คิดว่า เด็กคงหิวนมแม่น่ะครับ .. เลยอยากกลับบ้าน
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนะที่เอาไปฝึกค่ายทหาร เหมือนว่า จากทหารราบธรรมดาได้รับการฝึกกลายเป็นหน่วยรบพิเศษไปซะนี่
สำหรับผมทรมานสุดๆคือจะไปนั่งฟังพระท่านเทศน์
อีกมุมผมก็คิดเหมือนท่าน seekmen ..
จากปกติ เป็นแค่กุ๊ย พอได้รับการฝึก กลายเป็นนักเลง ไปเลย ทีนี้โหดกว่าเดิม
.. น้าผม ติดคุกมา 3 ครั้ง เคยพูดกับผมว่า คุก ไม่ใช่ที่ดัดนิสัยให้คนเป็นคนดี
แต่ คุก คือ เป็นที่ทำให้คนๆนั้น โหดเหี้ยมมากขึ้น.. ( ปัจจุบัน น้าเสียชีวิตแล้ว )
พ.ท.วันชนะ ยังกล่าวต่อว่า สำหรับเด็กที่อาชีวะที่ได้ถอนตัวไปนั้น ในจำนวน 10 คน มีความประสงค์ที่จะออกจากโครงการ เนื่องจากไม่ชอบอยู่ในระเบียบวินัย
****แล้วทำไมไม่ฝึกให้เขาอยู๋ในระเบียบวินัยหล่ะครับ ถ้าคนอื่นมีข้ออ้างกันหมดจะทำอย่างไร
อย่ามาอ้างหรือมาทำให้สิ่งที่ดีอยู่แล้วเป็นไม่ดี
ระเบียยวินัยมันดีอยู่แล้ว อย่ามาพูดให้มันไม่ดีขึ้นเพียงเพราะความห่วยแตกของตัวเอง หรือการไม่มีความอดทน
สำหรับคุณ soda77 ที่พูดมานั้นมันต่างกันครับ นั่นมันคุก แต่นี่มันฝึกระเบียบวินัยครับ
เห็นด้วยกับคุณ omaha กับคำที่พูดว่า ****แล้วทำไมไม่ฝึกให้เขาอยู๋ในระเบียบวินัยหล่ะครับ ถ้าคนอื่นมีข้ออ้างกันหมดจะทำอย่างไร
ผมผ่านการฝึกหนักมาแล้วมันจึงทำให้ผมมีระเบียบวินัยจนมาถึงทุกวันนี้ เรื่องเวลาผมเป้ะแบบเป็นสันดานไปเลยครับ
เท่าที่พอจำได้จากการให้สัมภาษณ์ของ พ.ท.วันชนะ ทางหน่วยจะไม่ได้ฝึกอาวุธให้ แต่จะเน้นไปทางเข้ารับการฝึกวินัย ความอดทน และให้รู้จักกันระหว่างสถาบันที่เข้าฝึกร่วมกัน เมื่อได้รับความลำบากร่วมกันอาจมีความเห็นใจ เข้าใจ หรืออาจจะซึ้งใจกันมากขึ้น
การเข้ารับการฝึกในโครงการนี้ ไม่มีกฎหมายหรืออะไรบังคับ ดังนั้นจึงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ตัวเด็กผู้ปกครอง และหน่วยทหาร ถ้าเด็กไม่ให้ความร่วมมือหรือปฏิเสธก็จะไม่มีการบังคับครับ
อย่างน้อย ก็แค่ให้เห็นคำว่า ระเบียบ-วินัย ก็ไม่มีอะไรเสียเปล่าแล้ว
ถ้าจะทำให้สุดๆหรือต่อ-ยอดเข้าราชการทหาร คงต้องให้เด็กพวกนี้ตั้งใจเอง
ส่วนตัวผม ผมเข้าใจดีครับว่า นี่เป็นโครงการที่มีเจตนาดี แต่ผมเห็นว่า โครงการนี้ไม่น่าจะประสบผลสำเร็จ
เพราะการยกพวกตีกัน ไม่ได้เกิดจากเด็กขาดวินัยครับ ดีไม่ดี ตอนอยู่ในกลุ่มในก๊วนของเขา เขาอาจจะมีมีวินัยแบบของเขาเองอยู่แล้วก็ได้ ปัญหาการตีกันเกิดจากการยึดถึงค่านิยมที่ผิด เกี่ยวกับเรื่องศักดิ์ศรี เสียมากกว่า อีกอย่าง การส่งเด็กไปฝึกในลักษณะนี้ ผมยังกังวลว่า โรงเรียนอาศัยอำนาจอะไร และเด็กถ้าไม่สมัครใจ จะไม่ไปได้หรือไม่ พอเห็นข่าวนี้ ก็ชัดเลยว่า ถ้าเด็กไม่สมัครใจ ก็กลับบ้านได้ เพราะฉะนั้น ต่อไปก็อาจจะมีการขอออกจากโครงการเรื่อยๆแหละครับ ก็เห็นตัวอย่างกันแล้วว่า ไม่สมัครใจก็ไม่ต้องอยู่
ใจผม ผมอยากให้แก้ไขที่ค่านิยม (อาจจะมีอยู่แล้วก็ได้ แต่ผมไม่รู้เอง) อันดับแรก ผมเสนอให้ กระทรวงศึกษา จัดระเบียบสถาบันอาชีวศึกษาใหม่ โดยเริ่มจากสถาบันของรัฐก่อน ด้วยการ กำหนดชื่อของสถาบันอาชีวศึกษาของรัฐใหม่ เป็นชื่อเดียวกันให้หมด แล้วเอานามเดิมของสถาบันเขาต่อท้ายเป็นก็ได้ เมื่อกำหนดให้เป็นชื่อเดียวกันแล้ว ก็กำหนดตรา เครื่องหมาย และเครื่องแบบเป็นแบบเดียวกันด้วย ทำพิธีเททอง หล่อเทวรูปพระวิศณุกรรม ร่วมกัน แล้วมอบให้แต่ละสถาบันไว้ ทั้งหมดก้เพื่อให้ทุกสถาบัน เกิดความรู้สึกว่า พวกเราเป็นพวกเดียวกัน และมีสิ่งเคารพบูชาเหมือนๆกัน ไม่ต้องเกิดปัญหา ตัดหัวพ่อสถาบัน A ไปทิ้งน้ำ ให้สถาบัน B ไปตามล้างแค้นอีก
มาตรการต่อไป อาจจะจัดให้มีการเรียนรวม หรือทำกิจกรรมรวม ให้พวกเขาได้พบปะกันบ่อยๆ เสริมสำนึกว่า จริงๆแล้ว เป็นพวกเดียวกัน ตามด้วยกิจกรรมสร้างจิตสำนึก คือ เราต้องทำให้พวกเขาเห็นว่า อาชีวะ คือ ช่างฝีมือ คือแรงงานที่ประเทศชาติต้องการ คือทรัพยากรบุคคลที่มีค่า อาจจะมีการดูงาน หรือเชิญอาชีวะรุ่นพี่ จากต่างสถาบันกัน มาบรรยายร่วมกัน ว่า ไอ้น้อง ตอนนี้ เอ็งเป็นช่างยนต์ เอ็งเป็นช่างไฟฟ้า แล้วไง พอจบมา พวกเอ็งทั้งสอง ก็ไปทำงานร่วมกัน ที่โรงงานประกอบรถยนต์ของ Honda ถ้าทำงานไม่ดี มันก็ไม่เกี่ยวหรอกว่า เอ็งจบจากที่ไหน งานมันต้องทำร่วมกันเฟ้ย แบ่งแยกกันแล้วมันสร้างรถยนต์ได้หรือ ฯลฯ
ค่อยๆเริ่มไปทีละชั้นปีก้ได้ครับ จากเด้กเข้าใหม่ปีหนึ่ง ไล่ๆขึ้นไป อีก 3-4 ปี ผมคิดว่า น่าจะปรับเปลี่ยนแนวคิดว่า สถาบันข้า เจ๋งกว่า สถาบันแก ได้บ้างหละครับ
ก็ไม่แปลกหรอกครับที่จะเด็กถอนตัวออกไปเพราะอ้างว่าไม่ชอบกฏระเบียบขนาดทหารเกณฑ์คนที่ร้องขอหรือสมัคร
มาบางคนฝึกได้แค่3-4วันยังหนีเลยหรือพวกสอบนักเรียนเตรียมทหารสอบกันแทบเป็นแทบตัวคนสมัครเป็นหมื่นๆๆคน
พอได้เข้าไปเรียนยังมีหนีมีลาออกเป็นว่าเล่นเลยบางคนพื่นฐานชีวิตต่างกันบางคนถูกเลี้ยงมาเป็นคุณหนูของบ้าน
ไม่เคยทำอะไรอยู่สุขสบายพอไปเจอกฏระเบียบเข้าก็ทนไม่ได้แต่ที่ไปสอบเป็นนักเรียนเตรียมนั้นก็คงเพราะตามเพื่อนมากกว่า
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจทำไมโรงเรียนเตรียมทหารจึงต้องมีตัวสำรองใว้หลายๆๆๆคนเพื่อที่ใครลาออกหรือหนีจะได้เรียกพวกตัวสำรอง
เข้าไปเรียนแทนโครงการนี้ผมก็ว่าดีขนาดเกาหลีใต้เขายังมีเอาเด็กมัธยมไปฝึกในค่ายทหารแถมเขายังฝึกหนักกว่าเราด้วย
สำหรับผมนะ สาเหตุหลักคือรุ่นพี่ครับ ถ้าเป็นไปได้ (อาจจะเป็นไปไม่ได้) ถ้ามีการตีกับและสืบได้ว่ามีการยุยงจากรุ่นพี่สร้างความเชื่อที่ผิด ว่าอยากให้ปิดโรงเรียนไปสัก 3-5 ปี ไปเลย หรือว่าเลิกรับนักเรียนใหม่ไป 3-5 ปี ไปเลย เพื่อกันรุ่นพี่หัวโจกเก่าๆ ให้จบไปก่อน พอรับนักเรียนใหม่มา
ข้อดีก็คือจะปลูกฝังค่านิยมใหม่ง่ายขึ้น (แต่ก็ระวังพวกรุ่นน้องมันสร้างกลุ่มก้อนเนื้อร้ายขึ้นมาใหม่อีกด้วย)
ข้อเสียรุ่นน้องก็จะไม่รู้จักรุ่นพี่ประเพณีหรือธรรมเนียมดีๆที่อยู่คู่กับสถาบันก็อาจจะหายไปด้วย
พวกอ่อน... คิดมันแน่...ที่แท้...เด็กยังดูดนมแม่หรือเลย ....
นึกว่าแน่ ที่แท้ก็อ่อนดีๆนี่เอง มันมีเยอะพวกนี้ ต่อหน้าสาวๆละกุแน่ พอเจอสถาณการณ์บีบบังคับต้องใช้สติและปัญญาแก้ปัญหาพวกนี้จะรับไม่ได้ โครงการนี้ผมอยากให้จัดเป็นส่วนนึงของภาควิชาสำหรับสถาบันที่มีปัญหาไปเลย ถ้านึกย้อนไปสมัยที่เรียน นศท.แค่สถาบันเดียวกันต่างช่างแรกๆก็ไม่ลงรอยกัน พอเข้าเรียนต้องรวมหมู่กันคละกันไป ทำให้เวลามีปัญหาแผนกช่างมีเรื่องกันเคลียร์กันง่ายขึ้นเยอะเลย ส่วนนี่ต่างสถาบันพอเจอคอสทดสอบกำลังใจต้องทำงานร่วมกันต้องสมัคคีต้องมีวินัย เจอคอสรวมใจแบบซึ้งๆบ่อยๆก็ทำให้คนสมัคคีกันได้นะผมว่า เพียงแต่ต้องจัดบ่อยๆ จบคอสแล้วรุ่นพี่ต้องสานต่อ แล้วก็เอารุ่นพี่นะแหละมารวมกันออกภาคสนามจริงๆทำกิจกรรมใหญ่ๆ ช่วยสังคม ให้เค้าเห็นว่าพวกเค้ารวมพลังทำดีแล้วพลังพวกเค้ามีประโยชน์จริงๆ พี่ๆต้องร่วมกันทำประโยชน์ภาคสนาม น้องๆต้องเข้าค่าย งบปีละสิบล้านก็เหลือแล้ว เอาเมืองหลวงกับปริมณฑลนี่หละครับลองก่อนเลย ก็ลองดู กอดคอกินข้าวมาด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน ออกค่ายด้วยกันทุกปี ออกมาใสช็อปแล้วมันจะเหี้ยมยิงแทงกันลงอีก