เข้าfacebook ก่อนนะครับ http://www.facebook.com/sujitwongthes
ทำไมเหรอครับ อ.สุจิตต์ วงษ์เทศ ก็เป็นนักวิขาการประวัติศาสตร์ชื่อดังท่านหนึ่ง ไม่ทราบว่าจขกท.ข้องใจเรื่องอะไร
เอางี้ลองยกตัวอย่างหนังสือ หรือบทความของอ.สุจิตต์ที่ทำให้ท่านจขกท.ข้องใจมา เผื่อผมจะช่วยอะไรได้บ้าน เพราะผมก็จบประวัติศาสตร์มา ตำราเรียนของอ.ท่านนี้ผมก็เคยอ่านมาหลายเล่มอยู่เผื่อจะพอช่วยท่านได้บ้าง
อันนี้หรือเปล่าครับ ????
คือ ดินแดนที่เสียไป ไม่ใช่ดินแดนของเรา เลวมาก
มีอยู่อันหนึ่งพูดถึงที่มาของความเป็นไทย เขาเขียนว่า ถ้าไทยมาจากเทื่อกเขาอันไต ก็น่าไม่อายที่มาแย่งแผ่นดินนี้อะไรประมาณนี้ ฟังดูแล้วขึ้นครับ (แต่ไม่เห็นข้อความนี้แล้วไม่รู้ลบไปหรือยัง) แต่อันอื่นก็เห็นแต่ยกย่องเขมร แล้วพูดถึงประเทศเราไม่มีความภูมิใจในชาติเลย ผมว่าการคิดต่างแบบนี้เยอะๆมันจะดีกับเราหรือครับ
ถ้าพูดไปด้านเขมร นี้ ผมขอไม่พูดต่อละกันครับ รู้ๆกันอยู่
อ.สุจิตต์ก็พูดถูกแล้วนะครับ เราเสียประเทศราชไม่ได้เสียดินแดน
กรุณาหาหนังสือท่านมาอ่านแล้ว วิเคราะห์ แยกเเยะ หน่อย แกอาจจะจั่วหัวแรงไปหน่อยเป็นไสตล์การเขียนครับ
หนังสือ หรือบทความหลายๆบทความที่ท่านเขียนต้องการเตือนสติ อย่ารักชาติจนคลั่งชาติ อย่าเอาประวัติศาสตร์มาเป็นเครื่องมือ อย่าอวยตัวเองว่าเหนือกว่าคนอื่น สอนไม่ให้เราลืมกำพืดตัวเอง แล้วเราจะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างสงบสุขครับ
พวกท่านทั้งหลายลองอ่านแล้ววิเคราะห์ดีๆว่าบทความนี้ อ.สุจิตต์เขียนประชดใคร ลองอ่านดูนะครับ
................................................................................................................................................
ประวัติศาสตร์ไทย เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิในอุษาคเนย์(ประชาคมอาเซียน)จะแยกออกจากกันมิได้ แม้แต่คนไทยและความเป็นไทยก็แยกไม่ได้จากความเป็นคนอุษาคเนย์และความเป็นอุษาคเนย์
โครงการพัฒนาความร่วมมือทางศาสนา, ศิลปะ, และวัฒนธรรม กับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำเสนอต่อรัฐบาล เป็นโครงการดีที่มาช้ามาก จนตลาดจะวาย สายบัวเกือบเน่าแล้ว
ถึงจะยืนยันว่าไม่ใช่งานตีปี๊บสร้างภาพ แต่ก็น่าห่วงอย่างยิ่งว่าจะเป็นได้แค่นั้น เพราะคนทำงานจริงๆไม่มี ที่มีอยู่ก็ไม่จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดานัก“ราชวิชาการ”ในกระทรวง ยังงมงายและฟูมฟายอยู่กับความเป็นไทยแบบ“ดราม่า”ของอำมาตย์มนตรี ที่พยายามทำตัวให้หลุดพ้นจากความเป็นคนสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ เพราะฝันไปว่าตัวเองเหนือกว่าโดยเฉพาะลาว, เขมร
ถ้าแก้ไขตรงนี้ไม่ได้ โครงการฯนี้ก็แค่“ดราม่า”เหมือนอะไรต่อมิอะไรในไทยที่ผ่านๆมา
คนไทยและความเป็นไทย แรกมีขึ้นบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาในสุวรรณภูมิเมื่อราวหลัง พ.ศ. 1700
ก่อนหน้านั้นยังไม่สมมุติชื่อเรียกตัวเองว่าคนไทย แต่เรียกอย่างอื่นๆ เช่น คนลาว, คนลื้อ, ผู้ไทย, ฯลฯ กระจัดกระจายอยู่ในหุบเขาน้อยใหญ่ทางตอนบนของสุวรรณภูมิ เช่น ทางใต้ลุ่มน้ำแยงซีเกียงในจีน, ลุ่มน้ำดำ-แดงในเวียดนาม, ลุ่มน้ำโขงในลาว, ลุ่มน้ำสาละวินในพม่า
แต่มีบางพวกทยอยเคลื่อนย้ายมาตามเส้นทางการค้าทั้งทางบกและทางทะเลเลียบชายฝั่ง ตั้งถิ่นฐานปะปนกับตระกูลมอญ-เขมร, ชวา-มลายู (ที่เป็นคนดั้งเดิมอยู่มาก่อน) แล้วเป็นประชากรส่วนหนึ่งของรัฐฟูนัน, รัฐจามปา, รัฐทวารวดี
ครั้นหลัง พ.ศ. 1700 สำเภาจีนมีเทคโนโลยีก้าวหน้าและลำใหญ่ขึ้น ระวางบรรทุกสินค้ามากขึ้น ทำให้การค้ากับจีนทางทะเลกว้างขวาง ส่งผลให้การค้าภายในทั้งทางบกและทางแม่น้ำลำคลองเฟื่องฟู
กลุ่มคนพูดภาษาไทย-ลาว เคลื่อนย้ายลงมาตามเส้นทางภายใน แล้วตั้งหลักแหล่งอยู่ปะปนกับคนพูดภาษามอญ-เขมร ที่เป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมมาก่อน ผสมกลมกลืนกลายเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่สมมุติชื่อเรียกตัวเองว่า“คนไทย”
พยานหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีเรื่องเหล่านี้ มีครบถ้วนทั่วประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้านสุวรรณภูมิอุษาคเนย์ ที่สำคัญคือบางส่วนเก็บไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม นั่นแหละ
ปัญหาอยู่ที่กระทรวงวัฒนธรรมไม่มีนักวิชาการที่มีคุณภาพและศักยภาพจะศึกษาวิจัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีเหล่านั้น ดังจะเห็นว่าถ้าต้องการงานวิชาการก็ต้องว่าจ้างบริษัทรับเหมาค้นคว้าวิจัยให้ด้วยราคาแพงๆ(และอาจมีลูกเล่นยัดไส้เอางานราชการใส่ชื่อบริษัทเพื่อรับค่าจ้างต่างหาก)
ถ้าจะมีนักวิชาการอยู่บ้างก็ล้าหลังคลั่งชาติอยู่ในอำนาจครอบงำของความรู้แบบอาณานิคมเมื่อ 100 ปีที่แล้ว โดยสร้าง“นิยาย”ให้เป็น“ดราม่า” ว่าเชื้อชาติไทยบริสุทธิ์มีจริง แล้วมีแหล่งกำเนิดจากเทือกเขาอัลไต เมื่อถูกจีนรุกรานก็อพยพลงใต้มาสร้างอาณาจักรน่านเจ้า แล้วถูกจีนขับไล่ต้องอพยพมาเป็นข้าทาสในปกครองของมอญและเขมร กระทั่งปลดแอกจากเขมรสร้างกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก
จะเห็นว่าในประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย(ที่กระทรงวัฒนธรรมดูและรักษา) คนไทยอยู่นอกฟ้าดินสุวรรณภูมิอุษาคเนย์ เหมือนเป็น“มนุษย์ต่างดาว” หรือ“ท้าวต่างแดน”มาจากที่อื่น แล้วมาแย่งดินแดนเขมรเป็นของตน ซึ่งถ้าจริงอย่างนั้นก็น่าไม่อาย
ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ จัดโครงการอบรมครูประวัติศาสตร์ เรื่อง“การเตรียมพร้อมสำหรับการสอนประวัติศาสตร์ไทยและเอเชียในกระแสการรวมกันเป็นหนึ่งของประชาคมอาเซียน” ต้องช่วยกันอธิบายเรื่องคนไทยและความเป็นไทยในสุวรรณภูมิอุษาคเนย์ให้กระจ่างด้วย
มิฉะนั้น ชายแดนไทยโดยรอบไม่สงบหรอก
ต้องอ่านและตีความทั้งเรื่องครับไม่ควรหยิบแค่บางประโยค ส่วนใหญ่อ สุจิตต์ จะนำเสนอแนวคิดโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเราเหมือนแบบนักปกครองที่เป็นชาตินิยม บางครั้งอาจฟังดูขัดหูไปบ้างในบางประโยค หรือไม่ก็สองแง่สองง่ามหากจะตีความในแง่ร้าย ต้องยอมรับว่าบางครั้งเราก็ถูกแนวคิดแบบประวัติศาสตร์ชาตินิยมมาบังตาจนมองข้ามบางอย่างไป ยกตัวอย่างนะครับ คือหากเรามองว่าในประวัติศาสตรนั้นเขาพระวิหารหรือพวกปราสาทหินและดินแดนในแถบนี้เป็นของชนชาวขอม ซึ่งบางคนรวมทั้งพวกชาตินิยมเขมรจะบอกว่าขอมก็คือชาวกัมพูชาในปัจจุบัน แต่ในมุมของนักวิชาการ ไม่ได้คิดอย่างนั้นเพราะจากหลักฐานทางประวัตืศาสตร์ชาวเขมรหรือแขมร์ ไม่ใช่พวกเดียวกับชาวขอมแน่นอน(ตรงนี้คงต้องให้ไปหาข้อมูลกันเองนะครับ) เพราะจะเห็นได้ว่าข้อขัดแย้งในการแย่งดินแดนโดยใช้ตำราทางประวัติศาสตร์ต่างแนวคิดกัน ฝ่ายเราก็ถือแบบกัมพูชาก็ถือแบบ จึงไม่อาจหาข้อสรุปได้ซักที ผมเคยอ่านตำราของ อ สุจิตต์อยู่บ้าง ซึ่งท่านมักจะแยกแนวคิดแบบชาตินิยมออก(บางทีผมก็โมโหเหมือนกันแต่ก็เข้าใจ) ไม่สนใจเรื่องเขตแดนแบบปัจจุบัน เพราะในอดีตจะว่าไปก็ไม่เคยมีประเทศมาก่อนแผ่นดินไม่ใช่ของชนชาติใดทั้งนั้นแค่มาจับจองและแบ่งกันเอง ลองนึกถึงชาวมอญนะครับเมื่อก่อนเคยยิ่งใหญ่มากในแถบนี้ แต่ปัจจุบันไม่มีแม้แต่แผ่นดินที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศตน ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นเหตุการ์ณในประวัติศาสตร์แต่เรามักสลัดกันไม่หลุดเลยกลายเป็นเรื่องราวที่ส่งผลถึงปัจจุบันอย่างที่เห็น
หวังว่าคงเข้าใจจนะครับ ว่านี่เป็นแนวความคิดทางวิชาการไม่เกี่ยวกับการเมืองหรือข้อขัดแย้งแต่บังเอิญมันวิ่งมาตัดกันเท่านั้นกรณีตามหัวข้อนั้นน่าจะเป็นการหยิบยกเอาบางช่วงบางตอนมาขยายไปมาก สุดท้ายต้องบอกว่าต้องทำใจหน่อยครับหากจะอ่านเรื่องราวที่เป็นแบบวิชาการที่อ้างอิงหลักฐานมากกว่าความเชื่อ
บอกตามตรงแรกที่ผมอ่านเรื่องราวพวกนี้ก็ของขึ้นเหมือนกันแต่หลังๆพอแยกได้
ผมยังไม่ได้อ่านบทความโดยละเอียดนะครับ แต่เคยคุยประเด็นนี้ในบอร์ด iseehistory.com มาบ้างแล้ว
ในบอร์ดนั้น ผมมีข้อสังเกตว่า ท่านอาจารย์ให้คำนิยามของคำว่า ดินแดนไทย อย่างแคบ คือต้องเป็นดินแดนที่เป็นของชนชาติไทยเท่านั้น ดินแดนที่เป็นของชนชาติ่นที่เราได้มาในภายหลัง ไม่นับเป็นดินแดนไทย แต่ท่านจะเรียกว่า เป็นดินแดนของคนอื่นที่เราครอบครองอยู่แทน ซึ่งตรงนี้ ผมไม่เห็นด้วย เนื่องจากไม่ชัดเจนว่า จะถือเอาอะไรเป็นเครื่องชี้วัดความเป็นดินแดนไทย
หากถือเอาหลักของท่านอาจารย์มาใช้ แม้เสียจังหวัดเชียงใหม่ ก็ยังไม่เสียดินแดนไทยเลยด้วยซ้ำ เพราะเชียงใหม่ก็เป็นดินแดนที่ "เรา" ได้มาเช่นกัน (อย่าลืมว่า เชียงใหม่นั้นเดิมเป็นเมืองหลวงของรัฐล้านนามาก่อน) ไหนจะ สุโขทัย นครศรีธรรมราช ลพบุรี ปัตตานี อุลบราชธานี ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ คือเป็นดินแดนที่เคยมีชนชาติอื่นๆครอบครองมาก่อนทั้งสิ้น
ถ้าเป็นอย่างนี้ ดินแดนไทย ก็จะไม่มีอยู่เลย หมายความว่า เสียเท่าไหร่ก็ได้ เพราะยังไงก็ไม่ใช่ของเรา แล้วปัญหาคือ ดินแดนของเราอยู่ที่ไหนกัน?
นอกจากนี้ ถ้าถือแบบนี้ ผมก็ไม่แน่ใจว่า จะมีชาติใดสามารถอ้าง "ดินแดน" ของชนชาติตนได้ อย่างเช่นเชียงใหม่ ที่ยกตัวอย่างไปเมื่อครู่ ก่อนที่ชาวล้านนาจะลงหลักปักฐาน ก็มีชนชาติลั๊ว อาศัยอยู่มาก่อน ก่อนที่ของจะเข้ามามีอิทธิพลเหนือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ก็มีอาณาจักรทวาราวดี อยู่มาก่อน ก่อนที่เราจะได้สุโขทัย ก้เป็นดินแดนขอมมาก่อน ฯลฯ ดินแดนต่างๆก็มีชาติต่างๆ ผลัดกันเข้ามาครอบครองอยู่อย่างนี้ แล้วอย่างนี้ ใครเล่าจะอ้าวสิทธิว่า ตรงนี้เป็นดินแดนของตนได้
ผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับบทความของ อ. ท่านนั้นเท่าใดครับ
เห็นด้วยกับคุณ Naris ครับ ว่านิยามของอาจารย์แคบมากคือเน้นทางรวมชาติแบบยินยอมระหว่างอาณาจักรเท่า นั้น หรือกลุ่มที่มีวัฒนธรรมคล้ายกัน คือวัฒนธรรมลุ่มน้ำภาคกลาง แต่ไม่ยอมรับกลุ่มวัฒนธรรมที่ราบสูงอีสาน กลุ่มทางเหนือ หรือทางใต้ (เมื่อก่อนก็พุทธ แต่หลังจากเจ้าเมืองเปลี่ยนเป้นอิสลามจึงเป็นอิสลาม) ซึ่งแนวคิดนี้อาจจะจริงในยุคนั้นแต่ไม่ควรนำมาเป็นหลักการในยุคนี้ ซึ่งปัจจุบัน ประเทศไทยหาคนเชื้อชาติที่อ้างตามแนวคิดเดิมแทบไม่เหลือแล้วคือกลุ่มคนใน ลุ่มน้ำภาคกลางแบบบริสุทธิ์ เพราะการคมนาคมสดวกกว่าแต่ก่อนมาก คนจากอาณาจักรนอกเหนือจากที่กำหนดใน พ.ศ. 1600 ก็เข้ามาอยู่ในพื้นที่เต็มไปหมด ถ้ากำหนดว่า ไทยคือ คนไท+ลาวที่มาอยู่ในพื้นที่นี้ แล้ว ผมเป็นใครละ ญาติผมเป็นลังกา ฝั่งแม่คือจีน ปู่น่าจะไท ย่ามาจากนอกเขต พ.ศ. 1600 (อีสาน) อย่างนี้ไม่ถือเป็นไทยหรือ ทำไมไม่ยอมรับว่าความเป็นไทยคือตามหลักการเกิดในประเทศไทย ทำไมไม่มองว่าการได้ดินแดนโดยสงครามในสมัยนั้นคือความชอบธรรมแบบหนึ่ง สมัยนั้นเขาก็รบกันตลอดไม่ใช่เราไปตีเขาฝ่ายเดียว แล้วตอนนี้มีคนมาบอกว่าเสียไปเถาะดินแดนไม่ใช่ของเราอยู่แล้วอย่างนี้ยอมรับ ได้หรือ แล้วที่เราเสียให้คนอื่นละเราจะเอาคืนหรือไม่ หรือยอมรับไทยคือ แค่ ภาคกลาง แล้วอย่างนี้ไม่นับในอดีตกว่านั้นไปเลยละว่า จริงๆนั้นไม่มีไทหรอก มีแต่อาณาจักรฟูนัน ทวารวดี เพราะใช้ช่วงเวลาที่ขอมเรืองอำนาจเป็นหลัก แถมเอาช่วงที่เรืองอำนาจมากที่สุดด้วย ทำไมเราไม่นับช่วงเวลาที่ รัฐไทยเรืองอำนาจเป็นหลักบ้างละดังนั้นผมจึงไม่เห็นด้วยที่จะใช้อดีตทาง ประวัติศาสตร์ในช่วงหนึ่ง มากำหนดปัจจุบัน เพราะใครๆก็อ้างช่วงเวลาที่ตนเองได้ประโยชน์มากที่สุด อยู่แล้ว เขมรก็อ้างขอมเรืองอำนาจ พม่าก็สมัยบุเรงนอง จีนไม่ต้องพูดถึงถ้าอ้างขึ้นมาคงถึงมาเลย์
ผมว่าสองท่านด้านบนน่าจะตีความหมายของอาจารย์สุจิตต์ผิดไปนะครับ การศึกษาประวัติศาสตร์กลุ่มชาติพันธ์ในอุษาคเนย์ของท่านอ.ไม่ได้ต้องการที่เสี้ยมหรือแบ่งแยกเชื้อชาติ หรือแบ่งแยกดินแดนว่าต้องเป็นของชนชาติใดใครสมควรเป็นเจ้าของ แต่ต้องการสื่อถึงความเป็นมาของ ชาติพันธ์ ไท-ลาว ในภูมิภาคนี้มาแท้จริงมีความเป็นมาอย่างไร ประเทศไทยในปัจจุบันไม่ได้มีแต่คนไทย ดินแดนแห่งนี้มีหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธ์ และผมเคยฟังท่านอ.สุจิตต์มาบรรยายที่ม.ผมว่าท่านเป็นพวกต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ โดยเฉพาะคนไทยที่ชอบดูถูกชาติอื่นๆที่ด้อยกว่า หรือแม้กระทั่งชนชาติเดียวกัน
ส่วนเรื่องดินแดนถ้าเอาแนวคิดเรื่องกลุ่มชาติพันธ์มาใช้ก็ชิบหาย ประเทศไทยก็เหลือนิดเดียว จะศึกษาประวัติศาสตร์ก็ต้องคิดแบบนักประวัติศาสตร์ คิดแบบนักชาตินิยมไม่ได้
อ่านประวัติศาสตร์หลายๆที่ครับ อย่าอ่านเฉพาะที่เขาให้เราอ่านเราเรียน อ่านและศึกษาประวัติศาสตร์หลายๆประเทศยิ่งดีครับ ในอดีตหากว่ากันตามจริง ไทยก็ไม่ได้มีอำนาจล้นเหนือดินแดนที่เรามักได้เรียนมาครับ แค่ถือสิทธิเหนือแผนดินที่อ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าปกครองได้หมด บางแห่งไทยยึดได้ไม่ว่าจะโดยกำลัง หรือเขายอมเรา ก็ไม่ได้ถือว่านั้นเป็นดินแดนไทยโดยแท้ เขายังปกครองกันเองอยู่ เพียงแต่เขาอยู่ใต้อิทธิพลอำนาจทางทหารไทยเท่านั้น เขาส่งส่วยส่งเบี้ยวัดให้ไทยเท่านั้น หรือบางหัวเมืองส่งทหารร่วมรบตามขอ อย่างหัวเมืองต่างๆ ไม่ใช่เขาไม่มีทหารในสังกัดเขาเอง แล้วไทยส่งคนส่งทหารไปคุมหมด หัวเมืองเหล่านั้นก็มีทหารและเสนาบดีบริหารบ้านเมืองเป็นปกติ แต่อยู่ในสายตาจากไทยเท่านั้น คล้ายรัฐกันชนในปัจจุบัน
เราไม่ควรคลั่งชาติมากไปครับ ประวัติศาสตร์บางข้อ ไม่ได้เป็นแบบที่เราถูกใส่ถูกให้เรียนเสมอครับ และที่สำคุญเราไม่ควรด่าคนอื่นเขาว่าเลว ว่าไม่ดี เพราะเพียงความเห็นจากการศึกษาของเขา ต่างจากส่งที่เราเชื่อและสิ่งที่เราถูกให้เรียนมาครับ
ถ้าเราโคลนนิ่งไดโนเสาร์ได้คงต้องยกดินแดนแถวอีสานคืนให้เค้าอยู่เหมือนเดิม..ขำๆครับ
เห็นด้วยกับคุณ Akula ครับที่ว่าไม่ควรดูถูก ชนชาติอื่น หรือแบ่งดินแดน การดูถูกชนชาติอื่นผมว่าเกิดสมัยสงครามต่อต้านคอมมิวนิสที่ต้องการยกตนว่า เสรีนิยมดีกว่าคอมซึ่งประเทศที่โดนก็ลาว เขมร เวียดนาม อาจต้องใช้เวลาในการลดแนวคิดนี้ซึ่งผมว่าก็ดีกว่าสมัยก่อนมากแล้ว แต่ที่ผมไม่ยอมรับคือคำที่ว่า "ดินแดนของคนอื่น" ซึ่งในประวัติศาสตร์นั้นดินแดนมันไม่อยู่นิ่งสมัยไหนกษัตริย์เข็มแข็งก็ขยาย อำนาจ อ่อนแอก็เสียดินแดน แต่ทำไมเราถึงหยิบประวัติศาสตร์ ช่วงหนึ่งมาแล้วบอกว่าใช่อันนี้ แล้วไม่รับประวัติศาสตร์ก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้น ผมเห็นด้วยกับเรื่องแนวคิดความเห็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่คนอื่นเห็นด้วยหรือไม่ ทางใต้เราอาจมองว่าเขาคือรัฐอิสลาม รวมมาเลย์ อินโด ทางใต้ของไทย ทางใต้ของฟิลิปปิน หรือจีนอาจมองว่าเป็นมองโกลอย์ รวมไทย พม่า ลาว เขมร เวียดนาม ก็ได้ ดังนั้นผมมองว่าปัจจุบันคือของจริงที่เราต้องปกป้อง เรามีดินแดน มีอำนาจอธิบไตย ที่สหประชาชาติให้การยอมรับ มีบางพื้นที่ยังอยู่ระหว่างการต่อรอง บางพื้นที่มีความต้องการแบ่งแยกแต่ก็ทั้งสองฝ่ายก็รักษาผลประโยชน์ของตนเอง โดยอ้างประวัติศาสตร์ช่วงที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองมาต่อรองซึ่งก็เป็นเรื่อง ปรกติ สุดท้ายผลประโยชน์และการเมืองก็จะสรุปตัวเองกว่าใครจะได้พื้นที่นี้ แต่ที่ผมไม่ยอมรับคือ การที่คนในชาติหยิบประวัติศาสตร์มาช่วงหนึ่งแล้วบอกว่า ดินแดนในประเทศตนเองเป็นของคนอื่น แล้วเพิ่มความชอบธรรมให้คนที่ต้องการดินแดนไทย แนวคิดนี้หลายคนอาจมองว่าคลั่งชาติ ผมมองว่ารักชาติ ประวัติศาสตร์ผมมองว่ามีความต่อเนื่อง การหยิบช่วงใดช่วงหนึ่งอ้างถือว่ายอมรับไม่ได้ ยกเว้นจะทำเพื่อผลประโยชน์ของชนชาติตนเองซึ่งใครๆเขาก็ทำ
ผมก็เห็นด้วยในประเด็นที่ว่า เราไม่ควรดูถูกประเทศเพื่อนบ้าน ทุกวันนี้ ถ้าอยู่ในวงสนทนากับเพื่อน แล้วมีใคร ดูถูกกันว่า "แหม ทำแบบนี้ ลาวหวะ" ผมก็จะตำหนิเขาทุกครั้ง และผมเห็นด้วยว่า ปัจจุบัน คงไม่สามารถหา "คนเผ่าไทสายเลือดบริสุทธิ์" ได้อีกแล้ว ผมเองก็ไม่ใช่ (ดีไม่ดี ผมอาจเป็นคนเชื่อสายเขมรก็ได้ เพราะตามประวัติศาสตร์แล้ว หลังพระนเรศวรตีกรุงละแวกแตก พระองค์ทรงกวาดต้องผ่อนครัวชาวเขมรขึ้นไปอยู่หัวเมืองเหนือ สมัยนั้น คือ แถบ พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์นั่น แทนชาวหัวเมืองเหนือเดิม ที่ทรงผ่อนครัวลงไปอยู่อยุธยาหมด เพื่อรับศึกพระเจ้านันทบุเรง)
ผมคิดว่า ประเด็นในเรื่องนี้ อยู่ตรงที่การจำกัดความว่า "ดินแดนไทย" ในมิติที่เราพูดถึงกัน คืออะไรครับ ถ้าจะหมายถึง ดินแดนดั่งเดิมของชาวเผ่าไท ผมมั่นใจว่า หาไม่เจอแล้วครับ ขนาดว่าคนเผ่าไท มาจากไหน ยังถกเถียงกันอยู่เลย ซึ่ง ผมก็เห็นว่า ปัจจุบันนี้ คงไม่มีใครสามารถอ้างถึง ดินแดนดั้งเดิมของชาติพันธุ์ตนได้อีกแล้ว ไม่แต่ชนเผ่าไท เท่านั้น ชนเผ่าขแมร์ หรือมยัมมา หรือมอญ หรือลั๊วะ ก็อ้างไม่ได้แล้วเช่นกัน
เมื่อเราพูดถึง "ดินแดน" ในปัจจุบัน จึงต้องหมายถึง ดินแดนในความครอบครอง ณ ปัจจุบัน ไม่ใช่นำเอาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์วิทยามาจับครับ
อุปมาเหมือน ผมมีที่ดินแปลงหนึ่ง อยู่ติดกับที่ดินของนาย ก ต่อมา ผมซื้อที่ดินมาจากนาย ก. แล้ว ก็ต้องถืว่า ที่ดินทั้ง 2 แปลงนั้น เป็นของผม หากต่อมา นาย ก. ปลูกสร้างาคารลุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผม แม้จะเป็นที่ดินเดิมของนาย ก. ก็ตาม นาย ก. จะอ้างว่า นั่นมันไม่ใช่ที่ "ดินของคุณ" มันเป็นแค่ "ที่ดินที่คุณได้มาจากคนอื่น" ต่างหากไม่ได้ ต้องถือว่า ที่ดินผืนนี้ เดิมจะเป็นของใคร ผมไม่สน แต่เมื่อปัจจุบัน ผมมีสิทธิครอบครองโดยถูกต้องแล้ว คุณเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ต้องถือว่า คุณบุกรุก ผมมีสิทธิที่จะดำเนินการกับคุณตามกฎหมาย
ในทางกลับกัน ผมก็ไม่มีสิทธิที่จะไปบุกรุกที่ดินของใครเช่นกัน แม้ว่า ที่ตรงนั้น เดิมมันจะเคยเป็นของผมมาก่อนก็ตาม
ผมเห็นด้วย กับการที่ชาติอาเซียน ควรปรองดองกัน แต่การปรองดองกัน ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรับรุ้ในสิทธิของแต่ละฝ่าย แล้วยอมรับ และเคารพในสิทธิของเขา ถ้าแม้แต่ "ดินแดน" ของเขามีอยู่แค่ไหน ยังไม่ยอมรับ จะอยู่เป็นสุขกันได้อย่างไร
เห็นด้วยกับคุณ naris ผมไม่เห็นว่า จะมีใครดูถูกชาตฺอื่นๆเลย ตัดประเด็นนี้ทิ้งไปได้เลยครับ ส่วนเรื่องดินแดนเราไม่สามารถบอกได้หรอกครับว่าที่นี้เคยเป็นดินแดนของใคร หรือชาติใดมาก่อนถ้าจะเอาประวัติศาสตร์มาเป็นตัวชี้วัดก็ยิ่งไม่มีทางหาเจ้าของที่แท้จริงได้ เพราะก่อนชาติขอมหรือชาติอื่นๆ จะมาตั้งถิ่นฐานก็ต้องมีกลุ่มคนอื่นอยู่มาก่อนแน่ๆ ที่ชัดๆคือไดโนเสาร์ ก่อนไดโนเสาร์อีกละ อาจย้อนไปถึงกำเนิดโลกก็ว่าได้
ดังนั้นเราจึงควรมองแต่ปัจจุบันที่มีการแบ่งเขตแดนชัดเจนว่าดินแดนตรงนี้เป็นของใคร ใครบุกรุกใครแย่งชิง เพราะกว่าจะได้ดินแดนมาบรรพบุรษ แลกมาด้วยเลือด ไม่ใช่โต๊ะเจรจา
มาเห็นด้วยกับแนวคิดของคุณ Naris อีกเสียงครับ
กฏของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติครับ ผุ้ที่อ่อนแอกว่าจะถูกคัดออกโดยผู้ที่พร้อมกว่าและเข้มแข็งกว่าครับ
ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
พิมพ์จนเมื่อยมือพอกดส่งหายซะงั้น เวรจริงๆ
นี่เป็น “โศกนาฏกรรมระดับชาติ” ในยุคสมัยที่เราน่าจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า เพื่อคนรุ่นใหม่ ไปให้พ้น “อดีตเก่าๆ” ที่ “ล้าหลังและคลุ้มคลั่ง” ไปให้พ้น “ปวศ.บกพร่อง” - “ปวศ.บาดแผล” เดินไปข้างหน้า ตั้งฝันไปให้ไกล ไปให้ถึง “โลกาภิวัตน์-โลกไร้พรมแดน-และประชาคมอาเซียน”
เราไม่เพียงจะต้อง “ปฏิรูป-ปรองดอง-สมานฉันท์-รักสามัคคี” กันกับผู้คนในชาติบ้านเมืองของเราเท่านั้น แต่ยังต้อง “ปฏิรูป-ปรองดอง-สมานฉันท์-รักสามัคคี”กับเพื่อนร่วมภูมิภาค และมนุษยชาติร่วมโลกอีกด้วย
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
..............................................................................................................................................................................................
ลองอ่านแล้ววิเคราะห์ดีๆครับ บทสรุปของเนื้อหาต้องการสื่อถึงอะไร ไม่ใช่อ่านแค่พาดหัวแล้วทึกทักกันไปเอง
อ่า...ผมเอาบทความมาผิดบทความนี้สินะที่มีปัญหา
>[url=https://www.facebook.com/photo.php?fbid=272512566175153&set=a.104937836265961.8603.100002492350802&type=1&theater]"คลิกที่นี่"[/url]
ถ้าเราพักเรื่องประวัติศาสตร์ไว้อีกประเด็นแล้วมองตรงกรณีพิพาทเรื่องดินแดน ฝั่งนู้นจะเอาขออ้างของนักวิชาการท่านนี้มาเป็นขออ้างการถือครองสิทธิ์ได้มัยครับ การที่มายกเรื่องประวัติศาสตรืช่วงเวลานี้ผมว่ามันไม่ควรป่าว (ผมก็อีกคนที่ไม่เคยคิดดูถูกประเทศเพื่อนบ้านครับ แต่เกรงเรื่องนี้มากกว่า)