ช่วงนี้มีข่าวว่า สหรัฐเริ่มขยายกำลังทางเรือเข้าสู่ทะเลจีนใต้ ทั้งวางกำลังในออสเตรเลีย สิงคโปร ฟิลลิปปินส์
ตลอดจนเพิ่งเจรจากับเวียตนามเพื่อขยายอำนาจทางนาวีในทะเลจีนใต้อย่างเนียนๆ (เดาว่าประเทศเพื่อนบ้านเราทางตะวันออกคงโอเคทั้งจีนและสหรัฐไปแล้ว)
และล่าสุดเพิ่งเห็นข่าวทางเนชั่นเจ้าเก่าที่สัมภาษณ์นายทหารระดับสูงของทัพเรือสหรัฐว่า
จะขอความร่วมมือในการเป็นหุ้นส่วนในเรื่องดังกล่าวจากเราด้วย (ลองทายดูครับว่า เขาขอความร่วมมืออะไรจากเรา)
นี่แสดงว่าจีนเริ่มโดดเดี่ยวมากขึ้นทุกทีแล้ว หากสหรัฐยังรุกไม่หยุด สุดท้ายจีนจะแหวกวงล้อมนี้ได้อย่างไร
ใครที่เล่นมากล้อมเก่งๆ ช่วยเฉลยทีครับ
ภูมิภาคทะเลจีนใต้และตะวันออกไกลที่คาดว่ามีเรื่องยุ่งๆ ในอนาคต
ก็จีนรุกทะเลจีนใต้แบบสุดๆทั้งส่งกองเรือรบขยายอณาเขตจนจะติดเขตแดนทางบก หมากกระดานดานนี้จีนรับศึกหนักทั้งสหรัฐ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อาเซียน(บางประเทศ)ที่ได้รับการหนุนหลังทั้งสหรัฐและรัสเซีย
ได้ดูข่าวนี้เหมือนกันครับไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี = =
เรื่องการขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ถ้าเป็นผมก็จะให้ใช้เฉพาะด้านและจะไม่จำกัดแค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง และต้องมีข้อยกเว้นพ่วงท้ายด้วย เช่นให้ใช้เฉพาะยามปกติที่มิใช่ยามสงคราม และให้ใช้ในด้านขนส่ง ลำเลียง เติมเสบียง ไม่ใช่ที่เก็บอาวุธหรือเป็นฐานต่อระยะในการโจมตีของอากาศยาน และที่สำคัญคือ ยอมอนุญาตให้ทั้ง สหรัฐ จีน หรือมิตรประเทศสามารถแวะพักเพื่อส่งกำลังบำรุงในยามสงบ เพราะไทยถือนโยบายเป็นกลาง ครับ
ส่วนเรื่องแบ่งภาคให้ตั้งฐานทัพของจีน กับสหรัฐนั้นทำไม่ได้ด้วยเหตุผลความมั่นคง เมื่อเกิดมีข้อขัดแย้งขึ้นมาจริงๆ ไทยอาจมีไทยเหนือ ไทยใต้ รบกันเองได้ครับ ที่นี้งานเข้าหนักเลย
ส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าผมเป็นจีน ผมจะใช้นโยบาย เกลือจิีมเกลือ และหนามยอกเอาหนามบ่ง ในเมื่อสหรัฐสามารถหาแนวร่วมในการปิดล้อมได้ ถ้าผมเป็นจีน ผมจะใช้วิธีการเดียวกันคือ จับมือ ช่วยเหลือ และสนับสนุนการเงิน อาวุธ เศรฐกิจของประเทศที่เป็นคู่อริของอเมริกาในทวีปอเมริกาใต้ อย่าง เวเนซุเอล่า ขอจัดตั้งฐานทัพถ้าทำได้โดยแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือต่างๆที่จีนมีความพร้อมสูงมาก สนับสนุนศัตรูเมกา ถ้าจะให้ล้อมวงล้อมเมกาอีกชั้นคงทำลำบากเพราะจีนออกตัวแรงกับชาติเพื่อนบ้าน ถ้าจีนรักษาน้ำใจเพื่อนบ้านอาเซี่ยนเหมือนกับที่ทำกับเรา จีนคงไม่นำพาศัตรูมาจ่อคอหอยตัวเองอย่าวนี้หรอก แต่ที่สำคัญการทหารไม่ใช่อาวุธหลักที่จีนจะใช้ต่อกรกับเมกา ลำพังอาวุธที่มีอยู่ของจีน ณ ปัจจุบันและในอนาคตอันไกล้นี้ ผมว่าน่าจะเพียงพอรับมือกับภัยคุกคามจากเมกาได้ เพราะรบในถิ่นของจีน ความชำนาญพื้นที่น่าจะได้เปรียบกว่าระบบอาวุธไฮเทค อาวุธจีนไม่ได้ด้อยประสิทธิภาพอะไรถ้าเมกาเข้ามารบพ้วยคงเจ็บหนักทั้งคู่ ซึ่งผมคิดว่าถ้าไม่กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของเมกาจังๆ เมกาก็คงภม่กล้างัดข้อกับจีนแน่ ยังไงก็มีชิ่งหนี เพราะได้ไม่คุ้มเสีย อีกอย่างจีนมีอาวุธเด็ดที่ใช้เด็ดชีพเมกาได้ทุกเมื่อถ้าเมกากล้ามายึกยักกับจีน คือเงินที่จีนเข้ามาซื้อพันธบัตรเมกาไว้จำนวนมหาศาล ถ้าจีนไม่พอใจเทขายพันธบัตรเมกา ประเทศ การเงิน เศรฐพิจของเมกาจะพังพินาศทันที เพราะจะไม่มีใครเห็นค่าของเงินดอลล่าร์ะมกา เพราะมีสถานะเหมือนแบ้งค์เปล่าไม่มีค่าเงินเพราะจีนเป็นคนอุ้มค่าังินไว้ ถ้นจีนไม่พอใจเทขายซะ เมกาเจ้งอย่างเดียครับ
เมื่อคืนวันที่ 5 มิ.ย. รายการข่าวข้นคนข่าว มีอยู่ข่าวหนึ่งที่มีการให้สำพาด นายทหารสหรัฐ ระดับ 4 ดาว(ผมไม่รู้ว่ายศอะไร) ให้สำพาดว่าสหรัฐต้องการจะเช่าสนามบิน
อู่ตะเพาอีกครั้งโดยอ้างเหตุผลว่า ต้องการใช้เป็นหน่วยสำหรับการฝึก(เขาเน้นว่าเป็นหน่วยไม่ใช่ฐาน)ค้อบบร้าโก และสนับสนุนการช่วยเหลืออุทกภัย ในภูมิภาคนี้
ซึ่งผมรู้สึกกังวลใจนิดๆว่า การกลับมาของสหรัฐครั้งนี้ จะทำให้เราถูกตีความจากจีนว่าเราได้เลือกฝังไปแล้วเพราะชัยภูมิบ้านเรานั้นสามารถนำเครื่องบินไปโจมตีที่ไหนก็ได้
เหมือนสมัยสงครามเวียดนาม ถ้ารบกันขึ้นมาจริงต่อให้เมกาส่งคนยานเกราะมาเป็นแสนก็สู้จีนไม่ได้เพราะสะหมอรภูมิที่นี่กับตะวันออกกลางมันต่างกันซึ่งเมกาก็รู้ซึ้งดี
แล้วถ้าเมกาแพ้จีนก็จะมาจ่อชายแดนเพื่อมาเชือดเราเหมือนสมัยที่เวียดนามเคยจะทำกับเรา แล้วทีนี้ใครจะช่วยเราคับ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เวียดนาม หรือ ในภูมิภาคอาเซียน
ใครจะมาช่วยเรารบ ไม่ต้องถามว่าเราสู้พี่เขาได้ไหม(ไม่ได้ดูถูกนะแค่เป็นการวิเคราะห์)แค่คิดผลพวงที่จะตามมาก็สยองแล้วคับ
(นี่เป็นแค่สิ่งที่ผมลองวิเคราะห์ดู ไม่ถูกหรือทำให้อ่านไม่พอใจยังไงขออภัยนะที่นี้ด้วยคับ)
ผมว่าปิดล้อมไม่ได้หรอก มันต้องมีช่องให้จีนออกจนได้ อย่างช่องทางลาวและเขมร อเมริการยังมีบทบาทน้อยมาเมื่อเทียบกับจีนที่ช่วนเหลือและลงทุนไปกับ 2 ประเทศนี้อย่างต่อเนื่อง
แล้วก็ต้องเข้าใจด้วยว่าประเทศที่สนับสนุนสหรัฐที่อยู่รอบๆจีนนั้น ถ้าเกิดรบขึ้นมาจริงๆ จรวดจากจีนก็ใช้ว่าจะไปไม่ถึงนะครับ แล้วอีกอย่าประเทศที่ต้องการเป็นกลางอย่าง ไทย ก็ต้องแบ่งรับแบ่งสู้กันด้วย ผมว่าเราแสดงความเป็นกลางอ่ะดีครับ เพราะเราจะเนื้อหอมมาก เพราะทั้งจีน และสหรัฐจะตามจีบเพื่อที่จะให้ไปอยู่ฝ่ายตัวเอง ซึ่งจะออกแนวขออะไรก็ให้ได้มากกว่าประเทศที่เอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
ผมก็แค่ไม่อยากไห้เราลำบากจัยก็เท่านั้นเองฝ่ายนึงก็พันผูกอิกฝ่ายนึงก็ผูกพันก็ตั้งฐานทัพซะทั้งคู่ก็ดูสมเหตุสมผลดีส่วนเรื่องจะยิงกันนี่คงไม่ง่ายหรอกมั้งครับ
คิดในแง่ดีก็เหมือนมีคนช่วยกันดูแลเราไม่สิ้นเปลืองงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ
ไม่สมควร ที่จะให้กองทัพประเทศไหนๆ มาตั้งฐานทัพให้ประเทศเราครับ และประเทศของเรา ก็ไม่ได้มีภัยคุมคามที่จะให้ประเทศอื่นๆ มาตั้งฐานทัพด้วย ซึ่งมันไม่เหมือนญี่ปุ่น
ที่แน่ๆ อำนาจทางการทหาร+อำนาจการต่อรอง ทั้งทางทหารและเศษฐกิจ จะลดลงแน่ มันล้วนแต่เกี่ยวพันกะอนาคต-ที่คาดคำนึงไม่ได้ทั้งนั้น ให้เขามาลงทุนทางด้านการค้าและเศษฐกิจ ก็เพียงพอครับ
แค่กองทัพประเทศเรา ก็เพียงพอแล้วครับ พัฒนามันไปเรื่อยๆ แค่นี้ ก็ไม่มีใครกล้าแหยมหละ ไม่จำเป็นเลยที่จะให้ประเทศอื่นๆ มาตั้งฐานทัพให้ประเทศของตัวเอง
มีความเป็นตัวของตัวเองดีกว่าครับ ให้ตั้งฐานทัพแล้ว-ไล่ออกไปยากครับ ดูอย่างญี่ปุ่น
^
^
^
แล้วถ้าเวลาเขารบ เขาเกิดมาตั้งหลักปักบาฯสมรภูมิที่บ้านเราจะทำไงดีละ ขนระเบิด ขนจรวดข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งป้อมยิงกันในบ้านเรา ^^ :D
จิงๆแล้ว เราก็ให้จีนมาตั้งฐานทัพที่ประเทศเราก้ได้นี่ครับ ภาคเหนือก็มีฐานทัพจีน ฝั่งอันดามัน ก็มีฐานทัพเรือของจีนอยู่ด้วย ส่วนอเมริกาก็ภาคใต้+ฐานทัพเรือฝั่งอ่าวไทย
มันก็วินๆทั้งสามฝ่าย เฮฮาปาจิงโกะ กันไป
ไทยเหนือไทยใต้ ผมเคยนึกเล่นๆเลยนะครับว่าถ้าจะหยุดความขัดแย้งคนไทยที่มีอยู่ทุกวันนี้ได้ ก็ต้องแบ่งกันแบบเกาหลีไปเลย เพราะยังงัยมันก็คงไม่มีวันที่คนไทยจะมาดีกันได้เหมือนเดิมเป็นแน่แท้ (อันนี้คือความคิดที่ผมเคยคิดนะ)ความเห็นคุณ rayong ที่ย่อหน้าล่างก็เข้าท่าดี แต่มันจะมีโอกาสเกิดมั้ยนะ
ให้จีน ตั้งฐานทัพที่ เบตง เพราะคนเบตง มีคนเชื้อสายจีนอยู่เยอะ ส่วน อเมริกา ให้ตั้งฐานทัพที่ เขาพระวิหาร เวลาเขมรยิงมา
อเมริกาอาจจะโดนลูกหลง แล้วอเมริกาจะยิงตอบโต้ตักเตือนกลับไปเบาๆด้วยจรวด ซัก 400-500 ลูก
งานนี้ เราไม่ต้องรบเองให้เหนื่อย อิอิ
ฐานทัพถาวรจริงๆอยู่ที่ฟิลิปินส์ แต่ตั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วครับ ส่วนประเทศอื่นๆนั้นก็แค่สนับสนุนไปตามวาระและสถานการณ์ ผมมองว่าเวียดนาม ฟิลิปินส์ ไม่ใช่หมูที่จีนจะใช้กำลังเคี่ยวกันง่ายๆ เพราะต่างก็มีมหาอำนาจสองชาติหนุนหลัง
ที่จริงจีนวางแผนสำรองไว้บ้างแล้วที่อีกด้านหนึ่ง เพียงแต่เจ้าของพื้นที่เขากลับลำเปิดประเทศรับทุนตะวันตกเข้ามาอย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่จีนก็เตรียมโครงการต่างๆ ไว้มากมาย แถมช่วยเหลือเรื่องตัดถนนหนทางหลายแห่งรอไว้แล้วด้วย แต่เจ้าของพื้นที่คงต้องนึกถึงเรื่องผลประโยชน์ของชาติคงต้องมาก่อน เลยทำให้จีนมีอุปสรรคเพิ่มขึ้นไม่น้อยกับทางออกด้านนี้
ภาพแนวเส้นทางของโครงการลำเลียงพลังงานของจีนจากอ่าวเบงกอลสู่คุนหมิง (หากเจ้าของพื้นที่ยอมให้ทำ)
แถมท้ายด้วยข้อมูลจากวิกิ เกี่ยวกับการวางกำลังทหารนอกประเทศของสหรัฐ (ข้อมูลปี 2007)
ซึ่งออกจะดูแปลกๆ สักหน่อยเพราะมีเราพ่วงเข้าไปด้วย (ยังไม่ทราบว่าเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะไม่ระบุที่มาของข้อมูล)
ภาพไม่ขึ้น ดูภาพได้ที่ (ชื่อภาพ Countries with a US military presence, As of 2007)
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/f/ff/US_military_bases_in_the_world.svg
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_United_States_military_bases
หนังสือ "ชีวิตของข้าพเจ้า" เป็นบันทึกความทรงจำของอดีตประธานาธิบดีคลินตัน อดีตประธานาธิบดีคลินตันยอมรับว่าตัดสินใจผิด ที่ไม่ได้ช่วยเหลือประเทศไทยเลย แม้แต่ดอลลาร์เดียว!
ท่านคลินตันเขียนเล่าว่า กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และสภาความมั่นคงของสหรัฐ ได้เสนอความเห็นว่า รัฐบาลสหรัฐควรจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกาในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ ท่านอดีตประธานาธิบดีเล่าว่า ท่านเห็นด้วยกับ 3 หน่วยงานนี้ แต่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐในขณะนั้นคือ นายโรเบิร์ต รูบิน ไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ ท่านโยนความผิดไปที่นายรูบิน ท่านเห็นว่า แม้จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในแง่ของการเมืองและเศรษฐกิจในแง่ของสหรัฐอเมริกา แต่เป็นการให้สัญญาณที่ผิด พอข่าวออกไป สหรัฐจะไม่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศไทยเท่านั้น ผู้คนและสถาบันการเงินก็ตกใจ รีบขนเงินตราต่างประเทศออกจากเมืองไทย เจ้าหนี้ก็ตกใจรีบเรียกหนี้คืน ในที่สุดประเทศไทยก็ต้องขอความช่วยเหลือ ยืมเงินจากประเทศอื่นๆ ผ่านทางไอเอ็มเอฟ เป็นจำนวนเงินประมาณ 17 พันล้านเหรียญ
ประเทศไทย เป็นประเทศเล็กที่อยู่ห่างไกล อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยก็ไม่น่าจะมีผลอะไรกับอเมริกา กล่าวคือ ดูผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก เพียงแต่สนับสนุนให้ไอเอ็มเอฟเข้ามาปล่อยเงินกู้ให้ แต่ไม่มีเงินจากอเมริกาเลย เป็นเงินของไอเอ็มเอฟเองส่วนหนึ่ง ที่เหลือมาจากญี่ปุ่น จีน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกทั้งนั้น ท่านคลินตันยังเล่าต่อไปว่า เรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก นอกจากจะไม่ช่วยเหลืออะไรประเทศไทยแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น โรเบิร์ต รูบิน, แลร์รี่ ซัมเมอร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รวมทั้ง ปู่อลัน กรีนสแปน ต่างก็แสดงท่าทีที่แข็งกร้าวต่อประเทศไทย บังคับให้ประเทศไทยใช้มาตรการต่างๆ อย่างรุนแรง ทั้ง 3 คน กดดันประเทศไทยผ่านทางไอเอ็มเอฟจนเข้ามุมอับ ให้เปิดเผยฐานะของทุนสำรอง เหลือเท่าไหร่ เอาไปสู้ป้องกันเงินบาทเท่าไหร่ มิฉะนั้น ไอเอ็มเอฟจะไม่ให้เบิกเงิน พอเปิดตัวเลขออกมา คนยิ่งตกใจ เงินยิ่งไหลออก ค่าเงินบาทยิ่งตกหนักลงไปอีก วิกฤตการณ์ก็ยิ่งลึกลงไปอีก
คนไทยขมขื่นมาก เพราะทุกคนรู้ว่าคนอเมริกันเอาเงินออมของตนมาลงทุนกับ "กองทุนตรึงมูลค่า" หรือ "hedge fund" ที่มาโจมตีประเทศไทย........ฯลฯ......... "ดร.โกร่ง" ประธาน กยอ.ภายใต้แบรนด์ยิ่งลักษณ์ จบบทกะเทาะเปลือกอเมริกันไว้ตอนนั้น ด้วยประโยคว่า "บทเรียนอันนี้ เราคนไทยน่าจะจดจำตลอดไป"
อเมริกัน รู้ดีก่อนโจมตีค่าเงินของประเทศไทยแล้ว ทุกอย่างวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วครับ มีอย่างหรือคนอย่าง"คลินตัน" ไม่รู้อะไรเลย
การปรับปรุงกองทัพเรือด้วยเรือรบจากประเทศจีนต่อเนื่องกัน 6 ลำ การพยายามของซื้อเรือที่ปลดประจำการจากอเมริกาด้วยความยากลำบาก
การเข้าประจำการของเรือจักรีนฤเบศ การพยายามขอซื้อ F18 ด้วยความยากลำบาก ในยุกค์นั้นฝั่งอเมริกามองว่า "เป็นความทเยอทยาน"
ที่เกินขอบเขต (มากเหกินไป) ของกองทัพไทย และประเทศไทย
อเมริกาเข้ากดดันประเทศไทย ในทันที่ ที่มีการโจมตีค่าเงินของไทย และกดดันไม่ให้ญี่ปุ่น ให้ความช่วยเหลือประเทศไทยทันที
ทุกอย่างต้องผ่าน IMF เท่านั้น ซึ่ง IMF นั้นใต้อิทธิพลของอเมริกา อย่างแท้จริง (ทำไม มันมายุ่งกะเรามากขนาดนั้น วะ)
ประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลืออเมริกัน ในการทำสงครามเวียตนาม ด้วยการเลือกข้างอยู่ฝั่งเสรีไม่นิยมคอมมิวนิตส์ ทั้งที่เราสามารถ
เลือกความเป็นกลางได้ แต่ถูกอเมริกันเข้าแทรกแซง โดยการสนับสนุนให้ทหารปฏิวัฒน์ มีผู้นำทหารเลียงหน้ามาเป็นผู้นำประเทศ
ก็เพื่อจะได้กำหนดทิศทางการเมืองของประเทศไทยได้อย่างเบ็ตเสร็จ โดยประชาชนไทยไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจ
ตลอดสงครามเวียตนาม 15 ปี อเมริกันใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพหลัก เป็นฐานทัพอากาศ 7 แห่ง ฐานทัพเรือ 1 แห่ง
โดยแรกกับการช่วยเหลือด้านอาวุธเก่าๆ เช่นเครื่องบินรบเก่า เครื่องบินขนส่งเก่ง และน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ที่ใช้ในกองทัพไทย
ส่วนเครื่องบินใหม่มีเพียง F5 A,B เพียง 11 เครื่อง ซึ่งกว่าจะครบจำนวนต้องใช้เวลาส่งมอบมากกว่า 5 ปี (โอย...โย้ อะไรจะนานขนาดนั้น)
นอกจากนี้ยังให้ความช่วยเหลือทางทหารอื่นๆ อีกเฉลี่ยเพียงปีละ 50-60 ล้านดอลล่าร์เท่านั้น
เป็นการใช้ประเทศไทยอย่าง "ประโยชน์สุด ประหยัดสูง" อย่างยิ่งยวด (แม้มัน...ไม่งก..แล้วจะเรียกว่าอะไร?)
จาก "บทเรียนย่อๆ" ดังกล่าวแล้ว ประเทศไทย เราควรมีประสบการณ์ และทางเลือกที่ดีแล้วครับ
ว่าต่อไปนี้ประเทศไทยเรา "ต้องเป็นกลาง อย่างแท้จริง" เพราะไม่มีใครหน้าไหนมันจริงใจ ต่อประเทศไทยครับ
ประเทศไทยต้องเป็นกลางอย่างเดียวเท่นนั้น ไม่มีทางเลือกอื่นให้เลือกเลยครับ
ประเทศที่เป็นกลาง จะแสวงหาประโยชน์ ต่างๆ ได้อย่างเสรี ครับ และมีเกียรติยศ ศักดิ์ศรีที่เหนือกว่า
ในด้านเศรษฐกิจปัจจุบัน อเมริกันในฐานะของประเทศการค้าเสรี เสรีจริงหรือไม่?
ข้าวไทย ในอดีตเคยถูกกีดกันมาโดยตลอด ในตลาดเมกัน ช่วงปี 2511-2530
สัปรดกระป๋อง ให้นำเข้าได้เฉพาะที่ผลิตจากบริษัท "โด่ (ไม่รู้ล้ม)" ซึ่งเป็นของเมกันบริษัทเดียวเท่านั้น มากว่า 15 ปี แล้ว
กุ้งแช่แข็ง ถูกมาตรการ สาระพัด ห้ามเข้า มากกว่า 7 ปี พอมีปัญหากุ้งภายในแพงจึงยอม
เรือขุดเอลิคอต จ่ายเงินค่าต่อเรือไปแล้วกว่า 80% โดน บริษัทอเมริกัน โกงซึ่งๆ หน้า ตอนนี้ยังไม่เห็นซากอะไรเลย (โดน แม้มันโกง)
นอกจากนั้น เมกันยังใช้เลเหลี่ยมล่อคนไทย ไปเจรจาซื้อน้ำมันราคาถูกที่เมกัน แล้วจับเข้าตารางด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม
คล้ายๆ ข้อกล่าวหาทางการเมืองทั้งหลาย นั่นละครับ โดนขังคุกจนหัวโต กลับมาเมืองไทยไม่นานก็ตาย
คบกับประเทศ "เมกัน" ต้องระวัง เพราะมีหลุมพลางมากมายครับ
ขอแก้ครับ เรื่องการส่งออกสัปรดกระป๋อง โดนกีดกันมามากกว่า 25 ปี แล้วครับ (ไม่ใช่ 15 ปี) บริษัทของคนไทยไม่มีสิทธิส่งเข้าไป ครับ
ใครจะล้อม ก็ล้อมไป "ตู" ไม่ไปล้อมด้วย เรื่อง "จีน" เรื่อง "เมกา" ให้พวกเรามองเป็นเรื่อง ตลกเชิญยิมดีกว่า ครับ
คิดเสียว่า กำลังดูจำอวด "เท่ง กะ โหน่ง" ก็แล้วกันครับ
มาแล้วครับ "เจิ้นต้า กะ เมกา" "เท่ง กะ โหน่ง" ใครจะตลกกว่ากัน
ที่วางหมากกันนี่ ก็จะมาเอาน้ำมันชิมิ
หมากล้อมจีนที่หลายๆคนเห็น ผมมองต่างอะนะ(ตอนแรกก็คิดตามชาวบ้านเค้าเหมือนกัน เด็ก ม.3 มาบอกตาสว่างเลย) หมากนี้ผมว่า เมก้าเค้าตั้งใจล้อมเรา(อาเซียน)มากว่า ผมว่านโยบาลทางทหารของเค้ามีความต่อเนื่องตลอดทุกยุคทุกสมัยอะ(ต่างกับบ้านเราสุดๆ) ในความคิดผมจะท่อนอำนาจประเทศที่ใหญ่ขนาดจีน อินเดีย หรือโซเวีย มีอยู่วิธีเดียวที่เด็กยังคิดได้ แล้วก็ใช้กับโซเวียได้ผลมาแล้วคือการยุให้แตกกัน(ซึ่งจีนตอนนี้เป็นช่วงเปลี่ยนระหว่างระบบสองระบบ ไม่ง่ายช่วงนี้แล้วจะง่ายช่วงไหน) การจะมาตีล้อมกรอบกดดันจะทำให้ประเทศนั้นเป็นบึกแผ่นกว่าเดิม เป็นวิธีที่ตรงข้ามกับวิธียุให้แตกกันเลย คิดกันง่ายๆจีนเกณฑ์ทหารเพิ่มจาก 2 ล้าน เป็น 10 ล้าน(ยังไม่ถึง 1%ของประชากรเลย) ส่งทหารราบ 2 ล้านบุก อีก 8 ล้านประจำชายแดน คิดว่าอาเซียนที่ไม่ได้เป็นเกาะคงแหลกลาญในไม่ถึงเดือน การมาตั้งฐานทัพเรือ ฐานบิน ไม่ได้มีความหมายมากมายถ้าคิดจะรบกันจริงๆ ไปๆมาๆ เป้าหมายจริงๆคงไม่ใช่จีน(เอาเข้าจริงๆที่จะมาใช้ฐานทัพก็เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวประเทศที่เมกาเข้าหานั้นเองไม่ได้จะมากั้นจีนเค้าหลอก) การจะมากั้นจีนไม่ให้ลงทะเล หรือมาขายอาวุธแข่ง หรือกันการขยายอิทธิพลของจีน คิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ การเพิ่มกำลังรบของจีนคิดว่ามันอยู่ในการคาดการณ์ของเมกาอยู่แล้วที่กำลังรบต้องขยายตามขนาดเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งคาดการณ์ต่อได้ง่ายๆว่าประเทศรอบๆก็จะแข่งกันสะสมอาวุธแข่ง ซึ่งยังไงก็แข่งด้วยไม่ได้อยู่แล้ว ก็มีทางเลือกแต่จะต้องร่วมมือกันในหมู่ประเทศแถบอาเซียนนี้เท่านั้น(อาเซียนจะเป็นประชาคมได้จริงๆคิดว่ายากถึงยากมาก ด้วยความต่างกันในหลายๆด้าน)ถ้าไม่มีวิกฤตเกิดขึ้นผมคาดว่าประชาคมอาเซียนมันก็จะเป็นได้แค่ชื่อเท่านั้น การเข้ามาของเมกาผมว่าก็ตรงตามที่เค้าบอกจริงๆนั้นแหละที่ว่า เมื่อเมกาเข้ามาในถูมิภาคนี้จะเกิดซึ่งเสถียรภาพในถูมิภาค(คือไม่ให้เกิดวิกฤตขึ้นนั้นเอง โคตรคนดีเลย) หรือก็คือเข้ามาเป็นตัวเลือกหลักแทนตัวประชาคมอาเซียนนั้นเอง ปกติถ้ามีปัญหาในตัวสมาชิกอาเซียน ก็น่าจะคุยในเฉพาะอาเซียน แต่เมื่อมีตัวเลือกที่เชื่อถือได้(หละมั่ง)ที่ 2 ที่ 3 การคุยกันในอาเซียนก็มีโอกาศน้อยลง เมื่อไม่คุยกันผ่านประชาคม ตัวประชาคมก็ไม่มีความหมาย เมื่อไม่มีความหมายอาเซียนก็จะยังเป็นแค่แหล่งวัตถุดิบต่อๆไปเหมือนวันว่านแบบไม่มีอำนาจต่อรอง จริงๆตามที่ผมคิดเมกาเค้าไม่ได้กลัวที่จีนจะมีเศรษฐกิจดีแล้วมาแข่งกับตัวเมกาเอง อย่างที่หลายๆคนเข้าใจว่าเป็นเหตุให้เกิดการปิดล้อมจีน จริงๆเมกาเองเค้าก็มองจีนเป็นคู่ค้า เมื่อคู่ค้ามีเศรษฐกิจดีขึ้นก็มีกำลังซื้อสูงขึ้น ก็จะต้องการของที่มีคุณภาพสูงขึ้น ง่ายๆคือคนละกลุ่มลูกค้ากัน ไม่ว่าในแง่ไหนก็เป็นผลดีกับตัวเมกาทั้งนั้น(ตัวเมกาเองเค้าไม่อุ้มธุรกิจที่มันไม่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอยู่แล้ว ไม่เหมือนไทยอีกตามเคย) ดูง่ายๆได้จากประเทศที่เคยเป็นเบ๊เก่าๆของเมกา ที่เค้าให้เน้นทางด้านเศรษฐกิจเติบโต(แล้วประเทศนั้นก็โตขึ้นเร็วจริงๆ) จนเป็นคู่ค้ากันจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่เคยเห็นว่าเค้าจะมีนโยบาลอะไรที่ไปทำลายระบบเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าเลย แต่ที่เห็นกันประจำก็คือการล่าทรัพยากร(คิดว่าจีนมียังไม่พอใช้เลยไอ้ทรัพยากร จะล่าจริงๆก็ล่าเรานี้แหละ) แล้วคิดว่าไม่ใช้น้ำมันด้วยหละนะ หมู่เกาะสแปรตลีย์ ก็เป็นแหล่งเหตุอ้างเท่านั้น
ส่วนเรื่องตั้งฐานในไทยหลายคนคิดว่าไม่ดี ไม่ได้ หรือให้เป็นกลาง(ซึ่งจริงๆก็อยาก) ผมก็คิดต่าง กองทัพน่าจะออกตัวไปเลยว่าให้ตั้ง เพราะตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะแสดงสถานะอะไร แต่เป็นใครที่จะได้รับการสนับสนุนจากเมกาให้เป็นหัวโจกในแถบอาเซียนนี้ ซึ่งไทยโอกาศเริ่มน้อยไปทุกที
แสดงว่า "ASIAN" กำลังถูก "อวนยักษ์" ล้อม.....
จากอดีตจนถึงปัจจุบันเราเคยได้อะไรมาบ้างจากอเมริกา ถ้าพูดถึงช่วงลัทธิคอมมิวนิสคลืบคลานเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราก็ได้การช่วยเหลือแบบครึ่งๆกลางๆ
เรื่อยมาจนถึงยุคการก่อการร้ายข้ามชาติเราก็ได้แค่ต้องทำตามที่อเมริกาต้องการ ถ้าไม่ทำตามก็โดนกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อม ตอนต้ำยำกุ้งก็คนของอเมริกาอีก
นั่นแหละ แล้วตอนหลังมาสารภาพว่าเราไม่น่าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น จากปากของอดีตผู้นำอเมริกา แต่ทั้งหมดมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่อเมริกาทั้งหมด มันขึ้นอยู่ที่ผู้นำของ
ประเทศเราต่างหาก หลังจากปี 2535 เป็นต้นมาผู้นำเราหรือคณะบริหารของเราไม่ทันเกมส์ของอเมริกา เสียเปรียบตลอด ตัวอย่างผู้นำที่เด็ดเดี่ยวที่กล้าปะฉะดะกับ
อเมริกาที่เราเห็นคือผู้นำของมาเลเซียคนก่อน ต่อแต่นี้ถ้าเรายังเป็นอยู่แบบนี้เราก็คงได้แต่เดินตามเขาไปเรื่อยๆ แล้วที่แน่ๆอาเซียนรวมตัวกันยาก เพราะความแตกต่าง
มันมีมากมายหลายวัฒนธรรม คงได้แค่การรวมตัวแบบหลวมๆแต่แน่นขึ้นมาอีกนิดหน่อยก็เท่านั้น
ส่วนตัวก็คิดว่า หมากล้อมที่ทั้ง 2 ประเทศต้องการคือ การแย่งชิงผลประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติ มากกว่าการใช้กำลังกันแบบยักษ์ชนยักษ์ ผมเชื่อว่าทั้งคู่แค่ต้อง การขัดขา หน่วงรั้ง กดดัน อีกฝ่ายมากกว่า จะมาลงมือลงไม้กันจริงๆ จังๆ ส่วนคำสารภาพของอดีตผู้นำอเมริกานั้น ส่วนตัวแล้วคิดว่า แหมมันช่างเข้าใจนิสัยคนไทยดีจริง
ผมไม่เห็นเลยว่า"คลินตัน" จะต้องมาช่วยประเทศไทยทำไม? แค่ไม่โจมตีค่าเงินก็ OK แล้ว
การโจมตีค่าเงินนั้น มันต้องเตรียมการทั้งเวลา และการรวมกลุ่มพันธมิตรทางการเงิน
มันไม่ได้เตรียมการกันง่ายๆ กลุ่มพันธมิตรก็ต้องรวมกลุ่มกันอย่างหนาแน่นมั่นคง
หลังการโจมตีค่าเงิน ทำไมมันเข้ามายุ่ง เข้ามากดดันนโยบายทางการเงินโดยทันที
เช่น รัฐบาลต้องประกาศรับผิดชอบหนี้เงินกู้ของภาคเอกชนจากต่างประเทศโดยทันที
เท่ากับประชาชนทั้งประเทศต้องมีภาระ รับผิดชอบเงินกู้จากต่างประเทศแทนกลุ่มนายทุนธนาคารทั้งหมด
แล้วทุกวันนี้ พวกนายทุนธนาคารไม่เห็นใครมันคิดจะช่วยประชาชน นอกจากยังขูดรีดเอา ขูดรีดเอา ยิ่งกว่าเดิม
ประเทศในอาเซี่ยนที่เป็นคู่กรณีเรื่องหมู่เกาะสแปรตลีย์กับจีนมี 5 ประเทศ คือ เวียตนาม ฟิลลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบูรไน
ส่วนประเทศในอาเซี่ยนที่ยอมรับ (หรือถูกบังคับให้ยอมรับ) ว่าอเมริการเป็นพันธมิตร มี 5 ประเทศ คือ สิงคโปร์ ฟิลลิปปินส์ เวียตนาม และล่าสุดน่าจะรวมไทย และเขมร เข้าไปแล้ว
ผมมีบทความเกี่ยวกับเรื่องการแผ่อิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้มาฝาก ลองอ่านดูนะครับ
การ์ตูนฝรั่งเขียนได้อารมณ์ดีจริงๆ
ดูจากในรูปกระทู้ของท่าน seaman ... ยังไงๆ เราก็อย่าหลงไปติดกับ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมว่า เราอยู่ตรงกลางดีที่สุด
โชคดี ที่ปัญหาเรื่องหมูเกาะ สเปรตลี่ย์ ไม่มีไทยติดเข้าไปในร่างแหนั้นด้วย ไม่งั้น ปัญหาคงอีนุงตุงนัง
เวียตนาม ฟิลลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบูรไน มีปัญหากับพี่ใหญ่ในอาเซี่ยน อย่างจีน
ผมว่า ถ้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราเก่งเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ เราเอียงไปทางจีนไว้ดีที่สุด ทำให้จีนรู้ว่าเราอยู่ข้างเค้า
แล้วทุกๆอย่าง เราจะมีแต่ได้กับได้ .. ลองมองย้อนกลับไปดู 5 รายชื่อข้างบน แต่ละประเทศ ไม่เคยมองเราในแง่ดี
ยิ่งเวียดนามนี่ กร่างกะเราสุดๆ เรามีปัญหากะเขมร มันก็เข้ามาสอด แถมบอกว่าจะช่วยรบเขมร .. ดูความคิดมัน อย่างนี้คบไม่ได้
.. คนจีนเกือบทั้งประเทศ ชื่นชม สมเด็จพระเทพมากๆ เพราะ เป็นราชวงค์ไทยที่ พูด อ่าน เขียน ภาษาจีนได้คล่องแคล่ว
และ เสด็จเยือนจีนปีละหลายๆครั้ง รัฐบาลจีนก็จัดพิธีต้อนรับอย่างดีทุกครั้ง ..
เคยได้ข่าว จีนเสนอ สร้างรถไฟความเร็วสูงให้ไทยแบบฟรีๆ ( รัฐไม่ต้องกู้เงิน IMF เพียงแต่ ให้จีนสร้าง แล้วบริหารจัดการเอง )
แล้ว ประเทศอื่นๆล่ะ เคยคิดยื่นมือมาช่วยไทยบ้างมั๊ย ยิ่งอเมริกาไม่ต้องพูดถึง ไม่ให้กู้ไม่พอ ยังบังคับให้เราต้องกู้ IMF ซะอีก
จะว่าไปแล้ว จีนก็กลัวเศรษฐกิจและค่าเงินบาทไทยล่ม เพราะ มันจะกระทบจีนเหมือนกัน ..
เอาเพลงไปฟังครับ.....
ทั้งที่เราให้ความร่วมมือกับอเมริกาอย่างดีแต่กลับได้รับกากเดนแห่งความช่วยเหลือเมื่อเปรี่ยบเทียบกับที่ให้ประเทศอื่นที่อเมริกาช่วย
รูปนี้ผมขอก็อปนะครับ ชอบเหมือนกันครับ แค่ดูรูปก็สื่อความหมายได้มากมาย
Gripen เฟท 2 เริ่มมีแนวโน้มยุ่งยากแล้วครับ "ไอ้กัน" กั๊กเรด้าร์แบบไร้คำอธิบาย ผมว่าเอามาคุยกันในนี่เลยดีกว่า
เอาข่าวต่อจาก Defance Studies ก็แล้วกันนะครับง่ายดี ข่าวจากแหล่งอื่น Copy มายากครับ
ผมรอมา 2 วัน ไม่มีใครหยิบยกมาคุยซักกะที ตามนี้เลยครับ ต้นต่อข่าวเป็นของ BANGKOK POST ครับ
ขอเสริมอีกนิดนะครับ ชื่นชม สมเด็จพระเทพมากๆ เรื่องแนวทางความสัมพันธ์กับจีน(แล้วก็น่าด่า รบ.ไทย ด้วย ไม่เห็นเคยทำอะไรเลย ทั้งที่ก็น่าจะรู้ว่า ตัว รบ.จีนเค้านั้นอยู่นานมากๆ) ดูๆมีคนเชียร์จีนเยอะนะครับซึ่งเค้าก็มีข้อดีจริงๆ(แต่ก็สายไปในหลายๆด้านหละนะ) จริงๆเรื่องว่าจะเข้าข้างใคร ผมว่าเราน่าจะเข้าข้างตัวประชาคมอาเซียนอะ(เรื่องเก่าๆต้องชั่งมันไปก่อน) การจะเป็นผู้นำคน ผู้นำกลุ่ม มันจะยากก็ต้นเริ่มต้นนี้หละ แต่ถ้ากล้า แล้วก็ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เด๋วก็จะมีคนตามคุณมาเอง ปัญหาเรื่องหมู่เกราะสเปรตลี่ย์ เป็นวิกฤตของกลุ่มอาเซียนก็ว่าได้(สมาชิกอาเซียนครึ่งหนึ่งเป็นคู่กรณีกันหมด)กับ จีนด้วย ถ้าเราที่เป็นสมาชิกเองยังไปเข้าข้างจีนอีก อาเซียนที่ยังไม่ได้เริ่มเลยก็จบทันที แถมโอกาสดีๆแบบนี้หายากมากที่อาเซียนครึ่งหนึ่งเป็นคู่กรณีกัน เรามีโอกาศเป็นคนนำแก้ปัญหานี้ได้(ทั้งการเมือง และการทหาร) คิดง่ายๆ คือ เป็นหัวหมาดีกว่าหางมังกร แต่จะทำได้ต้องมีเพาเวอร์พอ(เมื่อก่อนสบายแต่ตอนนี้กากลงเยอะ)ซึ่งตอนนี้เรา ไม่มี ฉนั้นเรื่องตั้งฐาน เช่าฐาน ของ เมกา มีประโยชน์ในกรณีนี้(ในเมื่อเค้ามาแน่ น่าจะใช้ประโยชน์ให้ได้สูงสุด) แต่ถ้าจีนถอดใจอาเซียนก็เกิดยากอีก
ปล.ถูกใจรูปนี้สุดๆ
ผมเห็นด้วยกับคุณ potmon ในเรื่องที่จะให้เราเลือกข้างอาเซียน ถึงจะทำให้เราเสียประโยชน์กับจีนเล็กน้อยถึงมากมายก็ตาม แต่ถ้าเราไม่เข้าข้างพวกเราเอง การเปิดประชาคมเศรษฐ์กิจอาเซียนก็ไม่มีความหมาย แทนที่จะได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนไปต่อรองกับประเทศมหาอำนาจซึ่งนี่เป็นวัตถุประสงค์ของการตั้งสมาคมอาเซียนไม่ใช่รึคับ หรือจะเลือกว่าเราวางตัวเป็นกลางก็ได้แต่จะเป็นกลางได้นานขนาดไหนเรื่องนั้นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรา แต่ส่วนตัวแล้วผมไม่อยากสำผัส กลิ่นไอ หรือ ออร่า ของประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคนี้อีกแล้ว สิ่งที่ผมอยากเห็นคือพวกเราอาเซียนเดินกอดคอร้องเพลงไปด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแค่นั้นแหละ
ปล.ถึงแม้มันจะเป็นไปได้ยากก็ตาม >.<
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มันมีหลายมิติครับ ไม่ควรเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งครับ..(แบบนี้ไม่ฉลาดนัก)
ในมิติของ "กลุ่มอาเซี่ยน" ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องดำเนินต่อไป.....
ในมิติของ "หมาจิงจอกกัดกับหมีแพนด้า" ก็ต้องว่ากันไป แต่เกมส์นี้ เลี่ยงได้ก็ต้องเลี่ยงครับ มันไม่เกี่ยวกับเรา
ถ้ามันกั๊กเรด้าร์ "กีปเพน เฟด 2" เราก็ต้องยกเลิกการซ้อมรบ ทุกประเภทกับประเทศนี้ไปชั่วคราวครับ
ช่วงนี้แนะนำให้มันไปซ้อมรบกับพวก"ขอม" ก่อนก็แล้วกันครับ จนกว่าโครงการ "กิปเพนเฟด 2" จะรายรื่น เรียบร้อย
ค่อยมาคุยกันใหม่ ครับ พวกมันชอบสร้าง "เงื่อนไข ให้เราต้องปฏิบัติก่อน" อยู่เสมอแบบนี้ละครับ
เป็นการสร้างเงื่อนไขใหม่ เพื่ออำนวยประโยชน์ ใช้ต่อรองในการเจรจาทวิภาคีในครั้งต่อไป ครับ
นี่ละครับ มันเป็นสันดานของหมา "จิ้งจอก" ของจริงครับ
ตรงตามนิทานเรื่อง "หมาจิ้งจอกกับลูกแกะ" เปียบเลยครับ
ไปๆมาๆขาใหญ่ เค้าก็ยังเป็นขาใหญ่วันยันค่ำ เฟส 3 เปลี่ยนเป็น ซู ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว(จะไปขัดใจแฟนๆน้องกิฟหรือเปล่านะ)
ตกลงว่า อเมริกัน มันเห็นเราเป็นพันธมิตร หรือเปล่า เราแค่ต้องการมาป้องกันตัว และไทยก็ไม่มีแนวคิดรุกรานใครอยู่แล้ว
คนไทย ไม่เคยแม้แต่จะคิด ว่าจะไปก่อการร้ายในอเมริกา แล้วจะมาระแวงอะไรกับประเทศไทย
โน่นเลย .. ศัตรูของอเมริกา เกือบทุกชาติในตะวันออกกลาง เขาหมั่นใส้อเมริกาทั้งนั้น รอเขามีนิวเคลียร์เมื่อไหร่ โดนโจมตีแน่ๆ
.. หรือว่า ประเทศ ลูกกะจ๊อกของอเมริกา อย่าง สิงคโปร์ ล็อบบี้ เรื่องเรด้าห์ ไม่ให้ขายกับไทย
แบบนี้ เราก็ฟ้องสวีเดนไปสิ ทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว จะมาอ้างว่าขาดวัตถุดิบไม่ได้ ถ้าผิดสัญญา ต้องจ่ายค่าเสียเวลา
และ ต้องคืนเงินกลับมาทั้งหมด .. ต่อไป ก็ไปซื้อ ของรัสเซีย จะได้ไม่มีปัญหา
แค่เริ่มเกมส์เขาก็กดดันเราซะแล้ว ผมว่าต่อไปเราจะซื้ออะไรที่เกี่ยวกับอาวุธต้องมองที่อื่นมากขึ้นแล้วล่ะ
เรื่องนี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องตั้งแต่ตอนเริ่มโครงการจัดหาเครื่องบินแบบใหม่แล้ว ตอนนั้นที่งานอะไรสักอย่าง
ที่ประเทศไทย บ.ล็อคฮีท เอารูป F-16c/d 50/52 ติดตราสัญญาลักษณ์ของ ทอ. มาโชว์ กะว่าเราเลือก
ของเขาแน่นอน แต่เราเลือกของ สวีเดนแทนเขาเลยเคืองเรา มาตอนนี้เฟสสองเราก็ไกล้จะส่งมอบแล้ว อเมริกา
เลยอาศัยตรงนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อให้เรายอมตามที่เขาต้องการ อเมริกาถึงจะส่งชิ้นส่วนเรดาห์ให้ เดี๋ยวคอยดู มัน
ถ้าเราไม่ยอมมันก็จะเอาเรื่องเครื่องยนต์มาเล่นเราอีกและตามด้วย มิสไซด์ ที่ติดตั้ง ถ้าเป้นอย่างที่ว่าจริงๆ เรายกเลิก
การซ้อมรบทุกอย่างที่เราเคยซ้อมกับอเมริกา แต่มันอาจจะไม่ง่ายแต่ถ้าเรายังเป็นอยู่แบบนี้ก็เป็นลูกไก่ในกำมือเขาตลอดไป
แต่ทุกอย่างที่ว่ามาก็อยู่ที่คณะผู้บริการประเทสของเรานั่นแหล่ะที่จะทันเกมส์เขาหรือไม่ ตั่งมั้นในผลประโยชน์ของประเทศมาก
น้อยแค่ไหน ถ้าเราได้น้อยก็ไม่ต้องยอม พูดง่ายแต่ทำยากถึงยากก็ต้องทำ
มีบทความจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์วันนี้มาฝากครับ
รัฐบาลสหรัฐอเมริกาของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพิ่งประกาศปรับแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศใหม่ โดยเนื้อหาหลักคือ การเพิ่มสัดส่วนกองกำลังทางทะเล ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เป็น 60% ภายในปี พ.ศ. 2563 หรือ 8 ปีกว่า ๆ นับจากนี้
ปัจจุบันแสนยานุภาพทางทะเลของมหาอำนาจอเมริกา อยู่ที่ประมาณครึ่งต่อครึ่ง 50 : 50 ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก กับมหาสมุทรแอตแลนติก ที่ครอบคลุมภาคพื้นยุโรปทั้งหมด โดยมีกองเรือรบรวมกัน 285 ลำ
สัดส่วนใหม่จะทำให้กองทัพเรือสหรัฐ มีเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ ในน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิกเพิ่มเป็น 6 ลำ นอกนั้นก็เป็นกองเรือพิฆาต เรือลาดตระเวน เรือรบใกล้ชายฝั่ง และกองเรือดำน้ำ
นอกจากการเคลื่อนย้ายเรือรบแล้ว เพนตากอนยังจะเพิ่มจำนวนการฝึกซ้อมทางยุทธวิธี การซ้อมรบร่วม ทั้งทางบก ทางน้ำและอากาศ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กับบรรดาประเทศที่มีข้อตกลงทางทหารกับสหรัฐ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นพันธมิตรต่อต้านจีน ทั้ง “โดยเปิดเผย” และ “โดยนัย” อย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย เป็นต้น
ปีที่แล้ว 2554 กองทัพสหรัฐซ้อมรบร่วมกับกองทัพ 24 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก รวม 172 รายการ ปีนี้และปีต่อ ๆ ไปจะเพิ่มขึ้น “อีกมาก”
แผนปรับยุทธศาสตร์ถูกประกาศอย่างเป็นทางการโดย นายลีออน อี. พาเนตตา รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ในที่ประชุมสุดยอดความมั่นคงเอเชีย ครั้งที่ 11 ที่ประเทศสิงคโปร์ ช่วงต้นเดือนนี้ โดยเป็นไปตามแผน “มุ่งสู่เอเชีย” ที่ประธานาธิบดีโอบามาประกาศเมื่อปีที่แล้ว
โอบามากล่าวว่าหลังการถอนกำลังทหารออกจากอิรักและอัฟกานิสถาน จะทำให้กองทัพสหรัฐเพิ่มทรัพยากร ไปที่ภูมิภาคตะวันออกไกลได้มากยิ่งขึ้น
ความเคลื่อนไหวของประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก มองโดยภาพรวมแบบไม่ต้องวิเคราะห์เจาะลึก นี่คือ “แผนปิดล้อม” จีน คู่ปรปักษ์ด้านความมั่นคง ซึ่งงานนี้อเมริกาขยับรุกเข้ามาเผชิญหน้า ถึงหน้าถ้ำพญามังกร
ช่วงทศวรรษล่าสุด จีนทุ่มงบประมาณ พัฒนาแสนยานุภาพกองทัพปลดปล่อยประชาชน ด้วยอัตราเพิ่มตัวเลข 2 หลักทุกปี ควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่แซงหน้าญี่ปุ่น กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ได้สำเร็จเมื่อกลางปี 2553
แม้พาเนตตาจะกล่าวย้ำในที่ประชุมที่สิงคโปร์ว่า การปรับแผนยุทธศาสตร์ไม่มีเป้าหมายท้าทายจีน แต่คงจะหาคนเชื่อได้ยาก เมื่อดูจากพัฒนาการตามความเป็นจริง ไล่เรียงจากการประจำการนาวิกโยธินสหรัฐ 2,500 นาย ทางภาคเหนือของออสเตรเลีย การติดตั้งหน่วยบินสอดแนมทะเลจีนใต้ ทางตะวันตกของแดนจิงโจ้ รวมทั้งการเพิ่มขีดปฏิบัติการฐานเรดาร์สอดแนมที่นั่น
สหรัฐกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจา เพื่อประจำการกองกำลังภาคพื้นดินในฟิลิปปินส์ ประเทศพันธมิตรเก่าแก่ยาวนาน 60 ปี คาดว่าคงได้ข้อสรุปในทางบวกในอีกไม่นาน เห็นได้จากการเยือนวอชิงตันของประธานาธิบดีเบนิกโน อาคีโน เมื่อวันก่อน ซึ่งผู้นำฟิลิปปินส์เอ่ยปากร้องขอให้สหรัฐช่วยเสริมขีดขั้นสมรรถนะกองทัพ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีน และสหรัฐรับปากช่วยทันที
การประชุมที่สิงคโปร์ พาเนตตาบรรลุข้อตกลงทวิภาคี หลังการหารือกับนายอึ้ง เอ็ง เฮน รัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์ โดยสหรัฐจะประจำการทหาร และเรือรบชายฝั่งที่สิงคโปร์ 4 ลำ แดนลอดช่องเป็นอีกจุดสำคัญ ตามแผนปรับยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในฐานะที่เป็นเส้นทางลัด ทางผ่านระหว่างทะเลจีนใต้กับมหาสมุทรอินเดียและทวีปยุโรป
เสร็จจากการประชุมที่สิงคโปร์ พาเนตตาไปโผล่ที่เวียดนาม ยืนประกาศบนดาดฟ้าเรือขนส่งลำเลียงของกองทัพเรือสหรัฐ ลอยลำในอ่าวคัมรานห์ อดีตฐานทัพหลักของสหรัฐในสงครามเวียดนาม และสหรัฐไม่ได้ใช้งานนับตั้งแต่สงครามสิ้นสุดลงในปี 2518
พาเนตตาบอกว่า สหรัฐจะกลับมาปัดฝุ่นฟื้นฟูฐานทัพอ่าวคัมรานห์ เพื่อใช้งานอีกครั้ง
ในส่วนของไทยเรา กรณีที่รัฐบาลอนุญาตให้สหรัฐใช้สนามบินอู่ตะเภา เป็นศูนย์บรรเทาสาธารณภัยและมนุษยธรรม เชื่อว่าเป็นผลสืบเนื่องก่อนและหลังการประชุมด้านความมั่นคงหนล่าสุดที่สิงคโปร์เช่นกัน และเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับยุทธศาสตร์ใหม่ของสหรัฐ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ส่วนจะมากน้อยแค่ไหน ข้อตกลงในทางลับจะค่อย ๆ โผล่ให้เห็นในภายหลัง
การเลือกจุดยืนที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ที่บอกว่าเราไม่น่าจะผิดใจกับจีน คงต้องคิดใหม่อีกรอบ เพราะเรื่องนี้ทางการปักกิ่งต้องจับตาวิเคราะห์ขอบเขตความเกี่ยวพันละเอียดยิบแน่นอน
ทางด้านปฏิกิริยาตอบสนองเบื้องต้นของจีน พล.ท.เหริน ไห่กวน รองประธานสถาบันวิทยาศาสตร์การทหาร กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน หัวหน้าคณะผู้แทนจีนที่เข้าร่วมการประชุมที่สิงคโปร์ กล่าวว่า แผนการเคลื่อนย้ายกำลังทางทะเลของสหรัฐ ไม่ถือเป็น “เรื่องร้ายแรง” ขั้นคอขาดบาดตาย แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควร “มองข้าม”
จีนยังคงเผชิญกับสถานการณ์ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งบางครั้งร้าย แต่จีนก็พร้อมสำหรับความซับซ้อนทั้งหลาย ตามสุภาษิตโบราณที่ว่า ทำงานให้ดีที่สุด และเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น
จีนจะเดินหน้าพัฒนายุทธศาสตร์กองทัพ แผนการป้องกันประเทศ และขีดขั้นสมรรถนะของกองทัพปลดปล่อยประชาชน โดยจะยึดหลักการ “ไม่โจมตีใครก่อน” เหมือนเดิม “เรามีหลายมาตรการในการโจมตีกลับ ถ้าผลประโยชน์หลักของประเทศชาติตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคาม” พล.ท.เหริน กล่าวย้ำ
ทางด้านรัฐบาลปักกิ่ง นายหลิว เหว่ยหมิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ออกแถลงในวันถัดมาว่า แผนการเสริมกำลังในเอเชีย-แปซิฟิกของสหรัฐ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐวิตกต่ออำนาจทางทหารและเศรษฐกิจที่กำลังพุ่งขึ้นของจีน
จีนไม่ขัดข้อง หากสหรัฐจะเล่นบทบาทในทางสร้างสรรค์ ในเอเชีย-แปซิฟิก และหวังว่าสหรัฐจะเคารพผลประโยชน์และความวิตกของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในภูมิภาค
การประกาศแผนของพาเนตตาที่สิงคโปร์ มีขึ้นขณะที่ความขัดแย้งเกี่ยวกับการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะต่าง ๆ ในน่านน้ำทะเลจีนใต้ และทะเลจีนตะวันออก ยังคุกรุ่น ระหว่างจีนกับหลายประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม หรือไต้หวัน
นายหลิวกล่าวว่า การเสริมกำลังทหาร และเพิ่มการซ้อมรบร่วมกับประเทศพันธมิตรในภูมิภาคของสหรัฐ ถือว่า “ไม่ถูกเวลา” และนับจากนี้ไป จีนจับตามองความเคลื่อนไหวของสหรัฐอย่างใกล้ชิด
หวัง เป่ยรัน อาจารย์พิเศษหลักสูตรความมั่นคง มหาวิทยาลัยฟรี ในกรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม กล่าวว่าความเคลื่อนไหวจะทำให้บทบาทของสหรัฐในภูมิภาค ไม่ใช่เป็นแค่ตำรวจโลก แต่จะเหมือนกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคง
แม้รัฐบาลสหรัฐจะหั่นงบด้านกลาโหมลงเหลือ 487,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 10 ปี ข้างหน้า แต่การเคลื่อนย้ายกำลังส่วนใหญ่มาไว้ทางเอเชีย-แปซิฟิก กองทัพสหรัฐต้องนำของดีของใหม่ ไฮเทคล้ำยุคและราคาแพงมาโชว์แน่นอน เพื่อเป็นการข่มขวัญพญามังกรมหาอำนาจเจ้าถิ่น
และสิ่งที่น่าจับตามองคือ ฐานประจำการกองกำลังเคลื่อนย้ายมาใหม่ เช่น ฐานเรือดำน้ำ หรือเรือบรรทุกเครื่องบิน สหรัฐจะเลือกที่ไหน เนื่องจากมีอยู่มากมาย ทั้งดินแดนของสหรัฐเอง เช่นที่เกาะกวม หรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย หรือฐานของประเทศพันธมิตร เช่น อ่าวซูบิกในฟิลิปปินส์ ที่หันหน้าออกสู่ทะเลจีนใต้ หรืออ่าวคัมรานห์ของเวียดนาม เป็นต้น
ประเด็นนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ฐานหลักสหรัฐจะเลือกทำเลที่อยู่ไม่ใกล้กับจีนนัก เพื่อลดระดับความตึงเครียดและการเผชิญหน้าที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อการเคลื่อนย้ายเริ่มขึ้น.
ภาพนี้คงไม่ต้องบรรยายนะครับ
แปลกนะครับเค้าพูดกับใครก็ต่อใครว่าเราคือพันธมิตร แต่การกระทำไม่ได้เป็นพันธมิตรอย่างที่ปากว่าเลย ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงมีศัตรูมากมาย
ชอบใจความเห็นและข้อมูลจากท่าน yam และ airy ครับ
เสริมท่าน airy นิดนึง ตอนนั้นท่านชวลิตขยายกำลังทางทั้งทางบก ทางอากาศและทางทะเล แต่ที่สร้างความวิตกกังวลแก่อเมริกาจนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกาให้ข่าวออกแนวกังวลใจก็คือการขยายกองทัพเรือ
ในแผนเดิม ท่านชวลิตจะ
1. ต่อเรือบรรทุกฮ.ให้ทร. 1 ลำ
2. ต่อเรือบรรทุกบ. SAC-220
3. จัดหาเรือชั้นเปอร์รี่ 4-8 ลำ
4. จัดหาเรือชั้นนเรศวร 8 ลำ
5. เรือฟรีเกตต่อต้านเรือดำน้ำ 4 ลำ
6. กองเรือดำน้ำทั้งสองฝั่งทะเล
7. เครื่องบินปราบเรือดำน้ำ
8. ดางเทียมสอดแนมและสื่อสารกับกองเรือดำน้ำ (ราคากว่า 30,000 ล้านบาทในสมัยนั้น ค่าเงิน 25บาท/1ดอลล์)
9. AV-8B 8-12 เครื่องประจำจักรี
10. A-7 40 เครื่อง(เป็นอะไหล่ 20 เครื่อง)
11. E-2C 2-4 ลำ
12. F-18 C/D จำนวนหนึ่งฝูง
ผบ.สุงสุดและผบ.ทบ.ตอนนั้นยังแสดงความเห็นไม่พอใจที่ท่านชวลิตขยายกำลังรบและเพิ่มงบประมาณจนแทบจะกลายเป็นมหาอำนาจระดับย่อม (มีการให้สัมภาษณ์ประชดเล็กๆแบบนี้ด้วยจริงๆครับ)
พอเราเริ่มแผนการจัดหาและขยายกำลังรบ มาเลย์เต้นเร่าๆดิ้นพราดๆ เวียตนามหันควับมองตาเขม็ง อินโดนีเซียตอนนั้นยังยิ่งใหญ่สุดในอาเซียน(ด้านกำลังทางทะเล) เรียกแผนแบบ SAC-220 มาดูแล้ววางแผนจัดหา 4 ลำ! พร้อมกับวางแผนขยายกองเรือรบ
อเมริกาไล่ตามแบนโครงการของเราครับ ทั้งเรือบรรทุกฮ. จากเดิมเยอรมันจะต่อให้ ก็โดนแบน สเปนเลยได้งานแทน บีบอังกฤษไม่ให้ขายระบบดาวเทียมสอดแนมกำลังสูง (ขนาดถ่ายภาพแก้วน้ำบนพื้นถนนได้) และออกมาเรียงแถวแสดงความกังวลในด้านสมดุลทางทหารและความยุ่งยากที่จะทวีเพิ่มขึ้นในการรักษาเส้นทางเดินเรือในภูมิภาคนี้เมื่อประเทศแถบนี้ขยายกำลังรบ
จากนั้นก็เริ่มแผนทำลายโครงสร้างทางการเงิน ....... ตูม ล้มทั้งแถบ.........
เข้าใจยังครับว่าทำไม ทร.และทอ. ต้องถูกกดขนาดเอาไว้ นอกจากโมเดลโบราณแล้ว ชาติมหาอำนาจที่สนับสนุนอยู่ก็ไม่ปลื้มครับ และการที่อเมริกาทำกับเราไว้ ตอนนี้ก็เริ่มออกดอกผลในยุคนี้แหละครับ คนระดับสูงบางกลุ่มก็ไม่พอใจอเมริกานัก รัฐบาลอีกซีกหนึ่งถึงเริ่มความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมากยิ่งขึ้น เพราะบทเรียนอันเจ็บปวด รวมถึงกาคาดการณ์ในอนาคตว่า จีนจะกลายเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 แทนอเมริกาไงครับ
โครงการอุตสาหกรรมอากาศยานจึงโดนแบน ขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมต่อเรือก็ถูกดึงรั้ง
จากบทเรียนที่อเมริกาทำกับเรา ผมจึงไม่สนับสนุนให้เราใกล้ชิดมหาอำนาจชาติใดชาติหนึ่งมากเกินไปอีกต่อไป ควรจะถ่วงดุลน้ำหนักให้เหมาะสมทั้ง จีน รัสเซีย อเมริกา อินเดีย ที่เข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนี้ ผมไม่เห็นที่จะต้องให้เราเข้ากลุ่มต้านจีนในเรื่องหมู่เกาะสแปรตลี่ย์ แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่เพิ่มระดับความใกล้ชิดถึงขนาดให้จีนวางกำลังหรือใช้ฐานทัพของเราเพื่อต่อระยะกองเรือบรรทุกบ.
และการที่จะดำรงไว้ซึ่งความเป็นกลางได้ เราควรจะต้องมีขีดความสามารถทางทหารในระดับสูงเพื่อให้มหาอำนาจเกรงใจ แบบว่าเข้าข้างใครร่วมมือกับมหาอำนาจชาติไหน มหาอำนาจชาตินั้นสามารถครอบครองภูมิภาคนี้ได้โดยง่ายทันที
ผมถึงสนับสนุนแผนงานของท่านชวลิตอย่างสุดลิ่ม และต้องการให้ขยายขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมทหารและอุตสาหกรรมหนัก พวกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล ถลุงเหล็ก โลหะผสม อุตสาหกรรมต่อเรือ อุตสาหกรรมอากาศยาน ศูนย์อวกาศและศูนย์ส่งจรวด(ยุคท่านชวลิตจะก่อตั้งศูนย์อวกาศและฐานส่งจรวด รวมถึงเทคโนโลยีจรวดส่งดาวเทียมขนาด 50-100 กิโลกรัม ถึงขนาดให้กองทัพเริ่มแผนการตั้งแผนกงานนี้ขึ้นมา) ริเริ่มงานแสดงอาวุธแบบงานแสดงอาวุธสำคัญๆระดับโลก (มาเลย์มันลอกความคิดเราครับ พอเราจัดงานดีเฟ้นด์ขึ้นและจัดซะใหญ่โต มันก็ทำตามเลย ผมยังไปดูตั้งสองครั้ง ของมาโชว์เพียบ คนเข้ามาดูงานล้นหลามเลย ยังไปดูเด็กเล่นเรือดำน้ำ A-17 ยิงตอร์ปิโดจำลองที่บูธของค๊อกคัมเลย)
ดีใจที่ DTI ถูกตั้ง ดีใจที่ TAI ได้เกิด (เกือบถูกยุบเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง) ดีใจที่สามารถมีอู่ ราชนาวีมหิดล แต่เสียใจที่อีกหลายๆโครงการโดนล้ม .............
ถ้าเป็นอย่างที่ท่านหลายๆคนพูดละก็ ผมอยากจะรู้ว่าเราไปทำอะไรให้เขากลัวครับเราเป็นแค่ชาติระดับกลางในภูมิภาคอาเซียนกำลังท่านเรือและอากาศก็ล้าหลังเกือบทุกภูมิภาคนี้ พอเราอยากจะลืมตาอ้าปากหน่อยก็จับหัวเรากดพื้นแล้วเยี่ยบซ้ำจนจมดินแบบนี้แล้วจะเรียกว่าเราเป็นพันธมิตรที่ดีได้หลอคับ ถ้าข้อมูลที่หลายๆท่านให้มาเป็นความจิง ผมถือว่านี่เป็นการกระทำที่หน้ารังเกรียจมาก ถึงแม้จะทำทางอ้อมก็ตาม ผมถึงได้บอกว่าไม่เห็นด้วยกับการที่อเมริกาจะมาตั้งหน่วยหรือฐานไม่ว่าจะส่วนไหนของประเทศเราหรือจะประเทศมหาอำนาจไหนๆก็ตามในอนาคต
ต่อๆนอกเรื่องไปละ -_-ll ผมตั้งใจจะถามว่า ถ้าแผนการของท่าน ชวลิต ประสบความสำเร็จ และเราได้ของครบตามลี้ดรายการที่คุณ neosiamese2 ให้มา ประกอบกับ อาวุธ ยานเกราะ เครื่องบิน หรือเรือรบ ที่เราสั่งซื้อในปัจจุบัน และไอ้โปรเจ็กที่มีประโยชน์แต่โดนแบนด้วย ถ้าได้จริงๆ(นะ)กองทัพของเราจะจัดเป็นอันดับที่เท่าไรในภูมิภาคนี้ และเป็นดันดับที่เท่าไรในเอเชียแปซิฟิกคับ?
เสียใจจริงๆ ครับ ที่กองทัพไทย ทั้งสามเหล่า ไม่ได้รับการปรับปรุงมายาวนานถึง 10 ปี
ซึ่งเป็นผลจากการกระทำที่หวาดระแวงของ หมาจิงจอกยักษ์
ขอติงคุณ neosiamese2 นิดหน่อย เรื่องที่ว่าเราโดนโจมตีค่าเงินบาท อันนั้นผมว่าเราทำตัวเราเองมากกว่า
แต่ก็อย่างว่าแหละครับ สหรัฐฯ ก็กร่างไปทั่ว เราจะได้รับความช่วยเหลือจริงๆ จังๆ ก็เฉพาะเวลาเราช่วยสหรัฐฯ รบจริงๆ อย่างช่วงสงครามเวียดนาม หรือปากีฯ เมือทศวรรษที่ผ่านมา (ตอนนี้ชักไม่ค่อยแน่นแฟ้นกันแล้ว) เวลาที่เราไม่ได้ช่วยรบก็บอนไซเราไปก่อน
โหยพิมพ์อธิบายมาเยอะแยะ เวลาส่งหายหมด LOGOUT ไปได้ยังไง
เอาใหม่ ส่งทีละท่อนช้าๆ
ตอบคำถามท่าน biguvix ครับ ถ้าทำตามแผนงานครบ เราจะมีขนาดกองทัพพอๆกับอิตาลีและสเปนครับ
และเป็นชาติที่เข้ามแข็งทางทหารที่สุดในภูมิภาค การที่ต้องการกองทัพขนาดนั้นก็เพราะท่านชวลิตมีแผนตัดคลองกระด้วยครับ เพื่อรักษาคลองกระ พอที่จะทานมหาอำนาจที่หวังจะควบคุมคลองได้
ตอบคำถามที่สอง ทำไมเขาต้องกลัวเรา เราไปทำอะไรให้เขา
เรื่องคลองกระนี่พูดมาก็มากแล้วในเวปนี้ ขึ้นเกียจพูดอธิบายอีก เอาเป็นว่าเก็บค่าผ่านคลองน่ะจิ๊บๆๆมากๆๆ ไอ้ที่ต้องการคือนิคมอุตสาหกรรมขนาดยักษ์ที่แม้ทวายตอนนี้ยังชิดซ้ายไปเลย และมหานครขนาดกรุงเทพทั้งสองฝากฝั่งคลอง นั่นล่ะจุดประสงค์หลัก แค่ภาคใต้ภาคเดียว GDP ก็พอๆกับประเทศไทยทั้งประเทศรวมกันแล้ว
ไอ้คลองตัวแสบนี่ไปกระทบใครบ้าง
สิงคโปร์......ลูกจ๊อคใคร
มาเลย์......ลูกจ๊อกใครในยุคนั้น
ชาติมหาอำนาจตะวันตกเก่าแก่ทุกชาติก็มีผลประโยชน์ร่วมกันในช่องแคบมะละกา
อินโดนีเซียยุคนั้นเกลียดตะวันตกแบบเข้ากระดูกดำ ก้พี่เล่นช่วยมาเลย์แบ่งเกาะเบอร์เนียวเหนือไป เจ็บแสบ และอินโดนีเซียขยายกำลังรบตามเรา จะต่อเืรือบรรทุกบ. 4 ลำนะครับ กองเรือดำน้ำอีก
ช่องแคบมะละกามีเรือพานิชย์วิ่งผ่าน 55% ของทั้งโลก ถ้าตัดคลองกระ เห็นเขาว่าเส้นทางเดินเรือ 30-35% จะเปลี่ยนมาใช้เราเป็นทางผ่าน แถมเราจะมีกองเรือและทัพอากาศที่ทรงพลังอีกเพื่อรักษาคลอง และท่านชวลิตก็มีความสัมพันธ์กับจีนในระดับสูง ก็เหมากองเรือมาจากจีนทั้งกอง type 85 เพียบมหาศาล อาวุธจีนทะลักกองทัพไทย คุณเป็นอเมริกาคุณจะเต้นไหมล่ะครับ ไว้ใจได้ไหมว่าชวลิตจะไม่เปลี่ยนใจไปคบจีน แถมอินโดที่ชังน้ำหน้ากันก็ยังจะมีกองเรือซะขนาดนั้น
นอนรอไม่ไหวสิครับ.....ต้องทำอะไรสักอย่าง
ตอบข้อที่สามที่ท่าน tongwarit บอกว่าเราทำตัวเอง ขอบอกว่าจริงครึ่งหนึ่งและไม่จริงอีกครึ่ง ตอนนี้ขอเข้าห้องน้ำก่อน
อ้าา.....กลับมาแล้วครับ
ใครก็ตามที่พยายามตัดคลองกระ ต้องมีอันเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง จะดลบันดาลให้พบกับความวิบัติล่มจม
มาบอกเล่าในข้อสงสัยเรื่องเราทำตัวเองเจ้งในปี 40 กัน
ในฐานะคนเล่นหุ้นและค้าขาย ก็ต้องติดตามข้อมูลทางเศรษฐกิจและการเงิน และแบบเดิมผมจะจำในลักษณะเนื้อหาโดยรวมเรื่องราวโดยหลัก รายละเอียดนั้นจำไม่ไหวและไม่ได้มีหลักฐานเก็บเอาไว้ แต่มันก็ทำให้ผมรอดพ้นจากวิกฤตปี 40 ทั้งหุ้นและธุรกิจ แต่ใครมีข้อมูลในรายละเอียดก็มาลงๆแจมกันครับ
ไอ้ที่ว่าเราทำตัวเองนั้นมีแค่ไม่ถึงครึ่งครับ เรื่องราวเป็นเช่นนี้
พ่อมดการเงิน เฮียจอร์จ กระหายเงินจากความฉิบหายของผู้อื่น เอาเรื่องด้อยของผู้อื่นมาถ่างให้ใหญ่โตเพื่อเกิดความตกใจในตลาดการเงินแล้วหาผลกำไรแก่ตัวเอง เขาเห็นช่องว่างว่าเราควรจะเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมจากอุตสาหกรรมเน้นแรงงาน Labour intensive)ไปสู่อุตสาหกรรมเน้นเครื่องจักรและอุตสาหกรรมหนัก แต่เรากลับไม่ทำเพราะมานั่งวุ่นวายกันเรื่องการเมืองภายใน รู้สึกว่าจะมีงบดุลตัวหนึ่งที่เราเริ่มติดลบ (จาก 3 งบดุลสำคัญ สมัยเรียนเศรษฐศาสตร์ จำไม่ได้แล้ว) และเงินทุนสำรองเริ่มลดลง ทางเขาก็เลยบอกว่าไทยเราควรจะเลิกทำอุตสาหกรรมแบบเน้นแรงงาน แต่ถ้าจะทำอุตสาหกรรมแบบนี้ต่อไป ก็ต้องลดค่าเงิน เพราะค่าเงินแข็งเกินจริง จากนั้นข่าวร้ายก็เริ่มถาโถมตลาดการเงินและเขย่าขวัญตลาดหุ้น ผมต้องตามข่างทุกวันเพราะกระทบเต็มๆ
มันจะโจมตีค่าเงินได้จังหวะขนาดนั้นเชียว ในตอนที่เราขยายกองทัพและอยากตัดคลองกระ
ท่านอำนวยและท่านเริงชัย รีบแก้ปัญหาค่าเงินด้วยการนำเงินทุนสำรองเเข้าสู้ (หลายคนบอกว่าบ้าจริงๆทำไมทำแบบนั้นและเป็นต้นเหตุให้ล่มจม) ในยกแรกไทยเราชนะนะครับ ไม่ได้แพ้ ไม่ใช่เพราะทุนหนาแต่เพราะฉลาดและความร่วมมือจากเพื่อนบ้านชาติเอเชีย คือ ท่านทั้งสองขอร้องให้ชาติเพื่อนบ้านในเอเชียร่วมกันกำหนดค่าสวอปเงินบาทสูงถึง 1000% ครับ เมื่อฝ่ายถล่มค่างเินต้องครบกำนดส่งมอบเงินบาท(ในตลาดค้าเงินล่วงหน้า) ก็ต้องเจ้งมหาศาลสิครับ ฝ่ายเฮียและแก๊ง เจ้งไปหลายหมื่นล้านบาทในยกแรกครับ
อำนวยและเริงชัยแม้ชนะยกแรกแล้ว แต่เห็นว่าอำนาจเงินต่างชั้นกันเกินไป ก็เลยวางแผนจะลดค่าเงินแบบมีการจัดการ โดยทำการลดค่าเงิน 1 ครั้งทุกๆ 6 เดือน เป็นเวลา 2-3 ปี เพื่อให้ผู้ส่งออกและธุรกิจบริษัทที่กู้เงินสกุลต่างประเทศ(ได้ประโยชน์จาก BIBF เข้าหาแหล่งเงินกู้ต้นทุนต่ำจากนอกประเทศ เพราะดอกเบี้ยในประเทศแพงกว่ามาก) สามารถปรับตัวได้ไม่ล้มระเนระนาด
แต่มีหรือพ่อมดการเงินจะยอม......
แผนการรับมือดีๆแบบนี้ฉันไม่ยอมแกแน่.....ว่าแล้วก้เข้าทางฝ่ายการเมือง งานนี้ขอเฉียดการเมืองในยุคนั้นหน่อยครับ
การเมืองยุคนั้นแบ่งเป็นสองฝ่ายหลักเหมือนยุคนี้ แต่ไม่ถึงขนาดแบ่งแยกแบบเด่นชัดและขัดแย้งรุนแรงขนาดนี้ แต่ก็รู้ว่าฝ่ายหนึ่งคือ ท่านชวลิต กับ อีกฝ่าย......
พวกเฮียจอร์จ เข้าหาทั้งสองฝ่าย คนในพรรคของท่านถูกหว่านล้อมให้เห็นด้วยกับการลดค่าเงิน เพราะผลประโยชน์จากการเล่น FOREX(การค้าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ) และจากการที่คนบางคนในสภาพัด....และธนาคารแห่งประเทดไตที่อยู่ฝั่งตรงข้าม (แต่ไม่แสดงตัวชัดเจน) มากล่อมท่านชวลิตว่า
ถ้าลดค่าเงินบาทโดยการลอยตัวทันที ภาคการส่งออกจากบูมแล้วประเทศก็จะประสบความสำเร็จแบบคราวพลเอก ป. ท่านก่อนทำเอาไว้ ท่านก็ได้ทั้งเงินและกล่องไป
ท่านเชื่อทันที เพราะท่านเป็นทหารไม่ใช่นักการเงินนี่ครับ จะไปรู้เรื่องอะไรกับระบบการเงินที่ซับซ้อน มือโปรทางการเงินมาแนะนำเองนี่นา ผมฟังครั้งแรกยังบอกเลยว่าบ้าอ่ะป่าว ทำแบบนั้นก็เจ้งกันทั้งประเทศสิ
อำนวยและท่านเริงชัยคัดค้าน ก็ดดนปลดสิครับ ..... เอาใครมาเป็นจำได้ไหมครับ ส. นำหน้า ทำตาใบสั่งครับไม่ต้องคิดมาก
ผลออกมาล่มจมทั้งประเทศ ท่านเจอด่าจากคนทั้งประเทศถูกสาปเช่งหมดอนาคตทางการเมืองง
หัวหน้าตาย.....แต่ลูกพรรคเฮลั่น ทั้งฝั่งพรรคตัวเองและตรงข้าม รวยเละ หัวหน้าตายชั่งมัน .....เองช่วยไม่ได้
ทีมงานของท่านมือไม่ถึง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไร้ฝีมือ ถามว่าถ้าเราตัดคลองกระเสร็จ ไอ้ปัญหาจุดบอดเพียงเท่านั้นจะล้มประเทศเราได้เชียวหรือครับ ...... เป็นไปไม่ได้ ขนาดประเทศในยุโรปหลายชาติในตอนนี้ที่ย่ำแย่แต่ยังไม่ล้ม แย่กว่าเราตอนนั้นมากมายเลย แล้วเราจะล้ทได้อย่างไร
คลองกระเสร็จ โครงสร้างทางอุตสาหกรรมก็ต้องเปลี่ยน เพราะมีนิคมขนาดมหึมาทำเลสุดยอดของโลก มีหรือนักลงทุนทุกสาขาจะไม่เข้ามา แต่ดันไม่ไปเรียกสิ่งศักด์สิทธิ์ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองมามีผลประโยชน์ด้วย แถมยังถือเครื่องลางของขลังที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แบบนี้ต้องเจอดี
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองจึงดลบันดาลให้ท่านล่มจมในบัดดลครับ
ผู้ชนะเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์
ท่านอำนวยและท่านเริงชัย กลายเป็นแพะรับบาป....แบ๊ะะ.....
ท่านหัวหน้าแก๊งชวลิตตาย แต่ลูกน้องรวยยย...รวยยย....
ฝ่ายตรงข้ามที่ให้คำแนะนำที่แสนจะ....... ได้ปูนบำเน็ญ อยู่ในสภาพัดและเป็นใหญ่เป็นในธนาคารแห่งประเทดไต มีหน้ามีตาอยู่ทุกวันนี้
มีคนกราบไหว้เชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองอยู่ไม่น้อยครับ แม้ว่าความศักดิ์สิทธิ์จะลดลงไปเยอะ แต่เชื่อไหมว่าเครื่องลางของขลังที่ท่านชวลิตแควนคอเอาไว้แล้วตกหล่นไปให้ผู้อื่นเก็บไปใช้ต่อนั้น ตอนนี้ทวีความขลังขึ้นมากและกำลังจะกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอาวุธนิวเคลียร์รายถัดไปแทน
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นนะครับ
จะให้ถูกต้อง คลองคอดกระ หรือ คอคอดกระ นะครับอิอิ
ขอเสริม ท่าน neosiamese2 นิดนึงครับ
คอคอดกระ หรือ ท่าเรือน้ำลึกปากบารา .. ปัจจุบัน บางประเทศเค้าใช้งบลับ จ้าง พวก NGO หรือ กรีนพีช
เพื่อให้ระดมชาวบ้านมาขัดขวางทุกวิถีทาง ( เป็นชาวบ้านกลุ่มใหน ท่านๆลองไปหาข่าวดู เดี๋ยวจะหาว่าผมแอนตี้เค้าอีก )
พวกนี้ ปลุกระดมง่ายมากครับ ใช้หลักการเดียวกันทั่วโลก ..