความเร็วต่ำ...ติดอาวุธได้น้อย..เป็นเทคโนโลยีในสงครามโลกครั้งที่1
แต่ในขณะที่เกิดวิกฤติอินโดจีนนั้นเป็นช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่2แล้วครับ...
ไม่งั้นไทยคงไม่เริ่มจัดหาเครื่องบินรุ่นใหม่มาเสริมหรอกครับ...จริงมั้ย
และเมื่อไทยต้องจัดหาเครื่องบินใหม่เข้ามาเสริม...การจัดหาเครื่องบิน Hawk-75จากอเมริกาก็ประสบปัญหา
ประเทศผู้ผลิตถ่วงเวลาส่งมอบให้ล่าช้า...เราจึงหันไปจัดหาเครื่องบินทิ้งระเบิดจากญี่ปุ่นมาใช้ต่อสู้กับฝรั่งเศสแทน
ไงครับ...และอีกอย่างนึงไทยสั่งซื้อเครื่องบินจากญี่ปุ่นมานานแล้วโดยเริ่มจากกองทัพเรือครับ
โดยเมื่อคราวประชุมคณะกรรมการโครงการบำรุงกองทัพเรือ ครั้งที่ 35 วันที่ 15 ส.ค.2479 ที่ประชุมได้มีมติ
ให้จัดซื้อเครื่องบินทะเล จากบริษัท Watanabe ของญี่ปุ่นเป็นรุ่น WS-103 จำนวน 6 เครื่อง
เริ่มสร้างในปี 2480..โดยกองทัพเรือส่ง รอ.ประพันธ์ เกษเสถียร ไปควบคุมการสร้าง มีการรับมอบและ
ตรวจรับกันตั้งแต่ วันที่ 25 เม.ย.2481 โดยกำหนดชื่อเป็น บร.น.1...ซึ่งเครื่องบินนี้ส่วนนึงก็ไปติดตั้งใช้งานบน
เรือหลวงแม่กลองด้วยครับ.....และหลังจากนั้นทั้งทร. และ ทอ. ก็สั่งซื้อเครื่องบินของญี่ปุ่นเรื่อยมาจนถึงสงครามโลกครั้งที่2
และ....จริงอย่างคุณว่า...สุดท้ายญี่ปุ่นบุกไทย...แต่ก็ต้องยอมรับว่าในบรรดาชาติที่ญี่ปุ่นยาตราทัพเข้าไป..ถือว่าญี่ปุ่น
ปฏิบัติกับไทยอย่างให้เกียรติที่สุด..ความบอบช้ำของเราในช่วงสงครามโลกนั้นส่วนใหญ่มาจากพันธมิตรส่ง
เครื่องบินมาทิ้งระเบิดมากกว่าความเสียหายจากการรบกับญี่ปุ่นซะอีก
และ ถ้าในช่วงเริ่มวิกฤติการในอินโดจีน...หากเราไม่คบญี่ปุ่นเป็นมหามิตร...
ผมถามหน่อยครับว่าเราจะจัดหาอาวุธจากใครมาใช้ป้องกันหากฝรั่งเศสรุกเข้ามาครับ เพราะตามที่บอกไปแล้วข้างต้นว่า
อาวธและเครื่องบินที่เรามีอยู่ก่อนหน้านี้จัดหามาจากประเทศตะวันตกก็จริง...แต่ก็เริ่มล้าสมัยแล้ว....ในเมื่อขอซื้อเครื่องบิน
จากประเทศฝั่งตะวันตกเขาก็ถ่วงเวลาส่งมอบล่าช้าเพราะกลัวเราเอาไปใช้รบกับพันธมิตรของเขา...จึงเป็นสาเหตุให้เราต้องซื้ออาวุธ
จากญี่ปุ่น...หากตอนนั้นเราไปมองว่าญี่ปุ่นเป็นภัยคุกคามอีก...เราก็คงไม่สามารถจัดหาอาวุธที่ไหนมาป้องกันประเทศแล้วล่ะครับ
ไม่ว่าจะเป็นการรุกรานจากฝรั่งเศสตามความคิดของผม หรือ การรุกรานจากญี่ปุ่นตามความคิดของคุณก็ตามที
หรือหากคุณมองว่ามหามิตรอย่างญี่ปุ่นหักหลังยกพลบุกเรานั้น.....ผมก็ได้บอกไปในกระทู้ข้างต้นแล้วว่าเราเองก็ใช้ชั้นเชิง
ที่ เหนือกว่าหักหลังญี่ปุ่นกลับอย่างเจ็บแสบเช่นกัน...จนญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงครามแต่เราดันเป็นผู้ชนะทั้งที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายอักษะเหมือนกันชัดๆ
สถานการณ์สงคราม และ การเมืองระหว่างประเทศพลิกผันได้ตลอดเวลาครับ....ไม่มีมิตรแท้ หรือศัตรูถาวร..มีแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า
ที่แต่ละประเทศต้องฉกฉวยให้ตกอยู่กับฝ่ายตนมากที่สุด
คุณTraiบอกผมเองไม่ใช่เหรอครับว่าคุณดูที่ผลลัพท์...คำว่าผลลัพท์ก็บอกชัดเจนอยู่แล้วครับ....ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเหตุการณ์ถึงที่สุด
แต่ผลลัพท์ของคุณคือ ภายหลังญี่ปุ่นบุกไทยนั้น มันยังไม่ใช่ผลลัพท์ในขั้นสุดท้ายครับ..เพราะเหตุการณ์ยังไม่ถึงที่สุด หรือพูดง่ายๆก็คือ
เพราะสงครามยังไม่สิ้นสุดครับ
ผลลัพท์ขั้นสุดท้ายที่แท้จริง คือ เราต้องมาดูเมื่อสงครามสิ้นสุดแล้ว..เราพลิกมาทำให้ญี่ปุ่นเพลี่ยงพล้ำด้วยนโยบายทางการเมืองของเรา
ในขณะนั้น...นั่นแหละครับคือผลลัพท์ที่แท้จริง
และ..ผมขอขอบคุณ คุณChamp ที่ได้เข้ามาร่วมถกในประเด็นนี้และสนับสนุนแนวคิดของผมครับ...
ผมก็เป็นสมาชิกใหม่..เคยอ่านอย่างแดียวมานานแล้ว..แต่ไม่ค่อยได้เข้ามาแสดงความเห็น...ผมเองก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องของประเด็นที่ผม
ถกกับคุณ Trai จะเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาได้
และสุดท้ายนี้.......เมื่อเย็นวันนี้ผมย้อนกลับไปดูในกระทู้ที่ผมโต้ตอบกับคุณTrai ก่อนหน้านี้...ผมรู้สึกว่าผมใช้ถ้อยคำรุนแรง และ
โต้ตอบในลักษณะเสียดสีกระทบกระแทกคุณมากเกินไป.....ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำเลย..ที่จริงมันเป็นความเคยชินของ
ผมที่ใจร้อน และ มักใช้ถ้อยคำที่ค่อนข้างแรงในการตอบโต้คู่สนทนาไม่ว่าจะเป็นการพูดคย และ การพิมพ์โต้ตอบทาง Mail
หรือ ทางแชทกับเพื่อนในชีวิตประจำวันจนติดเป็นนิสัยบางทีอาจเผลอแสดงพฤติกรรมที่ไม่สุภาพ..และมักจะมาสำนึกได้ทีหลังทุกที
ผมจึงต้องขออภัยคุณ Trai มา ณ ที่นี้ด้วยครับ..ขอโทษจริงๆครับ
อ้อ...อันนี้ผมขอเสริมคุณ Trai อีกเรื่องนึงครับ...แผนโจมตีท่าเรือไซ่ง่อนที่คุณว่านั้น...
ผมไม่แน่ใจว่าคุุณ traiหมายถึง "ยุทธการฮาเตียน" รึเปล่า...?
ที่จริงผมก็เคยอ่านผ่านตาใน Web มาเช่นกันครับ.....แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น
และไม่ทราบว่ามีบันทึกเป็นทางการเกี่ยวกับแผนการครั้งนี้หรือไม่...
ที่อ่านผ่านตาใน Web แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่ายกเลิกแผนเพราะเสี่ยงเกินไป หรือ การเจรจาสัมฤทธิ์ผล
จึงยกเลิกการใช้กำลังทางทหาร
แต่ถึงอย่างไรก็ตามการที่เราเอาทัพเรือที่อ่อนแอกว่า..ไปโจมตีข้าศึกที่มีทัพเรือเข้มแข็งกว่าในน่านน้ำข้าศึกเอง
ผมถือว่าเสี่ยงเกินไป และ เป็นไปไม่ได้เพราะมีโอกาสเสียมากกว่าได้...ตามเหตุผลที่ผมได้ให้ไว้ในในกระทู้การ
ซ้อมรบด้วยกระสุนจริงครับ
อ้อ..อีกอย่างนึง...ใครก็ได้ช่วยบอกทีครับว่า...เมื่อเยอรมันยึดฝรั่งเศสได้..จนฝรั่งเศสต้องหนีไปตั้งรัฐบาลพลัดถื่น
ในอังกฤษนั้น
ไม่ทราบว่ากองทัพของฝรั่งเศสที่ประจำการในอินโดจีนช่วงที่รบกับไทยนั้น...ขึ้นตรงกับรัฐบาลพลัดถิ่นของฝรั่งเศสในอังกฤษ
หรือว่าขึ้นกับรัฐบาลวิซี่ ที่จัดตั้งโดยเยอรมันครับ
ครับ ยินดีครับคุณ A Hadyai และคุณ tral ด้วยครับ แลกเปลี่ยนแนวคิดกันสนุกดีครับ ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องหน้าเบื่อ ถ้าเราเลือกที่จะพูดคุยกันอย่างสร้างสรรค์ ผมก็ไม่ได้คุยถามตอบ แลกแนวคิดแบบนี้มานานแล้ว พอเจอกระทู้นี้ซึ่งเป็นแนวที่รู้สึกถนัด เลยเข้ามาแลกเปลี่ยนแนวคิดกันครับ ผมขอเน้นอีกอย่างสองอย่างนะครับว่า ประวัติศาสตร์เราเรียนเพื่อศึกษาความเป็นมารวมถึงข้อผิดพลาดในอดีต ไม่ใช่ศึกษาเพื่อมาปลูกฝังจงเกลียดจงชังซึ่งกันและกัน ไม่อย่างโลกนี้คงไม่มีวันมีความสงบสุขหรอกครับ และจงอย่าเอาอดีตมาขัดขวางปัจจุบัน และทำลายอนาคต นะครับ
เสรีไทยถูกปล้นความสำเร็จ จอมพล ป ถูกพวกหัวเก่าใส่ร้าย ตอนเสรีไทยสวนสนามหลังสงครามมีคนอิจฉาผูกใจเจ็บเยอะ
เป็นฝรั่งเศสวิชี่ครับ
ขอบคุณ..คุณtoeytei มากครับ...นี่แหละครับที่ผมสงสัยอีกอย่างนึง...คืองี้นะครับ
หากเราไม่นับอเมริกาที่ยันญี่ปุ่นอยู่ที่ฟิลิปปินส์....ผมว่าน่าจะเหลือทหารชาติตะวันตกเพียงแค่ชาติเดียวเท่านั้นที่
ต้องรับมือกับญี่ปุ่นในในแถบใกล้ๆบ้านเรา คือ ทหารของเครือจักรภพอังกฤษที่อยู่ในมลายู และ พม่า
เพราะถ้าหากผมคิดไม่ผิด...หลังสงครามอินโดจีนญี่ปุ่นคงไม่มีความจำเป็นที่จะรบกับกองทัพฝรั่งเศสในอินโดจีน
เพราะกองทัพในอินโดจีนนั้นขึ้นตรงกับรัฐบาลวิซี่ที่ก่อตั้งโดยเยอรมันซึ่งเป็นฝ่ายอักษะและเป็นพวกเดียวกับญี่ปุ่นแล้ว
ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ครับ
ฝรั่งเศสไม่ได้เป็นพวกญี่ปุ่นนะครับ
คือตอนนั้นฝรั่งเศสในอินโดจีนอารมณ์คือโดนปล่อยเกาะ เพราะประเทศแม่แพ้กลายเป็นพลัดถิ่น ที่อยู่ในอินโดจีนเลยเลือกเอียงเข้าข้างฝ่ายวิชี่ แต่อย่างไรก็ตามก็แทบจะอยู่กันตามลำพัง การสนับสนุนสื่อสารไม่มี
ทีนี้ญี่ปุ่นก็เข้ามามีอิธิพลในแถบอินโดจีน ต้องการเข้าไปตัดการส่งกำลังบำรุงไปจีนผ่านทางเวียดนาม ฝรั่งเศสก็ไม่กล้าสุ้ ความจริงก็มีตีกันพอหอมปากหอมคอ ญี่ปุ่นก็เข้าไปมีบทบาทต่างๆ แต่งตั้งนายกเอง ปลดคนเก่าทิ้งเพราะคุยไม่รู้เรื่อง
สรุปคือตอนนั้นญี่ปุ่นเข้ามามีอิธิพลเหนือฝรั่งเศสพอๆกับที่มีเหนือไทย มีการยื่นข้อเรียกร้องต่างไปทางรัญบาลฝรั่งเศสในอินโดจีน ปล่อยให้ปกครองกันไปเองก่อน แล้วก็ค่อยๆหาจังหวะกลืนกิน
ส่วนที่ไทยตีกับฝรั่งเศสนั้นญี่ปุ่นก็มองๆอยู่ ตอนแรกเราบุกทางบกกำลังมันมือ ฝรั่งเศสแก้ลำด้วยการส่งกองเรือมาลอบโจมตีที่เกาะช้าง
ตอนนั้นกำลังทางเรือของฝรั่งเศสอ่อนกว่าไทยมาก แต่ของเราประสบการณ์รบต่ำกว่าเยอะเลยแพ้ไป
ญี่ปุ่นเห็นตีกันชักเละเลยเข้ามาเคลียร์ ซึ่งเราได้เปรียบฝรั่งเศสมากจากการเจรจาเพราะถือเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ได้ดินแดนคืนมาหลายผืน
ส่วนเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ผมถือว่าเราดริฟฝุ่นตลบเอาตัวรอดมาได้ดีทีเดียว ดูทิศทางลมแก้กันไปตามสถานการณ์ ตอนสงครามเปลี่ยนทิศ ญี่ปุ่นเริ่มเพลี่ยงพล้ำ เราก็ปรับตัวตามกระแส
ผมจำได้ว่าประเทศฝรั่งเศสโดนเยอรมันตีแตกไปตั้งแต่ก่อนเราเริ่มทำสงครามอินโดจีนแล้วครับคุณ A Hatyai ตอนที่ฝรั่งเศสยื่นข้อเสนอไม่รุกรานกันให้กับไทยตอนนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสก็เป็นรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ต่างประเทศแล้วครับ เพราะฉะนั้นผมจึงบอกว่าถึงจะรบกันยังไงไม่ว่าตอนสงครามอินโดจีน หรือสงครามโลกครั้งที่2 ฝรั่งเศสก็ส่งกำลังากแผ่นดินแม่ทางยุโรปมาสนับสนุนกำลังที่ภูมิภาคอินโดจีนได้หรอกครับ สงครามที่ยุโรปเริ่มก่อนสงครามทางเอเชียหลายเดือนหรือเป็นปีครับ
สวัสดี ครับคุณchamp คุณA_HATYAI ๓วันแล้วครับ ผมจมอยู่กับเรื่องนี้ ตอนนี้ผมอ่านบทความข้อเขียนพวกคุณอย่างละเอียดผมพอจะประเมินได้แล้วครับผมกำลังโต้เถียงอยู่กับใคร (คำพูดของใครไม่รู้คุ้นๆ) ยอมแพ้ครับ
มันไม่ได้แพ้หรือชนะหรอกครับคุณ tral แค่แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นกันประสาเพื่อนฝูกคนที่ชอบอะไรเหมือนๆกันแหละครับ สนุกดีออก อย่าไปคิดว่าเถียงกันอาแพ้หรือชนะ เราแลกเปลี่ยนความคิดพูดคุยกันสนุกๆเฉยๆ ยินดีมากเลยครับที่ได้พูดคุยกันสนุกและได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางประวัติศาสตร์กัน ผมก็พลเมืองธรรมดาตาดำๆนี่แหละครับไม่ไดป็นครูหรือนักประวัติศาสตร์อะไรที่ไหน ใจรักเหมือนกันก็พูดคุยกันสนุกๆล่ะคร๊าฟฟฟ เพื่อนพี่น้องกันทั้งนั้น อิอิ
อย่าเรียกว่าเราจะเอาชนะกันเลยครับคุณ Trai ...เรียกว่าเรามาแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดกันดีกว่า
บางทีข้อเขียนของผมก็อาจจะไม่ได้ถูกต้องเสมอไปครับ...ผมเพียงแต่วิเคราะห์ออกมาจากข้อมูลที่พอจะทราบ
ซึ่งบางส่วนก็อาจจะผิดพลาดบ้าง..ตามที่คุณtoeytei และ คุณ Champ ได้เข้ามาทักท้วงและช่วย
เสริมข้อมูลที่ถูกต้องให้นั่นแหละครับ
เรามาถกประเด็นกันอย่างนี้อาจมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา....สุดท้ายแล้วเราก็มาขออภัยกัน
และอยู่กันตามประสาพี่น้องเพื่อนฝูงที่รัก และ ชอบในสิ่งเดียวกันครับ
ยังไงถ้าหากว่ากระทู้ใดๆของผมก่อนหน้านี้...มีการใช้ถ้อยคำรุนแรง หรือไม่เหมาะสมต่อคุณ Trai
ผมก็ต้องขอโทษคุณ Trai ณ ที่นี้อีกครั้งครับ
ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ
ทหารฝรั่งเศส ในสงครามอินโดจีน นั้น...ไม่ใช่ ทหารแท้ ๆ เท่าไหร่ครับ...เหมือน พวกฝรั่ง บุกเบิก รับจ้างมาเป็นทหารยซึ่งมีเพียงบางส่วน และผสมกับยกำลังพลที่เป็นชาวพื้นเมือง ส่วนหนึ่งด้วย...กำลังทหารหลักแท้ ๆ ของ ฝรั่งเศส ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ เวียดนาม...
เครื่องบินของ ฝรั่งเศส ก็ล้าสมัยกว่าไทย ครับ...ในการ ปะทะ กัน...
ส่วนความสัมพันธ์ ไทย กับ ญี่ปุ่น...ถ้าดูเข้าจริง ๆ แล้ว...เป็น พันธมิตร กันครับ...เพราะ ไทย ยกกองทัพ ร่วมกับ ญี่ปุ่น บุก พม่า ครับ...
ตามกระทู้เก่า ตามลิงค์ ครับ..
ถึงได้สร้างความโกรธ ให้แก่ อังกฤษ มากครับ (ค่ายเชลยศึกที่ จ.กาญจนบุรี สร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว)...อังกฤษ ถึง ดึงดันจะให้ ไทย เป็นประเทศพ่ายแพ้สงคราม...แต่ อเมริกา ก็มาสนับสนุนไทย แทน...ซึ่ง คงต้องยอมรับว่า สหรัฐ มองภาพการเมืองได้ ไกล กว่า อังกฤษ หรือ ประเทศตะวันตก อื่น ๆ มาก...
ซึ่ง การที่ ไทย ยกทัพร่วมกับ ญี่ปุ่น บุก พม่า นั้น...ผมก็มองว่า...ไทย เอง ก็คิดว่า ญี่ปุ่น จะชนะสงครามใน เอเชีย และ ไทย คงจะได้รับส่วนแบ่ง พื้นที่การปกครอง ร่วมกับ ญี่ปุ่น ด้วย...
ซึ่งเป็นข้อมูลหนึ่ง ในประวัติศาสตร์สงครามโลก ที่เป็นข้อมูลว่า ทำไมที่ผ่านมาหลังสิ้นสุดสงครามโลก พม่า ถึง ไม่ไว้วางใจ ไทย...
เรื่องทหารฝรั่งเศสในอินโดจีนน่าจะเป็นทหารรับจ้าง หรือ ทหารพื้นเมืองจริงๆอย่างคุณ Juidasว่าครับ
เพราะผมจำได้เลือนรางเกี่ยวกับบทความที่เคยอ่านเรื่องการรบที่สมรภูมิบ้านพร้าว...รู้สึกว่า
กองทัพฝรั่งเศสที่ไทยถูกตีแตกที่สมรภูมิบ้านพร้าวนั้นก็เป็นกองพันทหารต่างด้าว
ซึ่งตามความเข้าใจของผมกองพันทหารต่างด้าว ก็คือ คนชาติอื่นที่มาสมัครเป็นทหารรับจ้างให้ฝรั่งเศส...
ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า...?
ส่วนเรื่องไทยร่วมกับญี่ปุ่นยกทัพบุกพม่าเนี่ย....เป็นเรื่องใหม่ที่ผมเพิ่งจะได้รับทราบเลยครับ
ไม่ทราบว่าจะหาอ่านอย่างละเอียดได้จากที่ใดบ้างครับ
น่าจะเป็น สงคราม ที่หาอ่านได้ยาก ครับ...เพราะ ประเทศไทย เอง ก็คงไม่ต้องการให้เป็น รับรู้ โดยทั่วไปครับ...
แต่เคยมี หนังสือเล่าเรื่องอยู่เล่มหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ครับ...ไว้จะกลับไปค้นหาให้อีกทีครับ...ทหารไทย ที่ไปรบครั้งนี้ เขาจะเรียกว่า สงครามที่ถูกลืม...หรือ กองทัพที่ถูกลืม...ยังไงเนี่ยล่ะครับ...จำไม่ได้แม่นนัก....
เรียกได้ว่า...เป็น กองทหารไทยที่ถูกทิ้ง ครับ...ต้องหาทางกลับบ้านกันเอง ทำนองนั้นครับ...เหมือน รัฐบาล จะไม่รับรู้ว่ามี กองทัพไทย ในศึกครั้งนี้...
ใช่แล้วครับป๋าเรียกได้ว่าโดนปลดกลางอากาศเลยก็ว่าได้ น่าเศร้ายิ่งนักที่มีการสร้างอนุเสาวรีย์อย่างยิ่งใหญ่ แต่ทหารจริงๆกลับถูกทิ้งและปล่อยให้ต้องเดินเท้ากลับบ้าน หลายคนไม่กลับตั้งรกรากอยู่ที่เขมรเลยมีครอบครัว ลูกหลานทหารไทยบางคนปัจจุบันเป็นนักการเมืองเขมรซะด้วย
คุณ A Hadyai ไม่ทราบจริงๆหรือครับเกี่ยวกับกองกำลังพายัพของเราที่ไปช่วยร่วมรบกับญี่ปุ่นบุกพม่า เดี๋ยวจะเล่าแบบรวบรัดนิดหน่อยให้ฟังนะครับ คือจำได้มั๊ยครับที่ผมบอกว่าในสัญญาระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในข้อตกลง4ข้อที่ว่า ถ้าไทยยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านและรับข้อตกลง4ข้อของญี่ปุ่น ข้อที่สำคัญคือไทยต้องรรวมเป็นพันธมิตรร่วมรบกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่มาของการบุกพม่าของทหารไทยร่วมกับญี่ปุ่นครับ การบุกครั้งนี้รัฐบาลส่งกองกำลังภาคพายัพ เข้าบุกเชียงตุงผสมกับกำลังทหารญี่ปุ่นโดยทหารฝ่ายไทยจำรับหน้าที่หลักในการบุกยึดเชียงตุงเพื่อขึ้นทางเหนือเชียงตุงไปต่อต้านกองทัพจีนที่จะยกกองทัพมาช่วยอังกฤษ ตอนนั้นการบุกของทหารไทยที่เข้าเชียงตุงแทบเรียกได้ว่าไม่มีการต่อต้านจากฝ่ายทหารอังกฤษและทหารพม่าเลย เนื่องจากส่วนใหญ่ถอยไปรับมือทหารญี่ปุ่นในเขตเมือง เมื่อกองกำลังพายัพของเรายาตราทัพเข้าสู่เมืองเชียงตุง ชาวบ้านต่างออกมาแสดงความยินดี รวมถึงเจ้าเมืองเชียงตุงที่มีภรรยาเป็นคนไทย ได้กล่าวว่ายินดีมากที่ได้กลับมาร่วมแผ่นดินกับคนเชื้อชาติไทยอีกครั้ง โดยทางรัฐบาลไทยได้้ตั้งจังหวัดเชียงตุงเป็นเมืองเอกของรัฐฉานที่ไทยยึดได้ทั้งหมดตามสนธิสัญญาของไทยกับญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นจะยกดินแดนรัฐฉานและเมืองต่างๆคืนให้แก่ทางไทย โดยรัฐบาลไทยได้ตั้งชื้อรัฐฉานใหม่เป็น จังหวัดสหรัฐไทยเดิม โดยมีการอัญเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสาแทนธงชาติอังกฤษ เมื่อยึดเชียงตุงและรัฐฉานได้เรียบร้อยแล้วทหารไทยก็ต้องทำภารกิจต่อไปคือการรุกเข้าไปที่ชายแดนจีนกับรัฐฉานเพื่อยันกองทัพจีนของกองทัพรัฐบาลจีนที่โดนญี่ปุ่นตีแตกและหนีมาซ่องสุมกำลังแถวชายแดนจีนแถวๆรัฐฉาน เพื่อป้องกันกองกำลังรัฐบาลจีนกลุ่มนี้ยกกำลังเข้าตีกำลังทหารญี่ปุ่นในพม่า เมื่อทหารเข้าถึงชายแดนจีนก็ต้อวพบเจอกับอุปสรรคใหญ่คือสภาพอากาศที่หนาวเย็นซึ่งทหารไทยไม่เคยพบเจอขนาดนี้มาก่อน การรบระหว่างทหารไทยกับจีนผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะทหารจีนก็ไม่สามารถเจาะแนวรับของทหารไทยเข้ามาได้ ทหารไทยก็รุกเข้าสู่พื้นที่จีนไม่ได้เนื้องด้วยอากาศหนาวเป็นอุปสรรคและไม่ชำนาญพื้นที่และทหารจีนก็ป้องกันอย่างเหนียวแน่น และตอนนั้นทหารไทยเริ่มขวัญกำลังใจเสียท้อแท้ใจเพราะเริ่มมีคนพูดและคิดว่า ทำไมต้องเอาชีวิตมาแลกมาตายในแผ่นดินอื่นที่ไม่ใช่สงครามของไทยและไม่ได้ตายเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย สุดท้ายหลังสงครามฝ่ายรัฐบาลไทยได้ตัดหางปล่อยวัดกองกำลังภาคพายัพนี้โดยการไม่ส่งเสบียงและรับกลับเหมือนจะปล่อยตัดขาดไม่ยอมรับไปเลย ทหารบางคนต้องะอาปืนกระสุนไปแลกกับข้าวกิน บางคนเรียกทหารเหล่านี้ว่ากองพัน5สี เพราะเสื้อผ้าชุดทหารที่เก่าขาดต้องจ้างให้ชาวบ้านเอาเศษผ้าสีอื่นตัดแปะปะให้จนกลากสีไปหมด บางคนก็ไม่กลับมาปรุเทศไทยอีก บางคนที่กลับก็ต้องเรียกว่าเดินนับไม้หมอนทางรถไฟกลับบ้านกันเลยทีเดียวครับ ท่าน A Hadyai ลองหาใน google อ่านดูนะครับ ผมอ่านในหนังสือชื่อ ซามูไรบุกสยาม ครับ
ในช่วงระยะเวลานั้น ประเทศพม่า เป็น ประเทศในการปกครองของ สหราชอาณาจักร (อังกฤษ)
การทำสงคราม บุก เข้า พม่า ของ ญี่ปุ่น และ บางส่วน ที่มี กองทัพไทย เข้าร่วมด้วย ก็เหมือนกับ การทำสงครามกับ อังกฤษ ครับ...
ธง ประเทศพม่า ในข่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เรียนคุณ Champ , คุณJuldas
บางเรื่องผมก็ยังไม่รู้ข้อมูลจริงๆดังที่บอกไว้ในกระทู้ข้างต้นครับ
เรื่องทหารไทยเดินทัพเข้าเชียงตุงนั้น...ผมเคยได้ยินมาบ้าง...แต่ในความเข้าใจของผมนั้น
ในตอนแรกผมนึกว่าในขณะนั้นหลังจากไทยเข้าร่วมกับญี่ปุ่นแล้ว...จึงจำเป็นต้องส่งทหารร่วมเดินทัพไปกับญี่ปุ่น
แบบพอเป็นพิธีเพื่อไม่ให้ญี่ปุ่นระแวงเรา
ประมาณว่า เราส่งทหารไปคุมเชิงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเราไว้
ไม่นึกว่า ในความเป็นจริงทางฝ่ายไทยต้องเข้าทำการรบอย่างเต็มรูปแบบด้วย
..ถือเป็นความรู้ใหม่สำหรับผมครับ...สงสัยต้องหาข้อมูลเพิ่มแล้ว...ขอบคุณครับ
ถ้าจำไม่ผิดลองไปหาหนังสือชีวประวัติจอมพลผิน ชุณหวัณ ดูครับ เล่มสีเหลืองเข้ม มีขายเมื่อสัก 2-3 ปีก่อน ครับ