หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


เปิดปูม 3 เทพ "สไนเปอร์" คุยส่องเวียดกงดับกว่า 400

โดยคุณ : kaypui42 เมื่อวันที่ : 18/01/2012 22:20:17


เอ็ด แฮร์ริส (Ed Harris) นายพลนาซีในนาทีสุดท้ายแห่งชีวิต ยืนนิ่งกับที่หลังรู้ตัวว่าพลาด แพ้เหลี่ยมคมของวาสสิลิ เซ้ตซอฟ (Vassili Saytsev) โดยลุกออกจากจุดซุ่ม ขณะที่มือเพชรฆาตซึ่งแสดงโดย จูด ลอว์ (Jude Law) ยืนเล็งปืนอยู่ระหว่างตู้รถไฟ ก่อนลั่นกระสุนสังหารอย่างแม่นยำในฉากไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์ Enenmy at the Gate ฮอลลีวูดคือโลกแห่งมายา ภาพยนตร์ที่สร้างออกมาอาจจริงบ้างไม่จริงบ้าง แต่ที่แน่ๆ ฌ็อง-ฌากส์ อานโนด์ (Jean-Jaques Annaud) ผู้สร้างและกำกับ ได้ทำให้สุดยอดสไนเปอร์แห่งกองทัพแดงอดีตสหภาพโซเวียตเป็นที่รู้จักไปทั่ว โลก แต่อีกไม่กี่ทศวรรษต่อมา ด้วยอาวุธที่ทันสมัยยิ่งขึ้น ได้ทำให้เกิดสไนเปอร์ระดับเทพอีกหลายคนในช่วงสงครามเวียดนามและสงครามใน อัฟกานิสถาน.
       
ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ต้องขอบคุณภาพยนตร์ Enemy at the Gate ที่ทำให้โลกรู้จักวาสสิลี เซ้ตซอฟ (Vassili Zaytsev) พลแม่นปืนที่ขับเคี่ยวกับนายทหารนาซีคนหนึ่งนาน 3 สัปดาห์ และ กลายเป็นผู้พิชิตนายพลสุดยอดฝีมือในศึกสตาลินกราด เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2
       
       แต่ภาพยนตร์คือมายา ถึงแม้เซ้ตซอฟจะมีตัวตนอยู่จริงและเป็นสไนเปอร์ระดับเทพจริง แต่ก็มีหลายเรื่องที่ไม่จริง
       
       ไม่นานเพียง 2-3 ทศวรรษหลังศึกสตาลินกราด สไนเปอร์ชั้นเทพได้จุติขึ้นมาอีก 3 คน ในยุคสงครามเวียดนาม ทั้งหมดเป็นทหารอเมริกัน ซึ่งเมื่อรวมผลงานแล้ว สามเทพสามารถ "เก็บ" ฝ่ายข้าศึกได้รวมกันกว่า 400 คน
       
       เว็บไซต์ข่าวการทหารในสหรัฐฯ ขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมจัดให้สไนเปอร์อเมริกันทั้งสาม เข้าอันดับ "10 สไนเปอร์มือหนึ่ง" นับแต่มีคนกลุ่มนี้อยู่ในโลก
       
       แต่ไม่ใช่แค่จำนวนเป้าหมายที่พวกเขา "ล้ม" ได้เท่านั้น ความสามารถพิเศษกับความทรหดอดทน เป็นคุณสมบัติสำคัญเช่นกันในการจัดอันดับเทพสไนเปอร์ทั้งสิบ
       
       1. คาร์ลอส นอร์แมน แฮธค็อกซ์ที่ 2 (Carlos Norman Hathcock II)
       .

       .
       แฮธค็อกซ์ เกิดวันที่ 20 พ.ค.2485 ถึงแก่กรรม 1 เม.ย.2542 เคยเป็นนักยิงปืนล่ารางวัลและได้รับหลากหลายรางวัลก่อนจะอาสาไปเวียดนาม ซึ่งพลทหารคนนี้สามารถ "ล้ม" ข้าศึกได้ 93 คนเท่าที่ยืนยันได้ และ ยังมีเป้าหมายที่ไม่สามารถยืนยันการเสียชีวิตไม่ได้อีกนับร้อย
       
       มีเรื่องเล่ากันต่อๆ มาว่า กองทัพเวียดนามเหนือตั้งค่าหัวแฮธค็อกซ์ถึง 30,000 ดอลลาร์ หลังจากสังหารกำลังพลของฝ่ายนั้นไปมากมาย รวมทั้งระดับรองแม่ทัพคนหนึ่ง
       
       แฮธค็อกซ์เป็นสไนเปอร์เพียงคนเดียวในสงครามเวียดนาม ที่ "สอย" นักซุ่มของฝ่ายข้าศึกคนหนึ่งโดยยิงทะลุกล้องติดปืน ซึ่งมีเพียงโอกาสเดียวที่จะเกิดขึ้นได้ คือ ทั้งสองฝ่ายเล็งปืนเข้าหากันในเวลาเดียวกัน แฮธค็อกซ์ลั่นไกก่อนและมันพุ่งทะลุเข้าลูกตาอย่างแม่นยำ
       
       เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นขณะที่หมวดนาวิกโยธินที่แฮธค็อกซ์สังกัด กำลังลาดตระเวน สไนเปอร์ของเวียดนามเหนือเปิดฉากยิงจากระยะไกลแต่พลาด พลทหารโรแลนด์ เบิร์ค (Roland Burke) พลชี้เป้ามองเห็นแสงสะท้อนจากเลนส์กล้องติดปืน แฮธค็อกซ์เล็งไปที่นั่นทันทีทันใด และสร้างตำนานให้สไนเปอร์รุ่นหลังเล่าขาน
       
       ครั้งหนึ่งเขาได้รับคำสั่งให้ "เก็บ" นายพลเวียดนามเหนือคนสำคัญ แฮธค็อกซ์ปฏิบัติการเวลากลางคืน พรางตัวและคลานเป็นระยะทาง 1,500 หลาเข้าพื้นที่เป้าหมาย ช่วงหนึ่งเขาเกือบถูกงูเห่าฉก และอีกครั้งหนึ่งเกือบจะถูกทหารเดินยามเวียดนามเหนือคนหนึ่งเหยียบ
       
       แฮธค็อกซ์คลานถึงจุดซุ่ม เมื่อเป้าหมายไปถึงเขาก็พร้อมอยู่แล้วและเหนี่ยวไกทันที ท่านนายพลโดนเข้ากลางอกล้มลง ทหารฝ่ายนั้นออกค้นหาสไนเปอร์จ้าละหวั่น พลทหารนักแม่นปืนต้องคลานกลับอีก 1,500 หลา ให้พ้นพื้นที่ข้าศึก
       
       และ นี่คือสุดยอดสไนเปอร์ในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งทะยานขึ้นอันดับ 2 ในสังเวียนระดับโลก
       
       2. เอเดลเบิร์ต เอฟ วัลดรอน (Adelbert F Waldron)
       .

       .
       เกิดวันที่ 14 มี.ค.2476 ถึงแก่กรรม 18 ต.ค.2535 "เก็บ" ฝ่ายเวียดนามเหนือได้ 109 คน แต่ได้รับการยกย่องเป็นนักแม่นปืนที่แม่นยำที่สุดและมือดีที่สุดคนหนึ่งของ นาวิกฯ สหรัฐ
       
       พ.อ.ไมเคิล ลี แลนนิง (Michael Lee Lanning) นายทหารผ่านศึกจากสงครามเวียดนาม ได้บันทึกเหตุการณ์เอาไว้ว่า บ่ายวันหนึ่งขณะหมวดลาดตระเวนกำลังแล่นเรือไปตามลำน้ำโขง มีข้าศึกยิงจากฝั่งในระยะไกลโดนเข้าลำเรือ และขณะที่คนอื่นๆ ตื่นตระหนกหาที่หลบซ่อน จ่าวัลดรอนมองเห็น เขายกปืนขึ้นเล็งและสอยเวียดกงนักซุ่มลงจากต้นมะพร้าวที่อยู่ห่างออกไปราว 900 หลา
       
       มือวางอันดับ 2 ในสงครามเวียดนามและอันดับ 3 ในระดับโลก ได้รับการยกย่องในความมีสติ กับความแม่นยำยิ่ง ในเหตุการณ์ดังกล่าว เขาประทับไหล่ยิงขณะที่เรือยังคงแล่นไปข้างหน้า ซึ่งยากมากที่จะ "สอย" เป้าหมายที่อยู่ไกลขนาดนั้น
       
       "นี่คือพลแม่นปืนที่ดีที่สุดของเราคนหนึ่ง" พ.อ.แลนนิง เขียนเอาไว้ในหนังสือ "Inside the Crosshairs: Snipers in Vietnam"
       
       3. ชาร์ลส์ "ชัค" มอวินนีย์ (Charles ‘Chuck’ Mawhinney)
       .

       .
       เกิดปี พ.ศ.2492 เกิดในครอบครัวชาวนาแห่งทุ่งแพรรี่ ล่าสัตว์มาตั้งแต่ยังเล็ก สมัครเข้ารับใช้ชาติในปี 2510 และ เพียง 16 เดือนในเวียดนาม พลทหารมอวินนีย์ ซัดข้าศึกด่าวดิ้นต่อหน้า 103 คน อีก 216 คน โดน "ส่อง" และอาจถึงแก่ชีวิต ในช่วงปีดังกล่าวเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะค้นหาศพเพื่อยืนยัน
       
       เมื่อปลดประจำการจากกองกำลังนาวิกโยธิน "ชัค" ไม่ปริปากเรื่องเวียดนามกับใคร มีเพื่อนนาวิกฯ เพียงไม่กี่คนที่รู้ จนอีก 20 ปีต่อมาหนึ่งในคนเหล่านั้นจึงเปิดเผยเรื่องราวอันน่าทึ่งของเขาออกมาให้โลก รู้จัก ซึ่งขณะนั้นมอวินนีย์เป็นครูสอนวิชายิงปืนที่สถาบันแห่งหนึ่ง
       
       "มันเป็นการล่าที่สุดยอด- คนๆ หนึ่งออกล่าอีกคนหนึ่งที่กำลังตามล่าตัวเขาเช่นเดียวกัน อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับการล่าสิงโตล่าช้างอย่างเด็ดขาด- สัตว์พวกนั้นไม่ได้มีโอกาสต่อสู้ ไม่ได้ยิงโต้ตอบคุณด้วยไรเฟิ้ลติดกล้อง ผมรักการล่า (ในเวียดนาม) อย่างจับใจและรู้สึกพอแล้ว" เพื่อนนาวิกฯ ที่เขียนเรื่องราวของเขา อ้างคำพูดอันเป็นวรรคทองของมอวินนีย์
       
       ระยะซุ่มยิงของมอวินนีย์จะอยู่ระหว่าง 300-800 หลา แต่ก็มีหลายครั้งที่เขาสอยข้าศึกร่วงจากระยะกว่า 1,000 หลา ซึ่งทำให้มอวินนีย์เป็นเทพสไนเปอร์อันดับ 3 ในสงครามเวียดนาม และนี่คือมือวางอันดับ 8 ของโลก
       
        10 เทพตลอดกาล
       
       อีก 7 คนที่ขึ้นทำเนียบ 10 สุดยอดสไนเปอร์ จัดอันดับจากยอดนักแม่นปืน ตั้งแต่ยุคอาณานิคมในอเมริกาเหนือ ถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ สงครามโลกครั้งที่ 2
       
       1. สิโม ฮาห์ยา (Simo Häyhä)

       .
       พลทหารกองทัพเล็กๆ ของฟินแลนด์ในช่วงสงครามกับรัสเซีย พ.ศ.2482-2483 ในเวลาเพียง 100 วัน สังหารทหารรัสเซีย 505 คนด้วยปืนไรเฟิ้ลไม่ติดกล้อง อีกราว 200 คนด้วยปืนกล รวมผลงาน 705 ศพ
       
       ฮาห์ยาบอกกับคนใกล้ชิดในเวลาต่อมาว่า กล้องติดปืนเป็นอันตรายอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมด้วยหิมะ มันอาจสะท้อนแสงวาววับเมื่อไรก็ได้ ซึ่งจะทำให้ข้าศึกมองเห็นจุดซุ่มยิง เทคนิคการเอาชีวิตรอดอีกอย่างหนึ่งคือ ก่อนจะลั่นไกเขาจะอมหิมะเอาไว้ ป้องกันมิให้ลมหายใจที่พวยพุ่งออกมากลายเป็นไอให้เห็น ภายใต้อุณหภูมิติดลบ 40 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเป็นที่สังเกตของฝ่ายตรงข้าม
       
       จุดซุ่มของเขาจะมีหิมะปกคลุมช่วงปลายกระบอกปืนเอาไว้เสมอ ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ ไม่ให้ไอร้อนจากการยิงพวยพุ่งขึ้น
       
       เมื่อเขายิงสังหารฝ่ายรัสเซียได้มากขึ้นทุกทีๆ ฝ่ายนั้นส่งทหารทั้งกองร้อย ออกค้นหาทั่วทั้งป่าและทุ่งหิมะ แต่ก็ไม่เคยพบ "ความตายสีขาว" (White Death) อันเป็นฉายาที่ข้าศึกมอบให้ด้วยความเคารพเลื่อมใส
       
       ..........
       
       ..........
       
       4. ฟรานซิส พีกะมากาโบว์ (Francis Pegahmagabow)
       เกิด 1 มี.ค.2431 ถึงแก่กรรม 5 ส.ค.2495 เป็นพลทหารชาวแคนาดา เป็นสไนเปอร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีประวัติสังหารทหารเยอรมันถึง 378 คน จับได้อีก 300 คนเศษ ยังมีชื่อเสียงในฐานะนักสะกดรอยในพื้นที่ยึดครองของข้าศึก
       .
       5. ลูดมิลา ปาฟลิเชนโก (Lyudmila Pavlichenko)

       .
       เกิด 12 ก.ค.2459 ถึงแก่กรรม 10 ต.ค.2517 สมัครเข้าเป็นทหารเดือน มิ.ย.2484 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะกองทัพนาซีบุกสหภาพโซเวียต เธอเป็นหนึ่งในนักแม่นปืนหญิงราว 2,000 คนของกองทัพแดง ปฏิบัติการในเซวาสโตโปล (Sevastopol) คาบสมุทรไครเมีย ในทะเลดำ
       
       “นักฆ่าหน้าหวาน” มีประวัติสังหารนาซี 309 คน ในนั้น 36 คนเป็นสไนเปอร์เช่นเดียวกับเธอ
       .
        6. วาสสิลี เซ้ตซอฟ (Vassili Zaytsev)

       .
       เกิด 23 มี.ค.2458 ถึงแก่กรรม 15 ธ.ค.2544 ดูจะเป็นสไนเปอร์ที่โลกรู้จักมากที่สุด ผ่านภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่ ฌ็อง –ฌากส์ อานโนด์ (Jean-Jaques Annaud) สร้างและกำกับ จูด ลอว์ (Jude Law) ประชันบทกับ ริชาร์ด ไฟนส์ (Richard Fiennes) เอ็ด แฮร์ริส (Ed Harris) กับ เรเชล ไวส์ (Rachel Weisz)
       
       เซ้ตซอฟเข้าเป็นทหารกองทัพแดงของอดีตสหภาพโซเวียต เขาสังหารนาซีได้ 242 คน ระหว่างเดือน ต.ค.2485 ถึง ม.ค. 2486 ที่กองทัพของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ยึดครองนครสตาลินกราด (Stalingrad) เรื่องราวอันแท้จริงของเขาไม่มีรายละเอียดมากนัก เพียงแต่ว่าเขาสามารถสังหารเออร์วิน โคนิก (Erwin Kónig) สุดยอด "มือปราบสไนเปอร์" ของนาซีได้ และได้ปืนของคู่ต่อสู้เป็นรางวัล
       .
       7. ร็อบ เฟอร์ลอง (Rob Furlong)

โรเบิร์ต เฟอร์ลอง
       เป็นอดีตพลทหารกองทัพแคนาดา ปฏิบัติการในอัฟกานิสถาน เป็นสไนเปอร์ที่ยิงสังหารได้จากระยะไกลที่สุดเท่าที่มีการบันทึกในประวัติ ศาสตร์คือ 1.51 ไมล์ หรือ 2,430 เมตร
       
       ร็อบยิงด้วยปืน TAC 50 ขนาด .50 มม.ของแม็คมิลลันบราเดอร์ส (McMillan Brothers) และ ยิงด้วยกระสุน A-MAX เป้าหมายเป็นผู้นำระดับปฏิบัติการคนสำคัญของกลุ่มอัลกออิดะห์ นัดแรกของเขาพลาดเป้า นัดที่สองโดนเป้สะพายหลัง
       
       ตอนกระสุนนัดที่ 2 โดนนั้น ร็อบได้เหนี่ยวไกยิงนัดที่ 3 ออกไปแล้ว แต่ก็เป็นช่วงที่อีกฝ่ายหนึ่งรู้ตัวว่าถูกลอบยิง ระยะทางขนาดนั้นกระสุนแต่ละนัดใช้เวลาราว 3 วินาที แหวกอากาศสู่เป้าหมาย ซึ่งนานพอที่อีกฝ่ายหนึ่งจะรู้ตัวว่าโดนซุ่มและหลบหาที่กำบัง
       
       แต่นักฆ่าชาวแคนาดามีสติมั่นคง เพียง 3 วินาทีก็มากพอที่จะยิงซ้ำนัดที่ 3 ซึ่งพุ่งเข้าทะลุหน้าอกของเป้าหมายทั้งหมดนี้เกิดขึ้นต่อหน้าเพื่อนร่วมทีม สังหารอีก 3 คน
       
       ..........
       
       9. “จ่าเกรซ” (Sgt Grace)
       ทหารราบพลปืนสังกัดกองพันทหารราบจอร์เจียที่ 4 ของฝ่ายสหพันธรัฐ ในช่วงสงครามกองทัพกับอังกฤษ เป็นผู้สังหารนายพลจอห์น เซ็ดจ์วิค (Gen John Sedgwick) ของฝ่ายข้าศึกจากระยะ 1,000 หลา
       
       จ่าเกรซยิงพลาดนัดแรกทำให้ทหารอังกฤษวิ่งหาที่กำบัง แต่นายพลเซ็ดจ์วิคยังอยู่ที่เดิมทั้งยังดุลูกน้องว่ากลัวจนเกินเหตุ ทั้งๆ ที่สไนเปอร์ยิงจากระยะไกลขนาดนั้น ท่านนายพลดุทหารซ้ำอีกครั้งว่า “ระยะขนาดนั้นยิงช้างยังไม่โดนเลย”
       
       แต่กระสุนนัดที่ 2 ของจ่าเกรซเจาะทะลุเข้าที่บริเวณใต้ตาข้างขวาของนายพลเซ็ดจ์วิค ซึ่งกลายเป็นผู้เสียชีวิตระดับสูงที่สุดของฝ่ายอังกฤษในสงครามแย่งดินแดนใน อเมริกาเหนือ
       
       และเรื่องที่ขำไม่ออกก็คือจ่าเกรซซุ่มยิงด้วยไรเฟิ้ลยี่ห้อวิธเวิร์ธ (Whitworth) ที่ผลิตในอังกฤษ
       
        10. โทมัส พลันเกตต์ (Thomas Plunkett)
       
       พลทหารชาวไอริชสังกัดกองทัพอังกฤษประจำการในแคนาดา เป็นผู้ยิงสังหารนายพลออกุสเต-มารี-ฟรังซัว โกลแบร์ต (Auguste-Marie-François Colbert) จากระยะไกล 600 เมตร ด้วยไรเฟิ้ลยี่ห้อเบเคอร์ (Baker)
       
       พลันเกตต์ไม่ได้ฟลุก เขายิงพลแตรของฝ่ายฝรั่งเศสอีกคนหนึ่ง ที่เข้าไปช่วยเหลือท่านนายพลขณะใกล้จะสิ้นลม ถือเป็นผลงานสุดยอดด้วยไรเฟิ้ลในศตวรรษที่ 19
       
       ไม่มีรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับพลทหารยอดฝีมือจากไอร์แลนด์ ทราบแต่ว่าเสียชีวิตในปี พ.ศ.2394.

http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9550000005903





ความคิดเห็นที่ 1


ผมก็ลองคิดเล่นๆว่า ถ้ากองทัพเราหันมาเอาดีด้านพลซุ่มให้มากเป็นชนิดพิเศษ สมมุติให้กองทัพต้องมีพลเม่นปืนที่ชำนาญพิเศษมีไรเฟิ้ลชั้นยอดถึง 20,000ชุด (ชุดละ2นาย)ผมคิดว่ากองกำลังเดินเท้าของศัตรูคงไม่มีใครกล้าเหยีบยเท้าเข้ามาแน่ๆ 

แต่ก็ไม่ทราบว่าพลซุ่มยิงจะมีจุดอ่อนตรงไหน ที่จะมีกองกำลังแบบไหนจะสามารถหยุดพลซุ่มยิงที่ชำนาญพิเศษมีจำนวนเยอะมากๆได้บ้างครับ

 

 

โดยคุณ charchar เมื่อวันที่ 14/01/2012 09:17:57


ความคิดเห็นที่ 2


อยากจะบอกสองอย่าง

1.เรื่องที่คุณ charchar บอกว่าให้ดัน เอิ่ม..ผมรู้ว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ในบอร์ดนี้หลายคน อยากให้ช่วยบอกต่อที แทนที่จะฝึกแค่"พลแม่นปืน"อย่างที่ประเทศอื่นทำกัน เราน่าจะทำทำขึ้นไปอีกระดับว่า เป็นโคตรเพชรฆาตตายไม่เป็น เป็นเพชรฆาตมหากาฬ ทำได้ทุกอย่าง ถนัดทั้งการต่อสู้นอกรูปแบบ การซุ่มยิง การลอบสังหาร การจู่โจมทุกรูปแบบ ทุกพื้นที่ ทุกสภาพอากาศ ทุกภูมิประเทศ เชี่ยวชาญอาวุททุกอย่างตั้งแต่มีดปอกมะม่วงไปจนถึงการขับฮ.กันชิฟ หริระบบอาวุทขั้นสูง เป็นหน่วยลับสุดยอด  ไม่ต้องมีจริง แต่แค่ประโคมข่าวว่ามี และทำให้เชื่อว่ามี ก็มีผลต่อทั้งฝ่ายเราและตรงข้าม เพราะต้องกังวลเกี่ยวกับหน่วยลับนี้ตลอดเวลา

2.พวกโวเวียตบอกว่า(อันนี้จริงๆ)นายพลแฮริสหลงกลยิงถุงมือที่ผู้ช่วยของวาซีลีเสียบกับกิ่งไม้ยื่นออกไปล่อ ทำให้วาซีลีรู้ตำแหน่งของแฮริส ถามว่า นายพล เอ็ด แฮริส ไสนเปอร์ขั้นเทพประสปการโชกโชน จะหลงกลกัปดักควายๆอย่างถุงมือเสียบไม้หรือครับ?

โดยคุณ veratee1992 เมื่อวันที่ 14/01/2012 19:06:18


ความคิดเห็นที่ 3


***เพิ่มเติมครับ

จุดอ่อนที่ชักเจนมากของพลซุ่มยิงคือ กำแพงกระสุน เนื่องจากการที่ใช้อาวุทที่หวังผลเรื่องความแม่นยำ จึงไม่จำเป็นต้องพกกระสุนไปเยอะ ทำให้เป็นข้อจำกัดใหญ่ของการปฏิบัติการ พลซุ่มยิงก็เป็นคน มีอุณหภูมิร่างกาย จึงสามารถถูกตรวจจับได้ และเพือหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับจึงไม่เคลื่อนที่ไปไหน ทำให้มักจะโดนถล่มที่มั่นอยู่เป็นประจำ

สำหรับพลซุ่มยิงว่าง่ายๆบ้านๆคือ "เก่งไม่กลัว กลัวเยอะ"

ถ้าจะถามว่ากองกำลังแบบไหนจะกำจัดไสนเปอร์ได้ ขอตอบว่า ทหารราบหมู่เดียวกับจ่าเก่งๆซักคนก็พอครับ

โดยคุณ veratee1992 เมื่อวันที่ 14/01/2012 19:49:01


ความคิดเห็นที่ 4


สิ่งสำคัญที่ทำให้สไนเปอร์ยังมีความสำคัญ คือผลทางจิตวิทยา สไนเปอร์คนเดียวในอิรักสามารถทำให้กองร้อยทหารราบของอเมริกันต้องเสียเวลาและเงินไปมากในการค้นหาและกำจัด สไนเปอร์คนเดียว พวกเล่นจรวดจากอาพาชี่หรือคอบร้าถล่มตึกที่สไนเปอร์อยู่เลยทีเดียว ลองคำนวณเล่นๆว่า จรวดเฮลไฟร์1ลูกกับปืนซุ่มยิงๅกระบอก อะไรแพงกว่ากัน  และยังสามารถกำจัดเป้าหมายที่มีความสำคัญ  (surgical attack)ได้โดยลงทุนน้อยกว่า 

บทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสไนเปอร์ในสงครามในเมือง(urban warfare) คือที่สตาลินกราด สไนเปอร์ของกองทัพแดงแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในสงครามจิตวิทยา ที่สามารถหยุดกองทัพที่6ได้โดยมีอาวุธน้อยกว่า การฝึกที่แย่กว่า 

โดยส่วนตัว สไนเปอร์ยังมีบทบาทมากในสถานการณ์การรบในยุคนี้ 

โดยคุณ icy_CMU เมื่อวันที่ 14/01/2012 20:22:22


ความคิดเห็นที่ 5


ขอรีคอมเม้น ท่าน veratee1992   ครับ

"สำหรับพลซุ่มยิงว่าง่ายๆบ้านๆคือ "เก่งไม่กลัว กลัวเยอะ"

ถ้าจะถามว่ากองกำลังแบบไหนจะกำจัดไสนเปอร์ได้ ขอตอบว่า ทหารราบหมู่เดียวกับจ่าเก่งๆซักคนก็พอครับ"

 

พลซุ่มยิงถึงจะมีขีดความสามารถในการสังหารบุคคล แต่ก็มีขีดจำกัดในหลายๆอย่าง

ซึ่งต่างกับทหารราบทั่วไปที่มีความยืดหยุ่นในการปฏิบัตติงานมาก ถ้าผู้บังคับบัญชามีกึ๋นหน่อยก็ทำได้ทุกอย่าง

ยิ่งถ้าหน่วยนั้นเป็นทหารราบที่มีขีดความสามารถสูงๆอย่าง ร.21รอ.-ร.31 รอ. เราแล้ว

พลซุ่มยิงก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจาก การถ่วงเวลา แล้วการจัดหน่วยของเราก็ลงตัวแล้ว

เพราะ 1 กรมทหารราบ จะมี 1 กองร้อย ลว.ไกล ที่มีขีดความสามารถสูงปรี๊ด พอๆกับพวก รพศ.

หรือ 1หน่วยปฏิบัติงาน อาจเป็นหมู่หรือหมวด จะมีพวก รพศ.นำทางอยู่แล้ว แล้ว รพศ.เราก็ขั้นเทพอยู่แล้วด้วย

 

ไช่ว่า พลซุ่มยิงจะเป็นคนส่องกล้องมาทางเราอย่างเดียว แต่เราก็ควานหาพลซุ่มยิงด้วยเหมือนกัน

โดยคุณ fulcrum37 เมื่อวันที่ 15/01/2012 00:25:42


ความคิดเห็นที่ 6


ที่ ฆ่าได้ มากๆ   อาจเป็นเพราะ ทหาร โซเวียด มันมีเยอะ เหมือนมด   ละมั่ง คิดว่า

โดยคุณ netazyr0 เมื่อวันที่ 15/01/2012 08:50:37


ความคิดเห็นที่ 7


4 9 10 รูปไม่มี เเต่ผมหาให้คงใช้ไหมครับ




โดยคุณ PROTOTYPE เมื่อวันที่ 15/01/2012 09:50:59


ความคิดเห็นที่ 8


เป็นรายการที่เกี่ยวกับเรื่องสไนเปอร์ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=S21cthmP4o0

โดยคุณ N@no_i[C]e เมื่อวันที่ 18/01/2012 11:20:17