เมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ค่าย Bastion ของกองกำลังนานาชาติ (ISAF) ภายใต้การควบคุมดูแลของกองทัพสหราชอาณาจักร ได้ถูกกลุ่มตาลีบันพร้อมอาวุธ เข้าโจมตีค่าย ยังผลให้ทหารสังกัดหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา 2 นาย เสียชีวิต และยังได้ใช้จรวด RPG ยิงโจมตีทำลายสิ่งปลูกสร้างและที่สำคัญเครื่องบินปีกนิ่งและปีกหมุนที่จอดอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ในจำนวนนั้นประกอบไปด้วยเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งแบบ AV-8B Harrier 6 ลำ ซึ่งมีมูลค่าลำละกว่า 24 ล้านเหรียญ หรือกว่า 600 ล้านบาท ค่าย Bastion เป็นศูนย์กลางด้านการรวมกำลังพลและการขนส่ง นอกจากนั้นแล้วยังเป็นค่ายให้กับกองกำลังจากกองทัพ สหรัฐอเมริกา อีสโทเนีย เดนมาร์ก นอกจากนั้นแล้ว ค่าย Bastion ยังเป็นค่ายที่เจ้าชายแฮรี่ แห่งราชวงษ์อังกฤษ ประจำการอยู่ อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวแทบลอยด์ของอังกฤษได้กล่าวว่าระหว่างการโจมตี เจ้าชายแฮรี่อยู่ภายใต้การถวายอารักษ์ขาของหน่วยรบพิเศษเลื่องชื่อในตำนาน SAS หรือ Special Air Service
เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นเมื่อตอนเวลา 10 นาฬิกา เมื่อกลุ่มก่อความไม่สงบราว 15 คน แฝงกายในเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ทหารอเมริกัน พร้อมติดอาวุธด้วย ปืนกลอัตโนมัติ จรวด RPG และอุปกรณ์ระเบิดพลีชีพ บุกเข้าไปในพื้นที่ภายในค่าย โดยแยกออกเป็นสามชุดเพื่อแยกย้ายกันเข้าโจมตีค่ายในห้วงเวลาเดียวกันเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ ฝ่าเครื่องกีดขวางและระบบรักษาความปลอดภัย เข้าไปถึงภายในบริเวณลานจอดอากาศยาน ยิงโจมตีอากาศยานที่จอดอยู่ในบริเวณลานจอด ต่อมาเจ้าหน้าที่จากกองกำลังนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา ในบริเวณใกล้เคียงได้ทำการยิงต่อสู้เพื่อผลักดันกลุ่มก่อความไม่สงบ ยังผลให้กลุ่มก่อความไม่สงบเสียชีวิตไป 14 คน ภายหลังจากที่ได้ยิงต่อสู้กันเป็นเวลานานกว่า 5 ชั่วโมง ก่อนที่จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ การโจมตีในครั้งนี้เป็นการโจมตีที่ได้ทำการศึกษาและทำความเข้าใจในมาตรการและระบบรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี ซึ่งในขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังสอบสวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงทำให้กลุ่มตาลีบันสามารถลักลอบเข้ามาในเขตรักษาความปลอดภัยสูงสุดได้
ภายหลังจากการโจมตี โฆษกของกลุ่มตาลีบันได้ออกมาโพสท์วิดีโอลงในเว็บไซต์ Youtube เพื่อให้เหตุผลของการโจมตี โดยได้ระบุว่าเจ้าชายแฮรี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการโจมตีครั้งนี้ อย่างไรก็ตามผู้สังเกตการณ์ได้ตั้งประเด็นเป้าหมายของการโจมตีที่ค่าย Bastion ครั้งนี้ว่าเป็นการบุกโจมตีเพื่อสร้างความเสียหายแก่ยุทโธปกรณ์ที่เป็นหัวใจของปฏิบัติการทางทหารของกองกำลัง NATO ในเขตพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศอัฟกานิสถาน มากกว่าประเด็นการมุ่งทำร้ายชีวิตของผู้ที่อยู่ภายในฐานทัพแห่งนี้ รวมถึงการโจมตีด้วยยุทธวิธีแบบนี้ไม่ใช้ครั้งแรกที่ถูกนำมาใช้ เพราะหากย้อนหลังกลับไปเมื่อปีที่แล้วในเหตุการณ์ลอบโจมตีฐานทัพอากาศในกรุงการาจี ประเทศปากีสถาน โดยกลุ่มตาลีบัน ในครั้งนั้นกลุ่มตาลีบันประมาณ 20 คน ได้ทำการแฝงกายในเครื่องแบบข้าราชการทหารเรือ พร้อมอาวุธแบบปืนกลอัตโนมัติ จรวด RPG และการใช้ยุทธวิธีระเบิดพลีชีพในการสร้างความปั่นป่วนและสร้างความเสียหายให้กับบริเวณใกล้เคียง โดยได้เลือกช่วงเวลากลางคืนในการปฏิบัติการ ในช่วงเวลาประมาณ 11 นาฬิกา ซึ่งกำลังพลของเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานกว่า 15 ชั่วโมงในการควบคุมสถานการณ์ ซึ่งในครั้งนั้นได้มีผู้เสียชีวิต 16 คน ในจำนวนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพ 10 คน รวมถึงอากาศยานปีกหมุนและเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลแบบ Lockheed P-3 Orion จำนวนสองลำ
ลักษณะของการโจมตีฐานทัพของกลุ่มตาลีบันทั้งในประเทศอัฟกานิสถานและประเทศปากีสถานแสดงให้เห็นถึงเครือข่ายของกลุ่มก่อความไม่สงบที่มีอยู่ในสองประเทศ ที่ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางด้านการข่าวและหลักนิยม มีความมุ่งมั่นที่จะเลือกโจมตีฐานทัพขนาดใหญ่ที่มีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา มีกำลังพลประจำการเป็นจำนวนมาก และยังได้บรรลุภารกิจทั้งในเชิงการทหารและเชิงสัญลักษณ์เพื่อสร้างความนิยมและการสนับสนุนของกลุ่มตาลีบันทั่วโลก
ข้อมูลมีลงไว้ในวิกิพีเดียครับ มีเหลือเฟือ ตามลิ้งค์ครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Wasp_class_amphibious_assault_ship
Aircraft carried: Actual mix depends upon the mission[3]
Standard Complement:
6 AV-8B Harrier II attack aircraft
4 AH-1W SuperCobra attack helicopter
12 CH-46 Sea Knight helicopters or 4+ MV-22 Osprey
4 CH-53 Sea Stallion helicopters
3-4 UH-1N Huey helicopters
Assault:
42 CH-46 Sea Knight helicopters
or
22+ MV-22 Osprey
Sea Control:
20 AV-8B Harrier II attack aircraft
6 SH-60F/HH-60H ASW helicopters
เรือชั้น wasp มีอยู่ 8 ลำ ดังนั้นถ้าใช้ในภาระกิจ sea control (เรือบรรทุกบ.เมื่อยามจำเป็น) จะนำไปได้ 20 เครื่องต่อ Wasp 1 ลำ ดังนั้นต้องมีขั้นต่ำ 160 เครื่องครับ ส่วนในภาระกิจขับไล่คุ้มครองหน่วยนาวิกของอเมริกาจะใช้ F-18 ในภาระกิจนี้ครับ ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้เลย
http://en.wikipedia.org/wiki/United_States_Marine_Corps
Marine attack squadrons fly the AV-8B Harrier II; while the fighter/attack mission is handled by the single-seat and dual-seat versions of the F/A-18 Hornet strike-fighter aircraft. The AV-8B is a V/STOL aircraft that can operate from amphibious assault ships, land air bases and short, expeditionary airfields, while the F/A-18 can only be flown from land or aircraft carriers. Both are slated to be replaced by 340 of the STOVL B version of the F-35 Lightning II, beginning training operations in 2008,[133] and 80 of the carrier F-35C versions for deployment with Navy carrier air wings.[134][135][136]
มีแผนจะเริ่มทยอยปลด Harrier และ F/A-18 ราวๆปี 2014 หรืออีกสองปีข้างหน้าครับ อเมริกันกวาดซื้อเครื่อง GR-7-9 ของอังกฤษไปใช้งานหมด
ถ้าเจ้าชายแฮรี่ เป็นอะไรไปนะ ไม่ได้อยู่ดีแน่
ขอบคุณครับคุณ neosiamese 2
กลัวว่าถ้าเค้าปลดระวางแล้วเราจะไม่มีเครื่องที่ครบจำนวนฝูงบิน แต่ถ้ามีถึง 160 ลำก็เหลือเฟือละครับ
แต่ถ้าสหรัฐเค้าปลดระวาง AV-8B Harrier พร้อมกันแบบนี้ ถ้าเราไปซื้อมือ 2 มา
แล้วเราจะเอาเครื่องที่ไหนเป็นอะไหล่ละครับ เพราะ AV-8B Harrier รู้สึกว่าจะปิดสายการผลิตแล้วนี่ครับ
ถ้าทร.คิดจะกลับมาทำให้จักกรีเป็นเรือบรรทุกบ. sea control อีกครั้ง ก็ไม่น่าจะไร้ซึ่งความหวังแต่ประการใด ราคามือหนึ่ง 24-30 ล้านเหรียญ ประมาณ 700-900 ล้านบาท ตอนนั้นที่เรารับมอบเรือจักกรีมาหมาดๆ อเมริกันเสนอขายให้ถ้าจำไม่ผิด(ลงในหนังสือสงครามและสมรภูมิ) ประมาณ 650 ล้านบาท แต่ตอนนั้นค่าเงิน 25 บาทต่อดอลล์ ก็น่าจะประมาณ 24 ล้านดอลล์ เสนอขาย 12-16 เครื่อง (มีรุ่นสองที่นั่ง 4 เครื่อง)
ถ้าซื้อมือสองในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ราคาก็คงประมาณมือหนึ่งอยู่ดีครับ เพราะต้องทำการยืดอายุโครงสร้างและทำการซ่อมทำคืนสภาพให่เหมือนใหม่ใช้ได้ 20-30 ปี และถ้าต้องการ 16 ลำเช่นเดิม คงต้องหาเงินมาจ่ายประมาณ 11,000 - 12,000 ล้านบาท จักกรีก็จะเปลี่ยนสภาพกลับเป็นเรือบรรทุกบ.อีกครั้ง แต่คงต้องจัดหาเครื่อง EH-101 AEW มาด้วยอย่างน้อย 2 เครื่อง แต่การจัดหาคราวนี้คงต้องเผื่อเรื่องอะไหล่มาด้วยนะครับ เพราะเขาเลิกสายการผลิตไปแล้ว แต่เครื่องก็เหลืออขายทิ้งเยอะจริงๆ
ส่วนจะได้มาจริงๆหรือเปล่าก็ต้องดูดีลการจัดหาชุดต่อๆไปว่าง่าย ลื่น หรือไม่ เรือฟรีเกตต่อต้านเรือดำน้ำ HI end เดิมจะจ่ายปีละประมาณ 8000 ล้าน 4 ปี แต่กลับมาจ่ายเป็น 5000 ล้าน 6 ปี ดังนั้นตลอด 6 ปีข้างหน้า ทร.จะมีงบประมาณขั้นต่ำเหลือที่จะใช้จัดซื้ออาวุธต่างๆได้อีกปีละประมาณ 3000 ล้านบาท หรือ 18,000 ล้านบาทสำหรับ 6 ปี แต่ดูแล้ว OPV และ เรือดำน้ำฝึกคงจะจองงบประมาณส่วนนี้ไปหมดแล้วครับ
เมื่อถึงปี 2561 ก็ต้องเริ่มจัดหาเรือดำน้ำมือหนึ่ง 2-4 ลำกันอีก และถ้าต้องปรับเรือฟรีเกต Hi end ไปเป็นเรือป้องกันภัยทางอากาศ ทร.ก็ต้องขาดเรือฟรีเกตต่อต้านเรือดำน้ำไปอีก 4 ลำ ดังนั้นก็ต้องจัดหาใหม่ ยังต้องเรือ LPD ลำที่สอง ถึงจะค่อยมาที่ Harrier2 ยกเว้นมาสถานะการณ์ที่จำต้องจัดหา Harrier มาด่วน
ดูจากโครงการของ ทร. ที่ต้องทำในอนาคตตามที่คุณ neosiamese 2 ให้มาแล้ว
รู้สึกว่าด้านการเงินของ ทร. ออกแนวชักหน้าจะไม่ค่อยถึงหลังแล้วนะครับ
สงสัยโครงการ AV-8B Harrier มือ 2 คงเป็นได้แค่ความฝันของผมแล้วละครับ เหอ เหอ
วิธีแก้ไข ถ้าต้องการเครื่อง 16 เครื่องตามแผนเดิม(สิบกว่าปีก่อนโน้น) ก็คงต้องจัดหามาอย่างน้อย 24-30 เครื่อง น่าจะ 30 เครื่องมากกว่า โดย 14 ตังที่จัดหาเพิ่มขึ้นมาจะไม่ทำการยืดอายุโครงสร้างและซ่อมคืนสภาพ แต่จะเก็บไว้เป็นอะไหล่เพื่อซ่อมกินตัว แต่ราคาต่อเครื่องก็น่าจะถูกมากๆ เหมือนคราวที่ทร.สั่งซื้อ A-7 มาใช้งาน ก็ต้องสั่งเครื่องที่มาเป็นอะไหล่เพื่อซ่อมกินตัวไปอีกราวๆเท่ากับทั้งฝูงที่จะใช้งานครับ แต่ราคาแค่รถเบนซ์เท่านั้น ถูกโคตรๆ แต่ตอนนั้นที่จัดหา A-7 เพราะทร.มีแผนจัดหาเรือบรรทุกบ.เบาแบบธรรมดา ( CATOBAR) ขนาดเกือบ 30,000 ตัน 1 ลำ ซึ่งจะไปใช้งานบนเรือบรรทุกบ.ลำนั้นครับ ( SAC-220)
ไม่รู้ทอ.ยังคงเก็บความฝันนั้นเอาไว้อยู่หรือเปล่า หรือซุกเข้าหิ้งทิ้งลืมไปเลย ถ้าไม่ลืมทิ้ง สักวันคงจัดหา F/A-18 มือสองมาใช้งานทดแทนน่ะครับ ก็คงอีกไม่น้อยกว่า 10 ปีแน่ๆ เพราะคิวจัดหามันเยอะจริงๆ ยกเว้นรัฐบาลใจป้ำจ่ายให้เหมือนยุคท่านชวลิต
คงยากละครับในยุคนี้ เพราะรายจ่ายโครงการต่างๆ ของรัฐบาลก็มากโขอยู่
นี่ยังไม่รวมการขาดดุลงบประมาณประจำปี ซึ่งดูตามเปอร์เซ็นต์แล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี
ครั้นจะเจียดเงินมาให้กองทัพซื้อยุโธปกรณ์ใหม่ต่างๆ เพิ่มขึ้น ก็เห็นจะเป็นได้แค่เพียงความฝันจริงๆ แล้วละครับ
อ่า...พิมพ์ผิด ต้องเป็น ทร. ไม่ใช่ ทอ.
อันนี้ที่ทร.ชักหน้าไม่ถึงหลังเพราะตั้งแต่ปี 40 เป็นต้นมา ทร. โดนดองสนิทครับ ได้งบมาแค่ทำให้เรือและเครื่องบินใช้งานไปจนหมดอายุและไม่ได้งบเพิ่มเติมเพื่อจัดหาและทดแทนแต่ประการใด แบบจงใจดองเค็มยังไงไม่รู้ (หรือผมเข้าใจผิดไปเอง แต่ทำไมต้องทร.เจ้าเดียวก็ไม่รู้) ผิดกับยุคท่านชวลิต งบลื่นไหลเป็นน้ำ ถ้าทร. ทอ. ต้องการสิ่งใด หาเงินให้ได้ ก็เอาไปเลย อะไรเทือกนั้น
ถ้าการชิงอำนาจสิ้นสุดลงและถ้าเป็นไปตามที่คาดการ คิดว่าทร. น่าจะได้รับการจัดสรรงบประมาณมากขึ้นมากมายในอนาคตข้างหน้าครับ ซึ่งถ้าเป็นจริง ของจำเป็นทั้งหมดของทร.จะต้องได้ทั้งหมดก่อน แล้วของส่วนเกินเพื่อเพิ่มศักยภาพ (จะได้เริ่มตัดคลองกระแบบสบายใจได้) คงต้องตามมาทีหลัง เพราะคลองกระและบ่อน้ำมันเจ้าปัญหากับเขมรนั้นมีค่าคู่ควรที่จะต้องมีกองเรือบรรทุกบ. ปกป้องอย่างยิ่งครับ
ส่วนทอ. ต้องขอดูก่อนนะ เรื่องการเมืองอ่ะ ข้ามไปดีกว่า
เรื่องเกี่ยวข้องระหว่างงบประมาณกับการทหารเนี่ย มันเป็นอะไรที่พูดแล้วเหนื่อยใจจริงๆ นะครับ 5555
ผมคิดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าถ้าสหรัฐปลด AV-8B แล้ว ทร. น่าจะซื้อมาใช้แต่คงไม่มาก คือ ประมาณไม่เกิน 20 เครื่องแต่ใช้จริง 8-10 เครื่อง ที่เหลือเป็นอะไหล่ ส่วนเวลาใช้บนเรือจักรีฯ ก็คงบรรทุกไปไม่เกิน 6-8 เครื่องสำหรับป้องกันภัยทางอากาศ ที่เหลือก็จะเป็น ฮ.โจมตี เช่น AH-1Z มือสอง 4 เครื่องเพื่อสนับสนุนการยกพลขึ้นบก กับ ฮ.ลำเลียง2-4 เครื่อง ส่วน ฮ. ลำเลียงพลเพิ่มเติมก็ต้องใช้เรือชั้นอ่างทอง และจากเรืออื่นๆที่มี ฮ. ประจำอยู่ ครับ
ส่วนงบประมาณถ้าให้ดีในอีก 5ปี ข้างหน้า ทร. ควรได้งบเพิ่มจาก 3 หมื่นล้านกว่าๆ เป็นสัก 5 หมื่นล้าน โครงการต่างๆจึงจะพอสำเร็จครับ
ท่าน rayong กล่าวได้ถูกต้องแล้วครับ ณ.เวลาปัจจุบัน ทร.ไทยต้องการแค่ 8 เครื่องในฐานะเครื่องบินป้องกันภัยทางอากาศเพื่อลดภาระของฝูงบิน 701 แต่ในอดีตนั้นไม่ใช่ครับ เรื่องเรือ 911 ลำนี้นี่ผมยังสงสัยมาตลอดว่าทร.จะเอามันไปใช้งานในฐานะอะไรกันแน่ เพราะเปลี่ยนไปเปลี่ยนตามแต่ผบทร.เป็นท่านใด กลุ่มการเมืองไหนมีอำนาจ
เดิมสมัยก่อนปี 40 ทร. ต้องการเรือบรรทุกบ. 1 ลำ เรือบรรทุกฮ. 1 ลำ ตอนแรกให้ทางเยอรมันเป็นผู้ต่อให้ ก็ถูกแทรกแซงจากมหามิตรและก็พอดีอู่ต่อเรือนั้นต้องมีอันล้มพับ จึงไปจ้างอู่ของสเปนต่อให้ แต่สเปนกลับเสนอเรือบรรทุกบ.สกีจัมพ์มาให้แทน และทร.เราก็ OK. เหมือนส้มหล่น เพราะราคาไม่แพงจึงจัดหา (ทางสเปนเสนอขายพร้อม Matador ทั้งชุดมาให้พร้อมเรือฟรี)
เมื่อจัดหามาแล้วทร. กลับเอา harrier มาประจำเรือเกือบทั้งหมดเลยครับ สภาพตอนนั้น 911 กลายเป็นเรือบรรทุกบ.เต็มตัว แนวคิดเรื่องเรือบรรทุกฮ.หายไปหมด ทางอเมริกันก็เสนอขาย Harrier 2 ให้ในราคา 650 ล้านบาท (25บาทต่อดอลล์) ทร. สนใจมากและแสดงความต้องการ 16 ลำ น่าจะประจำบนเรือตลอดเวลา 12 ลำ 4 ลำน่าจะสำหรับฝึกเปลี่ยนแบบ
แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ปี 40 ประเทศทรุดทางการเงิน งบของทุกเหล่าถูกตัดทอนลง ทร. ก็เจอสถานะการณืเดียวกัน แล้วมีการเปลี่ยนขั้วการเมืองปั๊บ ทำให้เมื่อเปลี่ยนผู้นำเหล่าทัพ เปลี่ยนผบทร. แนวคิดเกี่ยวกับ 911 ก็กลับมาใช้แนวคิดของเรือบรรทุกฮ. ตามงบประมาณจัดหาแต่เดิมใหม่ จึงมีการทยอยจัดหาฮ. sea hawk ทั้ง 6 ลำมาประจำการ แล้วเปลี่ยนจักกรีเป็นเรือบรรทุกฮ. และเสนอแนวคิดให้จัดหา AH 1W(หรือ Z) มาใช้งานบนเรือ 4-6 เครื่องแทน โดยจะให้จักกรีสนับสนุนการยกพลขึ้นบกด้วยฮ. จะเห็นว่าแนวคิดเริ่มเปลี่ยนเมื่องบประมาณติดขัด ผบทร.เปลี่ยน ขั้วรัฐบาลเปลี่นย
ดังนั้นผมว่าเมื่อการเมืองเปลี่นยขั้วอีกแล้ว (ขั้วนี้ออกแนวๆจักรวรรดิ์นิยมนิดๆ ส่วนการลงทุนทางเศรษฐกิจออกแนว progress) งบของทร.ก็กลับมาเริ่มลื่นอีก ดูได้จากงบที่ให้จัดหาเรือ Hi end ต้องดูกันต่อไปครับหลังปี 61 ว่าทร. จะเอายังไงกับจักกรีอีก และดูงบประมาณตลอด 6 ปีข้างหน้าด้วยว่างบในส่วนของทร.จะเพิ่มพรวดพราดอีกครั้งเหมือนยุคท่านชวลิตไหม
รูป 911 hanga
รูปเรือหลวงอ่างทอง
ถ้ามีการเปลี่ยนแนวคิดการใช้งานทร.อีกครั้งเพื่อกลับไปใช้มันเป็นเรือบรรทุกบ.อีก จะดูได้จากการโยกย้านฮ. sea hawk ทั้ง 6 เครื่องไปประจำบนเรือฟรีเกตที่ต้องจัดหาใหม่ (เรือ Hi end เรือฟรีเกตต่อต้านเรือดำน้ำอีก 4 ลำ) และจำนวนการจัดหา Harrier 2+ ด้วยว่าจะจัดหาถึง 30 เครื่องหรือใกล้เคียงนี้หรือไม่ ( 16 ใช้จริง +14 อะไหล่)
ส่วน AH-1 W (หรือZ) ถ้าจัดหามาตามโครงการเดิม เครื่องอาจจะไปประจำบนเรือหลวงอ่างทองได้ครับ เพราะ Hanga ของเรือใหญ่มากเพียงพอ รวมทั้งลานจอดก็กว้างยาวเหลือเฟือที่จะประจำด้วยฮ.โจมตีแบบนี้พร้อมกับฮ.ลำเลียงพลขนาดใหญ่ได้ ( โรงเก็บสามารถเก็บฮ.ลำเลียงพลขนาดใหญ่ได้ 2 ลำ ด้านนอกสามารถจัดวางจอดฮ. โจมตีได้ 2-4 ลำ เพื่อนำติดตัวไปสนับสนุนการยกพลได้ครับ
แนวคิดเรื่องเรือจักกรีนี้เปลี่ยนแปลงได้เสมอครับ เพราะเรือมีความยืดหยุ่นในการใช้งงานพอๆกับ LHD
รูปภาพเรือหลวงอ่างทองนั้น ต้องขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกใน TFC นี้เป็นอย่างยิ่งครับที่อับโหลดให้พวกเรา ผมขอยืมมาเพื่อใช้อธิบายให้เพื่อนๆเราเห็นและเข้าใจครับ
ท่าน Neosiamese ครับ เรื่องเรือฟริเกตต่อต้านเรือดำน้ำ 4 ลำ อันนี้ข่าววงในหรือไม่ครับ ทร.มีแผนจัดทำโครงการจัดหาแล้วหรือครับ หรือว่าเป็นการคาดเดาครับ
เครื่องบินบนเรื่อ ไม่จำเป็นต้องยัดไปใต้ดาดฟ้าทั้งหมดรึเปล่าครับ เห็นของสหรัฐเขาไว้บนดาดฟ้าหมดเลย ที่เอาลงก็ไว้ซ่อมเซ้มรึเปล่าเพราะห็นแต่เครื่องบินบนเรื่อ ไม่เคยเห็นเก็บไว้ข้างในหมดหรือโรงเก็บเต็มสักครั้งเลยครับ
ส่วนการที่เรือจะนำอากาศยานไปได้มากแค่ไหนนั้นไม่ได้ดูกันที่ขนาดความจุของ Hanga เท่านั้นครับ ต้องดูที่พื้นที่ดาดฟ้าลานบินด้วย เช่น เรือบรรทุกบ. ชั้นนิมิตซ์ จะมีขนาดโรงเก็บที่สามารถเก็บ F-18 และ E-2D รวมกันได้ 44-45 เครื่อง แต่พื้นที่บนดาดฟ้าลานบินก็สามารถจอดอากาศยานได้อีกราวๆ 44-45 เครื่องด้วยเช่นกัน ดังนั้นเรือชั้นนี้จึงสามารถนำอากาศยานติดตัวไปได้ 90 - 100+ 90
90 สำหรับเครื่องบินขับไล่โจมตีขนาดใหญ่ และ 100+ สำหรับเครื่องบินขับไล่โจมตีขนาดเบา เช่น A-4 เป็นต้น
สำหรับจักกรี ถ้านำ Harrier ไปด้วยก็สามารถจอดในโรงเก็บได้ 10 เครื่อง ลานจอดบนดาดฟ้าลานบิน สามารถจอดอากาศยานประเภท ฮ. และ Harrier รวกันได้ 6-8 เครื่องครับ
รูป FFX มีทั้ง RAM และ Goal keeper และเราสามารถเปลี่ยนปืนใหญ่ 127 มม. เป็น 76 mm.SR super rapid ได้
ในส่วน AA self defence ก็ใช้เรือชั้นนเรศวรทั้งสองลำทำหน้าที่นี้ได้สบายๆครับ ถ้าเรือ ASW ทั้ง 4 ลำมีการจัดปืนใหญ่ 76 มม.แบบ 76 SR super rapid(ที่สามารถเป็น CIWs ได้) มีทั้ง RAM และ โกลคีปเปอร์ หรือ ฟาลังก์ ก็จะยิ่งป้องกันในระยะประชิดได้สมบูณณ์แบบยิ่งขึ้น เห็นว่าเรือชั้น FFX ติดตั้งมาแบบนี้ (แต่เกาหลีใช้ปืนใหญ่ 127 มม. แต่เขามีอ๊อปชั่นไว้ว่าสามารถเลือกติดตั้ง 76 มม.ก็ได้ครับ)
จากรูปจะเห็นว่าการป้องกันเป็นพื้นที่นั้น แค่ 2 ลำก็ยังมีรูโหว่นะครับ
ขอขอบคุณสำหรับรูปมากๆนะครับป๋า Juledas
ไม่ใช่ข่าววงในครับ แต่เป็นความต้องการแต่เดิมที่มีมานานแล้วยังไม่ได้ครบสักที ได้เรือเก่าชั้น Knox มาแค่ 2 ลำ แล้วในระยะเวลาอันใกล้นี้ก็ต้องปลด ถึงต้องซื้อเรือ Hi end มาอุดช่องว่าง โดยเอางบประมาณของเรือฟรีเกตป้องกันภัยทางอากาศมาจัดซื้ออุดรูโหว่ไว้ก่อน
ผมจึงเดา....ว่า (เดาล้วนๆ) เมื่อได้รับมอบเรือดำน้ำมาครบทั้ง 4 ลำแล้ว ทร. ก็ต้องเปลี่ยนเรือฟรีเกต Hi end ทั้งสองลำไปเป็นเรือฟรีเกตป้องกันภัยทางอากาศ ซึ่งจะทำให้กองเรือฟรีเกตปราบเรือดำน้ำของเราต้องว่าวเรือฟรีเกตต่อต้านเรือดำน้ำอีกครั้งครับ เพราะในกระบวนเรือคุ้มกันก็ต้องมีเรือฟรีเกตต่อต้านเรือดำน้ำเป็นเรือฉากป้องกันเรือดำน้ำ และป้องกันเฉพาะจุดในระยะประชิดให้เรือบรรทุกบ.ครับ
ดูรูปที่ป๋าจูลลงเอาไว้ในกระทู้จัดซื้อเรือฟรีเกตใหม่สองลำสิครับ ในการจัดกระบวนเรือ ยังไงก็ต้องการเรือฟรีเกตต่อต้านเรือดำน้ำ 4 ลำมาคุ้มกันในระยะใกล้กับเรือบรรทุกบ. มันเป็นของจำเป็นในกระบวนเรือน่ะครับ จึงเดาได้ว่า ถ้าเงินไม่มีปัญหาอีกต่อไป ยังไงก็ต้องจัดหามาใช้งานครับ
จริงเรือฟรีเกตป้องกันภัยทางอากาศก็ควรมี 4 ลำ แต่งบตอนนี้มันได้แค่นี้จริงๆ
ขอบคุณครับคุณ Neosiamese2 .......ผมเกรงว่ากว่าทร.จะมีเรือดำน้ำครบ 4 ลำ นั้น คงจะกว่า 10 ปี และช่วง 10 ปี ทร.คงจะต้องหาเรือมาอุดช่องว่างนี้ด้วย ผมมองว่าการจัดหาเรือดำน้ำ แม้จะทยอยจัดหาที่ละลำหรือสองลำนั้น จนครบ 4 ลำ ต้องใช้งบประมาณผูกพันหลายปี ดังนั้นโครงการจัดหา เรือฟก.ต่อต้านเรือดำน้ำจำนวน 4 ลำ หากจัดหาจากต่างประเทศ อย่าง FFX นั้น คงจะลำบาก ในช่วงที่ทร.มีโครงการเรือดำน้ำผูกพัน เว้นเสียแต่ ทยอยจัดหาที่ละลำ แต่อาจได้เรือเกรดต่ำกว่า FFX ครับ
การหันมาที่ เรือตกก. ชุดกระบี่ อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะกว่าครับ หรือเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำขนาดย่อมๆ แบบ ชุดคำรณสินธ์ ครับ ที่อู่ต่อเรือในประเทศและทร. สามารถต่อเองได้ ผมกำลังงคิดว่า การออกแบบ เรือชุดกระบี่ ใหม่ให้รองรับภารกิจ ASW น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด ครับ
FFX ราคาไม่แพงครับ ดีลการต่อลงน้ำลำแรกแค่ 129 ล้านเหรียญ ประมาณ 4,000 บาท แต่อุปกรณืเกือบทั้งหมดผลิตในเกาหลีครับ ระบบต่างๆเป็นของ Sumsung Thales เกือบทั้งหมด ซึ่งผลิตในเกาหลี K-VLS ก็ผลิตในเกาหลี มีแต่เครื่องยนต์กังหันแก๊สเทอร์ไบท์แหล่ะครับที่เป็นของโรลสรอยด์ MT-30 ราคาจึงได้ถูก แต่ไม่มีโซน่าร์ลากท้ายนะครับ
แต่คิดเหมือนท่าน Mr bean หล่ะครับว่าคงอีกนานจนกว่ากองเรือดำน้ำจะได้สมใจ ถ้าภายในระยะเวลา 6 ปีนี้ ทางมาเลย์ขยับจัดหาเรือดำน้ำแมงป่องทะเลมาเพิ่มให้ครบ 4 ลำ จะยิ่งบีบให้เราต้องรีบจัดหาเรือดำน้ำใหม่ให้ครบ 4 ลำเช่นกัน โครงการอื่นๆจะถูกเลื่อนออกไปทั้งหมด
ส่วนเรื่องเมื่อเราต่อ OPV ชั้นกระบี่อีก 3 ลำที่เหลือเสร็จ แล้วมีการพูดๆกันว่าอาจจะต่อเรือ OPV ขยายแบบ ถ้าทำได้ ผมอยากให้เรือชุดขยายแบบนี้เป็นเรือต่อต้านเรือดำน้ำเช่นกันครับ และถ้าเป็นไปได้เมื่องบพร้อม เรือฟรีเกตต่อต้านเรือดำน้ำก็ควรจะต่อเองออกแบบเองในประเทศครับ
AV-8B Harrier เก่าไปไหม อ่ะ F-35 ดีกว่าไหม ครับ ถ้าต้องเปลี่ยนทั้งที เอาของใหม่ๆเลยดีกว่า