ตอนนี้เรามีศักยภาพที่จะต่อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้เองแล้ว ซึ่งเป็นมาตรฐานเรือรบ ดังนั้นคิดว่าเรือฟริเกตสมรรถนะสูงชุดต่อไปเราจะต่อที่บริษัท อู่กรุงเทพมั้ยครับ
ผมอยากให้มีใจจะขาด และเชื่อว่าจะได้เห็นในช่วงชีวิตของพวกเราแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ใน4-5ปีนี้ครับ
ช่วง4-5ปีนี้เราน่าจะยังง่วนอยู่กับการต่อOPVลักษณะเดียวกับรล.กระบี่ให้ครบ6ลำตามที่ต้องการก่อน 2ลำท้ายอาจมีการทดลองติดอาวุธให้เป็นเรือคอร์เวต , เมื่อไหร่ที่เริ่มมีการทดลองต่อเรือขนาดระวาง2,000ตันด้วยโครงสร้างเรือรบ เมื่อนั้นก็ใกล้เต็มทีแล้วครับ
ครั้งแรกที่ได้เห็นภาพข่าวเรือหลวงกระบี่ ผมดีใจจนขนลุกซู่เลย ดีใจมากๆ และดีใจทุกครั้งที่ได้เจอข้อมูล ว่าเราทำได้ถูกกว่าOPVที่มาเลเซียสั่งซื้อตั้งครึ่ง , เราทำได้เจ๋งกว่าเรือที่เวียตนามหัดต่อตั้งเท่าตัว , ดีใจที่ได้รู้ว่าอู่บางกอกเป็นของคนไทย100% ฯลฯ
^
^
อยากได้ ข้อมูลเพิ่มเติม เท่าที่ให้ได้นะครับ จากคุณ E_mail
จะได้ขนลุก ด้วยนะครับ
ภาวนาอยู่ครับ ถ้าทร.จะต่อเองจริงๆคงต้องให้เวลาสัก 2-3 ปีนะครับ กำหนดความต้องการ ร่างแบบ ระหว่างนี้ก็ลุย OPV ชุดนี้ไปเรื่อยๆ ดูความตั้งใจของทร.เรื่องเทคโนโลยีเรือดำน้ำแล้วคิดว่าเรื่องเรือฟรีเกตอาจจะให้เรามีเฮกันอีกรอบ
อู่ต่อเรือในประเทศที่น่าจะสามารถเรียนรู้การต่อเรือแบบบล็อคและมีอู่แห้งกับสลิปเวย์์ใหญ่พอรองรับเรือชนาด 5000 ตันก็มี
อู่ราชนาวี
อู่ต่อเรือกรุงเทพ
อู่อิตัลไทยมารีน
อู่ยูนิไทย
ส่วนอู่มาซัน และ อู่เทคนอติค นั้นผมไม่แน่ใจว่าจะมีสลิปเวย์ใหญ่พอหรือเปล่า แต่อู่แห้งน่าจะไม่ใหญ่พอน่ะครับ ดูจากคลิปที่เพื่อนเอาลงไว้เห็นทางทร.เอาบุคคลากรจากข้างนอกมาเรียนรู้การต่อเรือOPV ด้วย อาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ของอู่เอกชนที่ว่ามาก็ได้ครับ วานผู้รู้แจงทีนะครับ
เท่าที่ทราบนะครับ ในการต่อเรือOPV ก็มีปัญหากันเยอะมาก ส่วนมากจะมาจากตอนที่ฝนตก แล้วไม่สามารถเชื่อมต่อไปได้ บางทีก็เกิดความชื้นในรอยที่เชื่อมแต่ยังไงตอนนี้ผมก็อยากให้กองทัพเรือจัดหางบ มาสร้างโรงต่อเรือโดยเฉพาะมากกว่า ซึ่งที่ผมเห็น ในพื้นที่แถวๆอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช ข้างกัน จะมีพื้นที่เหลือซึ่งผมว่ามันเป็นพื้นที่สำหรับที่เขาเตรียมไว้ที่จะสร้างอู่ต่อเรือเพิ่มหรือโรงต่อเรือ ซึ่งถ้าเป็นโรงต่อเรือ ก็จะสามารถเพิ่มเวลาในการต่อเรือเป็นบล๊อคได้สดวกมากขึ้น พอฝนตกก็จะได้ไม่ต้องหยุดงานกัน จะได้ทำต่อ
สิ่งแรกที่ผมอยากให้กองทัพเรือ สร้างอู่ต่อเรือหรืออู่ที่มีหลังคาสามารถทำงานได้ตลอดเวลา แล้วเราก็ลุยงานการต่อเรือแบบจริงจังกันเลย
ผมเห็นว่า เรือหลวงกระบี่ ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับเรือคอร์เวตแล้วครับ หากเลือกติดอาวุธหนัก จรวดต่อสู้เรือ จรวดพื้นสู่อากาศแท่นยิงแนวตั้ง ระบบอาวุธปล่อยป้องกันตัวเองระยะประชิด และตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ
นี้ยังดีนะครับ ที่เราต่อเรือ OPV ได้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นอายพม่าแย่เลย เพราะพม่าเขาต่อเรือฟริเกตได้มาตั้งนานแล้ว
ตอบคุณ : kok129 นะครับ
อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดชมีส่วนหนึ่ง(ครึ่งหนึ่งได้)เป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนอะครับ น่าจะเป็นที่ว่างๆตอนนี้นั้นแหละครับ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดชเคยมีวิกฤตการเงินถึงขนาดจะขายให้เอกชนมาแล้วอะครับในสมัย... เพราะขาดงบสนับสนุนอย่างมาก จนมาถึงสมัย... เค้าก็ยังขาดงบอยู่ แต่เค้าแก้ปัญหาทั้งหมดโดยการรวมทุนกับเอกชนแทน ทำให้มีทุนเพียงพอดำรงสภาพอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดชไว้ได้ ไม่รู้ว่าที่ไม่สร้างโรงต่อเรือเลย เพราะขาดเนื้อที่หรือขาดงบกันแน่
บริษัท สยามคราฟ เช่าไว้ครับ
มีโอการสเป็นไปได้สูงมากครับ ผมว่าไม่เกิน 50 ปีเริ่มแน่นอน
แต่คงต้องรอ ชุด Opv เสร็จทั้งหมดก่อน
เพราะขั้นตอนการก่อสร้างเรือ Opv ไทย ทางกองทัพได้เรียกวิศวะกรของบริษัทและหน่วยงานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการต่อเรือให้มาดูขั้นตอนการสร้างเรือ Opv ลำนี้
และได้คัดเลือกบุคลากรของอู่ต่อเรือในประเทศไทยหลายที่ในการสร้างเรือครั้งนี้ด้วย
แก้หน่อย 0 เกินมาตัวคงไม่เกิน 5 ปีมีการเริ่มแน่
ไม่ใช่ 50 ปีครับโทษที ==
ผมคิดว่าน่าจะเป็น ขยายแบบ และ ขยายภาระกิจ เป็นเรือรบแบบ Multi role เหมือนกับโครงการ FSC ( Future Surface Combatant ) ของ ราชนาวี อังกฤษ ครับ...
คือ ราชนาวีอังกฤษ ได้แบ่งเรือออก 3 ประเภท คือ แบ่งแบบเรือเป็น C1 - C3
C 1 จะเป็นเรือรบขนาดใหญ่ ขนาด 6000 ตัน เน้นภาระกิจต่อต้านเรือดำน้ำ
C 2 จะเป็นเรือรบขนาด 4000 - 5000 ตัน จะเป็นภาระกิจ 2 มิติ เหมือนเรือรบในปัจจุบัน
และ C 3 จะเป็นเรือรบขนาด 2000 - 3000 ตัน จะเป็นเรือลาดตระเวณ หรือ รักษากฎหมายทางทะเล โดยมีสามารถทำภาระกิจ ต่อต้านทุ่นระเบิด ไกลฝั่ง ได้ด้วย
ซึ่งบริษัท VT ที่เป็นบริษัทเดียวกับที่ ทร. ซื้อแบบมา ก็เคยเสนอแบบให้ ราชนาวี พิจารณา ในคุณลักษณะเรือแบบ C 2 และ C 3 ให้ราชนาวีอังกฤษ ด้วย....
ซึ่งแบบเรือ ถ้าสังเกตุจะเห็นว่า มีส่วนคล้ายกับแบบ ร.ล.กระบี่ ของ ทร.ไทย มากครับ....
ก็อาจจะเป็นไปได้มากว่า ทร. น่าจะขยายแบบเรือ และได้คุณลักษณะเรือ แบบ C 2 และ C 3 ของราชนาวีอังกฤษ....
คือแบบเรือ 1 ลำ สามารถทำภาระกิจได้หลากหลาย คือ
- ต่อต้านภัยทางอากาศ
- ต่อต้านภัยทางผิวน้ำ
- ต่อต้ายภัยใต้น้ำ ทั้งจาก เรือดำน้ำ และ ทุ่นระเบิด
- รักษากฎหมายทางทะเล ในระยะ ไกลฝั่ง หรือ น่านน้ำสากล ได้
แก้ไข ข้อความครับ C 2 เน้นภาระกิจ 3 มิติ เหมือนเรือรบในปัจจุบัน
ตามภาพ ในแบบ C 3 จะเห็นท้ายเรือ ติดตั้งเครื่องลากอุปกรณ์ตรวจจับทุ่นระเบิด หลัง ลานจอด ฮ. โดยลานจอด ฮ.จะรองรับ ฮ.แบบ Lynx และ EH-101 ได้ ซึ่งผมคิดว่า น่าจะติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับเรือดำน้ำ ทั้งแบบ โซนาร์ ติดตั้งในตัวเรือ และ แบบลากท้าย ด้วย...คือ สามารถปราบเรือดำน้ำ โดยใช้ ฮ. ประจำเรือ
โดยมีปืนเรือ ขนาด 3 - 4 นิ้ว หน้าเรือ และปืนน่าจะขนาด 30 ม.ม. ข้างเรือ ซ้าย และ ขวา และมีระบบเป้าลวง...(ซึ่งเหมือนกับคุณลักษณะเรือ OPV ในปัจจุบัน)
ส่วนในแบบ C 2 ก็จะเพิ่ม CIWS ท้ายเรือ และเพิ่ม อาวุธนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ และ หลังป้อมปืนหน้า ติดตั้ง VLS สำหรับ SAM (ซึ่งเหมือนกับคุณลักษณะเรือรบผิวน้ำในปัจจุบัน)
ผมก็คิดเหมือนป๋าจูลครับว่าทร. น่าจะขยายแบบโดยใช้หลักแนวคิดเหมือน C-2 C-3 เพราะทร.เองอีกไม่นานก็ต้องปลดเรือชั้นน็อคซ์ทั้งสองลำ ดังนั้นถ้าจะต่อเรือฟรีเกตใหม่ก็น่าจะเป็นการเผื่อไว้ด้วยว่าจะสามารถปรับภาระกิจเรือได้ด้วยแบบตัวเรือแบบเดียวกัน เครื่องยนต์แบบเดียวกัน ระบบตรวจจับพื้นฐานระบบอำนวยการรบแบบเดียวกัน ต่างกันที่ระบบอาวุธและระบบตรวจจับพิเศษสำหรับภาระกิจนั้นๆ ระวางขับน้ำน่าจะอยู่ราวๆ 3000 - 4000 ตัน ซึ่งมีอู่ต่อเรือในประเทศที่น่าจะมีความพร้อมแล้วเมื่อถึงเวลานั้น 4 อู่ ผมจับตาดูอยู่ครับ ถ้าเรือฟรีเกตชุดนี้ถูกเข็นออกมาโดยออกแนวคิดแบบนี้ ประเทศเราก็ถือว่ามีศักยภาพที่จะพัฒนากำลังทางทะเลด้วยขาตนเองเต็มที่แบบชาติตะวันตกหรือแบบเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน สักทีครับ เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญมากครับ เหมือนเกาหลีใต้ที่ออกแบบต่อเรือฟรีเกต KD-1 ออกมาใช้เอง จากนั้นทร.เกาหลีใต้ก็ก้าวกระโดดทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี รวมทั้งกำลังทางเรือแบบแทบจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าด้วยเวลาสั้นๆ
เรือขอให้ทำได้จริงออกมาดีมากๆเถอะ....ทร.และประเทศเราจะได้ถึงจุดเปลี่ยนทางเทคโนและกำลังทางทะเลซะทีครับ
ผมอยากให้มีการปรับปรุงท่าเรือครับ สร้างอาคารสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับต่อเรือ(เวลาทำงานเชื่อมก็ไม่ต้องกลัวฝน ไม่ต้องทนร้อนกับแสงแดด ระยะเวลาในการสร้างเรือก็เร็ว ) เครนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น(สามารถที่ยกblock ชิ้นส่วนได้ใหญ่ขึ้น) และอื่นๆ
ส่วนตัวผมมองไปในแนวทางเดียวกับ ป๋าจู ครับ แต่ไม่อยากให้อู่ของกองทัพเรือดำเนินการต่อเองทั้งหมด อู่ของกองทัพเรือนั้นควรเน้นไปที่การซ่อมบำรุงเรือที่ใช้อยู่และทำหน้าที่ติดตั้งระบบอาวุธ ส่วนการต่อตัวเรือนั้นอยากให้กองทัพเรือไปว่าจ้างอู่เอกชนโดยส่งเจ้าหน้าที่ไปควบคุมดูแลและกำกับ(จากประสปการณ์ส่วนตัวนั้น ถ้าไม่ไปกำกับมีผิดแบบในบางจุดแน่นอน) แล้วจึงส่งมายังอู่ของกองทัพเรือเพื่อดำเนินการติดตั้งระบบอาวุธ ซึ่งงานนี้กองทัพเรือเรามีประสปการณ์อยู่แล้วครับ ผมว่าการต่อเรือฟริเกตนั้นเราทำได้แน่นอน อยู่ที่จะเริ่มต้นที่จะทำเมื่อไหร่ เพราะถ้าไม่เริ่มก็ไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่จะกล่าวแต่ว่า เราเทคโนโลยีไม่พร้อม หรือ ขีดความสามารถยังไม่ถึง บุคลากรยังไม่มีความรู้ ทั้งๆที่ยังไม่เคยลงมือจริงแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่พร้อมหรือประสปปัญหาจริงๆตรงจุดไหน เริ่มต้นเถอะครับ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เริ่มที่กองทัพเรือนะครับ เพราะผมรู้ว่ากองทัพเรือนั้นอยากและรอจะทำเต็มที แต่อยู่ที่ผู้อนุมัติและทัศนคติ
สนับสนุนแนวคิดท่านจุล...
สนับสนุนแนวคิดให้เอกชนต่อเรือของท่านเด็กทะเล
สนับสนุนสร้างโรงต่อเรือ...ที่มีหลังคาคลุมขนาดใหญ่...
สนับสนุน..ให้อู่ต่อเรือของกองทัพดูแลซ่อมบำรุง จัดวางออกแบบพัฒนาแก้ไข ระบบอาวุธ..ส่วนการต่อเรือแบ่งงานให้เอกชนไปทำ..เงินทุนหมุนเวียนครับ
น้ำจะท่วมโลก..แต่พอดีกองทัพเรือไทย..อยู่กับน้ำครับ 55555
ดังที่ท่าน tks ว่าล่ะครับ ถ้าทำได้ก็จะเป็นการแสดงศักยภาพในด้านอุตสาหกรรมต่อเรือโดยมีกองทัพเรือเป็นหัวหอก จากนั้นคงต้องให้รัฐสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมนี้รวมทั้งภาคขนส่งทางทะเล โดยจัดเป็นคลัสเตอร์ทางอุตสาหกรรม แบบว่า
- บริษัทเดินเรือในประเทศบริษัทไหนต้องการเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยกี่ปีก็ว่าไป แต่ต้องต่อเรือในประเทศนะ งานนี้คงต้องให้อู่ในประเทศมีสลิปเวย์และโรงต่อรองรับเรือขนาด 50,000-60,000 ตัน เพราะเป็นขนาด Handycap ที่บริษัทเดินเรือในประเทศ 3 บริษัทสำคัญใช้อยู่ (TTA PSL RCL) ทั้งแบบเรือเทกองและเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์
- ให้เงินกู้ต้นทุนต่ำแก่บริษัทอู่ต่อเรือเพื่ออขยายขนาดโรงต่อ สลิปเวย์ อู่แห้ง อุ๋ลอย เพื่อรองรับเรือขนาด Handycap
- สนับสนุนอุตสาหกรรมถลุงเหล็กดิบ และ mild steel ที่เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำ
- สนับสนุนทร.ให้ผลักดันโครงการต่อเรือรบประสิทธิภาพสูงมากๆโดยผลักดันงานให้ภาคเอกชน เพื่อจะทำให้เอกชนมีขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมและความชำนาญสูงขึ้นครับ เรือรบนี่เป็นอะไรที่โชว์ความสามารถของอู่ต่อเรือนั้นๆเลย
แห่ม...คุณ su37 ผมไม่รู้เลยครับ บริษัท SKIC ที่ผมทำงานอยู่ เป็นผุ้เช่าไว้ ....
แนวทางที่ท่าน NEOSIAMESE2
แบบนี้เรียกว่าบูรณาการครับ เพราะเกิดอะไรขึ้นมาทางทะเล ระบบ LOGISTIC,ACCIDENT (RESCUE,SEA STORM),WAR, ,TANKER กองทัพเรือ มีแต่ได้กับได้ครับ
ขนาดนึกถึงไปก๊อปปี้แบบ U206A มาแล้วนำมาตรวจการพื้นพิภพ เชิงอนุรักษณ์ลำเล็กๆ มีระบบ AIP อยู่ในตัวดำได้ 3 วัน ก็โหอย่าให้นึกเลย
เรือดำน้ำเชิงพานิช....5555555
ไม่ใช่ความคิดของผมหรอกครับม่าน tks ผมเอามาจากคนเกาหลีน่ะครับ พอเกาหลีใต้ต่อเรือชุด KDX-1 ออกมาแล้วนำเรือชุดนี้อวดธงไปทั่ว ซึ่งก็มาเมืองไทยด้วย นานแล้วล่ะครับ ผมก็ตกใจที่เกาหลีสามารถต่อเรือรบระดับ world class แบบ MEKO ได้ เลยไปสืบค้นข้อมูลครับ จึงพบว่าทร.และรัฐบาลเกาหลีใต้เขาต้องการให้เรือชั้นนี้เป็นเหมือนหลักไมล์ของอุตสาหกรรมต่อเรือของเขานะครับ โชว์ขีดความสามารถ แล้วภาครัฐของเขาก็ดำเนินโครงการคลัสเตอร์อุตสาหกรรมต่อเรือและการขนส่งทางทะเลอย่างจริงจัง จนตอนนี้เกาหลีใต้ครองภาคอุตสาหกรรมนี้เป็นอันดับ 1 ของโลก เขี่ยญี่ปุ่นตกกระป๋องไป ทางเขากำหนดชัดเจนว่าทางอู่ฮุนไดจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก แล้วบริษัทเดินเรือเกาหลีก็ได้ ซับไซดี จากรัฐบาลเกาหลีใต้เต็มสูบครับ จึงเป็นเหตุให้เกาหลีใต้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมต่อเรือและพานิชย์นาวีชั่วข้ามคืนครับ
จากความสำเร็จด้านนี้ ทำให้ต้นทุนการต่อเรือต่ำกว่ายุโรปกว่าครึ่งและคุณภาพสูง ทร.เกาหลีใต้เลยรับอานิสงค์ไปเต็มๆครับ เพราะเรือรบระดับ KDX-2 KDX-3 FFX ราคาแค่ครึ่งเดียวของที่ชาติมหาอำนาจจัดหาครับ ด้วยเงินเท่ากัน ทร.เกาหลีใต้จึงสามารถจัดหาจำนวนเรือได้มากกว่าเดิม 2 เท่าครับ
แหม KDX-3 หรือเรือเอจีสเวอร์ชั่นเกาหลีใต้ ราคาแค่ 36,000 ล้านบาท ระวางขับน้ำ 10,000 ตันจะหาซื้อได้ที่ไหนในชาติตะวันตกล่ะครับ เรือแบบนี้ราคา 60,000 ล้านนะครับ
ตอนนี้ทร.เกาหลีใต้มีขีดความสามารถพอๆกับทร.อังกฤษ ขาดก็แต่เรือดำน้ำนิวเคลียร์เท่านั้นแหล่ะครับ แต่ก็อีกไม่นานแล้วเพราะโครงการเรือดำน้ำนิวเคลียร์ขนาด 4000-6000 ตันที่ออกแบบเองต่อเองก็เป็นรูปร่างชัดเจนมากขึ้น
KDX-1 ก็เป็นหลักไมล์ของเขาได้ ทำไมเรือชุดนี้จะเป็นหลักไมล์ของเราไม่ได้บ้างล่ะครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ที่การสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจังครับ ถ้าภาครัฐของเรายังไม่เห็นความสำคัญมันก็ไม่เกิด รำพังแค่ให้กองทัพดำเนินการมันไม่เพียงพอครับหรือเกิดได้ก็ไม่สามารถต่อยอดไปได้ ปัญหามันอยู่ที่กฏหมายของเราด้วยเอกชนไม่สามรถดำเนินการอะไรได้มากนอกจากการเป็นคู่สัญญาเท่านั้น
ส่วนเรื่องความสารถในการต่อเรือนั้นเราทำได้แน่นอนครับ วิศวกรเราก็มีมากมายที่ไปอยู่กับบริษัทต่างประเทศกลายเป็นปัญหาสมองไหลออกนอกประเทศ สิ่งต่างๆที่กองทัพได้ทำการวิจัยและพัฒนาส่วนมากจะแป็กที่คำว่า ผลเป็นที่น่าพอใจจึงเห็นควรสรุปผลการวิจัยเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาต่อไป เพราะว่าขาดงบประมาณ ถึงแม้ว่าปัจจุบันเริ่มจะเห็นความก้าวหน้าของโครงการต่างบ้างแล้วแต่ถ้าเมื่อไหร่งบขาดก็อาจจะเป็นอย่างคำที่ว่าไว้ครับ
รัฐต้องกล้าครับ ถ้ารัฐไม่กล้าเราก็คงต้องซื้อใช้วันยังค่ำ เริ่มต้นจากจุดเล็กๆที่มีคนทำไว้แล้วต่อยอดไปเรื่อยเหมือนยอดตำลึงสักวันมันก็จะเต็มหลังคาบ้าน
นึกถึง ตอนที่ ทร.ส่งเรือไปช่วยปราบปรามโจรสลัดที่อ่าวเอเดน..
มีTANKER สิมิลัน ไปเป็นพลาธิการ แถม ประชุมผ่านดาวเทียมมาประเทศไทย
ดาต้าลิ๊งค์ไม่เบา(VIDEO CONFERRENCE) กลางทะเล 55555
ดีนะไม่สั่งยิงโจรสลัด จาก 911 ที่ลอยลำอยู่ในอ่าวไทย 55555