หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


เยี่ยมฐานจรวด S-75 ฮานอย สอย บี-52 ร่วงกว่าโหล

โดยคุณ : kaypui42 เมื่อวันที่ : 21/03/2012 01:00:45


ภาพ จาก reflectionsofthemekong.blogspot.com ซากเครื่องบิน บี-52 ของสหรัฐฯ ที่ถูกยิงตกด้วยขีปนาวุธ S-75 "ดาวินา" หรือ SA-2 ยังกองพะเนินอยู่ในสภาพเดิมๆ มาตั้งแต่ปี 2515 ในจุดที่ถูกยิงตกลงมาที่บึงน้ำแห่งหนึ่งในย่านใจกลางกรุงฮานอย เครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ขนาดมหึมาเป็นสิ่งที่กองทัพสหรัฐฯ ภาคภูมิใจ แต่อาจจะไม่เคยคาดคิดว่าจะมีอาวุธชนิดใดยิงให้ร่วงลงได้ในยุคสมัยเดียวกัน บี-52 ถูกยิงตก 15 ลำในสงครามเวียดนาม ยังไม่นับรวมเครื่องบินรบรุ่นอื่นๆ อีกหลายร้อยลำ "แซม-2" ของสหภาพโซเวียตมีส่วนสำคัญไม่มากก็น้อย ทำให้ ดร.เฮ็นรี คิสซิงเจอร์ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ต้องชวนฝ่ายเวียดนามกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาที่กรุงปารีสอีกครั้งในปี 2516 และนำมาซึ่งการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากเวียดนามอย่างเป็นขั้นเป็นตอน.
       
ASTVผู้จัดการออนไลน์ – กรมป้องกันทางอากาศ 218 กรุงฮานอยได้เชิญสื่อเข้าเยี่ยมชมเนื่องในโอกาสเทศกาลขึ้นปีใหม่ประเพณีที่ เพิ่งจะผ่านมา ซึ่งเปิดเผยให้เห็นเขี้ยวเล็บสำคัญของกองทัพอากาศประชาชนเวียดนามในการ ป้องกันประเทศ เช่นเดียวกับเมื่อครั้งสงคราม
       
       สหรัฐฯ อาจจะประเมินผิดไม่คาดคิดมาก่อนว่าเวียดนามมีอาวุธประสิทธิภาพสูงที่สามารถ ยิงถึงเครื่องบินบี-52 (B-52) ซึ่งบินในความสูง 3-6 หมื่นฟุตในขณะปฏิบัติการ และทำให้สหรัฐฯ สูญเสียเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ที่ภาคภูมิใจไปกว่า 10 ลำ และ รูปโฉมของสงครามได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
       
       เครื่องบินทิ้งระเบิดยักษ์ทั้งหมดถูกยิงด้วยขีปนาวุธต่อสู้อากาศยาน แบบพื้นสู่อากาศ S-75 "ดาวินา" (Dvina) หรือ "หอก" (Spear) อันเป็นฉายาที่กลุ่มนาโต้ตั้งให้ในทศวรรษถัดมา
       
       แต่เพื่อให้ง่ายขึ้นฝ่ายกลาโหมของนาโต้เรียกขีปนาวุธพิสัยใกล้ตัวนี้ ว่า SA-2 หรือ SAM-2 ซึ่งได้กลายเป็นระบบอาวุธที่เปลี่ยนรูปโฉมของสงครามทางอากาศ และ ปัจจุบันถูกพัฒนาขึ้นใหม่ให้เป็นระบบอาวุธอีกยุคหนึ่งที่ประสิทธิภาพสูงกว่า ยุคแรกๆ
       
       กล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า S-75 ยุคโน้นช่วยให้เมืองหลวงของเวียดนามเหนือในอดีตรอดพ้นจากถูกทิ้งระเบิดจนราบ เป็นหน้ากลอง ตามความตั้งใจของฝ่ายสหรัฐฯ สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนามกล่าว
       
       ในช่วง 20 ปีของสงครามเวียดนามระหว่างปี 2508-2518 สหรัฐฯ สูญเสียเครื่องบินรบแบบต่างๆ หลายร้อยลำ ในนั้นนับร้อยลำเป็นผลงานของบรรดาเสืออากาศกับเครื่องมิก-19 และ มิก-21 แต่ส่วนใหญ่เป็นผลงานของระบบจรวดต่อสู้อากาศยานที่ผลิตในสหภาพโซเวียต ในนั้น 320 ลำถูกยิงตกใกล้กับเมืองหลวง อันเป็นผลงานของกรม 218 ในสังกัดกองพลป้องกันทางอากาศ 361
       
       ตามตัวเลขของฝ่ายเวียดนาม มีเครื่องบิน บี-52 หรือ "ป้อมบิน- สตราโตฟอร์เทรส" (Stratofortress) ถูกยิงตกทั้งหมด 15 ลำ ในนั้น 12 ลำ ตกใกล้กรุงฮานอยขณะปฏิบัติการทิ้งระเบิด รวมทั้ง 1 ลำที่ถูกยิงตกลงในบึงหือว์เตียบ (Hữu Tiệp) กลางเมืองหลวง ซึ่งยังคงรักษาไว้ในสภาพเดิมและจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขึ้นที่นั่น มาจนทุกวันนี้
       
       สงครามเวียดนามเป็นเวทีสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ กับโลกตะวันตกได้ตระหนักเป็นครั้งแรกว่า ไม่สามารถดูแคลนขีดความสามารถระบบขีปนาวุธป้องกันและโจมตีของค่ายโซเวียต ได้อีกต่อไป
       
        "หอก" พิทักษ์ฮานอย Báo Đất Việt
       
จู่ๆ ในช่วงเทศกาลตรุษที่ผ่านมากองพลป้องกันทางอากาศก็ได้เปิดกรม 218 ต้อนรับผู้สื่อข่าว ซึ่งโอกาสแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เวียดนามได้อวดโฉมระบบป้องกันทางอากาศของเมืองหลวง รวมทั้งจรวดต่อสู้อากาศยาน S-75 "ดาวินา" (Dvina) ที่เคยให้บทเรียนเจ็บแสบแก่กองทัพสหรัฐฯ ในยุคสมัยนั้น Sa-2 ตัวนี้เป็นอาวุธเพียงชนิดเดียวที่สามารถยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ ขนาดยักษ์ของสหรัฐฯ ให้ร่วงลงได้จากความสูงตั้งแต่ 30,000-60,000 ฟุต ในช่วงสงครามมีบี-52 ถูกยิงตกถึง 15 ลำ รวมทั้ง 1 ลำที่ถูกยิงตกลงในบึงน้ำใจกลางกรุงฮานอยปี 2515 จรวด S-75 มีส่วนสำคัญทำให้สงครามจบเร็วขึ้น นำมาสู่ชัยชนะของฝ่ายเวียดนามเหนือและการรวมประเทศเข้าด้วยกันในวันนี้.


       2

       3

       4

       5
       ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวกลาโหมออสเตรเลีย ในช่วงทศวรรษที่ 1960 กองทัพประชาชนจีนได้ “โคลน” ระบบ S-75 ของโซเวียตไป และ พัฒนาขึ้นใหม่เป็นของตัวเองเรียกว่า SNR-75 “Fan Song” พร้อมทั้งพัฒนาระบบเรดาร์ให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งกว่าเดิม
       
       กองทัพระชาชนจีนยังใช้ SNR-75 “Fan Song” มาจนถึงปัจจุบันพร้อมปรับปรนุงใหม่ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน “ดาวินา” ยังใช้ประจำการในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในยุโรปตะวันออก แคริบบเบียน อเมริกาใต้ ตะวันออกกลางและในแอฟริกา ถึงแม้ว่าปัจจุบันกองทัพรัสเซียจะ แทนที่ S-75 ด้วย SA10/20 ที่ใหม่กว่าทันสมัยกว่าแล้วก็ตาม
       
       ตามข้อมูลของโลกตะวันตก เวียดนามครอบครองขีปนาวุธ S-75 ทั้งรุ่นใหม่และเก่าอย่างน้อย 360 ลูก
       
       ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดิ๊ตเหวียด (Báo Đất Việt) ปัจจุบัน "ดาวินา" ของกองทัพประชาชนเวียดนาม ได้พัฒนาเป็นระบบป้องกันทางอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง โดยปฏิบัติการร่วมกับระบบเรดาร์ที่มีความสามารถสูง และเชื่อมโยงเข้าเป็นข่ายเดียวกันกับระบบป้องกัน S-300PMU1 อันใหญ่โต
       
       ระบบ S-300PMU1 ได้รับการยอมรับว่าดีทีสุดระบบหนึ่งในโลกปัจจุบัน มีความสามารถสูง สามารถจับเป้าหมายเคลื่อนที่ได้ไกลกว่า 200 กม. จับเป้าหมายเคลื่อนที่ต่ำเหนือพื้นดินหรือผืนน้ำในระดับ 5 เมตรได้อีกด้วย
       
       นั่นก็คือระดับที่จรวดร่อนโทมาฮอว์คของสหรัฐฯ สามารถร่อนเพื่อหลบเลี่ยงเรดาร์ ไปยังเป้าหมายเพื่อทำลาย
       
       กลางปี 2554 ขณะที่ความตึงเครียดกับจีนพุ่งขึ้นสูง กองทัพเวียดนามได้เชิญสื่อเข้าเยี่ยมชมระบบป้องกัน S-30PMU1 หน่วยหนึ่ง ซึ่งไม่เปิดเผยแหล่งที่ตั้ง นัยว่าเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับสังคมในการป้องกันประเทศ
       
       การเปิดหน่วยป้องกันทางอากาศกรุงฮานอยให้ชมในช่วงตรุษที่ผ่านมา เป็นการยืนยันในความพร้อมรบ เพื่อให้เป็นหลักประกันว่า "ประชาชนพร้อม อาวุธและกระสุนพร้อม" สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนามกล่าว.
       
        เปลี่ยนโฉมศึกจ้าวเวหา
       
ภาพ จากบึงหือว์เตียบ (Hữu Tiệp) สระน้ำขนาดใหญ่กลางเมืองหลวงของเวียดนาม เป็นภาพเตือนใจโลกตะวันตกให้ตระหนักว่าจะประมาทอาวุธต่อสู้อากาศยานของสหภาพ โซเวียตไม่ได้อีก จรวด S-75 หรือ SA-2 ได้ทำให้รูปโฉมของสงครามทางอากาศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นำมาสู่การประดิษฐ์คิดค้นทำอาวุธต่อต้านจรวดต่อสู้อากาศยาน การใช้เทคโนโลยี "ล่องหน" หรือ สเตลธ์ สร้างเครื่องบินรบรุ่นใหม่เพื่อไม่ตกเป็นเป้าหมายถูกโจมตี การประดิษฐ์ระบบต่อต้านเรดาร์และพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีความเร็วในระดับไฮ เปอร์โซนิค เพื่อหนีให้พ้นเมื่อถูกโจมตีด้วยจรวดต่อสู้อากาศยาน แต่ "ดาวินา" ก็ยังคงประจำการอยู่ในหลายประเทศและพัฒนาไม่หยุดยั้งเช่นกัน.


       6

       7

       8

       9

       10

       11

       12

http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015471





ความคิดเห็นที่ 1


ผมสงสัยอย่างหนึ่งที่มันยิง B52 ตก คือสมมุติว่า B52 บนที่ความสุง 60000 ฟุต เวียดนามก็ยิง Sam ตัวนี้ขึ้นไปแบบว่าขึ้นไปแบบทางตรงแล้วไปชน ใต้ท้องเครื่องบินจากนั้นจึงระเิบิดใส่เครื่องบิน B52 ทำให้บี B52 ร่วงใช้เปล่าครับ เพราะลำพังให้ Sam ตัวนี้ใต่ระดับไปจนถึงระดับที B52 บินอยู่ ก็คงจะหมดเชื้อเพลิงแล้วครับ หรือว่าพอขึ้นไปจนถึงระดับ แล้วจึง บินไล่ตาม B52  ผมสงสัยสองอย่างนี่แหละครับ ว่ายิงดักหน้า แล้วพุ่งขึ้นไปแบบทางตรง ชนใต้ท้องเครื่องบิน B52 หรือยิงขึ้นไปแล้วบินไล่ตามเครื่องบิน B52 แล้วชนท้ายเครื่องบินแล้วจึงระเบิด

โดยคุณ securitytot เมื่อวันที่ 03/02/2012 10:40:26


ความคิดเห็นที่ 2


sam  ไต่ ระดับ 60000 ฟุต ....ว้าว

โดยคุณ arcobaleno เมื่อวันที่ 20/03/2012 14:00:45