ตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีที่แล้ว มีการยืนยันจากราชนาวีสเปนว่า จะปลดระวางประจำการเรือบรรทุกเครื่องบิน Príncipe de Asturias และเรือฟริเกตชั้น Santa María 2 ลำ เนื่องจากรัฐบาลสเปนประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก
และผมตรวจสอบกับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Spanish_aircraft_carrier_Pr%C3%ADncipe_de_Asturias
ระบุวันปลดประจำการ 6 กุมภาพันธ์ 2013
ภาพเก่าๆ
R-11 ตีคู่กับ 911
ขอโทษครับลืมย่อขนาดภาพ
น่าเสียดายนะครับ ??
ของเรา 1 ลำ
ของเขา อีก 1 ลำ ถ้าไปเหมามาได้นี่
แหล่มทีเดียว
อ่าวไทย - อันดามัน ???
จะเอามาทำอะไรหละครับ ท่านsentinal71
911 เราลำเดียวยังมีเครื่องบินไม่พอเลย
เอาเงินไปซื้อฮ.ให้ครบดีกว่า...
เจ้า R11 เป็นพี่น้องกับ 911 ของไทยเรา แต่มีขนาดใหญ่กว่า ถ้าได้มา
1. sea control
2. ไว้สำหรับกู้ภัย เพราะภัยพิบัตทางทะเลไทยเราเกิดบ่อยจึงต้องมีเรือที่สามารถทนคลื่นสูงลมแรงไ้ มีขนาดใหญ่ไว้อบพยบ เป็งโรงพยาบาลรอยน้ำ
ถ้าได้เจ้า R11 นี้มาจะต้องบวก AV-8B Harrier II มาด้วยถึงจะคุ้มค่าทางยุทธศาสตร์
ประเทศต้อนล่างเข้าว่างระบบอากาศยานไว้ีมากๆๆ ปิดเราหมดเลย ขอพานอกเรื่องหน่อย
18 SU-30 VS 12 jas39 อย่าหวังว่าจะลุมกินโต๊ะเขา ระบบ Data link พอๆ
8 F/A-18 VS ? ถ้าได้ AV-8B Harrier II มาแรกหมัด AIM-9,120 ถึงจะเป็นรองเรื่องขับไร่แต่ระยะยิงเท่ากัน
ตามแผนเดิมก็ต้องการ 2 ลำ แต่งบไม่อำนวยมานาน 15 ปี หวังว่า 10 ปีจากนี้งบประมาณสำหรับทร.น่าจะอำนวยมากขึ้นมาก ถ้าได้ถึง 3 ใน 4 ของทบ.หรือ เท่าๆกัน ก็มีแนวโน้มที่จะมีงบจัดหาเรือ seacontrol อีกลำ เพราะว่าเรือฟรีเกต ASW ใหม่ และเรือฟรีเกตป้องกันภัยทางอากาศถ้ามีการจัดหาครบตามแผน ก็ต้องได้ 6 ลำ ซึ่งประสิทธิภาพ 6 ลำนี้เพียงพอคุ้มกันเรือบรรทุกบ.เบาอยู่แล้ว ดังนั้นจะมีเรือฟรีเกตชั้นเจ้าพระยาอีก 4 เรือชั้นนเรศวรอีก 2 รวมอีก 6 ลำ น่าจะพอจัดตั้งกองเรือบรรทุกบ.เบากองที่สองได้ แต่ใจผมอยากได้ SAC-220 ที่สุดครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับเงิน..
เราน่าจะพอติดต่อกับสเปน เพื่อขอรับการช่วยเหลือได้บ่างหรือเปล่าเนี่ย เห็นว่าสนิทกันมากอยู่
เรือบรรทุกเครื่องบิน Príncipe de Asturias ก็สเปกดีกว่าจักรีนฤเบศของเรา ขนาดก็ใหญ่กว่า ถ้าได้มาแล้วก็ปลดประจำการ จักรีนฤเบศไป แล้วโยกอุปกรณ์ที่เพื่งจะอัพเกรดไปมาใส่ตัวนี้ ดูแล้วน่าจะมีอนาคตนำมา upgrade ต่อได้มากกว่า(มีโอกาศสำหรับเจ้า Sea Gripenมากกว่า) หรืออย่างน้อยก็ขอถอย AV8B มือ2 มาใช้ก็ยังดี
เรือชั้น Santa María ก็ประมาณเรื่อ Oliver Hazard Perry ของอเมริกาแต่ต่อในเสปน แล้วมีแท่นยิง Mark 13ติดมากับเรือแน่นอนด้วย เอามาอัพเกรดใส่ SM-2MR ได้ น่าจะดีกว่าไปเอา Oliver Hazard Perry ของอเมริกาหรือเปล่า หรือว่าเอามาทั้ง2เจ้า รวมเป็น 4 ลำจะได้มีใช้ทั้งสองฝากทะเลอ่าวไทยและอันดามัน
ผมว่าอย่าเลยครับ มันจะไม่เป็นประโยชน์
1. เก่ากว่าจักรีฯเป็นสิบกว่าปี
2. ใหญ่กว่าก็ไม่เท่าไหร่
อีกอย่างเราเครื่องบินไม่มีจะใส่ให้เต็มจักรีฯเลยครับ สรุปว่าเอามาจะเกะเกะเปล่าๆ ที่สำคัญจะเข้าอู่ของกรมอู่ทหารเรือไม่ได้นะสิ จักรีฯนี่พอดีเป๊ะ ต้องคำนวณกันละเอียดยิบกว่าจะจับเข้าอู่ได้ แล้วจะทำการซ่อมบำรุงไงล่ะทีนี้
ถ้าจะมาขอเอาแค่เครื่องบินดีกว่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสภาพจะอยู่ได้นานแค่ไหน
ถ้าทู้กถูกเอามาก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวนักบินจะคืนครูหมด พออนาคตเราจะมีเครื่องบินบนเรืออีก(นานนนน) องค์ความรู้จะได้ไม่หายหมด
เรื่องจะไปตีกับข้างล่างนั้น ระบบเรดาร์เป็นรองเอฟสิบแปดดีของมาเลเซีย เนื่องจากเป็น apg 65 ขณะที่ของมาเลเซียเป็น apg 73 ซึ่งเป็น apg 65 รุ่นอัพเกรด
santa maria อย่าเลยครับ เก่ามากกก แท่นยิงมีอยู่แท่นเดียวมันจะไม่ทันกิน เพราะต้องคอยโหลดหลังจากยิงแต่ละนัด เป็ระบบที่เลิกใช้กันแล้ว
อีกทั้งแท่นยิงก็ไม่รองรับ sm 2 นอกจากนั้นอเมริกาก็ไม่ขายให้อยู่แล้ว
ที่คุณ neosiamese2 บอกมานั้นก็ถูกที่ขึ้นกับเงิน
แต่ถ้าจะพูดตามความเป็นจริงก็น่าจะคำนวนความน่าจะเป็นของเงินด้วย ซึ่งเรือป้องกันภัยทางอากาศกับต่อต้านเรือดำน้ำถ้าได้มาสักสี่ลำนี่ก็ฟ้าประทานแล้วครับ
สว่นเรื่องเรือชั้นเจ้าพระยาถ้าจะเอามาคุ้มกันกองเรือด้วยนี่คงต้องอัพเกรดโอเวอร์ฮอลล์เลยทีเดียว
แล้วถ้านับว่ากว่าจะได้งบเท่าที่ต้องการในสิบปี ตอนนั้นจะเอาเครื่องอะไรมาลง แฮรริเออร์จากทีเก่าก็แทบจะสุญพันธุ์
จะรอเอฟสามสิบห้าเลย ก็ เรือจะปลดก่อน กว่าเราจะถึงคิว ที่สำคัญกว่าเราจะมีเงินซื้อราคากระอักเลือด ผมว่ากลาโหมคงต้องให้ทอ.มีใช้ก่อนล่ะครับ
ทร.อาจจะต้องไปยูเอวีเลยรึเปล่า เพราะอนาคตัวเลือน่าจะเยอะกว่า ถูกๆหน่อย
เอา AV 8 มาใช้ก่อนดีไหม สเปนน่าจะสำรองเยอะอยู่นะ
คงไม่ขายแพงน๊า
ผมคิดว่าถ้าเอาเงินไปซื้อเรือเหล่านี้ เราเอามาสร้างอู่ราชนาวีเฟส 2 ให้สามารถรองรับเรือที่มีขนาดมากกว่า 50,000 ตัน ดีกว่ามั้ยครับ
เห็นภาพนี้แล้วอึดอัดแทนเจ้า 911 จริง
อีก 10 ปี อู่ราชนาวีน่าจะเป็นแบบนี้ ถ้าหากมีงบเพียงพอ
จากกระทู้เก่าๆของผมที่เคยพูดถึงอู่ราชนาวีเฟส 2 และพูดถึงอู่ต่อเรือของเวียตนาม อู่แห้งใหญ่ที่สุดของเขามีขนาดยาวกว่า 400 เมตร และกว้างกว่า 40 เมตรทีเดียว ซึ่งรองรับเรือได้ถึงเฉียด 500,000 ตัน
ดูจากภาพโมเดลของอู่ราชนาวีหมายเลขสอง ผมกะขนาดประมาณยาวกง่า 350 - 400 เมตร และกว่าอยู่ในช่วงประมาณ 40 -45 เมตร ดังนั้นน่าจะรองรับเรือบรรทุกสินค้าได้กว่า 300,000 ตันทีเดียว แต่ถ้าเป็นเรือรบ ก็คงมากกว่า 50,000-60,000 ตัน เพราะตามที่ท่านชวลิตเคยวางแผนพัฒนาอู่ราชนาวี ก็ต้องการให้อู่หมายเลขสองรองรับ SAC-220 ซึ่งมีขนาดยาวประมาณ 240-250 เมตร และกว้างไม่น้อยกว่า 40 เมตร ถ้าแบ่งอู่เป็นสองส่วน แบบอู่หมายเลขหนึ่งได้ น่าจะสามารถรองรับการซ่อมบำรุงและต่อเรือฟรีเกตพร้อมกันทีเดียว 4 ลำ ได้ ซึ่งจะทำให้งานเดินเร็วขึ้นมาก
จริงอู่ทั้งสองออกแบบมาเพื่อรองรับการซ่อมบำรุงกองเรือฟรีเกตที่วางแผนไว้ว่าต้องการ 20 ลำ หรือ 2 กองเรือ และเรือจักกรี และ SAC-220 ขนาด 30,000 ตันได้ รวมทั้งต้องมีขีดความสามารถรองรับการซ่อมบำรุงแก่กองเรือดำน้ำ 2 กองเรือได้ ต้องยอมรับว่ายุคของท่านถ้าท่านไม่พลาดเรื่องปี 40 ทร.เราติดระดับมหาอำนาจเลย
ดังนั้นด้วยเหตุผลนี้ ผมจึงสนับสนุนให้ทร. ใช้โอกาสในการจัดหาเรือ ASW ใหม่เพื่อต่อรองให้ขยายอู่ราชนาวีให้ครบตามแผนเดิม และขยายเพิ่มเติมในส่วน โรงต่อเรือและสลิปเวย์ครับ จะทำให้ทร.มีอู่เรือที่พร้อมสมบุณณ์แบบที่สุดในภูมิภาค
ถ้าได้แบบนี้ ก็สามารถจะซื้อแบบเรือต่างๆมาต่อเอาเองได้ แม้แต่เรือบรรทุกบ.ครับ เพราะทร.มีศูนย์ทดสองและการออกแบบเรืออยู่แล้ว (มีแท้งค์ทดสอบแบบเรืออยู่แล้ว)
สำหรับผม 2-3 ปีนี้ขอดูระดับการเพิ่มของงบประมาณในส่วนทร.เมื่อเทียบเป็น % กับของ ทบ. อยู่ครับ จึงจะพอทำนายทิศทางได้ว่าในอนาคต ทร.จะสามารถกลับมายิ่งใหญ่แบบยุคท่านชวลิต หรือ ยุคก่อนกรณีแมนฮัตตัน หรือเปล่า ซึ่งทร.ยุคนั้นมีเครื่องบินรบเกินกว่าครึ่งหนึ่งของ ทอ.เสียอีกครับ แต่ไม่มีเรือบรรทุกบ. เหมือนในยุคนี้
รูปอู่แห้งในรูปของท่าน Ghoster มี 3 อู่แห้ง น่าจะใหญ่กว่าอู่ราชนาวีหมายเลขหนึ่งไม่มากนัก แต่ของเขามีอาคารต่อเรืออยู่ทางด้านซ้ายด้วย มีสลิปเวย์ และน่าจะมีรถสำหรับลากเรือไปวางบนสลิปเวย์หรือไปปล่อยลงน้ำ ซึ่งในแผนเดิอู่ราชนาวีจะมีไม่มีส่วนนี้ครับ ถ้ามีอย่างเขา ทร.จะสามารถรองรับงานเอกชนได้ด้วยเพื่อสามารถหาเงินเข้ามาบริหารในทร.ได้ คิดวิธีหาเงินไปด้วยเลยแฮะ
ยังไงพื้นที่ก็ยังมีเหลือที่ขยายอู่อยู่แล้ว รัฐบาลก็อยากรับข้อเสนอของจีนใจจะขาด ทร.ก็น่าจะสนองเขาหน่อย แล้วขอเงินมาทำอู่ต่อเรือให้เนียบแบบอู่ของอังกฤษเขาไปเลย ถ้าต้องเสียเงินนับหมื่นล้านอีกเพื่อลงทุนเรือบรรทุกบ.ลำที่สอง เห็นด้วยครับว่า เอาเงินมาถมสร้างอู่ต่อเรือจะดีกว่า
เมื่ออู่พร้อม ยังไงคงสามารถขอให้สเปนช่วยในการออกแบบเรือบรรทุกบ.ลำที่สองให้เราได้ ซึ่งคราวนี้ผมเห็นว่า STOBAR ก็ไม่เลวเลย ค่าก่อสร้างน้อยกว่า CATOBAR ด้วย และทางสเปนน่าจะไม่คิดค่าแบบแพงเกินไปสำหรับเรา เหมือนคราวต่อเรือจักกรีครับ
ป่านนี้ไม่รู้มีการประกาศว่าใครชนะในดีล ASW ใหม่หรือยัง บอกตามตรงผมไม่ค่อยชอบเรือจีนเท่าไร ผมชอบ KDX-2 กับ formindable มากกว่า แต่เอามาต่อรองอะไรกับรัฐบาลได้ยากกว่าเยอะ
ถ้าไทยมีเงินน่าไปซื้อมานะเนี่ย เสียดายที่ยากจนคงซื้อของแพงๆ ไม่ได้
ผมไม่แน่ใจว่าที่คุณ neosiamese2 พูดถึงคือแผนพัฒนาในอดีตที่ล่มไปแล้วหรืออู่มหิดลอันปัจจุบัน
อู่ที่คุณ neosiamese2เอาภาพมาลงเป็นของอู่ราชนาวีมหิดล ซึ่งใหญ่ที่สุดแล้ว มีความยาวแค่สองร้อยสามสิบหกเมตรครับ
ตามลิงค์ อีกสองอู่คือพรุจุลฯกับธนบุรีมีความยาวแค่ร้อยสามสิบเมตรเท่านั้น
http://www.navy.mi.th/dockyard/orm/opv/Detail/opv_detail_main.php
จากกูเกิ้ล ท่าตัดส่วนที่โค้งด้านหน้าของอู่ก็ยาวประมาณเกินสองร้อยเมตรนิดเดียว
http://goo.gl/maps/Ags9g
จำได้ว่าเคยอ่านจากในท็อปกัน การซ่อมบำรุงจักรีเข้าอู่แทบไม่ได้
http://www.thaifighterclub.org/webboard.php?action=detailQuestion&questionid=16449&topic=%E0%C3%D7%CD%CB%C5%C7%A7%A8%D1%A1%C3%D5%B9%C4%E0%BA%C8%C3%20%AB%E8%CD%C1%BA%D3%C3%D8%A7%B5%D2%C1%C7%A7%C3%CD%BA
ท่าน toeytei ครับ เมื่อสมัยก่อนที่กองทัพเรือกำลังพัฒนาและ ดีดตัวให้ ไปไกลมากที่สุดตอนนั้น อู่มหิดล จะมีอู๋แห้ง อยู่2อู๋นะครับ และที่สร้างเสร็จไปนั้น เป็นเพียงแค่อู๋หมายเลข1แต่อีก1อู๋ที่ยังไม่ได้สร้างนั้น แหละครับ ปัจจุบัน อู๋ที่ท่านกล่าวมานั้น มีเรือจอดรออยู่หน้าท่าเรือ รอกันเพียบ เพื่อที่จะต่อคิว ที่จะรอรับการซ่อมแซม ซึ่งถ้ากองทัพเรือมีจำนวนเรือมากขึ้น ผมว่ากองทัพเรือก็คงจะต้องสร้างเพิ่ม แต่ในเมื่อปัจจุบัน ดูเหมือนว่า เรือรบ ของกองทัพเรือจะดูมีจำนวนน้อยลง เรือใหม่ที่มาทดแทน แทบจะเป็นในแบบอัตราเก่า5แทน1 ด้วยซ้ำ ซึ่งผมว่า ณปัจจุบัน อู๋แห้ง ของกองทัพเรือก็เพียงพอแล้ว แหละครับสำหรับอนาคต ยกเว้นจะยกระดับของกองทัพเรือ ก็ค่อยว่ากันต่อไป
ส่วนตัวผมคิดว่า กองทัพเรือเอาแบบพอเพียงดีกว่าครับ
1. ต่อเรือ OPV ชั้นเรือหลวงกระบี่ ให้ครบ 6 ลำ
2. ต่อเรือชั้นเรือหลวงอ่างทอง เพิ่มอีก 1 ลำ
3. จัดหาเรือฟริเกตสรรถนะสูงใหม่ จำนวน 2 ลำ พร้อม ฮ.ประจำเรือ
4. สร้างช่องซ่อมแห่งที่ 2 เพิ่ม ที่อู่มหิดล
5. จัดหา ฮ. ซีฮอว์ค ซุปเปอร์ลิงค์ เพิ่ม ให้ครบตามจำนวน
6. เรือดำน้ำ จำนวน 2 ลำ พร้อมอู่
7. เรือเร็วโจมตี ติดอาวุธนำวิถี แทนเรือชุดคำรณสินธุ์
8. ขุดคลองขอดกระ เชื่อมอันดามัน กับ อ่าวไทย
9. ปรับปรุงเรือที่มีอยู่ให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ
คิดเหมือนท่าน end ครับ... เรือไม่เอา.. ขอซื้อแต่ แฮริเออร์ ทู จะได้ไหม? ในเมื่อบ้าน(พัก)มันไม่มีแล้ว จะเอาไว้สนามภาคพื้น ก็น่าจะเกินความต้องการของสเปน.. รัฐบาลเราลองจีบดูซิครับ ยังไงๆ ผมว่าเรือจักรีฯของเราต้องมีบ.แบบนี้ครับ!
เรื่องของ AV-8B ของสเปนนั้น แม้ว่าจะปลดประจำการเรือ Príncipe de Asturias ไปแล้ว
แต่ AV-8B ทั้งหมดจะถูกย้ายไปประจำการที่เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่ Juan Carlos I (L-61) แทนครับ
ปล. ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ บริษัทอู่กรุงเทพ ครับ
ความคิดผมน่ะครับผมยังยืนยันแนวคิดเดิมที่เหมือนกับท่าน neosiamese2 คือเอาเงินมาขยายอู่เพิ่มดีกว่า เพราะผลพลอยได้ของมันนั้นมากกว่าเรามี แฮริเออร์ 2+
อยู่หลายขุมเลยทีเดียวครับ ซึ่งเราจะได้ทั้งเรื่องของเทคโนโลยีการต่อเรือขนาดใหญ่(ที่ใหญ่กว่าเรือชั้นกระบี่ หรือมีขนาดมากกว่า 10,000 ตัน ของเรือรบ)และรายได้จาก
การต่อเรือพาณิชย์หรือซ่อมเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ซึ่ง ทร. ก็จะมีงบจากตรงส่วนนี้และองค์ความรู้ ที่สำคัญคือความพร้อมของกองเรือที่ได้รับการบำรุงตามวงรอบเพราะใน
อนาคตผมคิดว่ากองทัพเรือต้องพยายามจัดหาเรือรบเพิ่มเติมมากกว่าที่มีอยู่ตอนนี้ อย่างน้อยๆ ก็เกือบครึ้งที่มีอยู่และที่สำคัญคือเพื่อรองรับเรือดำน้ำในอนาคต
(ตอบตามความเข้าใจ)
แต่เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่ของสเปนนั้น ขอบอกว่าสุดยอดมาก ชอบแนวคิดการออกแบบของเค้าจริงๆ
จัดอยู่ใน class LHD เรือบรรทุก ฮ. แต่มี sky jump สำหรับ AV-8B เหมือนกับ Príncipe de Asturias และ CVH-911 ของเราเลย
แถมยังมีช่องปล่อยเรือระบายพลด้านหลังเรือ LPD รล.อ่างทองของเราเลย เรียกได้ว่าสารพัดประโยชน์จริงๆ
เป็นทั้ง aircraft carrier, LHD และ LPD ออกแบบได้เจ๋งมากๆ
ขนาดใหญ่ขึ้นกว่า รองรับการทำงานได้หลายประเภท ถ้าประเทศเรามีแบบนี้ซักลำก็น่าจะคุ้มค่านะครับ