เมื่อช่วงวันที่ 12-13 มกราคมที่ผ่านมา ทางฝ่ายวิเคราะห์เทคโนโลยีป้องกันประเทศได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นสักขีพยานการประกอบลูกจรวด DTI-1 ซึ่งเป็นลูกแรกที่ประกอบโดยคนไทย 100% ซึ่งจะว่าไป นี่คือวินาทีประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ทางสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ หรือ สทป. จะได้นำจรวด DTI-1 พร้อมรถยิงมาเปิดตัวให้เห็นกันแล้ว แต่จรวดที่เพิ่งประกอบกันไปนั้น นอกจากจะประกอบโดยฝีมือคนไทยแล้ว ยังประกอบกันในโรงปฏิบัติการของ สทป. จังหวัดนครสวรรค์ ที่เพิ่งสร้างแล้วเสร็จและทำพิธีเปิดเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2554 นั่นหมายความว่าจรวดลูกประวัติศาสตร์นี้ประกอบทั้งหมดในประเทศไทยด้วยคนไทยล้วนๆ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีการป้องกันประเทศของประเทศไทย และถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างองค์ความรู้ในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการป้องกันประเทศ ที่สามารถนำไปต่อยอดในการผลิตยุทโธปกรณ์ชนิดอื่นๆ ด้วยตนเองด้วยโรงปฏิบัติการอันทันสมัยของ สทป. รวมถึงสามารถต่อยอดไปถึงอุตสาหกรรมพลเรือนอื่นๆ ในอนาคตต่อไป
เหตุใดการพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศถึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับประเทศไทยในทศวรรษต่อจากนี้? คำตอบง่ายๆ คือปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางด้านการเมืองระหว่างประเทศอีกต่อไป ในสมัยก่อน ประเทศไทยนั้นถือเป็นประเทศหนึ่งที่อยู่บนจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาคเนื่องจากอยู่ตรงกลางของคาบสมุทรอินโดจีน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่ไทยกลายเป็นรัฐกันชนในสมัยล่าอาณานิคม แต่ความชัดเจนในการเป็นจุดยุทธศาสตร์ของไทยเกิดขึ้นเมื่อสมัยสงครามเย็นที่ขณะนั้นไทยเปรียบเสมือนเป็นเมืองหน้าด่านของการปกครองแบบประชาธิปไตยและแนวคิดแบบเสรีนิยมในการต่อต้านการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ด้วยการที่ไทยเป็นดินแดนสำคัญที่ทางฟากเสรีนิยมไม่สามารถเสียได้ จึงทำให้มิตรประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ จำเป็นต้องช่วยเหลือประเทศไทยในด้านการทหารและการป้องกันประเทศ มีการช่วยเหลือด้านยุทโธปกรณ์ ระบบการฝึก รวมถึงสร้างสิ่งก่อสร้างทางทหารไว้ให้ รวมถึงการแลกเปลี่ยนบุคลากรด้านการทหาร และให้ทุนการศึกษาแก่ทหารไทยไปศึกษาต่อในประเทศตะวันตก กล่าวง่ายๆ คือประเทศไทยในช่วงนั้นเป็นประเทศ “เนื้อหอม” เรียกได้ว่าขออะไรได้หมด แต่หลังจากที่หมดยุคสงครามเย็นไปแล้ว ทุกอย่างก็ดูจะเปลี่ยนไป
หลังยุคสงครามเย็น โลกได้พุ่งความสนใจไปที่การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โลกโลกาภิวัตน์ได้นำพาบริษัทข้ามชาติใหญ่ๆ เข้ามาตั้งสาขาอยู่ในหลายประเทศ ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย และเมื่อเศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น ประเทศต่างๆ ก็จำเป็นต้องค้นหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจ จนทำให้พื้นที่ที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน กลายเป็นประเทศ “เนื้อหอม” ซึ่งคุณสมบัติเช่นนี้ประเทศไทยไม่มี ในขณะเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านรอบประเทศไทยกลับเป็นพื้นที่แหล่งพลังงานใหม่เกือบทั้งหมด เช่นพม่า กัมพูชา รวมถึงประเทศที่มีพื้นที่ในทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกัมพูชา ที่กำลังให้สัมปทานกับบริษัทพลังงานข้ามชาติจำนวนมากสำหรับขุดเจาะแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน และมีแนวโน้มที่จะดึงการลงทุนจากต่างชาติเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ในทางส่วนของพม่านั้น ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าประเทศมหาอำนาจอย่างจีน อินเดีย กลุ่มประเทศ EU และล่าสุดสหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นศัตรูสำคัญของพม่า ได้เข้ามาผูกสัมพันธ์เพื่อหวังที่จะลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติในอนาคตซึ่งมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในพม่า ฉะนั้นในทศวรรษต่อจากนี้ หากประเทศไทยมีอันจะต้องเกิดความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน ประเทศไทยคงจะหวังความช่วยเหลือจากประเทศมหาอำนาจผู้ส่งออกยุทโธปกรณ์ไม่ได้อีกต่อไป ถึงตอนนั้นถึงแม้ว่าไทยจะมีเงินร่ำรวยมหาศาล หรืออยากจะซื้อแค่ไหน ก็อาจจะไม่สามารถจัดซื้ออาวุธดีๆ เข้าประจำการได้เสมอไป เพราะคงไม่มีใครอยากจะขายให้ ยิ่งไปกว่านั้นความช่วยเหลือด้านการทหารและความช่วยเหลือด้านอื่นๆ จะเทไปที่ประเทศเพื่อนบ้านมากกว่าด้วยซ้ำไป ตัวอย่างเช่นการที่ฝรั่งเศสหนุนหลังกัมพูชาอย่างเต็มตัวในกรณีข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร เมื่อแนวโน้มเป็นเช่นนี้ การพึ่งพาตัวเองคงจะเป็นการดีที่สุดในระยะยาว
ประเทศอื่นๆจะมาช่วยก็ด้วยผลประโยชน์ล้วนๆ เป็นเรื่องน่ารังเกียจแต่เป็นเรื่องจริง ฟังแล้วอยากไปบวช
อยากให้ ทบ.สนับสนุนให้ตลอดนะครับ ไทยเราจะได้มีแบนด์อาวุธเป็นของตัวเองซักที
เพราะ เเต่ก่อนเราได้รับการช่วยเหลือจาก อเมริกา รึเปล่า เราถึงไม่เห็นถึงความสำคัญของการพึ่งพาตนเอง เเต่พึ่งมาเห็น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในปัจจุบัน เเต่เชื่อว่าคนไทย สนับสนุนการพึ่งพาตนเองอยู่เเล้ว เเต่เพราะปัจจัยหลายๆสิ่ง ทำให้เราทำได้ไม่ดีพอ
"......... เราขอขอบคุณในความช่วยเหลือของอเมริกา แต่เรายังตั้งใจไว้ว่า วันหนึ่งข้างหน้าเราจะทำกันเองได้ โดยไม่พึ่งความช่วยเหลือนี้ ......... " ........We are greateful for American aid, but we intend, one day, to do without it...........
ส่วนหนึ่งของ พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชฯ ณ สภาคองเกรส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2503
ชื่นใจครับ ในหลวงท่านทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกลมากๆจริงๆครับเห็นได้จากหลายๆ เรื่องยังไงการยืนด้วนขาตัวเองหายใจได้ด้วยตัวเองก็ดีที่สุดแล้วครับใครมันจะมาจริงใจกับเราเท่าคนไทยด้วยกันรักกันไว้ดีกว่าเด้อพี่น้อง
ประกอบ ได้แล้ว แปลว่า อีกไม่กี่เดือน ก็มีการยิงโชว์ สินะครับ
แล้วคุณภาพเป็นไงมั่งครับ ช่วงนี้ข่าวเงียบๆ เป็นอันที่พอใจไหมครับ คุณภาพ อยากเห็นรูปจังเป็นแบบไหน
อยากให้ ทร.นำไปต่อยอดในการยิงระดมฝั่งเป้าหมายที่สำคัญ..หรือแม้แต่พัฒนาใช้แทนพวก C-802
เยืยม
ขอประโยคเดียว เมื่อไรจะขุดคลอง