(ภาพจำลองลิฟท์เชื่อมโลกและอวกาศ)
MThai News : สำนักข่าวต่าง ประเทศรายงานว่า กลุ่มวิศวกรชาวญี่ปุ่นเตรียมสร้างลิฟท์ขนาดใหญ่ที่บรรจุคนได้มาก กว่า 30 คน ให้คนทั่วไปได้ทะยานสู่อวกาศ เป็นระยะทางกว่า 22,000 ไมล์ ในอีก 40 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ จะมีสถานีอวกาศบนโลกและให้ลิฟท์เป็นตัวเชื่อมไปสู่สถานีอวกาศอีกแห่งหนึ่ง นอกโลก คนที่จะขึ้นไปจะฝึกการอยู่บนอวกาศแบบง่ายๆ ก่อนจะได้ชื่นชมความสวยงามนอกโลก ซึ่งลิฟท์จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วถึง 120 ไมล์ต่อชั่วโมง (192 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ด้วยความเร็วดังกล่าวในเวลาหนึ่งสัปดาห์ ลิฟต์จะพานักท่องเที่ยวเดินทางไปได้ราว 1 ใน 4 ของระยะทางจากโลกไปสู่ดวงจันทร์
นอกจากนี้ ยังมีแผนอนุญาตให้เหล่านักวิทยาศาสตร์เดินทางต่อไปจากสถานีอวกาศผ่านทาง สายพานคาร์บอนไฟเบอร์ที่ใช้ยึดดาวเทียมดวงหนึ่งที่อยู่บนอวกาศกับโลกของเรา ที่อยู่เบื้องล่าง คาดกันว่ามูลค่าของโครงการนี้น่าจะอยู่ที่ 6 พันล้านปอนด์ (ราว 3 แสนล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการกำหนดความชัดเจนในโครงการ ว่าจะสร้างลิฟท์ไว้ที่ใด แต่มีแนวคิดที่จะใช้แท่นแห่งหนึ่งนอกชายฝั่งเอกวาดอร์เป็นสถานีบนโลก เพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรและอยู่ใกล้อวกาศมากที่สุด
Photo :: AP , EPA
Mthai News
ถ้าเป็นเหมือนดังรูป คิดจะใช้เงินลงทุน 6,000 ล้านปอนด์ ผมเห็นแล้วขำ-ถ้าจะทำดังรูป มันต้องระดมเงินทุนจากทั่วทุกมุมโลก และ วิทยาการต้องก้าวล้ำสุดๆ+ระดมนักวิทยาศาสตร์ทั่วทุกมุมโลก มาช่วยกันคิดค้น
ยอมรับ...จินตนาการความคิดของมนุษย์คนเรา มันห้ามกันไม่ได้ แต่ถ้าญี่ปุ่นจะทำ ผมว่า อีกนาน...
สะพานระหว่างดาวเทียมกะโลก มันยังอยู่ในจินตนาการอยู่ จะสร้างขึ้นจริง คงยากมากและอีกนาน หนังสตาวอร์ ผ่านมากี่ปีแล้ว วิทยาการของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ยังไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของมันเลย
ผมว่า เอาคน ขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ โดยการสร้างอาณานิคมบนดวงจันทร์ ยังจะง่ายกว่า แล้วทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีมนุษย์ขึ้นไปอาศัยอยู่บนดวงจันทร์เลย
หลักการง่ายๆ เมื่อเราดำน้ำลงไปลึกๆ เราจะโดน"แรงบีบอัด" แม้แต่เรือดำน้ำ ยังมีจำกัดของการดำน้ำลึก เคยมีการทดสอบเอาถังน้ำมันเปล่าใหญ่ๆ ทิ้งลงไปในก้นทะเลลึกๆ พอเอาขึ้นมา โดนบีบอัดเหลือเท่าถังใบเล็กๆ
และ การจะออกไปนอกโลก หรือ ขึ้นสู่ที่สูงๆ เราจะโดนแรงขยาย-ฉีกออก ถ้าเป็นร่างกายมนุษย์ ก็จะถูกฉีกออกแทบจะเป็นชิ้นๆ ขนาดเราขึ้นลิปตึกสูงๆ ยังต้องขึ้นไปแล้วหยุดพัก-ไม่ได้ขึ้นไปพรวดเดียว อย่างตึกใบหยกอย่างนี้ เพื่อให้ร่างกายมนุษย์ปรับตัวทัน
นี่แค่ตึกบนโลก แล้วถ้าระดับความสูง 30,000 ฟุต ที่ระดับเครื่องบินโดยสารเดินทางหละ ถ้าจำไม่ผิด นี่ยังเป็นแค่ความสูงชั้นแรก ของชั้นบรรยากาศโลก ยังมีอีกหลายชั้น-กว่าจะออกนอกโลก
วิทยาการมนุษย์ ยังอีกยาวไกล แล้วของญี่ปุ่นไปถึงแค่ไหนกัน ขนาดนาซ่า NASA ยังทำไม่ได้เลย
ปล.ประเทศญี่ปุ่น-เป็นประเทศที่มีหนี้สารณะมากที่สุดในโลก ประมาณ 212 เปอร์เซ็น ของจีดีพี GDP
มวลของเส้นเชือก หรือ เคเบิล คงมหาศาลน่าดู ไม่นับวัสดุอื่นๆ และแค่ดาวเทียมที่ลอยอยู่ในอวกาศ ไร้สิ่งยึดเกาะ จะดึงเชือกอยู่เหรอ ต่อให้ ระยะทางครึ่งหนึ่งของเชือกจะเป็นสภาพไร้น้ำหนักก็เถอะ
น่าจะเป็นแค่แนวคิดครับหากจะทำจริงๆรูปแบบน่าจะแตกต่างจากนี้พอสมควร แล้วอย่างที่ทราบญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีจิตนาการก้าวไกลมาก หลายอย่างก็เกินไปหน่อยแต่ว่ากันไม่ได้นะครับเพราะไอ้จินตนาการนี่หละทำให้เราเห็นไอ้โฟน ไอ้ แพดเต็มบ้านเต็มเมืองกันตอนนี้
ผม ว่ามันชักจะเหมือนใน การ์ตูน gundam OO แล้วละสิ
สาวก Gundam ได้เฮกันไปครับ เดี๋ยวสักพักก็มี องค์กรติดอาวุธเอกชน เซเลสเชียลบีอิง ออกมาทำให้โลกปราศจากสงคราม หุหุ เหล่าโอตาคุ คงเข้าใจที่ผมพูดดี 555 รู้กันเฉพาะ ชาว Gundam
ภาพจากการ์ตูน Gundam OO
space elevator มีความคิดสร้างมานานแล้ว ปัญหาสำคัญคือหาวัสดุที่แข็งแรงพอที่จะแบกรับโหลดและนน.ของตัวมันเองได้โดยที่ไม่สูญเสียความยืดหยุ่นและความแข็งของโครงสร้างของตัวเอง หลักการของSEนั้นคือการใช้น้ำหนักถ่วงไว้ด้านหนึ่งเพื่อให้เคเบิลตึง นั่นคือหลักการแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ ปัญหาด้านเคเบิลนั้นเกือบจะแก้ได้แล้วโดยใช้คาร์บอนนาโนทิวบ์ซึ่งแข็งแรงกว่าคาร์บอนไฟเบอร์ เหลือเพียงแต่ว่าจะผลิตจำนวนมากอย่างไร และอีกปัญหาใหญ่มากอีกอย่างหนึ่งคือ การสร้างลิฟท์ที่สามารถเคลื่อนที่ขึ้นไปบนอวกาศ ปัญหานั้นคือจะสร้างลิฟท์อย่างไรให้สามารถรับนน.ของสิ่งของที่จะขนไปในที่สูงขนาดนั้นได้เพราะหลักการของลิฟท์ที่ใช้บนอวกาศนั้นจะต้องคำนวณการเคลื่อนที่ในแต่ละนิ้วให้สัมพันธ์กับการหมุนรอบตัวเองของโลกมิฉะนั้นเคเบิลจะเหวี่ยงตัวออก ที่สำคัญคือการเคลื่อนที่ที่ยิ่งสูงจะยิ่งกินพลังงานมากขึ้น จึงมีปัญหาที่ระบบขับเคลื่อนที่ไม่สามารถใช้ระบบสายในการป้อนพลังงานได้ เพราะสายจะทำให้นน.ที่ลิฟท์ต้องแบกนั้นมากขึ้น จะนำเอาไปไว้ที่ตัวเคเบิลก็ไม่ได้ เพราะจะเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเคเบิลเช่นกัน และปัจจุบันการใช้การส่งพลังงานแบบไร้สายยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ
สถิติลิฟท์ไต่เคเบิลในการชิงรางวัลelevator:2010 (คล้ายๆกับx-prize ที่ยานของบ.เวอร์จินกาแล็คติคชนะไปนั่นแหละ) คือ 16km/h ที่โหลด4.8kg ไปที่ความสูงเกือบๆ1กม. ในส่วนของเคเบิลนั้น ค่าความทนต่อความเครียดยังไม่มีใครทำสถิติได้เกิน1600kg/m จากที่ต้องการอย่างน้อย1แสน
ในแบบของกันดั้มเซ็ตสึนะเ้อยดับเบิ้ลโอนั้น เรียกว่าspace tower ผสม space eleveator
โดยส่วนตัวแนวคิดspace elevator นั้น ยังคงเป็นแค่ความฝัน จนกว่าใครสักคนจะคิดค้นเทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ใหม่ๆที่พลิกโลกได้รวมถึงเทคโนโลยีที่สามารถส่งพลังงานไร้สายไปได้ไกลๆ รวมถึงปัญหาที่ไม่ใช่ฟิสกิส์อีกเช่น ใครจะออกเงิน? ใครจะให้พื้นที่ในการสร้าง? ความปลอดภัยต่อการก่อการร้าย? และอื่นๆ
เพราะฉะนั้น มั่นใจว่าบ.ญี่ปุ่นคงจะดูกันดั้มไม่ก็อ่านนิยายของอาร์เธอร์ ซี คลาร์กมากไปแน่ๆ
ส่วนตัว(คอ Gundam) คิดว่าในอนาคตมันจะต้องเกิดอยู่แล้วอะครับ โครงการประเภทนี้ เพราะเมื่อมนุษย์เราจะก้าวข้ามขอบเขตของโลกไป เช่น การส่งจรวด ส่งกระสวยอวกาศ มันมีข้อจำกัดมากเกินไป ทั้งต้นทุน และพวกผลกระทบที่มีต่อการนำส่ง ลงจอด การแก้ไขปัญหาเหล่านี้แก้ได้โดยโครงการประเภทนี้แหละครับ แต่ไงๆมันก็ไม่น่าจะทำได้ในปี 2050 หลอก
เอออ เหมือนในกาตูน เข้าไปทุกทีแหะ แต่คงอีกนานกว่าจะทำสำเร็จ
แวะเข้ามาเพราะกันดั้มเลยนะครับเนี่ย
55+ กันดั้มกันใหญ่ ผมก็กันดั้มครับ แต่กันดั้มวิงนะครับ จินตนาการคือบ่อเกิดแห่งสิ่งประดิษฐ์ ก็เพราะกลุ่มคนที่ถูกกล่าวหาว่าบ้าบ้าง พ่อมด แม่มด หรือแม้แต่ถูกประจาน ต่างๆนา ก็เพราะพวกเขาเหล่านี้ล่ะเราถึงมีเทคโนโลยีใช้กันทุกวันนี้