กลาโหมเตรียมเปิดรับนักเรียนจบ ม.6 โดยตรง 30% เข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยสามเหล่าทัพไม่ต้องผ่าน “เตรียมทหาร” เผยมีอาคาร สถานที่ งบประมาณพร้อมผลิตบัณฑิตสาขาอื่น
คณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะที่8)ตอบข้อหารือของกระทรวงกลาโหม(เรื่องเสร็จที่ 74/2555)ต้องการจะให้โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ รับบุคคลพลเรือนที่มีคุณวุฒิการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยตรงประมาณร้อยละ 30 ไม่ผ่านโรงเรียนเตรียมทหารว่า มีอำนาจทำได้โดยสภาการศึกษาวิชาการทหารมีอำนาจหน้าที่กำหนดพื้นความรู้ คุณสมบัติ และหลักเกณฑ์การเข้าเป็นนักเรียนทหาร ดังนั้น สภาการศึกษาวิชาการทหารจึงสามารถกำหนดให้บุคคลพลเรือนผู้มีคุณสมบัติสำเร็จ การศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้าเป็นนักเรียนทหารได้
อย่างไรก็ตาม การรับบุคคลเข้าเรียนในสาขา วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และศิลปะศาสตร์นั้น ถ้ามิได้เรียนวิชาทหารตามที่กำหนดนั้นไว้ก็ไม่สามารถอนุมัติให้ปริญญาแก่ บุคคลพลเรือนที่ไม่ได้ผ่านการศึกษาวิชาการทหารดังกล่าวได้
ทั้งนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอแนะว่า แม้ว่าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ จะมีหลักสูตรการศึกษาที่เทียบได้กับการจัดการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา การจัดการศึกษาจะต้องคำนึงถึงมาตรฐานโดยทั่วไปของคณะกรรมการการอุดมศึกษา และมีการอนุมัติให้ปริญญาแก่ผู้สำเร็จวิชาการทหาร
แต่เมื่อพิจารณาระบบโครงสร้างการบริหารจัดการของโรงเรียนทั้งสามแล้ว จะเห็นได้ว่า สถาบันการศึกษาเหล่านี้มีวัตถุประสงค์และการบริหารจัดการที่มีลักษณะพิเศษ แตกต่างจากการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาโดยทั่วไป กล่าวคือ โครงสร้างการบริหารจัดการของโรงเรียนเหล่านี้ยังเป็นสถาบันการศึกษาที่ไม่มี ฐานะเป็นนิติบุคคล ขาดความเป็นอิสระในการบริหารจัดการทางวิชาการ การกำหนดระเบียบโครงสร้างการบริหารจัดการทางวิชาการภายในสถาบันการศึกษาไม่ มีความชัดเจนตามรูปแบบของสถาบันอุดมศึกษา รวมทั้งการใช้เกณฑ์มาตรฐานทางวิชาการและการประเมินคุณภาพทางการศึกษาใน ลักษณะสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางซึ่งต่างจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วไปตามหลัก เกณฑ์ที่คณะกรรมการ
การอุดมศึกษากำหนด
ดังนั้น หากกระทรวงกลาโหมมีความประสงค์จะจัดการศึกษาแก่บุคคลพลเรือนเช่นเดียวกับ สถาบันอุดมศึกษาโดยทั่วไป จะต้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.กำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร พ.ศ. 2497 เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาและอนุมัติปริญญาสำหรับหลักสูตรการ ศึกษาทั่วไปและกำหนดโครงสร้างการบริหารจัดการทางวิชาการให้สอดคล้องกับ มาตรฐานสถาบันอุดมศึกษาที่คณะกรรมการการอุดมศึกษากำหนดเสียก่อน
แหล่งข่าวจากกระทรวงกลาโหมกล่าว่า กระทรวงกลาโหมต้องการให้โรงเรียนนายร้อยเหล่านี้เปิดรับนักเรียนที่จบ ม.6 เร็วที่สุด แต่ดูจากระยะเวลาแล้ว อย่างเร็วที่สุดคงเป็นปีการศึกษา 2556 หรือช้ากว่านั้น
สำหรับรายละเอียดข้อหารือของกระทรวงกลาโหมนั้น มีรายละเอียดดังนี้ หากสภาการศึกษาวิชาการทหารอนุมัติให้โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ รับบุคคลพลเรือนซึ่งมีคุณวุฒิการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 โดยจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรที่ได้รับอนุมัติ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามศักยภาพ ความพร้อม และประศาสน์ปริญญาตามศักดิ์และสิทธิแห่งพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้ สำเร็จวิชาการทหาร พ.ศ. 2497 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จะต้องดำเนินการอย่างไร และแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เพียงใด
สำหรับการรับบุคคลเข้าศึกษาในโรงเรียนทั้งสามแห่งในปัจจุบัน มีการรับเฉพาะผู้ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารเท่านั้น แต่ปัจจุบันโรงเรียนเตรียมทหารมีการรับบุคคลเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารน้อย ลง ทำให้มีนักเรียนเตรียมทหารเข้าศึกษาในโรงเรียนเหล่าทัพน้อยลงไม่สอดคล้องกับ ความพร้อมของโรงเรียนเหล่านี้ ที่มีทั้งด้านอาคาร สถานที่ และบุคลากร
ดังนั้น เพื่อให้มีการกระจายโอกาสทางการศึกษา สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือน และมีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า จึงมีความประสงค์จะรับบุคคลพลเรือนที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 เข้าศึกษาในโรงเรียนเหล่านี้ โดยกำหนดสัดส่วนการรับนักเรียนที่เป็นพลเรือนประมาณร้อยละ30 และเปิดสอนสาขาวิชาที่มีความพร้อม ได้แก่ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และศิลปศาสตร์
ความคิดของผมที่บอกว่า"มีการรับเฉพาะผู้ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารเท่านั้น แต่ปัจจุบันโรงเรียนเตรียมทหารมีการรับบุคคลเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารน้อย ลง" ผมเคยได้ยินว่า แต่ล่ะปีเหล่าไหนต้องการคนเท่าไร ก็จะส่งจำนวนมา ซึ่งแต่ละปีก็จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนสัญญาบัตรที่จะว่างในอนาคต
ส่วนตัวคิดว่ามันจะเกิดช่องว่างรึเปล่า ระหว่างที่จบจาก เตรียมทหารจริง ๆ กับ พลเรือนที่พึ่งเข้า ไหนจะเรื่องบุคลิกภาพอีก เพราะว่าจบจาก นตท. มา แน่นอนร่างกายฟิตอยู่แล้ว แล้วเรื่องมารยาททหารก็เป๊ะอยู่แล้ว เพราะว่าอยู่เตรียมทหารมา 3 ปี แต่พลเรือนนี้ซิ ถึงจะบอกว่าเรียน รด. ก็เถอะ คงจะเทียบกันไม่ได้เลย
ที่มา http://www.prasong.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2/6-7/
อ่านแล้วงงอะครับ หมายถึงหลักสูตรพลเรือน โดยใช้สถานที่ของกองทัพใช่ไหมครับ แต่ไม่ใช่ทหารจบไปสามารถสมัครทหารได้แบบวุฒิมหาลัยแต่ไม่ใช่หน่วยรบ หรือปล่าว
ใจจริงอยากให้มีโรงเรียนยุวชนทหารมากกว่า ประมาณเป็นสวัสดิการทหาร ให้ ม1 ลูกหลานทหารเข้าเรียน(คนนอกก็เข้าได้) หลักสูตรตามกระทรวงศึกษาแต่เพิ่มวิชาการทหารเพื่อเตรียมเข้าโรงเรียนนายร้อย ส่วนคนที่ไม่ต้องการเป็นทหารก็มีหลักสูตรสายวิชาการและอาชีพรองรับจนถึงม6 เพื่อสอบเข้ามหาลัยรัฐต่อไป
ตอนเป็นจะใหญ่ ถ้าไม่ผ่านเตรียมทหารมา..ใหญ่อยาก
เหมือน ผตช.คนปัจุบัน ถูกเชิญไปงานรร.เตรียม..
ไม่ค่อยได้คุยกับใคร เพราะไม่มีรุ่น
จริงๆผมว่า ให้โรงเรียนทหารตำรวจสัญญาบัติทั้ง๙ แห่ง ได้แก่ ๔ รร.นายร้อย ๔ สถาบันพยาบาล ๑ สถาบันแพทย์ รวมเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกันเลย......................... เปิด หลายคณะ มีคณะแพทย์ คณะวิศวะ วิดยา เภสัช พยาบาล ศิลปสาสตร์ ดุริยางค์ศิลป์ มีอาจารย์ประจำภาควิชา มีงานวิจัยของตัวเอง เหมือนมหาลัยรัฐ ถ้ายังติดว่าเป็นหลวง ยังเท่จ๊าบไม่อยากแยกตัว ก็ไม่เป็นไร เป็นข้าราชการสังกัดกองทัพ อาจารย์อาจมียศก็ได้ เป็นข้าราชการพลเรือนก็ได้ แต่ต้องมีอิสระเสรีในการทำงานวิจัย .................... ทีนี้ในเรื่องของภาควิชาทหาร ก็เปิดเป็น ภาควิชา หรือสำนัก หรือวิทยาลัยย่อยๆแยกจากมหาลัยออกไป เช่น วิทยาลัยทัพอากาศ ก็เป็นหน่วยงานหนึ่ง เทียบเท่าคณะวิชา อันนี้ก็สอนในเรื่องหลักวิชาการรบในทางทหารอากาศ ของบก เรือ ตำรวจ ก็ว่ากันไป ................................. รับนักเรียนเข้าตามจำนวนที่นั่ง ไม่แคร์การรับเข้ากองทัพ นั่นหมายความว่า จบแล้วก็เหมือนมหาลัยทั่วไป ....................... อาจทำงานกองทัพ หรือ ทำงานบริษัท ขายก๋วยเตี๋ยวที่บ้าน ก็ได้ ง่ายๆ ก็คือ จบมาไม่ได้ติดยศ เรื่องยศ เป็นเรื่องของเหล่าทัพจะเลือกเฟ้นกันอีกที................................... เท่เหมือนกันนะ จบ ปริญญาตรี สถาบันทหารกองทัพไทย สมัครเข้าทำงานในกองทัพพม่า หรือ เขมร...............
มีอยู่ข้อนึงที่เป็นข้อจำกัด ................... นั่นก็คือ ระเบียบ และการใช้ชีวิตหลังเลิกเรียน เท่าที่ทราบ นักเรียนทหารเป็นนักเรียนประจำ พักอาศัยอยู่ภายใต้กฏระเบียบตลอด ๒๔ ชม. ในวันราชการ ซึ่งอันนี้ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ทั้งหมดก็อยู่ในการดูแลของวิทยาลัยกองทัพ ที่เป็นสถาบันแยกของมหาวิทยาลัย ในการจัดหาที่พักอาศัย และการวางกฎระเบียบปฏิบัติ .......................... ซึ่งถ้าจะให้เหมาะสม ก็อาจ แยกเป็นสองหลักสูตร คือหลักสูตรทหารประจำ คือ การวางกฎระเบียบที่เข้มงวดสมบูรณ์ กับอีกหลักสูตรคือ ทหารสำรอง อาจเรียนแบบไม่ประจำ แต่มีกฎระเบียบที่เคร่งครัด กว่าสถาบันอุดมศึกษาปกติ เพราะ ถ้าย่อหย่อนหล่ะหลวม ให้คิดเองทำเองแบบปัญญาชนผู้ใหญ่ (ซึ่งจริงๆที่ผ่านมาก็เคย มันก็ไม่ค่อยผู้ใหญ่หร็อก สั้นทั้งมันสมองความคิด) อย่างนั้นก็คงไม่ไหว เด๋วจะมี นักเรียนทหาร ยกพวกตีกับ ช่างกล ส่วนผู็หญิงก็ไซด์ไลน์ กับเสี่ย....................ฟังดูก็มันดีเหมือนกัลลลล...............
ถ้าเป็นการเปิโอกาศให้กับพลเรือนที่ต้องการเข้าไปศึกษาในหลักสูตรของกองทัพก้เป็นเรื่องที่ดีครับ จบแล้วมีการรับรองวิทยฐานะ และกองทัพต้องมีหน่วยวิจัยเป็นของตนเองแบบถาวรครับเพื่อรับนักศึกษาที่จบหลักสูตรดังกล่าวเข้าทำงาน ไม่ใช่ว่าจบแล้วต้องไปแข่งขันกับนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยของรัฐ เพื่อแย่งตำแหน่งงานกัน หรือให้ DTI เป็นหน่วยงานที่จะรับนักศึกษาที่จบไปทำงานที่นั่นก็ยิ่งดีครับ เราจะได้คนที่จบมาทางด้านนี้โดยตรงและเข้าใจหลักนิยมของกองทัพ
เรื่องการศึกษาผมไม่ค่อยมีความรู้เลยครับเป็นความเห็นส่วนตัว แต่ถ้าเรื่องงานขายละก็.....................
ผมเห็นด้วยนะครับ เพราะเปิดโอกาศให้ นักเรียนที่พลาดโอกาสจาก การสอบเข้า รร เตรียมทหาร ที่อยากเป็นทหารจริงๆ คงเป็นโอกาสมั้ยน้อย
ส่วนตัวผมคิดว่าจุดมุ่งหมายของการมีโรงเรียนเตรียมทหารนั้นอยู่แล้วครับ หล่อหลอมว่าที่นายทหารนายตำรวจสัญญาบัตรให้มีความรัก ความสามัคคีให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อผลของการปฏิบัติงานในอนาคต
แต่ถ้าจะรับนักเรียนม.6 เข้าไปเรียนในโรงเรียนหล่าทัพ ก็อาจจะเป็นลักษณะของภาคสมทบไม่มีพันธะกับทางราชการคล้ายๆกับโรงเรียนช่างฝีมือทหาร ลดหน่วยกิจวิชาทหารลงนิดหน่อย แต่ยังคงไว้ซึ่งระเบียบวินัยและบุคลิกลักษณะท่าทางแบบทหาร อันนี้ก็เพื่อผลของการประสานงานระหว่างทหารกับพลเรือนในการทำงานร่วมกันอีกเช่นกัน ทำอย่างไรให้ปริญญาของโรงเรียนเหล่าทัพมีวิทยฐานะทัดเทียมกับมหาวิทยาลัยของรัฐ/เอกชน คือหมายถึงก.พ.ให้การรับรองอะไรทำนองนั้น
หรือทำอย่างไรให้นักเรียนภาคสมทบได้เข้าทำงานในหน่วยงานสนับสนุน เช่น กรมวิทยาศาสตร์ กรมสรรพาวุธ หรืออะไรที่เกี่ยวกับบัญชี การเงิน กำลังพล ฯลฯ หรือว่าให้ทำงานในรัฐวิสาหกิจของกองทัพ เช่น TAI อู่กรุงเทพ หรือบริษัทเอกชนที่ดำเินินธุรกิจด้านยุทโธปกรณ์อย่างชัยเสรี เป็นต้น
อันนี้ยังไม่รวมถึงวิทยาลัยพยาบาลหรือวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์นะครับ และทั้งหมดนี้คือความคิดส่วนตัวครับ
สำหรับความเห็นของผมนะครับ
ในเรื่องสำหรับโรงเรียนได้มีการพูดคุยมานานแล้วจนมีการให้กคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ซึ่งผลออกมาว่ากระทำได้ ในทางปฏิบัตินั้น
วิธีผลิตนายทหารสัญญาบัตรยังคงเดิมคือรับจากเตรียมทหารมายังโรงเรียนเหล่า ส่วนจะรับมากรับน้อยนั้นขึ้นอยู่กับทางกองทัพในแต่ละเหล่าทัพ
ซึ่งจะพิจารณาเป็นปีๆไป สำหรับการรับ นร. ม.6 นั้นจะกระเหมือนกับมหาวิทยาลัยทั่วไปคือรับนักศึกษาเข้ามาเรียนในหลักสูตรการศึกษาเดียวกับเฉพาะภาควิชาการ นักเรียนเหล่า ส่วนในการฝึกนั้นคงเป็นไปได้ยากกล่าวคือนักเรียนในส่วนนี้เป็นนักศึกษา ไม่ใช่นักเรียนเหล่า เมื่อเรียนจบได้วุฒิการศึกษาแต่อาจไม่ได้รับทำงานต่อในกองทัพ
ฉะนั้นในอนาคตโรงเรียนเหล่าทัพจะมี นักเรียนเหล่า และนักศึกษา หรือโรงเรียนเหล่าแต่ละเหล่าคือมหาวิทยาลัยดีๆนั้นเอง ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิดนายทหารสัญญาบัตรมากนัก เพราะมันมีแบบแผนการปฏิบัติที่ต้องแยกกันอย่างชัดเจน เช่น การฝึกภาคสนาม การฝึกภาคทะเล เป็นต้น แต่สำหรับในภาควิชาการคงเป็นการเรียนในชั้นร่วมกัน
สำหรับนโยบายดังกล่าวคงเป็นการที่กองทัพต้องการเปิดสู่ภาคพลเรือนมากขึ้น เพื่อการติดต่อประสานที่ดีในการทำงานและที่สำคัญเป็นการผลิตบุคลากรจากหน่วยงานทหารสู่ภาคพลเรือนให้มากขึ้น
จบเเล้วไม่รุ่น โคตรเหนื่อยว่ะ จากปากน้องชาย.....
ดีครับ เป็นการเปิดโอกาศ หาคนที่มีใจรักการเป็นทหารจริงๆมากขึ้น
ชอบความคิดท่านกบครับ เปิดเป็นมหาวิทยาลัยทหารซะเลย รวมทุกสาขามานี้ให้หมด แต่คงจะถกเถียงกันอีกยาวทีเดียว
สำหรับเรื่องนี้ คิดว่าพวกที่จบจากเตรียมโดยตรงคงไม่เห็นด้วยซักเท่าไร