http://www.frigate2.com/News/kraburi/kranews2.htm
น.อ.จักษวัฏ สายวงค์ ผบ.ร.ล. กระบุรี เป็นประธานจัดงานทำบุญ | |
เนื่องในวันคล้ายวันขึ้นระวางประจำการ ร.ล. กระบุรี ครบรอบ ๒๑ ปี | |
และเป็นประธานในพิธีประดับเครื่องหมายยศนายทหารประทวนที่ได้รับการเลื่อนยศสูงขึ้น |
|
ณ ร.ล. กระบุรี จอดเทียบ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี |
|
เมื่อ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๖ |
ขอบคุณมากครับท่าน Mr.bean มาเจิมกระทู้ครับ ปืนใหม่ดูดีมีราศีจับจริงๆครับ
ใช่ครับท่าน Neosiameses เธอดูดีสวยทันสมัยขึ้นมาเลยครับ แต่ผมว่าเธอขาวไปไหมครับ ขาว สวย หมวย จริงๆครับ งานนี้
เป็นปืนรุ่นอะไรครับ
เธอชั่ง งดงามอะไรเยี้ยงนี้ ครับเนี้ย ขาวกว่าตัวเรืออีก
NG12-1 100mm Twin-barrel ครับ
สวยมากๆเลยครับ อยากให้ป้อมปืนเป็นสีเดียวกับตัวเรือจัง น่ากลัวขึ้นเยอะ
ไม่น่าเชื่อนะครับ...แป๊ปเดียว...อายุเรือ 20 ปี แล้ว...
แต่การปรับปรุงครั้งนี้...คงเหมือนกับซื้อเรือใหม่ ล่ะมั๊งครับ...คงใช้ไปอีก 30 ปี...
แหมมมม....ถ้าได้ ระบบปราบเรือดำน้ำ มาอีกสัก ระบบ...ก็จะเป็น เรือฟริเกตสมรรถนะสูง สมบูรณ์แบบดี สำหรับเรือขนาด ไม่เกิน 2000 ตัน...
สีป้อมปืน...ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เป็นสีหมอก เพื่อกลืนกับสภาพแวดล้อมทะเล...เห็นเดี๋ยวนี้ เรืออังกฤษ กับ เรือจีน เขานิยม กันครับ...เหมือนกับทำให้ สังเกตุ ได้ยากกว่าเดิมครับ...
หล่อขึ้นจมเลย
ผมอยากรู้อย่างนึง นะครับ เวลาโหลดกระสุนมันจะเหมือนกับ ป้อมปืนตัวเก่าหรือปล่าว ครับ ท่านผู้รู้ มีใครทราบมั้งครับ
สีป้อมปืน กับ สีเรือ ช่างตัดกันดีแท้ เหมือนโมเดลเลย
แปลจาก ภาษาจีน ครับ...
คุณสมบัติ
การปรับปรุงและพัฒนา 1970 บนพื้นฐานของเดิม 100 มิลลิเมตรปืน
ปืนเสร็จงานพัฒนาในปี 1984
ใช้ในการโจมตีเป้าหมายการเดินเรือ
การป้องกันภัยทางอากาศ
ป้องกันขีปนาวุธ
และดำเนินการด้านอื่น ๆ ของการโจมตี
ใช้กิจกรรมปืนลำกล้องแขนด้านหลังก้นถังจะกลับลิ่ม ตะกร้อจาก 870 เมตร / วินาที
ความยาวลำกล้องของ 5500 มม.
อัตราการยิง 10 ถึง 90 รอบ / นาที
เป้าหมายทะเล ช่วงสูงสุด 17,500 เมตร ช่วงที่มีประสิทธิภาพของ 12,000 เมตร;
เป้าหมายทางอากาศ ช่วงสูงสุด 8,000 เมตร ช่วงที่มีประสิทธิภาพจาก 6,000 เมตร;
ปืนน้ำหนัก 17,000 กิโลกรัม กับขนาดเล็กน้ำหนักเบาอัตราสูงของไฟเวลาปฏิกิริยาสั้น ฯลฯ
อยากให้ถอด 37มม. คู่หน้าออก แล้วแทนด้วย FM-90 ไม่รู้จะได้รึเปล่า
ปืน 37 มม.ทั้งสี่แท่น ถอดออกไปแล้วครับ แต่ไม่รู้จะเอาอะไรมาลงแทน
ติดตั้ง ปืน NG-15 ครับ...คุณครูชนบท
คุณสมบัติน่าจะเป็นแบบเดียวกัน
ปืนขนาด: 37 มม. แท่นคู่
อัตราการยิง: 2X400 รอบ / นาที
ระยะไกลสูงสุด: 9400 เมตร ช่วยที่มีประสิทธิภาพสูงสุด 7800 เมตร
ระยะมุมสูงสูงสุด: 4500 ม. ที่มีประสิทธิภาพสูงยิง 4000 เมตร
การหมุน 360 องศา
มูมปืนสูงต่ำ: -10 ถึง +85 องศา
วิว หน้าเรือของ เรือชั้น กระบุรี คงจะประมาณนี้ ครับ
ขอบคุณครับพี่จูลดาส
ขาดแต่เรื่องปราบ ด.นะครับ เรือลำนี้
อาทิตย์ที่แล้วคุยกับนายทหารของทร.มา ก็บอกประมาณว่า เคยลองจะติดแล้ว แต่มันติดไม่ได้ น่าจะในเรื่องของพื้นที่ครับ
ถ้าได้ อวป.ต่อสู้อากาศยานสักระบบ ก็จะดีขึ้นไม่น้อย แต่ได้ขนาดนี้ ผมก็ว่าสุดยอดแล้วครับ
ครูบ้านนอกหรือครูชนบทฮะ
ฮาๆครับ
ในความเห็นผม...ทางเลือกมันก็ น่าจะพอ ยังมี สำหรับเรือชั้น กระบุรี นะครับ....
แต่ ระบบโซนาร์ ของเรือชั้นนี้ อาจจะเป็น ปัญหา ที่มันจะไม่เพียงพอ และอาจจะไม่คุ้มค่า ก็ได้ครับ...
อันนี้ จินตนาการของผม ครับ..สำหรับ ASW ของเรือชั้น กระบุรี
หรือ แบบติดตั้ง MILAS ซึ่ง ผมว่า น่าจะดัดแปลงใช้กับ เรือชั้น OHP ได้
คล้าย ๆ สมัย ทร. ดัดแปลง ติดตั้ง ท่อยิง ตอร์ปิโด แบบ 1 ท่อยิง จำนวน 2 ท่อ กับ เรือชั้น สารสินธุ
คุยถึงเรือชั้นนี้แล้วไม่ได้เลย ขอโพสต์ผลงานสักภาพ อิอิ
ร.ล.เจ้าพระยา เรือชุดนี้ใครจะกล่าวหาเธอว่าเป็นเรือจีนสเปคไม่เข้าท่า แต่สำหรับผม ไหน ๆ ก้ได้เธอมาแล้ว เธอก็ยังคงสวยและมีคุณค่าต่อ ทร.เสมอ
ร.ล.เจ้าพระยา 1/700
อวป.ต่อต้านเรือดำน้ำ ก็มีที่จีนดัดแปลงC801/802มาใช้ ติดตั้งตอร์ปิโดเหมือนASROC คือCY-1/2 น่ะครับ หาภาพแท่นยิงไม่เจอหรือน่าจะบรรจุลงท่อยิงVLSไปแล้ว
ถ้าได้ MILAS นี่ ASROC เวอร์ชั่นยุโรปเลย.......สุดยอด ยิงไกลกว่า ASROC อีกครับ แต่ไม่รู้ว่าระบบคอม CMS จะรองรับการถ่ายโอนข้อมูลให้ระบบ MILAS หรือไม่
ดูแล้ว คงจะเป็นระบบแยกต่างหากนะครับ...
เพียงแต่อาศัยระบบโซนาร์เรือ ค้นหาบริเวณเป้าหมาย เพื่อส่ง ตอร์ปิโด ไปยังบริเวณดังกล่าว...จากนั้น คงเป็นหน้าที่ของ ตอร์ปิโด เอง...ในการค้นหาเป้าหมายและทำลาย
แต่ระบบโซนาร์ ของเรือชั้น กระบุรี...เป็นระยะใกล้มาก และไม่แน่ใจว่า จะตรวจจับได้เพียงใด...ซึ่งระบบ MILAS คงจะดีเกิน โซนาร์ ครับ...ถ้า เรือชั้น กระบุรี จะใช้ระบบนี้ คงต้องมี โซนาร์ ลากท้าย เป็นระบบโซนาร์ระยะไกล ถึงจะคุ้มค่ากับ MILAS...
แต่ถ้า นำไป เพิ่มเติมให้กับเรือชั้น OHP...อาจจะน่าสนใจ...แต่ก็อาจจะทำให้ สูญเสีย ระบบอาวุธนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ ไป...ซึ่งอาจจะช่วย ลด การจัดหา ฮ.ปราบเรือดำน้ำ ให้กับเรือ OHP ได้ระดับหนึ่ง...( รูปแบบเหมือนกับ เรือชั้นพุทธฯ ที่อาศัย ASROC โดยไม่พึ่งพา ฮ.ปด. )
ดูแล้วน่าสนใจสำหรับ OHP นะครับ กรณีที่การเจาะช่องติดตั้ง Mk-41 มีราคาสูงกว่า MILAS ก็น่าเล่น ติดตั้งวางด้านหน้าของแท่นยิง MK-13 ไป น่าจะใช้เงินไม่มาก อันนี้ต้องดูราคารวมเมื่อเทียบกับ ASROC อันไหนน่าเล่นกว่ากัน
ทร.อิตาลี่ เคยทำการอัพเกรดให้เรือ ชั้น De la penne
มูลค่าโครงการ 35 ล้านยูโร...ถ้าเทียบอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน จะประมาณ 46 ล้านเหรียญ...ซึ่งน่าจะเป็น จำนวน 2 ลำ...ก็คงน่าจะระบบละประมาณ 13 ล้านเหรียญ ( 490 ล้านบาท ) ถ้ารวม 2 ระบบ ก็ประมาณ 980 ล้านบาท...ก็คงประมาณ 1,000 ล้านบาท...
Durand De La Penne - D560: -
Francesco Mimbelli - D561: -
In 2007/2008 has been the Mid-Life Update
Trivia: Milas has cost 35 million euros. Despite unity of the early nineties, have no vertical launcher for antiaircraft missiles, which are common in the units of the period.. This is derived from the fact that the units have been realized with almost a decade of delay because of lack of funds.
The stabilisation system is capable of reducing the width of the roll of 90%. The propulsion system used is a CODOG associated with variable pitch propellers and a system of insufflating air for abatement the irradiated noise.
ส่วนระบบ MK-41 ของเรือชั้น นเรศวร มีมูลค่าการจัดซื้อประมาณ 744 ล้านบาท...ซึ่งไม่ทราบว่า รวมค่าเชื่อมโยงระบบ ด้วยหรือไม่ครับ...
ซึ่งเป็นเฉพาะ มูลค่าค่า แท่นยิง เท่านั้น ไม่รวมระบบ ASROC-VL...
ส่วน MILAS ของ ทร.อิตาลี่ จะรวมระบบทั้งหมด และคงหมายถึง ระบบขับเคลื่อนตัวจรวด ด้วย...และก็ไม่ทราบว่าเป็นกี่ลูก สำหรับมูลค่า 35 ล้านยูโร...
ราคาเฉลี่ยสำหรับแท่นยิงเปล่า Mk-41 แท่นละ 371 ล้านบาท ถ้ารวมลูก ASROC 8 ลูก ก็น่าจะราวๆ 700 ล้านสำหรับเรือ 1 ลำ
แต่ถ้า MILAS ระบบละ 500 ล้านสำหรับจรวด 4 ลูกใช่ไหมครับ ถ้าเป็นแบบนี้ MILAS น่าจะแพงกว่า ถ้าสนใจแค่ 4 ลูกก็ OK. แต่ MK-41 ใช้งานได้มากกว่าเพราะสามารถติดตั้ง ESSM เพิ่มเติมทีหลังได้ ยืดหยุ่นกว่า อันนี้ทร.ต้องชั่งน้ำหนักเอา
ขอโทษครับ...ผมคำนวณผิด...ต้องระบบละประมาณ 23 ล้านเหรียญ...หรือ ตกลำละ ประมาณ 700 ล้านบาท...
คงมากกว่า 4 ลูก ต่อ ลำ ครับ...เป็น มูลค่าระบบ MILAS ของเรือทั้ง 2 ลำ...
ในความเห็นส่วนตัว นะครับ....ราคาระบบ น่าจะประกอบด้วย
ระบบ MILAS รวม 2 ระบบ
กล่องบรรจุ 16 - 20 กล่อง
ตัวจรวด OTOMAT 16 - 24 ลูก (น่าจะไม่รวม ตอร์ปิโด MU-90)
เรือ 1 ลำ น่าจะมี ตัวจรวด ประมาณ 2 ชุด คือ 8 ลูก ต่อ ลำ...รวม 2 ลำ ควรจะมี ขั้นต่ำ 16 ลูก...(เพราะต้องมีการเผื่อ การหมดอายุ หรือ ขัดข้อง) และตามมาตรฐานของ ฝั่งยุโรป ไม่น่าจะจัดหามา พอดี ลำ...น่าจะมีการเผื่อไว้ เพียงพอ ตลอดอายุใช้งาน ครบอัตราเต็มจำนวน...
แต่ในแง่การจัดหาของ ทร. มูลค่าคงน่าจะต่ำกว่านั้น...เพราะคงลดจำนวน ตัวลูกจรวด OTOMAT ลง...
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบ การจัดหา MK-41 + ASROC VL น่าจะมีราคาถูกกว่า MILAS ครับ..
ระบบ MK-41 จำนวน 2 ระบบ + ASROC VL จำนวน 8 ลูก รวมมูลค่าน่าจะประมาณ 32 ล้านเหรียญ หรือ ตกลำละประมาณ 16 ล้านเหรียญ (ถ้าราคา ASROC VL ราคาลูกละ 840,000 เหรียญต่อลูก (ไม่รวมตอร์ปิโด))...แต่ถ้าจัดหา ASROC VL มาจำนวนเต็ม คือ 16 ลูก ก็จะตกลำละ ประมาณ 19 ล้านเหรียญ
ส่วนของ MILAS ถ้าเทียบการจัดหา จำนวนลูก OTOMAT เท่ากับ ทร.อิตาลี่ จำนวน 2 ลำ ข้างต้น (ซึ่งไม่รู้ว่ามีจำนวนกี่ลูก) จะตกลำละประมาณ 23 ล้านเหรียญ...ซึ่งถ้า การจัดหา ลดจำนวนลูก OTOMAT ลง...ราคาอาจจะมาใกล้เคียงกัน...แต่ก็น่าจะยังสูงกว่า...
แต่ความยืดหยุ่นของ MK-41 จะมีมากกว่า MILAS...
คราวนี้ กลับมาที่ เรือชั้น กระบุรี นะครับ..ถ้าจะให้เรือชั้นนี้ จะมีความสามารถต่อต้านเรือดำน้ำ เมื่อพิจารณา แนวทาง คือ
1. จัดหา ฮ.ปด. (ราคาจะสูงกว่าระบบอื่น เพราะราคา ฮ. จะไม่ตำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อลำ แต่ความยืดหยุ่น มากกว่า ทุกระบบ สามารถใช้ในภาระกิจอื่น และ เรือลำอื่น ๆ ได้)
2. ติดตั้ง MILAS (ราคาระดับกลาง ประมาณขั้นต่ำ 500 ล้านบาทต่อลำ (กรณีลดจำนวนลูก) ความยืดหยุ่นต่ำ และต้องเพิ่มเติมระบบโซนาร์ระยะไกลให้กับเรือ)
3. ติดตั้ง ท่อยิงตอร์ปิโด (ราคาถูกสุด แต่ต้องปรับแบบ ท่อยิงตอร์ปิโด ให้เข้ากับ พื้นที่เรือ)
คงจะเป็น ข้อ 1. หรือ 3. ที่จะเป็น มิติ ใต้น้ำ ให้กับ เรือชั้น กระบุรี...
ส่วน เรือ OHP ถ้า ทร. จะจัดหามา...แล้วเพิ่มประสิทธิภาพการปราบเรือดำน้ำ...
1. จัดหา ฮ.ปด.1 เพิ่มเติม (ราคาจะสูงกว่าระบบอื่น เพราะราคา ฮ. จะไม่ตำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อลำ แต่ความยืดหยุ่น มากกว่า ทุกระบบ สามารถใช้ในภาระกิจอื่น และ เรือลำอื่น ๆ ได้)
2. ติดตั้ง MILAS (ราคาระดับกลาง ประมาณขั้นต่ำ 500 ล้านบาทต่อลำ (กรณีลดจำนวนลูก)) แต่ไม่ต้องจัดหา ฮ.ปด.1 เพิ่มเติม
3. ติดตั้ง MK-41 พร้อม ASROC VL (ราคาต่ำสุด ประมาณขั้นต่ำ 460 ล้านบาทต่อลำ แต่ความยืดหยุ่นในแง่ระบบ MK-41 จะดีกว่าในอนาคต) แต่ไม่ต้องจัดหา ฮ.ปด.1 เพิ่มเติม