คือไม่ได้ตั้งกระทู้มานานมากๆแล้วครับขอตั้งซักหนึ่งกระทู้ พอดีเข้าไปหาข้อมูลเกี่่ยวกับปืนใหญ่สมัยอยุธยาเผื่อว่าจะได้เห็นภาพของจริง พอค้นไปค้นมาก็ไปพบที่เว็ปพันทิป เค้าคุยกันถึงเรื่องปืนใหญ่ที่คาดว่าจะเป็นปืนใหญ่ของกรุงศรีอยุธยาเข้า ก็เลยเห็นว่าน่าสนใจ ก็เลยลองเอามาลงที่นี่เผื่อพี่ๆน้าๆน้องๆคนไหนจะยังไม่เคยเห้นจะได้แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเรื่องปืนใหญ่ดู ซึ่งตัวปืนมีลวดลายไทยสวยงามผีมือช่างสมัยอยุธยา เขาบอกว่ามีทั้งหมดสามกระบอก ที่ตัวปืนนอกจากลายไทยแล้ว ยังมีอักษรจารึกพม่าและข้างล่างเป็นภาษาไทยแต่แปลความไม่ได้ แต่อักษรภาษาพม่าผมสามารถแปลความได้ว่าเขียนว่าอย่างไร เลยเอามาลงให้พี่ๆสมาชิกได้ชมกันครับ
ภาพปืนใหญ่สมัยอยุธยาปัจจุบันอยู่ที่ฐานทัพอินเดียที่ป้อมFort St.George, Tamilnadu, South India
ลวดลายท้ายกระบอกครับผมสวยงามมาก ประณีตสมเป็นช่างสกุลหลวง
ท้ายกระบอกปืนลวดลาายสวยงาม
บริเวณปากกระบอกปืนก็สวยงามมิได้แพ้กันเลย
ปากกระบอกปืน
ลวดลายบริเวณตัวกระบอกปืนครับสวยงามวิจิตรมาก สมเป็นฝีมือช่างแห่งวังหลวงจริงๆ
ลวดลายตรงกลางปืน
บริเวณเพลาครับ คาดว่าเป็นปืนคนละกระบอกหรือกระบอกเดียวกัน แต่ถ้าเป้นคนละกระบอกแต่ก็ถือว่ามีลวดลายหรือรุ่นเดียวกัน ที่เพลามีรูปลวดลายสวยงามเหมือนกัน
ลวดลายบริเวณเพลา
เอ้าลงผิดรุูป รูปบนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ น่าจะเป้นปืนกระบอกที่สั่งทำจากต่างประเทศ เพราะปืนกระบอกนี้เป็นคนละกระบอกกับภาพแรกๆ เพราะเห็นพี่ๆในเว็ปพันทิปบอกว่า มีสามกระบอก มีกระบอกหนึ่งลายแกะสลักถึงจะเป็นลายไทยแต่ไม่วิจิตรสวยงามอ่อนช้อยเหมือนกระบอกอื่น คาดว่าน่าจะเป็นกระบอกในภาพข้างบนครับ ส่วนรูปเพลาปืนอยู่นี่ครับ
เพลาปืนครับ
บริเวณรูชนวนครับ สวยงามเหมือนกัน น่าเสียดายสมบัติบรรพบุรษจริงๆ
รูชนวนครับ
น่าจะเป็นปืนสมัยอยุธยาที่พม่ายึดไป คราวเสียกรุง
เมื่อพม่าตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษจึงถูกยึดต่อไปอีกทอด แล้วนำไปที่อินเดียซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษเช่นกันครับ
นี่ครับ ไฮไล มันอยู๋ตรงนี้ครับ อักษรพม่าบนตัวปืนนี้ในเว็ปพันทิปบอกว่าเป้นอักษรจารึกเพื่อบอกว่าปืนนี้เป็นปืน เชลยศึก ที่ถูกยึดมาซึ่งก็ถุกส่วนหนึ่งในเรื่องความหมาย แต่จารึกบนตัวปืนนี้ไม่มีคำไหนที่พม่าเขียนว่า เชลยศึก เลยเพราะอักษรพม่าแถวบนทั้งหมด มีความหมายว่า เตเท๊าเตยาเนแส่ชิคุ ตะโกลาซางโกเย ซึี่งแปลว่า อักษรสี่ตัวแรกจากซ้ายมือคือเลขพม่า อ่านว่า เตเท๊าเตยาเนแส่ชิคุ แปลว่า ปื 1,128 ดะโก แปลว่า เดือนสงกรานต์ หรือเมษายน ลาซางโกเย แปลว่าครึ่งเดือนแรกวันที่9 เพราะคำว่า ลาซาง จะใช้เรียกวันที่ 1-15 หรือครึ่งเดือนแรกก่อนวันพระใหญ่วันที่15 ส่วนวันที่ 16-วันสิ้นเดือน หลังวันพระใหญ่วันที่15 เค้าจะใช้คำว่า ลาโซ๊ะ ในความหมายของคำแปล สรุปได้ว่า วันที่9 เมษายน ปี 1,128 คือว้นที่พม่าจารึกอักษรบนตัวปืน
ก่อนอืนต้องขอบอกว่าพม่าจะใช้ศักราชของเขาเอง ไม่ได้ใช้ พุทธศักราช เหมือนเราเขาจะมัศักราชพม่าซึ่งใช้มาแต่อดีต ดังนั้นศักราชที่บันทึกบนตัวปืนจึงเป็นตัวเลขเดียวกันกับศักราชปัจจุบันของพม่า ปัจจุบันนี้ปีศักราชพม่า เป็นปีที่1,374 เมื่อเราเอาปืกศักราชปัจจุบัน ไปลบกับปืนศักราชที่บันทึกบนตัวปืนคือ ปี1,128 ถ้าเราเอาปืปัจจุบันมาลบกับปืที่บั้นทึกบนคัวปืน จะได้ผลต่างจากตอนบันทีกกับปืนปัจจุบันคือ 246 ปี
ทีนี้ เราก็เอาส่วนต่าง 246ปี มาลบกับปี พ.ศ.2556 ของเราก็จะได้ผลลัพท์เท่ากับปีที่บันทึกในตัวปืน คือปี พ.ศ.2310 คือปีที่กรุงศรีอยุธยาแตก กรุงศรีอยุธยาแตกเสียกรุงให้พม่าคืนวันที่ 7 เมษายน 2310 ที่ตัวปืนที่บันทึกเป็นภาษาพม่าบันทีกว่า 9 เมษายน 1128 หรือเท่ากับปี 2310 เท่ากับว่า อักษรพม่านี้ ทหารพม่าได้จารึกไว้บนตัวปืนในวันที่ 9 เมษายน 2310 หรือ 2วันหลังกรุงแตก!! สวนอักษรไทยนั้นไม่สมบูรณ์แปลยากครับแปลได้แต่คำว่า ใหญ่ กับ ของ เท่านั้นใครพอทราบหรือแกะได้รบกวนแกะให้ด้วยนะครับ
อักษรพม่าบนตัวปืนครับ
เรื่องคำแปลนี่ผมใช้เวลาหามาเองทั้งข้อมูลต่างๆจากการสอบถามเพื่อนๆผมที่เป็นพม่า ที่เราเปิดใจคุยกันไม่ยึดติดกับอดีต เขาก็ให้ความร่วมมือบวกกับให้ข้อมูลดีเหลือเกิน เราควรจะยึดคำว่า ประวัติศาสตร์มีไว้ให้จดจำ แต่ไม่ควรเอามาขัดขวางปัจจุบัน และทำลายอนาคต ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณเพื่อนพม่าผมด้วยที่ช่วยแปลความหมายและให้ข้อมูลด้วย ปืนใหญ่ของอยุธยาโดนพม่ายึดไปตั้ง 1200 กระบอก กระบอกไหนเอาไปได้ก็เอาไป กระบอกไหนแบกไม่ไหวก็ทำลายทิ้ง ปืนวิรุฬแสนห่า ปืนใหญ่ขนาดใหญ่คู่บ้านคู่เมือง หลังจากที่ทางอยูธยาเห้นท่าแล้วว่าต้องแพ้พม่าเป็นแน่แท้จึงเอาปืนไปทิ้งไว้ในสระแก้ิวในพระมหาราชวัง แต่หลังจากพม่ายึดกรุงได้ทำให้ทราบเรื่องจึงให้ทหารขุดลากปืนขึ้นมาแต่หนักเหลือกำลังจะแบกกลับอังวะ จึงเอาดินดำยัดในปากกระบอกแล้วจุดไฟระเบิดทำลาย แล้วขนเอาเศษซากสำริดที่ทำตัวปืนกลับไปอังวะด้วย ผมไม่ทราบว่าเมืองอังวะปัจจุบันชื่อพม่าเรียกว่าจังหว้ัดอะไร รูปนีน่าจะเป็นปืนกระบอกแรกที่มีการทำลวดลายโดยช่างฝรั่ง
รูปปืนกระบอกแรก
รูปปืนกระบอกที่สองครับ น่าจะเป็นกระบอกที่ผมเอารายละเอียดมาลงไว้มากที่สุด
ปืนกระบอกที่สองครับ
ปืนกระบอกที่สามครับ ถือว่าอยุ่บนคานปืน สมบูรณ์ที่สุดครับ
กระบอกที่สาม
น่าเสียดายสมบัติชาติจริงๆครับ ไม่รุ้ว่าถ้าไปขอคืนหรือซื้อคืนรัฐบาลอินเดียเขาจะยอมมัํยอยากให้เอากลับมาที่อยุุธยาหรือไว้ที่กรุงเทพก็ได้ เสียดายสมบัติชาติจริงๆครับเครดิตนี่เลยครับ เว็ปไซต์ พันทิป ดอทคอม http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2973009/K2973009.html
และ ส่วนหนึ่งมาจากวรสารเมืองโบราณครับ http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=News&file=print&sid=2177
ขอบคุณภาพมากครับ พี่ๆพูดคุยกันได้นะครับเกี่ยวกับปืนกระบอกนี้
ขอ คืน ได้ไหมอ่ะ อยากได้คืนอ่ะ ดูลายก็รู้ว่าของคนไทย แท้ๆ (อยากได้คืนจริงๆนะครับ)
กรณีแบบนี้ถ้าจะเอาคืนคงยากครับ เราต้องมีหลักฐานระบุที่แน่ชัด เหมือนกรณีทับหลังนารายณ์ฯ ถ้าปืนใหญ่นี้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุไปแล้วก็ยิ่งยากที่จะไปขอคืนหรือซื้อกลับคืนมา
ยังมีโบราณวัตถุที่สำคัญของไทยอีกมากมายที่อยู่ในมือนักสะสมทั่วโลก ถ้ามีหลุดจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์หรืองานประมูลที่ถูกกฎหมาย เราจะทราบทันทีที่เห็นว่าเป็นของไทยหรือไม่ เพราะเอกลักษณ์ทางศิลปะที่เด่นชัด แต่ส่วนใหญ่จะไม่สามารถระบุที่มาได้หรือไม่ก็จงใจปกปิดไว้เพื่อป้องกันการทวงคืน และอีกอย่างโบราณวัตถุพวกนี้ไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนไว้ก่อนที่จะสูญหายไปโดยฝีมือพวกโจรปล้นสมบัติที่อาละวาดหนังในช่วงปี่ 2500
อย่างหมวดทองคำในรูปที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อาเซียนอาร์ต นักโบราณคดีไทยดูแล้วค่อนข้างจะแน่ชัดว่ามาจากกรุวัดราชบูรณะแน่นอน
ว่ากันด้วยปืนใหญ่ ส่วนตัวมองว่าไม่ควรนำกลับมา ให้มันเป็นอยู่ที่สถานที่นั้นเถอะ ถือเป็นการแรกเปลี่ยนวัฒนธรรม เขาจะได้รู้ว่าคนไทยมีภูมิที่สร้างปืนใหญ่ที่สายงามไม่แพ้ชาติอื่น
ส่วนตัวเคยพบเห็นปืนใหญ่โปราณหลายกระปอกปักดินตามกำแพง-ประตูวัดต่างๆ แล้วทำไม่เอามาเก็บรักษามันให้ดี ปล่อยให้พุตามวันเวลาไปน่าเสียดาย ที่จริงน่าจะทำเป็นพิพิธพันธ์ รวบรวมได้เป็นพันกระบอก หลากหลายศิลปะตามยุคสมัย เหนือจดใต้ เป็นศูนย์เรียนรู้ความเป็นไทยในวิวัฒนาการของปืนใหญ่ไทย-เทศ
ผมคิดว่าเราน่าจะขอกลับมาครับ ( จะซื้อ , จะแลกเปลี่ยน ยังไงก็คุยกัน ) เพราะมันก็เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของเรา ควรนำปืนเหล่านี้กลับสู่บ้านเกิดที่แท้จริง
ผมไม่รู้หรอกนะครับว่า ในสายตาคนที่นั้นเขาจะมองจะอะไรยังไงกับประวัติศาสตร์ของเรา แต่กับคนไทยมันมีผลจริงๆครับ
อย่างน้อยก็ไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ได้เห็นประวัติศาสตร์ ตัวเป็นๆของจริงๆ จับต้องได้ ดีกว่าเรียนในหนังสือ ส่วนเรื่องการพิสูจน์ที่มาผมว่าไม่ยากครับ ลายลักษณ์อักษรมมันก็มี
อยู่ชัดเจน ไม่ยากครับ แต่เราสนใจจะหาทางนำประวัติศาสตร์ของชาติกลับสู่บ้านเกิดกันมั้ย นี้แหละครับ
มันเป็นประวัติสาสตร์ไปแล้ว เอากลับมาหรือไม่เอากลับก็ไม่ต่างกันมาก
สิ่งที่สำคัญคือปัจจุบัน ไทยใช้แต่ปืนนอกด้วยความภาคภูมิใจนักหนา โดยไม่คิดสร้างเองเลยแม้แต่น้อย
วิญาณปู่รู้คงร้องว่าไอ่พวกลูกหลานไม่ดูคนรุ่นปู่เป็นตัวอย่าง สร้างทำสารพัดล้วนแต่ออกมาจากมันสมองตัวเอง
(ถึงแม้ก็อปเทคโนโลยีต่างประเทศมาหรือมีฝรั่งมาช่วยแต่ก็มีส่วนที่คนไทยคิดเองที่มันจะเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร)
แล้วHK33ล่ะไทยผลิตเองหรือเปล่าพูดมาได้ว่าไม่เคยคิดสร้างเอง เห็นหลายกระทู้แล้วนะครับ เพลาๆบ้างก็ได้
zakuIII ผมเห็นหลายโพสล่ะ ชอบพูดกระแหนะกระแหน่เรื่องอาวุธประจำกายเนี้ยเราใช้ของต่างชาติ โน้นนั้นนู้นนี้ ไม่ผลิตเองบ้าง บลาๆๆๆๆ งั้นคุณไม่วิจัยและผลิตเองเลยล่ะ มัวแต่ ปากในเวปบอร์ดน่ะ ปืนมันไม่งอกออกมาเองหรอกคุณ บลาๆๆๆๆ
จะร้องคืนไทยคงไม่ได้เพราะถ้าระบุไว้ว่าของพม่าจริงเขาคงไม่ยอม เพราะในฐานะอาณาจักรอยุธยาได้ล่มสลายไปแล้วจากน้ำมือพม่า จะไปร้องขอคงยาก
ไม่เห็นด้วย ที่จะขอคืนจากอินเดียครับ เพราะประวัติศาสตร์มันยาวนานมาแล้ว
อีกอย่าง ถ้าพม่าอ้างว่าเขามีสิทธิ์ที่จะครอบครองด้วยก็ได้ เพราะเขาเป็นผู้ชนะสงคราม
.. อย่างกรณี พระแก้วมรกต เราก็ยึดมาจากลาว ก่อนที่ลาวจะเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส
ปัจจุบัน มีวัตถุโบราณหลายๆอย่าง ไปอยู่ตามเมืองต่างๆที่เมืองนั้นๆเคยไปยึดมา
อย่าว่าแต่เมืองกรุงศรีเลย แม้แต่สมัยกรุงโรม กรีก เปอร์เซีย ก็มีการยึดวัตถุโบราณ
ปืนใหญ่ ลังกาสุกะ เราก็ยึดมาจากปัตตานี จนปัตตานีกลายเป็นส่วนหนึ่งของสยาม
ส่วน ทับหลังนารายห์ มันคนละกรณี เพราะนั้นมันเป็นการขโมยเอาไปขายถึงอเมริกา
นางเงือกสำริด ที่แหลมสมิหลา น้ำหนักเป็นตัน อยู่ในหาดที่คนพลุกพล่าน มันยังขโมยไปได้เลย
ถ้า zakulll เป็นคนไทย ผมอยากให้คุณใด้ภาคภูิมิใจที่ไทยใด้เป็นไทยมาตราบจนทุกวันนี้ครับ
เห็นหลายกระทู้แล้วครับคำตอบแบบเดิมๆของคุณ
ท่าน champ thai army ผมว่ากระทู้นี้มีคุณค่ามากครับ
ขอชมเชย ในความพยายาม และความสามารถของ คุณ champ thai army ครับ
และขอขอบคุณ ที่นำเสนอเรื่องที่ดีๆ สมแล้ว ที่เป็น แชมป์ ของ ทบ.
ขอบคุณครับสำหรับคำชม เป็นกำลังใจชั้นเยี่ยมเลยครับ ผมเห็นว่ามันเป็นสมบัติชาติอันทรงคุณค่าที่ผลัดพรากจากแผ่นดินเดิม และเห็นมันน่าสนใจดีครับ ในฐานะคนไทยผมก็อยากให้มันกลับสู่แผ่นดินเดิม แต่ถ้าไม่สมควรก็ไม่เป็นไรครับ เห็นน่าสนใจก็เลยเอาข้อมูลมาแชร์ให้พี่ๆเพื่อนๆหรือน้องๆได้ชมกันครับ เป็นความภาคภูมิใจของเรารุ่นหลังที่ได้เห็นว่าบรรพบุรุษเรามีความสามารถมากเพียงใดครับ
จากวันนั้น ถึงวันนี้... น้องchampเปลี่ยนจากมวย WBO มาเป็นแชมป์ WBC แล้ว.. ดีมากครับ..
คงไม่จำเป็นต้องขอคืนหรอกครับแต่ทางสถานทูตน่าจะเข้าไปดูแลให้ดีสมศักดิ์ศรีบรรพบุรษ ยังไงทางอินเดียก็สามารถใช้เป็นจุดขายแหล่งท่องเที่ยวได้หากเราไปช่วยเรื่องข้อมูลที่ไปที่มาประวัติศาสตร์ก็จะช่วยให้ต่างชาติรู้จักประเทศเราในอีกแง่มุมหนึ่งว่าฝีมือสกุลช่างโบาราณของเราเหนือแค่ใหนไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนเหมือนที่เคยเข้าใจกัน ฝรั่งบางคนมันยังเข้าใจเกี่ยวกับบ้านเราผิดอยู่เยอะเลยครับเพราะเรียนรู้มาจากข้อมูลเก่าๆที่สอนกันมาจากสมัยล่าอาณานิคม(เคยได้ยินว่าบางคนยังคิดว่าบ้านเราใช้ช้างเป็นพาหนะไปใหนมาใหนแทนรถเพราะไปจำมาจากในหนังก็มี5555ฝรั่งโง่ๆก็มีเยอะครับ)
ขอบคุณมากนะครับน้องแชมป์
ทำให้นึกถึงนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่ง ที่เป็นเรื่องการเมืองในอยุทธยาบันทึกโดยราชฑูตจากฝรั่งเศส ที่เข้ามาในสมัยพระนารายณ์มหาราช และเป็นช่วงการเปลี่ยนรัชกาลพอดี และกองทัพของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ต้องถูกล้อมโดยทหารของอยุธยาที่ป้อมบางกอก สุดท้ายต้องถอยกลับฝรั่งเศสแบบเสียหน้า หมดรูป
หนังสือเล่มนั้นรู้สุกว่าจะแต่งโดยนักประวัตศาสตร์ที่มีความสามรถในการแต่งนิยายได้ด้วย โดยนำเอกสารโบราณมาอ้างอิง ทำให้ทราบว่ายุคพระนารายณ์มหาราช ประเทสสยามสามารถหล่อปืนใหญ่คุณภาพสูงได้ มีวิทยาลัย 2 แห่ง วิทยาลัยนะครับฟังไม่ผิด สร้างโดยกลุ่มบาทหลวงจากฝรั่งเศส และคอนสแตนติน ฟอลคอน หรือ เจ้าพระยาวิชาเยณ
สมัยนั้น สยามมีเทคโนโลยีถึงขนาดต่อเรือฟรีเกต(เรือใบรบ) ขนาด 300 กว่าตันเองได้ด้วยเทคโนโลยีที่รับมาจากต่างแดน แต่เจ้าหน้าที่เดินเรือและลูกเรือมารจากต่างถิ่นทุกสารทิศ
ชื่อ รล.สยาม และ รล.ละโว้
ทางกองทัพเรือฝรั่งเศสยอมรับว่ามันมีประสิทธิภาพดี
สุดท้ายเมื่อยอมสงบศึกกัน ฝรั่งเศสลงนามถอนกำลังและขอเรือรบทั้งสองลำเป็นพาหนะนำทหารที่เหลือเพียงน้อยนิดกลับประเทศ สยามยอมและทำการถอดถอนปืนใหญ่ออกทั้งหมด โดยตกลงกันว่าเมื่อรับส่งเจ้าหน้าที่ของฝรั่งเศสแล้ว ทางฝรั่งเศสจะส่งเรือคืน แต่สุดท้ายก็เบี้ยว
สนุกครับเรืองนี้ ถ้าจำชื่อเรื่องไม่ผิด ก็คือ รุกสยามในนามของพระเจ้า
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หน้าแหกยับ เพราะแพ้ในการรบที่ตะวันออกไกล ประเทศสยามจึงโด่งดังทั่วทวีปยุโรปแต่นั้นมา
การรบในสมัยนั้นกับฝรั่งเศส ใช้ระบบอาวุธสมัยใหม่ทั้งหมดครับ ในนั้นบรรยายด้วยว่า กองทัพสยามมีใช้แม่แต่ปืนครกที่จัดว่าทันสมัยสุดๆแล้วในยุคนั้นด้วย
แต่พอพระเพทราชามีอำนาจ ซึ่งท่านเกลียดชาวคริสต์ จุงทำลายวิทยาการทั้งหมดพร้อมกับชาวตริสต์ และวิทยาลัยทั้งสองแห่งจนสิ้นครับ
เสียดายวิทยาการชั้นสูงที่ต้องจมหายไปกับความเกลียดชังส่วนตัวจริงๆครับ
เพิ่มเติมครับ
ในพระอัยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง แบ่งกรมฝ่ายทหารเป็นสี่ประเภท หนึ่งในนั้น คือ
กรมที่ทำหน้าที่เป็นกองทหารรักษาพระองค์ และพระราชอาณาเขตได้แก่ กรมทหารอาสาแปดเหล่า ซึ่งประกอบด้วยอาสาใหญ่ซ้ายขวา กรมอาสารองซ้ายขวา กรมเขมทองซ้ายขวา และกรมทวนทองซ้ายขวา นอกจากนี้ยังมีกรมมอญ ซึ่งแบ่งเป็นห้ากรมใหญ่ได้แก่ กรมดั้งทองซ้ายขวา กรมดาบสองมือ กรมอาทมาตซ้ายขวา กรมทหารเหล่านี้เมื่อเกิดสงคราม จะทำหน้าที่เป็นกองทหารหน้า ออกไปปราปปรามศัตรูเป็นประจำ ในยามสงบมีหน้าที่ลาดตระเวณตามชายแดน เพื่อสืบข่าวข้าศึก
http://www.baanjomyut.com/library/knowledge_of_encyclopedias/784.html
ปืนกระอกที่ว่านี้ น่าจะได้มาจาก (กรม) อาสาใหญ่ขวา นั่นเอง
ส่วนประวัติความเป็นมาว่าทำไมปืนกระบอกนี้ไปอยู่ที่อินเดียได้นั้น คงเป็นเพราะเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกแล้ว พม่าได้ขนเอาปืนใหญ่ออกไปจากอยูธยามากถึงสามนกระบอกที่เอาไปไม่ได้ก็ทำลายทิ้งเสียเป็นจำนวนมาก เมื่อได้ไปแล้วก็ขนกับบ้านเมืองตนเองและทำการตอกโค้ดเป็นภาษาพม่าตามที่เห็นนั้น (อาจเป็นสังกัดใหม่และวันที่ขึ้นสังกัด) และเมื่ออังกฤษตีพม่าได้ในราวสมัยรัชกาลที่ 3 ก็คิดว่าเป็นปืนของพม่า โดยมีบางส่วนได้ขนไปที่อินเดีย และมีบางส่วนหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบันตามที่เห็นในภาพครับ
ปล. บรรพบุรุษผมเป็นทหารสังกัดกรมมอญ คุณพ่อเคยเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ฟังบ้าง ว่าคุณปู่เป็นรุ่นสุดท้ายที่สังกัดกรมมอญก่อนสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีการยกเลิกระบบเก่าๆ นี้ไปจนหมดแล้วครับ
อ่านแล้วทำให้ทราบว่า วิทยาลัยทั้งสองแห่งสอนภาษาแก่ชาวสยามที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งมีทั้งภาษาฝรั่งเศส ภาษาละติน ลูกครึ่งไทยกับชาวตะวันตกจำนวนมากรับราชการ ทำให้มีเจ้าหน้าที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ ดัชท์
ในวิทยาลัยก็มีสอนวิชาคณิตศาสตร์ด้วย แต่จะให้แก่ชาวสยามที่เปลี่ยนมานับถือคริสต์เท่านั้น และมักจะรับเด็กยากจนรวมถึงเด้กกำพร้าและลูกครึ้งเข้าศึกษาในวิทยาลัยทั้งสอง
คอนแสตนติน ฟอลคอน เองที่เป็นขาวกรีก ก็สามารถพูดได้ถึง 6 ภาษาที่เดียว แต่ความมักใหญ่ใฝ่สูงเกินไป หวังสูงโดยจะร่วมมือกับนายพลฝรั่งเศสหักหลังประเทศตนเอง มาเป็นนายพลแห่งสยามภายใต้กษัตริย์ชาวต่างด้าว นายกรีก คอนสแตนติน ฟอลคอน
อ่านแล้วไม่น่าเชื่อว่ายุคพระนารายณืมหาราช ประเทศสยามจะมีความก้าวหน้าถึงขนาดนั้นจริงๆ
ที่คอนสแตนติดฟอลคอน สามารถเข้ารับราชการได้ เพราะสามารถคำนวณน้ำหนักปืนใหญ่ได้ด้วยวิชาคณิตศาสตร์ จนเป็นที่พอพระทัยของพระนารายณืมาหราชมากๆ แสดงว่ายุคนั้นพระนารายณ์สนับสนุนเทคโนโลยีชั้นสูงจากต่างประเทศ
เสียดายที่ รล. สยาม กับ รล.ละโว้ ไม่ได้ฟาดปากกับเรือรบฝรั่งเศส คงมันพิลึก
แต่จนเดียวนี้ผมเสริชตามเน็ต และนานๆทีไปหอสมุด ก็ยังหาข้อมูลเรือรบทั้งสองลำไม่เจอเลยครับ
และน่าแปลก ทำไมกองทัพเรือจึงไม่จัดเรือทั้งสองลำเป็นเรือรบในประจำการของไทยก็ไม่รู้ครับ
น่าจะมีใครเอามันไปทำภาพยนต์ ต่อจากตำนานสมเด็จพระนเรศวรนะครับ คนไทยจะไดเปิดหูเปิดตาว่า มีอยู่ยุคหนึ่งที่เรามีวิทยาการสูงมากๆ ผมว่าน่าจะสูงที่สุดในภูมิภาคแถบเอเชียตะวันออกไกลทั้งหมดแล้ว
พิมพ์ตกไปครับ พม่าขนปืนใหญ่ออกจากอยุธยาไปถึง สองถึงสามพันกระบอก ที่ขนไปไม่ได้ก็ทำลายทิ้งเสียจำนวนมาก
และปืนกระบอกนี้ สันนิษฐานว่าจะหล่อที่โปรตุเกส โดยใช้แบบลวดลายจากอยุธยานั้นเอง ทีจริงแล้วอยุธยาก็มีความสามารถหล่อปืนใหญ่เองได้ เช่นอยุธยาตอนกลาง ช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรศ ก็ได้มีการหล่อปืนใหญ่เป็นอขงขวัญทางการฑูตให้รัฐบาลโชกุนโตกุกาว่าของญี่ปุ่นไปหลายหระบอกอยู่เหมือนกันเป็นที่ติดอกติดใจเหล่าขุนศึกญี่ปุ่นในยุคนั้นยิ่งนักถึงกับส่งฑูตมาขออีก ทั้งๆ ที่อยุธยาเองก็มีกฎหมายห้ามส่งออกปืนใหญ่ด้วย แต่การให้เป็นของกำนัลทางการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างแดนที่ชื่นชอบของแบบนี้คงได้รับการยกเว้น
เกร็ดอื่นๆ เกี่ยวกับปืนใหญ่อยูุธยาเมื่อครั้ยกรุงแตก
สำหรับปืนพระพิรุณแสนห่านั้นมีขนาดใหญ่มาก เมื่อตอนใกล้กรุงจะแตกหมดความหวังที่จะชนะพม่าแล้ว ปืนกระบอกนี้ก็ถูกทิ้งลงในสระแก้วในพระราชวังกรุงเก่า ภายหลังพม่าทราบเรื่องเข้า จึงได้นำขึ้นมาจากสระ แล้วตัวปกันหวุ่นแม่ทัพภาคใต้ขนไปทางเรือ จุดหมายปลายทาง คือ เมืองกาญจนบุรี โดยไปบรรจบกับกองทัพบกที่นั่น ครั้นมาถึงตลาดแก้วเมืองนนทบุรี เห็นว่าปืนใหญ่พระพิรุณแสนห่านี้หนักเหลือกำลังที่จะเอาไปเมืองอังวะได้ ปกันหวุ่นจึงให้เข็นชักขึ้นจากเรือที่วัดเขมา ให้เอาดินดำบรรจุเต็มกระบอก จุดเพลิงระเบิดเสีย และขนชิ้นส่วนที่เป็นทองสำริดกลับไปเมืองอังวะ
กองทัพพม่าสามารถเข้ายึดกรุงศรีอยุธยาได้ พร้อมทั้งจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรงหัวรอที่ริมป้อมมหาชัย และยิงปืนใหญ่ระดมเข้าไปในพระนคร เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310
กองทัพพม่าจุดไฟสุมรากกำแพงกรุงศรีอยุธยาจนทรุดถล่มลงมา ในคืนซึ่งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่กองทัพพม่า
ชื่อโรงงานที่หล่อปืนกระบอกนี้ครับ คุ้นๆ ว่าเคยมีคนในพันทิพไปค้นมาได้ จะลองหามาให้ดูครับ
แต่จะว่าไปแล้วอยูธยาสมัยนั้นคงร่ำรวยจากการค้าขายกับต่างประเทศอยู่มาก ถึงกับจ้างฝรั่งหล่อปืนใหญ่ให้ชนิดงานสวยๆ มากๆ ทั้งๆ ช่างอยุธยาเองก็หล่อก็ได้
คาดว่าฝีมือช่างสกุลหล่อโลหะของยุโรปในยุคนั้นคงมีเทคนิคบางอย่างที่อยูธยาไม่มี