มีบทความน่าอ่านมาฝากครับ
จาก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 14 พฤศจิกายน 2555 (การเมือง : บทวิเคราะห์ โดย : ไพศาล เสาเกลียว, ปกรณ์ พึ่งเนตร )
ยุทธศาสตร์จีน-สหรัฐกับบทบาทไทยในหว่างเขาควาย
"สถานการณ์ของบ้านเราขณะนี้เป็นเรื่องที่ผู้นำประเทศจะต้องใช้สติปัญญาอย่างมาก เราจะต้องไม่เอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง"
"อย่าดีใจที่โอบามามาบ้านเรา เพราะคุณจะถูกรุกทางการทหารมากขึ้น" เป็นเสียงเตือนจาก พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ นักสันติวิธีชื่อดังที่สวมหมวกอีกใบหนึ่งเป็นอาจารย์สอน "ยุทธศาสตร์การทหาร" ในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) มาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับสิบปี
พล.อ.เอกชัย มองเรื่องนี้ในบริบทของ "ภูมิรัฐศาสตร์" หรือ Geopolitics ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ไม่ค่อยมีการเรียนการสอนในประเทศไทย ทั้งๆ ที่ในอีกซีกโลกหนึ่งทั้งอเมริกาและยุโรปให้ความสำคัญถึงขนาดนำมาจัดทำเป็น "ยุทธศาสตร์ชาติ"
แม้หลายคนจะมองว่าการวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีนี้อาจล้าสมัยไปแล้ว เพราะสิ้นสุดยุคสงครามเย็น แต่ พล.อ.เอกชัย กลับเห็นว่าแม้สงครามตามแบบจะค่อยๆ เลือนหายไปและเปลี่ยนวิธีการไปเรื่อยๆ ทว่าเป้าหมายของสงครามกลับยังคงเดิม นั่นคือการแย่งชิงความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร และการทหาร
ฉะนั้น "ทฤษฎีใจโลก" หรือ Heartland Theory กับ "ทฤษฎีขอบโลก" หรือ Rimland Theory ที่กำหนดให้ดินแดน "ยูเรเซีย" หรือเกือบทั้งหมดของยุโรปกับเอเชียตอนบนเป็นพื้นที่ "ใจโลก" อันอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีดินแดนโดยรอบรวมทั้งไทยเป็น "พื้นที่ขอบโลก" และเป็น "ทางผ่าน" สู่ใจโลก จึงยังคงอธิบายการขยับตัวของมหาอำนาจได้เสมอ โดยเฉพาะการมาไทยพร้อมๆ กันของ "สองพี่เบิ้ม" อย่างสหรัฐและจีนใน ค.ศ.2012
"ในแง่ภูมิรัฐศาสตร์ พื้นที่แถบรัสเซีย จีน มองโกเลีย อินเดีย และยุโรปตะวันออก ถือเป็นดินแดน Heartland หรือใจโลก เพราะเป็นแผ่นดินผืนใหญ่ที่สุดของโลก และมีทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุด จึงเป็นพื้นที่ที่ใครก็ต้องการครอบครอง แต่การจะเข้าไปสู่ใจโลกนั้นต้องผ่านพื้นที่ขอบโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ถัดลงมา เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง ทำให้พื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่สู้รบและตกอยู่ในแวดวงสงครามมาตลอด ไม่มีวันยุติได้ เพราะเป็นทางผ่านสู่ใจโลก" พล.อ.เอกชัย กล่าว
สำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ไทยถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดในการรุกเข้าสู่ "ใจโลก" และในทางกลับกันก็เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับประเทศที่อยู่ใน "ใจโลก" ที่ต้องหาช่องทางออกสู่น่านน้ำเพื่อประโยชน์ทางการค้าและการทหารด้วย
"ประเทศไทยเป็นพื้นที่ขอบโลก เมื่อมหาอำนาจต้องการสู้รบเพื่อยึดใจโลก ก็ต้องใช้พื้นที่ขอบโลกเป็นทางผ่าน และนี่คือคำตอบว่าทำไมอเมริกาถึงต้องมาที่ประเทศไทย เขาจะใช้ไทยเป็นทางผ่านเข้าไป และขณะเดียวกันก็ใช้เป็นพื้นที่สกัดประเทศในใจโลกซึ่งในทีนี้คือจีนไม่ให้ออกไปไหนได้ ขณะที่จีนก็เข้าใจยุทธศาสตร์ตรงนี้ดี จึงต้องมาที่ไทยเหมือนกัน เพื่อใช้ไทยในการสกัดกั้นยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีนของสหรัฐ" พล.อ.เอกชัย ระบุ
ในทัศนะของนักยุทธศาสตร์ทางทหาร เขาเห็นว่ายุทธศาสตร์ที่สองชาติมหาอำนาจกำลัง "เบ่งกล้าม-วัดพลัง" กันอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปรากฏการณ์สืบเนื่องมา เพียงแต่ปรับเปลี่ยน "ยุทธวิธี" ในการต่อสู้เท่านั้นเอง
เขาอธิบายว่า ในยุคแรกการแย่งชิงพื้นที่ใจโลกใช้ "กำลังทหาร" เป็นหลัก ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรดูจะเป็นฝ่ายชนะในยุคนั้น แต่ก็ไม่ถือว่าเด็ดขาด
ต่อมาได้มีการปรับยุทธวิธีใช้ "การเมือง" เป็นเครื่องมือ คือใช้ระบอบประชาธิปไตยต่อสู้กับสังคมนิยม จะสังเกตได้ว่าพื้นที่ "ใจโลก" ส่วนใหญ่ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม ช่วงนี้เป็น "ยุคสงครามเย็น" สหรัฐใช้ยุทธศาสตร์ "ป่าล้อมเมือง" ด้วยการทำให้ประเทศต่างๆ ที่อยู่ "ขอบโลก" เป็นประชาธิปไตยให้มากที่สุด เพื่อกดดันให้พื้นที่ "ใจโลก" เป็นประชาธิปไตยด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จทั้งหมด คือทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายได้ แต่ไม่สามารถทำอะไรจีนได้
หลังจากต่อสู้ด้วยระบบการเมืองไม่สำเร็จ สหรัฐก็เปลี่ยนมาต่อสู้ด้วยระบบเศรษฐกิจ คือแผ่ขยายเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเข้าไป มีมาตรการกดดันทางการค้าต่างๆ นานา แต่จีนสู้ด้วยเศรษฐกิจแบบ "1 ประเทศ 2 ระบบ" ไม่ยอมใช้ทุนนิยมเสรี และการต่อสู้แบบนี้กลับทำให้จีนแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่สหรัฐกับยุโรปกำลังล่มสลายเสียเอง ถึงวันนี้นักวิชาการหลายสำนักฟันธงตรงกันว่า ไม่เกินปี ค.ศ.2025 เศรษฐกิจของจีนจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก อินเดียเป็นอันดับ 2
"ขณะนี้ก็เริ่มมองเห็นเค้าลางแล้ว และสหรัฐซึ่งเคยเป็นเจ้าแห่งการทหาร เจ้าแห่งเศรษฐกิจ กำลังถูกลบล้างโดยจีน ระบบทุนนิยมเสรีล้มระเนระนาด แต่ระบบเศรษฐกิจ 2 ขาแบบจีนกำลังเป็นระบบที่ดีที่สุด เวียดนามและพม่ากำลังทำตาม แต่ไทยกลับยังคงยึดติดกับแนวทางของอเมริกาทั้งๆ ที่ใกล้ล่มสลายเต็มที"
พล.อ.เอกชัย กล่าวต่ออีกว่า ระยะหลังการต่อสู้เข้าสู่ยุค "สงครามจิตวิทยา" ใช้สื่อ หรือ "มีเดีย พาวเวอร์" เป็นเครื่องมือ ใครคุมสื่อได้ก็จะสามารถครองโลกได้ แล้วก็บูรณาการทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เพื่อสร้างสังคมโลกที่เป็นแบบเดียว เช่น "อเมริกันไนเซชั่น" ทำให้คนต้องดูหนังอเมริกัน เรียนหนังสือต้องใช้ตำราอเมริกัน คิดต้องคิดแบบอเมริกัน สิ่งเหล่านี้ประเทศไทยบริโภคเกือบหมดแล้ว จนแทบไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเองได้ นี่คืออันตราย
"แต่ความเป็นอเมริกันกำลังถูกท้าทาย หากไม่ยับยั้งการเติบโตแบบก้าวกระโดดของจีน สหรัฐอาจถึงกาลล่มสลาย นี่คือเหตุผลสำคัญที่สหรัฐต้องมุ่งมาที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทยที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุด มีชัยภูมิเหมาะกับการเป็นศูนย์กลางการบิน การคมนาคม ทั้งยังเป็นพื้นที่เชื่อมต่อของ 2 ทะเลอีกด้วย"
"สหรัฐต้องเดินแผนปิดล้อมจีนโดยใช้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ แล้วก็เข้าไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเวียดนาม อินเดีย หรือแม้แต่ปากีสถาน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยทะเลาะกัน ขณะที่จีนก็พยายามหาทางออก ด้านหนึ่งก็ไปเชื่อมกับไต้หวัน อีกด้านหนึ่งก็วางท่อแก๊ส ตัดถนนเข้าพม่าไปถึงท่าเรือน้ำลึกทวาย และพยายามลงมาที่ท่าเรือแหลมฉบังของไทยเพื่อหาทางออกทะเลให้ได้ ให้สามารถขนถ่ายสินค้าได้สะดวกรวดเร็วที่สุด นี่คือยุทธศาสตร์ของจีน"
สำหรับจังหวะก้าวของสหรัฐ พล.อ.เอกชัย คาดการณ์ต่อไปว่า หลังจากนี้่จะมุ่งไปที่ "กลุ่มประเทศซีไอเอส" หรือกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช ที่แตกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียต เช่น คาซัคสถาน คีร์กิสถาน เติร์กเมนิสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน ยูเครน เป็นต้น เพราะกลุ่มประเทศเหล่านี้มีทรัพยากรมาก และเป็นเส้นทางเข้าสู่โจโลกเช่นกัน ส่วนอีกจุดหนึ่งที่สหรัฐต้องรีบเปิดเกมรุกเพื่อชิงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ให้สำเร็จคือ "อิหร่าน" เพราะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอิรักกับอัฟกานิสถาน และต่อเข้าไปยังดินแดนใจโลก
เมื่อมอง "หมากกระดานโลก" ทั้งกระดานแล้ว จะเห็นว่าประเทศไทยเป็น "ตัวเล่น" หนึ่งที่มหาอำนาจระดับ "ขุน" ต้องการ "เก็บกิน" หรือ "ดึงเป็นพวก" ปัญหาก็คือรัฐบาลและองคาพยพต่างๆ ของเราพร้อมหรือยังกับสถานะที่กำลังเป็นอยู่ โดยเฉพาะการเตรียมวางแผนและกำหนดท่าทีเพื่อแสวงประโยชน์จากการเป็น "จุดยุทธศาสตร์" ให้มากที่สุด แทนที่จะปล่อยให้ถูกกินง่ายๆ แบบ "เบี้ย"
"ประเทศไทยขณะนี้อยู่หว่างเขาควาย จะขยับไปทางไหนก็ไม่ได้ คำถามที่ว่าเราจะเดินไปอย่างไรจึงเป็นเรื่องที่ผู้นำประเทศจะต้องใช้สติปัญญาเป็นอย่างมาก จะทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ เราจะต้องไม่เอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เหมือนกับที่ผ่านมาเราเอียงข้างสหรัฐมากเกินไป การที่เราไม่เทคไซด์ จะทำให้เราไม่เสียหาย และจะเป็นฝ่ายได้ตลอด ได้จากทั้งสองฝั่ง อาจจะเรียกว่านโยบายเหยียบเรือสองแคมก็ได้ ซึ่งเราถนัดและเคยใช้จนประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต"
พล.อ.เอกชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องกลับไปทบทวนประวัติศาสตร์ว่าประเทศไทยอยู่รอดมาได้เพราะอะไร พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศเอาไว้อย่างไร จนทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในย่านนี้ที่ไม่ตกเป็นเมืองขึ้น เราไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง แต่ให้ความสำคัญกับทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกัน และควรหันมองพันธมิตรใกล้ตัว เช่น มาเลเซีย กับมิตรประเทศในอดีตอย่างรัสเซียบ้าง เพื่อใช้โอกาสตรงนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
"โอกาสมาถึงแล้ว หากเราวางยุทธศาสตร์ให้ดีจะเป็นประโยชน์มาก แต่ถ้าเรายังขัดแย้งกันเองภายใน อาจเป็นจุดจบของประเทศไทยได้เหมือนกัน"
เครดิตที่มา : ttp://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/analysis/20121114/478000/ยุทธศาสตร์จีน-สหรัฐกับบทบาทไทยในหว่างเขาควาย.html
เส้นทางของโครงการขนส่งพลังงานทางท่อของจีนในพม่าจากอ่าวเบงกอลสู่คุนหมิงและนานกิง
(ภาพจาก http://www.cnas.org/blogs/naturalsecurity/2012/06/burmese-solution-beijings-south-china-sea-behavior.html)
ภาพไม่ขึ้น
อีกที
สุดท้าย
http://www.shwe.org/wp-content/uploads/2011/08/Map1.png
ไปนอนดีกว่า
ที่ผ่านมาไทยก็ทำได้ดี คือ อยู่ตรงกลางระหว่างจีนกับสหรัฐ (แม้จะเอียงทางสหรัฐนิดๆ) ด้านการทหารจะเห็นชัดว่าไทยก็เริ่มห่างจากสหรัฐที่ล่ะนิดๆ เห็นได้ชัดกรณีการซ้อมรบร่วมไทยจีน การซื้ออาวุธสวีเดนและยุโรป
สำหรับอนาคตอันใกล้ไทยต้องดำเนินการในแบบความสัมพันธ์แบบสามเหลี่ยมด้านเท่า (ผมแต่งเอง) คือ
มุมที่ 1 คบสหรัฐและพันธมิตรสหรัฐ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การทหาร วัฒนธรรม
มุมที่ 2 คบจีนและพันธมิตรรวมรัสเซียด้วย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การทหาร วัฒนธรรม
มุมที่ 3 คบประเทศที่มีความเป็นกลางหรือค่อนข้างเป็นกลาง เช่น สวีเดน สวิสฯ บลาซิล อัฟฟริกาใต้ อาจรวมเยอรมันด้วย(อย่ามองข้ามที่ว่าเยอรมันครึ่งหนึ่งเป็นคนเยอรมันตะวันออกมาก่อน) ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การทหาร วัฒนธรรม
ทั้ง 3 มุมต้องมีความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงและเปิดเผย ไทยต้องสวมบทบาทฑูตสันทวไมตรี เป็นกรรมการห้ามมวย และต้องรักษาความลับของมิตรประเทศอย่างแท้จริง เป็นผุ้ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับประเทศที่เดือดร้อนโดยไม่เลือกฝ่าย ทั้งหลายทั้งมวลนี้จะทำให้ไทยรอดพ้นจากภัยทั้งปวง และจะเจริญรุ่งเรืองต่อไป ครับ
ลงชื่อไว้ก่อนครับ เดียวกลับมาอ่าน สะสางงานก่อนครับ
ขอแสดงความคิดเหฌนแย้งนิดนึงนะครับ ผมกลับมองว่า จีน จะไม่มีบทบาทเท่าไหร่ในแง่เศรษฐกิจโลกในอนาคต เพราะช่วงนี้เศรษฐกิจจีนเองอยู่ในช่วงทรงตัว อีกนิดก็คงถึงขาลงแล้ว จีนเองก็คงจะลงทุนในด้าน อุตสาหกรรมทางการทหารน้อยลงในอนาคต