จากเว๊ปของ กองเรือฟริเกตที่ 2 ครับ...
คงจะได้เห็น โฉมใหม่ ของ ร.ล.กระบุรี และ ร.ล.สายบุรี ในเวลาอันใกล้แล้ว....
|
|
เรือหลวงสายบุรี นำเรือออกอู่แห้ง หลังจากได้ดำเนินการ ติดตั้งและปรับปรุง |
|
ระบบค้นหา/ตรวจจับ ระบบอำนวยการรบและระบบอาวุธใหม่ ตามโครงการปรับปรุง |
|
เรือฟริเกตชุด เรือหลวงเจ้าพระยา พร้อมทั้งดำเนินการตรวจสอบและซ่อมทำตัวเรือใต้แนวน้ำเป็นที่เรียบร้อย |
|
ณ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี |
|
เมื่อ ๗ มกราคม ๒๕๕๖ |
ซึ่งมีการติดตั้ง แท่นยก สำหรับติดตั้ง เรดาห์ควบคุมการยิง ของ ปืน 100 ม.ม. แท่นคู่ รุ่นใหม่
และมี ถอน ปืน 37 ม.ม. ออกทั้งหมด 4 แท่น...ซึ่ง คงจะถูกทดแทน ด้วยป้อมปืน 37 ม.ม. แบบใหม่ ทั้งหมดในคราวเดียว...
แต่จากภาพ ดูเหมือนจะยังไม่ทำการ ถอด เรดาห์ควบคุมการยิงของปืน 37 ม.ม. คู่หลัง ออก
เปลี่ยนเรดาห์ใหม่ เรียบร้อย....
และดูเหมือน จะถอด เรดาห์ Type-352 ออกด้วย...
ดีมากครับ เอาเรือรบมาปรับปรุง+เสริมเขี้ยวเล็บให้กะมัน การจะได้งบประมาณมาซื้อเรือลำใหม่นั้น ก็แสนยาก
รอบๆ บ้านเรา เขาสะสมอาวุธกันทั้งนั้น ของเรา ก็ปรับปรุงให้มีความแข็งแกร่งขึ้น มีตัง ก็ซื้อเรือลำรบลำใหม่เพิ่มขึ้น
ปืน37มม. เดิม กับตัวใหม่นี่ต่างกันที่ตัวปืนหรือระบบควบคุมการยิงล่ะครับเนี้ย ส่วนตัวคิดว่าน่าจะติดตั้งak630ตัวจีนน่ะครับ
น่าจะทั้ง 2 อย่างครับ ท่าน MIG31....
ดูน่าจะเป็น DARDO สไตล์ จีน ครับ....
ตามโครงการ เรดาห์ควบคุมการยิงของปืน 37 ม.ม. ท้ายเรือ จะต้องเปลี่ยนเป็น TR-47C ด้วยเช่นกันครับ...
แต่ดูในรูป...เหมือนยังเป็นของเดิมอยู่ ?
ซึ่งคงน่าจะ สัมพันธ์ กับ ระบบอำนวยการรบ Poseidon 3...
ดูสเปคแล้ว...ก็เหมือน ปรับปรุงจาก ชั้น เจียงหู...ไปเป็น ชั้น เจียงเว่ย...แต่ขาด อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน จำนวน 1 ระบบ...เท่านั้น...
เรือชั้น เจียงเว่ย...
ปรับปรุงมา ให้เป็นสเปคเดียวกัน...ขาดแต่ จรวดหน้าเรือ แค่นั้น...
รวมมูลค่าโครงการ ก็ไม่น่าจะเรียกว่า ถูก นะครับ...
มูลค่าโครงการ | |
ติดตั้ง อาวุธนำวิถี C-802A | 1,682,503,000 |
ปป.ร.ล.เจ้าพระยา-อำนวยการรบ | 773,540,100 |
ปป.ร.ล.เจ้าพระยา-เฟสที่ 2 | 628,839,800 |
รวม | 3,084,882,900 |
ถัวเฉลี่ย ลำละ | 1,542,441,450 |
คุณ juldas ครับมันพอจะใส่ปืนแกตลิงได้รึเปล่าครับ
ได้อยู่แล้วครับ...
แต่ดูแล้ว เรือลำนี้ คงต้องการ ระยะไกล มากกว่านั้น ครับ...
เนื่องจาก ไม่ได้ ติดตั้ง อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ระยะใกล้ ประมาณ 8-10 ก.ม....
จึงยังคงต้องการ ปืน 37 ม.ม. ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็น ระยะประมาณ 10 ก.ม. ในขณะที่ ปืนที่ป้องกันตนเอง พวก CIWS มีระยะ 2-3 ก.ม. เท่านั้น คือ ใช้ยิง อากาศยานจำพวก ฮ. หรือ UAV ยังไม่ได้เลยครับ...ใช้ยิงป้องกัน อาวุธนำวิถี ได้อย่างเดียว...ในขณะที่ ปืน 37 ม.ม. สามารถทำลาย อากาศยาน พวกนี้ได้...นอกเหนือไปจาก ปืนใหญ่ 100 ม.ม. หน้าเรือ....
ปืน 37 ม.ม. จึงดูจะดีกว่า CIWS ครับ...ในขณะเดียวกัน ก็ยังพอจะป้องกันตนเองจาก อาวุธนำวิถี ได้เช่นเดียวกัน...
ยกตัวอย่างนะครับ...
ด้วยเรือชั้นนี้ ไม่มี อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ระยะใกล้....
กรณี เมื่อถูกโจมตี ด้วย ฮ. หรือ UAV ที่ติดตั้ง Sea Skua หรือ C-704 Missile
Sea Skua มีระยะปฏิบัติการ 25 ก.ม.
C-704 มีระยะปฏิบัติการ 35 ก.ม.
นั่นคือ ระยะไกลสุด....แต่ ไม่ใช่ ระยะหวังผล....
ซึ่ง ระยะหวังผล คือ ไม่มีความผิดพลาด ถ้าเราใช้ตัวเลขที่ ระยะ 50% ของ ระยะไกลสุด
ก็จะเป็น สำหรับ Sea Skua ที่ 12 ก.ม. และ C-704 ที่ 17 ก.ม.
นั่นคือ ฮ. หรือ อากาศยาน ต้องวิ่งเข้ามา เรือชั้นนี้ ให้ได้ในระยะ 12 – 17 ก.ม.
ซึ่งอยู่ใน วิถีระยะการยิงของปืนใหญ่เรือ 100 ม.ม.....และปืนรอง 37 ม.ม.
และก็ต้อง คำนึงถึงด้วย เรือไม่นิ่งอยู่กับที่ ก็มีการแล่นด้วยความเร็วเรืออยู่....
ดังนั้น ระยะยิงหวังผล ของ ฮ. หรือ UAV และ เรือชั้นนี้ ที่แล่นด้วยความเร็วเรืออยู่....
จึงน่าจะอยู่ในระยะยิงของ ปืนใหญ่หน้าเรือ และ ปืนรอง คือ 37 ม.ม. แท่นคู่ กราบเรือละ 2 แท่น...
ซึ่งจะสร้างอำนาจ การทำลาย....มากกว่า CIWS ที่มีระยะหวังผลเพียง 2 ก.ม. เท่านั้น...ซึ่งถ้า เรือชั้นนี้ ติดตั้ง Phalanx แทน...
เรือชั้นนี้ ก็เหมือนกับการ รอการถูกโจมตี ด้วยอาวุธนำวิถี....และต้องมอบหน้าที่ การทำลาย อากาศยาน คือ ฮ. หรือ UAV ให้ ปืนใหญ่เรือ 100 ม.ม. และต้องอยู่ในรัศมีของปืนหน้าเรือ เท่านั้น....
ในขณะที่ เมื่อติดตั้งปืน 37 ม.ม. ซึ่งมีระยะยิงไกลกว่า จะทำให้เรือ สามารถเพิ่มอำนาจ การทำลาย อากาศยาน เช่น ฮ. หรือ UAV ได้มากขึ้น โดยใช้ทั้ง ปืน 37 ม.ม. แท่นคู่ และ ปืนใหญ่หน้าเรือ 100 ม.ม. แท่นคู่ จะมีรัศมีการทำลายแบบ 180 องศา...
เป็นความเห็น วิเคราะห์ ส่วนตัว นะครับ
ถ้าเป็นแบบนั้น เรือชั้นนี้จะมีศักยภาพเป็นเรือฟริเกตสมรรถณะสูงหรือยังครับ
ชัดๆไปเลย ยังห่างไกลครับ
ตามเป้าหมายของ ทร. คือ ต้องการให้เป็น เรือฟริเกตสมรรถนะสูงครับ...
แต่จากความเห็นส่วนตัวของผม...มันดู คลุมเครือ ๆ...ครับ...
เพราะ มิติ การปราบเรือดำน้ำ ยังไม่มีครับ...
ลำพัง เครื่องยิงลูกระเบิดทำลายใต้น้ำ หน้าเรือ...ก็เป็นเทคโนโลยี่ รุ่น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2...ซึ่ง ทร. เคยมีใช้ ก็คล้าย ๆ กับ HeadHog บน ร.ล.ปิ่นเกล้า...
ในเป้าหมาย ความเป็น เรือฟริเกตสมรรถนะสูงของ ทร.
ผม คาดว่า...น่าจะเป็นการที่ ทร. จะจัดหา ฮ.ปด. สำหรับเรือชั้นนี้ มาประกอบใช้งานด้วย...
ก็น่าจะทำให้เรือชั้นนี้ ดูเป็น เรือฟริเกตสมรรถนะสูง มากขึ้น...
หรือ การจัดหาระบบโซนาร์ ลากท้าย...ซึ่ง จีน ก็มีใช้งานอยู่เช่นกัน....แต่ไม่แน่ใจว่า มีการขายให้กับประเทศอื่นหรือไม่ ?
สงสัยว่าทำไมทร.จึงปรับปรุงเรือชั้นนี้เพียง2ลำเท่านั้นครับ หรือเรือหลวงเจ้าพระยาและบางปะกงไม่มีลานจอดฮ.
เรือชั้นนี้หากไม่พึ่งการปราบเรือดำน้ำด้วย ฮ. แล้วล่ะก็เหลือแต่อาวุธประจำเรืออย่างRBU1200 ถึงมันจะเก่าแบบระบบสมัยสงครามโลก แต่ก็ใช้ิงานได้ดีกรณีโซนาร์ประจำเรือสามารถระบุพิกัดเรือดำน้ำได้ ก็ยิงแบบเหวี่ยงแหไปตกตำบลนั้นๆ
รัสเซียก็ยังใช้ระบบแบบนี้อยู่ในรุ่นRBU6000 แต่ของรัสเซียใช้โซนาร์หัวเรือ ลากท้าย ชักหย่อน เพื่อระบุพิกัดก่อนทำการยิงแล้วระบบรัสเซียในการยิงแต่ล่ะครั้งก็กินพื้นที่กว้างพอสมควร
เพราะของจีนตอนนี้ระบบปราบเรือดำน้ำถ้าไม่ใช้ฮ. ก็มีแท่นยิงตอร์ปิโดประจำเรือ และเครื่องยิงลูกระเบิดปราบเรือดำน้ำเนี้ยล่ะครับ
RBU1200 ของ เรือชั้นนี้ อยู่ที่ระยะ ไม่เกิน 1.2 ก.ม. น่ะครับ...
ส่วน RBU6000 น่าจะอยู่ที่ระยะประมาณเกือบ ๆ จะ 6 ก.ม. ครับ...ก็ประมาณ 50% ของ ASROC
RBU1200 จึงดูเหมือนว่า เรือที่ยิง ต้องอยู่ใกล้ ๆ กับ เรือดำน้ำ เลยครับ...พอ ๆ กับ ระเบิดลึก ครับ...
ดูแล้ว เหมาะกับ เรือดำน้ำ ที่ จนมุม และต้องใช้ วิธี กบดาน...
เมื่อเปลี่ยนปืนหน้าเรือทั้งหมด ทั้ง 100 ม.ม.แท่นคู่ และ 37 ม.ม. แท่นคู่...
หน้าเรือ มันคงจะแน่น อึ๊บ แบบนี้ หรือเปล่า...
เรือพี่ เรือน้อง ที่เมืองจีน...มีการเปลี่ยนระบบ เป้าลวงใหม่....
แล้ว เรือชั้น กระบุรี...จะมีเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม หรือเปล่า....