หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ประสบการณ์จริงของ ทหารพราน อ่านแล้วคุณคิดยังไง

โดยคุณ : M107 เมื่อวันที่ : 04/09/2012 12:15:12

โดย วสิษฐ เดชกุญชร

เมื่อแรกตั้งอาสาสมัครทหารพรานขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๒๑ หรือเมื่อ ๓๔ ปีมาแล้วนั้น เมืองไทยกำลังถูกคุกคามโดยผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในบริเวณชายแดน ทางราชการต้องใช้กำลังทหารเข้าสนับสนุนตำรวจ หน่วยทหารเหล่านั้นถูกตรึงอยู่ในพื้นที่ติดต่อกันเป็นเวลานาน

รัฐบาลในสมัยนั้นจึงตั้งทหารพรานขึ้นโดยให้ประกอบด้วยอาสาสมัครซึ่งเป็นคนในพื้นที่ โดยอาศัยหลักว่า ทหารพรานจะคุ้นเคยกับสถานการณ์และคนมากกว่าทหารประจำการซึ่งเป็นคนต่างถิ่น ทั้งยังจะมีความผูกพันมากกว่าด้วย กำลังทหารพรานจึงเหมือนกับกองทัพประจำถิ่น

ในที่สุด ทหารพรานก็กลายเป็นกำลังสำคัญและภารกิจขยายออกไปจนทั่วทั้งประเทศอย่างในเวลานี้

ตอนที่ตั้งทหารพรานขึ้นนั้น ผมยังอยู่ในราชการ และถึงแม้จะกำลังดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่เป็นนายตำรวจราชสำนักประจำ แต่ก่อนหน้านั้น เมื่อยังสังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนอยู่

ผมก็ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการตอบโต้การคุกคามของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ใช่แต่เท่านั้น เมื่อไปเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำ ผมยังมีโอกาสได้ตามเสด็จ ฯ ถวายความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เวลาทั้งสองพระองค์เสด็จ ฯ ทรงเยี่ยมหน่วยทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในสนาม ซึ่งมีทหารพรานรวมอยู่ด้วย เพราะ ฉะนั้นผมจึงรู้จักทหารพรานดีพอสมควร

ต่อมาเมื่อพ้นราชการประจำแล้ว ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๕๐ – ๒๕๕๓ ผมได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมตำรวจตระเวนชายแดนแห่งประเทศไทย มีภารกิจต้องเดินทางไปเยี่ยมหน่วยตำรวจตระเวนชายแดนทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้หลายครั้ง

ทุกครั้งที่ไปผมศึกษาสถานการณ์ในภาคนั้น ๆ และได้รู้เห็นการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยทหารในพื้นที่ รวมทั้งทหารพรานด้วย

ผมจึงใจหายเมื่อได้อ่านข่าวทหารพรานถูกหาว่ายิงราษฎรตายเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๙ มกราคม ที่เพิ่งจะผ่านไปนี้ กรณีที่เกิดขึ้นกำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของผู้บังคับบัญชา

ใครจะผิดใครจะถูกอย่างไรยังไม่รู้ แต่โดยที่เคยทำหน้าที่ตำรวจในสนาม และเพราะยังสนใจติดตามสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ ผมจึงเห็นใจเจ้าหน้าที่ราชการทุกหน่วย รวมทั้งทหารพราน ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่นั้นอย่างยิ่ง

เพราะในปัจจุบันจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และบางอำเภอในจังหวัดสงขลา อยู่ในภาวะเหมือนสงคราม เป็นสงครามประหลาดที่ผู้คนยังออกจากบ้านไปประกอบอาชีพหรือธุระและกลับเหมือนปกติ

แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใดและที่ไหนใครจะถูกผู้ก่อการร้ายลอบยิงหรือลอบวางกับระเบิด ทั้งนี้ไม่เฉพาะแต่ทหารหรือตำรวจเท่านั้น แต่รวมทั้งข้าราชการครู พระสงฆ์ และราษฎรทั้งที่เป็นไทยและมุสลิม และไม่เลือกว่าจะเป็นชาย หญิงหรือเด็กด้วย

ในภาวะเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่เจ้าหน้าที่ผู้มีภารกิจในการป้องกันและปราบปรามจะต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เผลอไม่ได้ ต้องพร้อมที่จะตอบโต้ทันทีหากเกิดเหตุร้ายขึ้น

เพราะระวังตัวอยู่ตลอดเวลานั่นเอง สภาพจิตของ เจ้าหน้าที่จึงอ่อนล้าและเครียด ยิ่งถ้าต้องอยู่ในสนามเป็นเวลานานติดต่อกันไป โดยมีเวลาพักน้อย หรือไม่มีการสับเปลี่ยนกำลัง เจ้าหน้าที่ก็จะยิ่งอ่อนล้าและเครียดมากขึ้น

และหากผิดสังเกตแม้แต่เล็กน้อย ก็อาจจะเข้าใจผิดว่าอันตรายกำลังจะเกิด แล้วตอบโต้ออกไป เป็นเหตุให้ราษฎรผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บหรือตายได้

ผมเคยได้ยินคนเรียกทหารพรานว่าเป็น “ทหารรับจ้าง” และไม่แน่ใจนักว่าใครจะรู้หรือไม่ว่าทหารพรานได้ค่าตอบแทนมากน้อยอย่างใด จึงขอนำข้อมูลที่ผมได้จากแหล่งที่เชื่อถือได้มาเปิดเผยในที่นี้

เพื่อให้ทราบว่า อาสาสมัครทหารพราน เมื่อได้รับการบรรจุได้รับค่าตอบแทนรายเดือน ,๖๓๐ บาท เงินค่าครองชีพชั่วคราว เดือนละ ,๐๗๐ บาท เงินค่าเสี่ยงภัย เดือนละ ,๐๐๐ บาท เงินค่าเสบียงอาหารวันละ ๑๕ บาท เดือนละ ๔๕๐ บาท ค่าเบี้ยเลี้ยงเพิ่มเติมวันละ ๑๐ บาท เดือนละ ๓๐๐ บาทและค่าเลี้ยงดูวันละ ๖ บาท เดือนละ ๑๘๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๙,๖๓๐ บาท

นอกจากนี้ ยังได้รับการสงเคราะห์ค่ารักษาพยาบาล ในสถานพยาบาลของรัฐ โดยไม่จำกัดวงเงิน ได้รับการสงเคราะห์ค่าการศึกษาบุตร ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึง ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ

ได้รับการสงเคราะห์กรณีคลอดบุตร ครั้งละ ๗๐๐ บาท ได้รับการสงเคราะห์ค่าทำศพ ในกรณีที่ตนเอง บิดา มารดา ภรรยา และบุตร เสียชีวิต รายละ,๐๐๐ บาท

และเมื่อได้รับการบรรจุในสายงาน กอ.รมน. ครบ ๘ เดือน จะได้รับบัตรประจำตัวทหารผ่านศึกนอกประจำการ และได้รับการสงเคราะห์ในกรณีประสบภัยพิบัติธรรมชาติด้วย

การรับสมัครทหารพรานนั้น รับจากผู้ที่สำเร็จชั้นมัธยมปีที่ ๖ แต่ปรากฏว่ามีผู้เรียนสำเร็จปริญญาตรีไปสมัครเป็นทหารพรานและทหารพรานหญิงด้วย

ประสบการณ์จริง ๆ ของทหารพรานเป็นอย่างไร ผมขอคัดเอาบางตอนของข้อความที่อาสาสมัครทหารพรานผู้หนึ่ง ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในจังหวัดหนึ่งในชายแดนภาคใต้เขียน (ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง) มาให้อ่าน

ผมขอโทษท่านผู้เขียนด้วยที่ต้องตัดบางคำบางส่วนออก เพื่อปกปิดชื่อบุคคลหรือหน่วยนั้น ๆ

…..หลายครั้งของการทำงานเราไม่มีใครคอยช่วย ทำงานแบบรอวันตาย ก่อนหน้านั้นที่หน้าสถานีรถไฟเจาะไอร้อง ทหารพรานถูกยิงตายไป ๔ นาย

แต่ทหารพรานไม่กล้ายิงตอบ เพราะโจรใต้เอาผู้หญิงเป็นที่กำบัง ตอนนั้น เราขอรถฮัมวี….. เข้าสนับสนุน

แต่เขาไม่ยอมออกเพราะกลัวตะปูเรือใบ

ส่วนทหารพรานมีรถปิ๊กอัพเก่า ๆ กวาดหมด ทั้ง ๔ ล้อ เพื่อไปช่วยเพื่อน พอเหตุการณ์ยุติเราเข้าเคลียร์..

…กลับไล่ตะเพิดเรา แล้วถ่ายรูปคู่หมอพรทิพย์เอาหน้า ราวต้นเดือนร้อยทหารพรานถูกระเบิด ผบ.ร้อยโดนสะเก็ดระเบิดกลางอกแต่ไม่เข้า

RKK (โจรใต้) เอา .๓๘ ไปจ่อยิงอีก ๓ นัด (ช่วยโดนแรงอัดระเบิดสมองไม่สั่งการราว ๒ นาที) แต่ยิงไม่ออก (แกมีหนังเสือไฟ)

ผบ.ร้อยกดออโต้ยิงขึ้นฟ้าไล่โจร ชาวบ้าน (ขออภัยไม่เอ่ยชื่อ) เข้าไปล้อม ไม่ให้ไปช่วย

รุ่นพี่ต้องกระชากลูกเลื่อนหันเล็งใส่ชาวบ้าน พร้อมตะโกนบอก ‘หากไม่ถอยกูยิงทิ้งทั้งหมู่บ้านแน่’

นั่นแหละชาวบ้านถึงยอมถอย (ที่นี่ ถ้าโจรก็ยกหมู่บ้าน ถ้าไม่มีโจรก็ไม่มียกหมู่บ้าน) ส่วน….. บอกเราว่า ‘น้อง ๆ ทหารพรานเข้าไปเลย’ ตาขาวชิบ

ระเบิดลูกที่ ๒ ที่โจรกดดันไม่ทำงาน ชุดที่เข้าไปก็ยิงเอ็ม๗๙ เข้าใส่ ๓ นัดเพื่อไล่โจร

เราจับใด้ ๑ มันบอกโดนโจรจี้ แต่ตอนโจรออกนอกรถหมด ดันไม่รีบไป พอทุกอย่างเคลียร์…..

ก็ไล่…..ออกแล้วไปถ่ายรูปกับหมอพรทิพย์ ไม่แค่นั้น สวัสดิการเราน้อยกว่าทหารเกณฑ์

ทั้งขึ้นรถไม่มีครึ่งราคาแบบทหารเกณฑ์ ทหารเกณฑ์มีสิทธิ์ต่าง ๆ ดีกว่าเรา พวกผมขึ้นรถทุกคนไม่เคยมองเราดี ลงรถก็ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้

ผมสู้เพื่ออะไร ? ผม…..ยังคงทำงานอยู่ในพื้นที่นราธิวาสไม่รู้จะตายวันไหน อยากบอกให้รู้ว่า แม้เราเป็นเพียงขยะในสายตากองทัพ

แต่เราทุกคนก็พร้อมสู้ เอาชีวิตกูไป เอาแผ่นดินกูคืน

เป็นยังไงครับ จ้างเดือนละไม่ถึงหมื่นบาท ถูกหรือแพงไปไหมครับ ?

 

coppyเขามาให้อ่านกัน