เล็งนำนโยบาย “โอบามา” แจ้งการปฏิบัติ
ผู้สื่อข่าว Mthai News รายงานจาก กระทรวงกระทรวงกลาโหมว่า พล.ร.อ. Samuel J. Locklear,III ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐอเมริกาภาคพื้นแปซิฟิก พร้อมนางคริสตี้ เคนนี่ย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
และคณะเข้าเยี่ยมคำนับ พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้แทน รมว.กลาโหม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในประเด็นต่างๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือ กระชับความสัมพันธ์
ทั้งนี้ พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังจากที่ พล.ร.อ. Samuel J. Locklear,III เข้าพบพล.อ.ทนงศักดิ์ ว่า ในการมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ถือว่าเป็นการมาแนะนำตัวก่อนเข้ารับตำแหน่ง และได้นำกรอบนโยบายของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาปฏิบัติ
ทั้งนี้ไทยถือเป็นพันธมิตรที่ติดต่อกันมาอย่างยาวนานกว่า 179 ปีและมีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด ถือว่าไทยเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็ง มีความสำคัญในภูมิภาคนี้ เชื่อมั่นว่าในอนาคตจะมีการสานความสัมพันธ์กันต่อไปอย่างแนบแน่น
นอกจากนี้ยังได้มีการชี้แจงถึงการปฏิบัติงานในภูมิภาคดังกล่าว โดยต้องการที่จะรักษาสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางทะเล พร้อมทั้งย้ำจุดยืนในการแก้ไขปัญหาทะเลจีนใต้
ทางกองทัพสหรัฐฯ ต้องการปฏิบัติโดยการเจรจา เน้นการปฏิบัติด้วยวิธีสันติ จุดยืนคือจะไม่มีการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คิดว่าการแก้ไขปัญหาในทะเลจีนใต้จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นไปตาม Coast of conduct หรือแนวทางการปฏิบัติทางทะเล
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพสหรัฐฯ กับจีน คือทิศทางที่จะเดินต่อไปข้างหน้าในการสานสัมพันธ์ ไม่มีผลกระทบต่อกันและกัน ก็ดูแล้วว่าจะทำให้เกิดผลประโยชน์กับประเทศไทย เพราะทั้งสหรัฐฯ และจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทย
ส่วนการฝึกร่วมผสมภายใต้รหัสคอบบร้าโกลด์ที่ฝึกกันมายาวนานกว่า 30ปี ได้สร้างประโยชน์ให้กับทั้งสองกองทัพและสร้างความเป็นเพื่อนให้กับทหารสองชาติ นำไปสู่การช่วยเหลือด้านภัยพิบัติที่เกิดขึ้น
โดยได้มีการหยิบยกประเด็นปี54 ที่ไทยประสบอุทกภัย และสหรัฐฯส่งยุทโธปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ รวมถึงงบประมาณมาช่วยเหลือประเทศไทย
นอกจากนี้ยังได้มีการพูดถึงการเตรียมความพร้อมรับคณะของปลัดกระทรวงกลาโหมที่จะนำผู้แทนของเหล่าทัพไปประชุม defence strategy talks ในวันที่ 16-22 ต.ค. ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี สำหรับประเด็นการประชุมดังกล่าวเป็นการกำหนดแผนงานหลักในเรื่องความมั่นคงในกรอบงานปี 56 ว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไรบ้าง
ขณะดียวกันในที่ประชุมได้มีการหารือถึงการประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่จะเกิดขึ้นในเดือนพ.ย.นี้ที่ประเทศออสเตเรีย มีผบ.สส. 36 ประเทศเข้าร่วม ในส่วนของปลัดกระทรวงกลาโหมได้มีการหารือระหว่างกองทัพสหรัฐฯ และไทยที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเกื้อกูล ซึ่งกันและกัน
ที่ผ่านมาผ่านช่องทางของการฝึกคอบบร้าโกลด์ในการประสานงานเพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้กับกำลังพลของเหล่าทัพ ทั้งนี้ปลัดกระทรวงกลาโหมได้ชี้แจงถึงการฝึกกะรัตของกองทัพเรือด้วยว่าเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์เพราะว่ากองทัพเรือของสหรัฐฯ ถือว่าเป็นกองทัพชั้นนำของโลก ในการฝึกแต่ละครั้งได้นำเทคโนโลยีมาพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ยังขาดเหลืออยู่
โดยเฉพาะการรักษาเสถียรภาพบนพื้นน้ำของทะเล สำหรับแนวทางในการปฏิบัติต่อไปของทั้งสองกองทัพจะเน้นเรื่องภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เรื่องความมั่นคงทางทะเล การบรรเทาภัยพิบัติ การปฏิบัติการเพื่อรักษาสันติภาพ การปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม โดยทั้งหมดจะทำให้การทำงานมีความแนบแน่นและเกิดศักยภาพต่อไปในอนาคต
มีข่าวเร็วๆนี้ รมต.กลาโหม จะพา ผบ.เหล่าทัพ ไปอเมริกา
น่าจะการคุยเรื่องดีลเด็ดๆแน่นอน
สงสัยท่านจะมากระซิบขาย M1A1 (LPG,CNG) เพราะ ไทยกับกัมพูชา กำลังจะมีก๊าซธรรมชาติจำนวนมาก
*ก็ M1A1 ใช้เครืองยนต์เบนซิน บวกกับ ไทยจัดหารถถังหลักจำนวนมาก อิอิ ขำขำครับ
มอบเรือพิฆาตให้ ทร. 4 ลำ อิอิ
อยากได้ใช่ไหมเดี๋ยวไอจัดให้งามๆ
ยูอยากได้ซักสองลำไหม ฮ่าๆขำๆนะครับ
555555.......ยูอยากได้อันไหนเดี๋ยวไอจัดให้ แต่ยูต้องให้สัมปทานน้ำมันสัก 20 - 30% ของพื้นให้ไอด้วย เพราะไอไม่อยากพึ่งน้ำมันจากซาอุ UAE คูเวต อีกแล้ว เสียวพวกก่อการร้าย รับรองว่าไอจะยกระดับยูให้เป็นพันธมิตรระดับนาโต้ไปเลย 55555......อยากได้เอจีส จัดให้ อย่าเอา SM-2 เล้ย เอา SM-3 ไปเลยดีกว่าไอว่า แต่ไอขายราคาโคตรแพงกว่าพันธมิตรนาโต้แน่นอน เพราะยูกับเขมรกำลังจะรวย ส่วนยุโรปกำลังจะจน แบ่งๆไอใช้บ้างนะ 555555........
เห็นด้วยครับ เราควรรู้จักตัวตนของเราเอง และ รู้จักการจัดการ การใช้ทรัพยากรอย่างฉลาด เพื่อลูกหลานของเรา
อ่านเม็นแต่ล่ะอันทำเอาท้องแข็ง