ผมขอนอกเรื่องปรึกษาปัญหาทางด้านกฏหมายครับ
คือผมมีปํญหาเกี่ยวกับการกู้ยืมนานแล้วครับผมขาดส่ง
งวดมานานแล้วคอนนี้เขามีหมายศาลมา คือผมมีปัญหา
ไม่สามารถจ่ายได้ในตอนนี้ เขาจะดำเนินการฟ้องหรือยึดผม
ทันทีหรือไม่ ถ้าติดต่อเขาและบอกเขาว่ายังไม่พร้อมที่จะชำระใน
ตอนนี้ (เป็นพวกบัตรเงินสดนะครับ) ผมอ่านภาษากฏหมานไม่เข้าในเลย T_T
ลองดูที่มุมบนซ้ายหนะครับ ว่าเป็น "หมาย" อะไร ถ้าหากว่ายังเป็นพวกหมายที่แจ้งว่า ท่านถูกฟ้องเป็นคดีแล้ว ให้ท่านจัดทำคำให้การยื่นต่อศาล หรือให้ท่านไปศาลในวัน-เวลาที่กำหนด อะไรทำนองนี้ ก็แสดงว่า ยังอยู่ในขั้นตนของการฟ้องร้องดำเนินคดีครับ ถ้าเป็นอย่างนี้ ท่านก็ไปศาลตามที่มีวันนัดมา แล้วก่อนพิจารณา ศาลมักจะมีกระบวนการในการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้อยู่แล้ว ก็ลองไปคุยกันว่าจะตกลงกันได้หรือไม่
แต่ถ้าพ้นขั้นตอนนั้นมาแล้ว หมายนี้เป็นหมายบังคับคดีแล้ว แสดงว่า พ้นขั้นตอนการพิจารณาไปแล้วครับ เขาจะมายึดแล้ว ก็คงต้องเป็นไปตามนั้นแล้วแหละครับ
แต่ทางที่ดี ผมแนะนำว่า ลองหาทนายความตัวจริง แล้วหารือเขาดุดีกว่าครับ เรื่องทำนองนี้เหมือนหาหมอ ยิ่งไวยิ่งดีครับ
หมายศาลนัด
1. นัดแรก ศาลจะนัดไกล่เกลี่ยก่อน ว่าลูกหนี้ กับ เจ้าหนี้ สามารถเจรจากันได้ไม๊ ก็ขอผ่อนตามกำลังที่เราพอจะสามารถทำได้ครับ...สามารถให้ได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้นครับ...ถ้า เจ้าหนี้ไม่ยอม ก็ดำเนินการตามฟ้องต่อไปครับ...ถ้าตกลงกันได้ ก็ขอนัดทำสัญญาประนีประนอม ยอมความกันในนัดหน้าครับ...
2. ถ้าเราสามารถหายืมเพื่อนฝูงได้ สักจำนวนหนึ่งในเวลาสั้น เช่น เป็นหนี้ 50,000 บาท ตามคำฟ้อง คือ มีเงินต้น 20000 บาท ดอกเบี้ย 30000 บาท...แต่เราคาดว่าจะยืมเงินเพื่อนมาได้สัก 15,000 บาท ก็ต่อรองไปเลยครับ...ก็ขอจ่าย 15,000 บาท ในเวลา 1 - 2 เดือน แล้วให้หนี้สินเป็นอันเสร็จสิ้นต่อกัน...ซึ่ง เจ้าหนี้ คงขอกลับไปเสนอบริษัทฯ ก่อน...และคงมีศาลอีกนัดหนึ่งครับ...ถ้าเจ้าหนี้ยอม ก็ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน แล้วเราก็หาเงินมาชำระ 15,000 บาท ถ้าหามาไม่ได้ในกำหนด ก็ถึอว่ายกเลิก แล้วเราก็เป็นหนี้ตามฟ้องครับ...
ให้เราดูข้อมูลตัวเราก่อนนะครับว่า..
1. เรามีทรัพย์สินหรือไม่ เช่น บ้าน เป็นชื่อเรารึป่าว...ถ้ามี ก็ประนี ประนอม ยอมความ ผ่อนชำระเขาไปเรื่อย ๆ ครับ...มี 100 - 200 หรือ 500 ก็จ่ายเขาไปครับ...ให้บัญชีม้นเดิน
2. ถ้าเราไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย ก็จะเป็นโชคดีมากครับ...คือ
ก่อนศาลจะยึดทรัพย์ หมายถึงว่า เจ้าหนี้ ไม่ได้รับชำระหนี้เราเลยสัก 1 บาท ครับ...
และก่อนยึดทรัพย์ เจ้าหนี้ จะตามยึดเงินเดือน ก่อนครับ...ในเดือนแรก เจ้าหนี้จะแกล้ง น๊อมแน๊ม ยึดเงินเดือนเกือบทั้งเดือน...
แต่เราไปร้องต่อศาลได้ครับว่า เรามีภาระเรื่อง ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ต้องดำรงชีวิต เลี้ยงดู บุตร (ถ้ามี) ก็ให้ยึดน้อยหน่อยครับ...เช่น เงินเดือน 15,000 บาท มีค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ 5000 บาท มีค่าเลี้ยงดูบุตร 3000 บาท มีค่าผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้า 2000 บาท มีค่าดำรงชีวิต (ค่าเดินทาง, ค่าข้าว) 9,000 บาท มีค่าบัตรเครดิตอื่น ๆ อีก 3000 บาท คงเหลือขอให้ศาลยึด 3000 บาท ขอให้ศาลได้โปรดพิจารณา
เอ๊ย คำนวนผิด เกินไป 5555
เช่น ค่าเช่าบ้าน น้ำ ไฟ 4000
ค่าเลี้ยงดูบุตร 3000
ค่าดำรงชีวิต 6000
ค่าผ่อนชำระเครื่องใช้ไฟฟ้า 1000 บาท
ส่วนที่เหลือ 1000 ก็ให้ศาลพิจารณายึดตามคดี ครับ...
ระยะเวลาก่อนการ ยึดเงินเดือน และไป ยึดทรัพย์ น่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี นับจาก ศาลพิพากษาครับ
ประมาณ 1 - 2 เดือน นับจากศาลนัด จะมีคำพิพากษา
ประมาณ 3 - 4 เดือน ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวในบัญชีเราเลย...ก็จะเริ่ม ตามยึด...
ขั้นแรก ยึดเงินเดือน ถ้าได้เยอะ ก็ไม่ไปตามยึดทรัพย์
แต่ถ้า ยึดเงินเดือน ไม่ได้ หรือ เราไม่มีรายได้ให้ไปนำยึด ก็จะเริ่ม ยึดทรัพย์ ครับ
ก็จะใช้เวลาร่วม ๆ 1 ปี หรือถ้า วงเงินเราน้อย ไม่คุ้มกับการตามยึด ก็อาจจะ 2-3 ปี ถึงจะค่อยตามยึด
รอเราตั้งตัวได้ และเริ่มมีทรัพย์สิน....ดอกเบี้ยก็เดินไปตามคำสั่งศาล เจ้าหนี้ก็จะได้เงินมากขึ้น...
ขอบคุณครับท่าน จูลดัส นับว่าเป็นโชคดีของผมที่ทรัพสินเป็นชื่อคนอื่น ยกเว้นรถจักรยานยนต์ ห้างๆ 1คัน55+ ชื่อพี่สาว
หนี้ก้ไม่เยอะหรอกครับเพียงแต่ต้องจ่ายเจ้าอื่นก่อน
ผมเคยมีปัญหากับพวกบัตรเครดิตมันน่ากลัวๆจริงๆ(แต่ผมก็ดันไปทำนะ) ผมเรียกมันว่าบัตรลูกหนี้ ถึงเป็นหนี้น้อยๆแต่ถ้าเลยกำหนดส่ง ค่าอะไรก็ไม่รู้มากมายจะตามมาจนเราเสียขบวนเลยทีเดียว ผมเคยใช้ซื้อของอยู่ทีเดียวเข็ดเลย
ทางที่ดีที่สุด ควรดำนเินินการ ไกล่เกลี่ยกัน โดยตกลงกัน โดยมีคนกลาง ถ้าตกลงได้ก็จบ
ข้อควรระวัง สารจะยึดทรัพย์ของ ท่านอัลลฟ่า ดังนั้น ก่อนโดนยึด ทรัพย์สินชิ้นไหนที่ไม่ได้เป็นของท่านเอาออกจากบ้านท่านซะ เตรียมใบเสร็จ หรือ บิลต่างต่างไว้ว่าเป็นของท่าน ไว้ให้พร้อม จะได้ไม่ยึดผิด
เป็นกำลังใจให้นะครับ ขอให้ใช้หนี้เคลียร์ปัญหาให้จบไวไวนะครับ
ย่อๆนะครับ............
ไปตามนัด....แล้วไกล่เกลี่ย.......
ถ้าไกล่เกลี่ยได้.....ก็จะมีการทำหนังสือ....(ตามที่ตกลงว่าจะผ่อนยังไงเดือนเท่าไหร่...เอาที่ท่านไหว)
ถ้าตกลงไม่ได้......ก็ต้องขึ้นศาล(ในวันนั้นเลยรึเปล่าก็ไม่รู้)....ศาลก็จะถามทั้ง 2 ฝ่าย....(ถ้าตกลงไม่ได้) ศาลก็จะตัดสิน
หลังจากนั้นประมาณ.1-2..เดือน...ก็จะได้รับจดหมาย(หนังสือคำตัดสิน)....มักจะให้เราชำระหนี้จำนวน...บาท...(ก็เราเป็นหนี้)...........
และอาจ...ได้รับการติดต่อกับบริษัทให้เราชำระ...ถ้าเราไม่มี เขาก็อาจให้เรา ผ่อนเป็นงวดอีก.........ก็ว่ากันไป
ถ้ายังไม่มีจ่าย....ทางบริษัท....ก็คงต้องสืบทรัพย์ว่าท่านมีอะไรบ้าง(บ.ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าเป็นเดือน)... (ส่วนมากก็มักจะตามที่เงินเดือน...)
แล้วบริษัทก็จะทำเรื่องขออำนาจ.....เข้าไปแบ่งเงินเดือน หรืออื่นๆ.........
สรุป...ไกล่เกลี่ยดีที่สุด
ขอบคุณกำลังใจจากทุกท่านครับ...ที่ให้คำปรึกษาจำนวนมันก็ไม่มากมายเท่าไหร่พอจะใช้ได้แต่มีความจำเป็นต้องใช้ทางอื่นที่สำคัญก่อน
บางครั้งมันเป็นปัญหาง่ายแต่ถ้าเรากังวลเกินไปก็ทำให้กลายเป็นปัญหาใหญ่ได้...บางครั้งสิ่งที่ยิ่งใหญ่อาจเกิดจากสิ่งที่เล็กก้เป็นได้...นั่น
คือ กำลังใจครับ...