หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ไทยติดอันดับ 17 ประเทศน่าลงทุน ขึ้นจากอันดับ19

โดยคุณ : thanasak เมื่อวันที่ : 24/10/2011 08:47:04

ธนาคารโลก ประกาศ ผลการวิจัย ไทยติดอันดับ 17 ประเทศที่มีความสะดวกในการเข้าประกอบธุรกิจ ส่งผลให้นักลงทุนสนใจมาทุนลงในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

          เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายทศพร ศิรสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ออกมาเปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมกับธนาคารโลก จัดการประชุมรายงานผลการวิจัย ประเทศที่มีความสะดวกในการเข้าไปประกอบธุรกิจ ประจำปี 2555 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มายังธนาคารโลก ประจำประเทศไทย

          โดยผลการิจัยปรากฏว่าไทยติดอันดับ 17 ขึ้นจาก 19 ในการเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการเข้าประกอบธุรกิจ จาก 183 ประเทศทั่วโลกและอยู่ในลำดับที่ 3 ของประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก รองจากสิงคโปร์และฮ่องกง

          ทั้งนี้สาเหตุของการถูกเลื่อนอันดับขึ้นมาของประเทศไทย มาจากการพัฒนาใน 3 ด้าน คือ ด้านเริ่มต้นธุรกิจ ที่มีอันดับดีขึ้นจากอันดับที่ 98 มาอยู่อันดับที่ 78 ด้านการได้รับสินเชื่อ จากอันดับที่ 72 มาอยู่อันดับที่ 67 และด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง จากอันดับที่ 25 มาอยู่อันดับที่ 24  ซึ่งมีผลต่อการดึงดูดให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงมาทุนในประเทศไทยมากขึ้น และทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยดีขึ้นตามลำดับ

 






ความคิดเห็นที่ 1


เครดิต http://www.dekying.com/17-women5116.htm

โดยคุณ thanasak เมื่อวันที่ 22/10/2011 13:44:21


ความคิดเห็นที่ 2


เเปบกน่ะเเต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไร เเต่ขนาดที่คนไทยบอกว่าเราเริ่มถอยหลัง เเต่อันดับ เเละGDPมันกลับต่อขึ้นเรื่อยๆ เเถม เราเป็นอันดับ3ใน เอเชียตะวันออกเเละเเปซิกฟิกด้วย เเละไม่มีมาเลเซีย มาติดอันดับเหนือเราด้วย ดันมีฮ่องกงกับสิงคโปร์ มาเป้น1เเละ2 ส่วนพี่ไทย3 จะดีใจหรือเเอบงงดีเนี่ย

โดยคุณ thanasak เมื่อวันที่ 22/10/2011 13:47:44


ความคิดเห็นที่ 3


ผม็ว่าแปลกอยู่เหมือนกันครับกับตัวเลขการประเมินทางเศรษฐกิจของธนาคารโลก บางครั้งมันก็สวนกับความเป็นจริงภายในประเทศที่กำลังเป็นอยู่

ไม่เกี่ยวกับตอนนี้นะครับ ธนาคารโลกเขาเอาข้อมูลมาจากส่วนไหนบ้างมาทำการประเมินแล้วประเมินออกมาทางด้านไหน การลงทุน การเงิน การ

บริโภคภายใน ตลาดหุ้น หรือการส่งออก แล้วเขาได้มองระบบเศรษฐกิจระดับล่างหรือเปล่า ถ้าให้มองแบบบ้านๆคนที่อยู่ข้างล่างหรือชาวบ้านร้าน

ตลาดทั่วไปเขายังบ่นอยู่เลย (แล้วตอนนี้อัตราเงินเฟ้อของเราอยู่ที่เท่าไหร่ ถ้าเทียบกับ มาเลเซีย  สิงคโปร์  อินโดฯ เวียดนาม ) ขายของก็ได้น้อย

คนซื้อน้อยลง ผมเองก็ขายของอยู่ถ้าเทียบ ปีที่แล้วกับปีนี้มันหวือหวาแค่ไม้กี่เดือนแล้วจากนั้นก็ลุ่มๆดอนๆ ปีที่แล้วยอดการขายยังทรงตัวไม่ดิ่ง

เหว (ขอบ่นหน่อยเหอะหาเงินไม่ทันใช้หนี้)

 

โดยคุณ ALPHA001 เมื่อวันที่ 22/10/2011 21:10:41


ความคิดเห็นที่ 4


ผมกล้าพูดว่า ไทยเจริญขึ้นครับ ตอนนี้เศรฐษกิจไทยดีอันดับต้นๆ ของอเซียน GDPไทย แซงเวียทมา 3 ปีแล้ว ปีที่แล้ว GDP ไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ขึ้นไปสูงสุด 12% ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่4-5% ก็ยังมากกว่าเวียทนามอยู่ดี เงินเฟ้อ ไทย2.2-3 %เท่านั้น ของที่เราว่าแพงแล้ว พวกเวียทนาม แพงกว่าเรา ทั้งๆที่รายได้เข้าน้อยกว่าเรา 3 เท่า เงินเฟ้อเวียทนาม สูงขึ้นทุกๆปี ปีที่แล้ว 22% ปีนี้ คาดจะขึ้นไป 23 อีก ไทยกำลังพัฒนาไปเร็วมาก ไทยตามหลังมาเลอยู่ไม่หางมากไม่ถึง2เท่าตัว แต่ไทยนำ อิโด ฟิลิปิน เวียทนาม อยู่ 3-4 เท่าตัวเลย จากตัวเลขทางเศรฐษกิจ คนเวียทเองก็รู้ไม่เหมือนคนฟิลิปปิน เค้าหยิ่งมาก ผมดูได้จากจังหวัดผมนะ นครศรี 5เดือน ผมเรียนที่ กทม ที่ม.กรุงเทพ กลับมา เปลียนไปเยอะมาก มีโครงการมากมายกำลังก่อสร้าง บ้านต่างๆขายตัวอย่างรวดเร็ว โครงการก่อสร้างบูมมาก

โดยคุณ Maxna เมื่อวันที่ 23/10/2011 02:01:23


ความคิดเห็นที่ 5


 แต่ที่คนไทยคิดคือ คนไทยยังยึดติดกับการที่ว่า ไทยถอยหลัง หรือไทย ติดลบ มาหลายปี นั้น เราพ้นจุดนั้นมานานแล้วครับ ทุกท่าน ปีที่แล้วที่ GDP 8% คนส่วนมากก็ไม่รู้ ยังคิดว่า ติดลบอยู่เลย จริงๆแล้วป่าวครับ แต่ตอนนี้เกินปัญหาน้ำท่วมหนัก อาจทำให้เศรฐษกิจตกไปหน่อยนึง เรื่องเวียทนาม ไม่ต้องกลัวเขาจะแซงเราหรอกครับ เรื่องข้าว คนเวียทเงยังพูดกับผมเองว่า ข้าวเวียทสู้ข้าวไทยไม่ได้เลย และเศรฐษกิจเวียท ที่ทำ gdp โตมาหลายปีนั้น เป็นเรื่องหลอกลวง พูดจากหน่วยงานด้านเศรฐษกิจของเวียทเอง เพราะ gdp โตแต่เงินเฟ้อ22%ทำให้รายได้ของคนเวียทสูงขึ้นมาแต่ สิ่งของเครื่องใช้ ราคาแพงขึ้นมามากกว่าหลายเท่า เกิดจากที่ รบ เวียทไม่รอบคอบในเรื่องการพัฒนาประเทศนั้นเองครับ อินโดเศรฐษกิจเขาค่อนข้างดี แต่เงิยเฟ้อ 18 % ในปี 2010 นะ ไทยเงินเฟ้อ น้อยสุดแล้ว2.5-3%เท่านั้น แต่มาเล เข้าน้อยกว่าเรา2% แต่ยังไง ไทยก็เจริญพร้อมมาเลย์แน่นอน ฟังธง

โดยคุณ Maxna เมื่อวันที่ 23/10/2011 02:04:30


ความคิดเห็นที่ 6


อีกนิดนะครับ ใครที่คิดว่า ไทย คนจนเยอะ อย่างโน้นนี้ เมกาไม่มีคนจน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ไม่มีคนจน คุณคิดผิดครับ ทุกประเทศมีคนจนหรือคนรายได้น้อยทั้งนั้นครับ เพราะฉะนั้นคุณจะดูว่าไทยมีคนจนไทยไม่เจริญ ต่อให้เมกา ญี่ปุ่นก็มีครับ ไทยมีคนที่อยู่ต่ำกว่าเส้นกว่ายากจน 8% ของคนไทย จนหมายถึงไม่มีกิน ไม่มีที่อยู่อาศัยดีๆ หรืออยู๋บ้านไม้เก่าๆ ไม่มีรายได้เป็นต้น ส่วนคน ขายของชำ ร้านค้า ที่เขาบอกว่าตนเองจน นั้นไม่เข้าข่ายคำว่าจน เพียงแต่พูดกังเองว่าตนนั้นจนครับ ถ้าเข้าไม่ฟุ่มเฟ้ย เข้าก็มีกิน มีบ้านอยู่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครับ ส่วนเมกาตอนนี้ประเทศกำลังเข้าสู้งภาวะถดถอยมาก ประชากรเมกา  46.2 ล้านคนอยู่ในภาวะอดหยาก ยากจน ครับ คนไทยถ้าไม่ฟุ่มเฟีย แล้วจะรู้สึกว่าตนก็ไม่ได้จน อย่างที่คิด ครับ

โดยคุณ Maxna เมื่อวันที่ 23/10/2011 02:15:58


ความคิดเห็นที่ 7


อีกนิดนะครับ ใครที่คิดว่า ไทย คนจนเยอะ อย่างโน้นนี้ เมกาไม่มีคนจน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ไม่มีคนจน คุณคิดผิดครับ ทุกประเทศมีคนจนหรือคนรายได้น้อยทั้งนั้นครับ เพราะฉะนั้นคุณจะดูว่าไทยมีคนจนไทยไม่เจริญ ต่อให้เมกา ญี่ปุ่นก็มีครับ ไทยมีคนที่อยู่ต่ำกว่าเส้นกว่ายากจน 8% ของคนไทย จนหมายถึงไม่มีกิน ไม่มีที่อยู่อาศัยดีๆ หรืออยู๋บ้านไม้เก่าๆ ไม่มีรายได้เป็นต้น ส่วนคน ขายของชำ ร้านค้า ที่เขาบอกว่าตนเองจน นั้นไม่เข้าข่ายคำว่าจน เพียงแต่พูดกังเองว่าตนนั้นจนครับ ถ้าเข้าไม่ฟุ่มเฟ้ย เข้าก็มีกิน มีบ้านอยู่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครับ ส่วนเมกาตอนนี้ประเทศกำลังเข้าสู้งภาวะถดถอยมาก ประชากรเมกา 46.2 ล้านคนอยู่ในภาวะอดหยาก ยากจน ครับ คนไทยถ้าไม่ฟุ่มเฟีย แล้วจะรู้สึกว่าตนก็ไม่ได้จน อย่างที่คิด ผมจะบอกรายได้เฉลี่ย ของแต่ละประเทศในอาเซียนให้ดูนะเรียงมากไปน้อย สิงคโปร์ 62,100 ดอลล่า ต่อคนต่อปี เจริญแล้ว มาเล 15,300 ปี2011 ไทย 9,727 ปี2009 ปีนี้คาดว่าจะ 11,xxx อินโด 4,394 ปี 2010 ฟิลิปปิน 3700ปี2010 เวียทนาม 3,100 ปี 2010 ไทยอันดับ3 ห่างจาก4,5,6 เยอะครับ

โดยคุณ Maxna เมื่อวันที่ 23/10/2011 02:23:59


ความคิดเห็นที่ 8


ผมว่าที่เราว่ากันว่าเราถอยหลังนี่ เราหมายถึงว่าอัตราความก้าวหน้าหรือพัฒนามันถดถอยมากกว่า ไม่ใช่ว่าเราถอยหลังเข้าคลอง แต่หมายความว่าช่วงว่างที่เราเคยนำเขามันหดสั้นลงๆ มากกว่า ที่ว่าคนอเมริกาจนมีเยอะ อันนี้ผมขอยืนยันครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่สหรัฐ ขอทานตรึมครับ บางถนนนี่เป็นเเหล่งเลยก็ว่าได้ สาเหตุนึงที่คนที่สหรัฐจนเยอะ เพราะเขาชอบโก่งราคาค่าบริการกัน เช่นสาธารณะสุข การศึกษา กฏหมาย ฯลฯ

โดยคุณ tongwarit เมื่อวันที่ 23/10/2011 11:35:11


ความคิดเห็นที่ 9


ตัวเลข GDP ปี 2553 เพิ่มขึ้นที่ 7.8 % สร้างความเข้าใจผิดให้คนหลายๆ คนจริงๆ แหล่ะ

ลองมองย้อนกลับไปในปี 2552 ดูซิครับ มันติดลบนะ  มันโตจากฐานติดลบนะครับ

ถ้าเอาปี 2551 เป็นฐานดูมันก็ไม่มากเท่าไหร่ครับ

 

 

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 11:41:34


ความคิดเห็นที่ 10


ก๊วยเตี๋ยวไก่มะระ  นั่งข้างถนนในซอยบ้านผม แถวๆถนนลาดพร้าวตัดคู่ขนานเอกมัยรามอินทรา ชามละ 45 บาทครับ

กินไม่อิ่มอีกด้วย ถ้ากิน 2 ชามก็ 90 บาท

เดี้ยวนี้อาหารนอกบ้านกินพอแก้หิว ไม่อิ่ม 2 จาน/ชาม พร้อมน้ำอัดลม กินเขียมๆ สุดๆ ประมาณ 100 บาท

รับไม่ค่อยได้ทั้งคุณภาพและปริมาณครับ

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 11:50:28


ความคิดเห็นที่ 11


ค่าน้ำมันเบนซินที่ลดลงลิตรละ 8 บาท ที่ผมใช้เดือนล่าสุดสามารถประหยัดเงินให้ได้แยะครับ

ทำให้เงินในกระเป๋าผมเหลือเพิ่มขึ้นประมาณ 1,500 บาท

เทียบเท่าค่าอาหารกลางวันได้ 15 มื้อ เป็นสิ่งเดียวที่ดูจะดีขึ้นหน่อย

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 12:25:48


ความคิดเห็นที่ 12


สิงคโปร์ เก็บภาษีนิติบุคคลในอัตราต่ำมาก แค่ 16.5% เท่านั้น ยัังไงก็อันดับ 1 ของโลก

บริษัทต่างๆเมื่อตั้งโรงงานใน ไทย มาเล เวียตนาม ฟิลิปปิน อินโด ย่านนี้ทั้งหมด

ต้องไปตั้งสำนักงานตลาดที่สิงคโปร์เพื่อ ขายสินค้าผ่านสิงคโปร์ เป็นวิธีการโอนผลกำไร ให้ไปโป่งที่สิงคโปร์

โอนต้นทุนให้มาตุงตามโรงงานต่างๆ ที่โรงงานตั้งอยู่ เพื่อจะได้เสียภาษีโดยรวมน้อยๆ หน่อย

สิงคโปร์เลยโชคดีที่บริษัทต่างๆ โอนผลกำไรไปให้เพื่อเสียภาษีให้สิงคโปร์ฟรีๆ โดยไม่ได้มีกิจกรรมการผลิตเลย

สิงคโปร์เจริญและรวยมากๆ ไม่ใช่เพราะคนสิงคโปร์เก่งกว่าคนในภูมิภาคเดียวกัน (อย่างที่พวกเราเข้าใจกัน)

แต่เป็นเพราะระบบภาษีที่ขี่คอ คนในภูมิภาคเดียวกันต่างหาก เป็นมรดกจากอังกฤตที่สร้างไว้ให้

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 12:37:01


ความคิดเห็นที่ 13


รายได้ต่อคนต่อปี

 

สิงคโปร์ 62 100*4 700 000 = 291 870 000 000$

มาเลเซีย 15 300*28 700 000= 439 110 000 000$

ไทย 9 727*66 700 000 = 648 790 900 000$

 

สรุปแล้วโดยรวม ไทยมีรายได้มากสุด แต่ค่าใช้จ่ายก็เยอะตามตัว ค่าสาธารณูปโภคก็เยอะ

แต่ก็คิดโดยรวมอีกที ว่่าประเทศเราก็มีสิ่งก่อสร้าง สิ่งของใช้งานต่างๆ ก็มีเกิดขึ้นภายในประเทศนี้เยอะ

แสดงให้เห็นว่าประเทศเรามีกำลังซื้อสูงที่มาก การลงทุนจึงตามาด้วย


โดยคุณ charchar เมื่อวันที่ 23/10/2011 12:46:53


ความคิดเห็นที่ 14


ภาษีนิติบุคลของสิงคโปร์ ตั้งต่ำกว่าประเทศในภูมิภาคเดียวกันประมาณ 40%-50% มายาวนาน

กว่า 50 ปีแล้ว เมื่อมีเงินล้นประเทศมากๆ จึงต้องนำเงินออกไปลงทุนยังต่างประเทศ และเอาไปใช้

จ่ายด้านการทหาร ด้านอาวุธยุทธ์ภัณฑ์ราคาแพงๆ ได้สบายๆ ซึ่งประเทศเราทำอย่างนั้นไม่ได้แน่

ประเทศไทยไม่ควรส่งเสริมให้กิจการเอกชนไปลงทุนในต่างประเทศมากนัก เพราะเราไม่ได้มีทุน

เหลือมากมายเหมือนเค้า เรายังมีความต้องการลงทุนจากต่างประเทศอีกเป็นจำนวนมาก ถึงมากที่สุด

เพื่อทำให้คนของเรามีงานทำ ไม่ว่างงานมาก ปัจจุบันตัวเลขการว่างงานเราต่ำจริง แต่เป็นตัวเลข

ที่เชื่อถือได้ต่ำเช่นกัน เพราะมีการว่างงานแฝงอยู่มาก โดยเฉพาะในอาชีพเกษตรกรและอาชีพค้าขาย

เพราะคน 2 อาชีพดังกล่าว ไม่อยู่ในฐานะที่พึ่งตนเองได้ หรือยังยากจนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากๆ

เพียงแต่ได้มีชื่อว่าเป็นผู้ไม่ว่างงานเท่านั้นเอง

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 13:07:33


ความคิดเห็นที่ 15


ผลผลิตมวลรวม หรือรายได้รวมของประเทศของประเทศไทยสูงกว่า มาเล และสิงคโปร์ ก็จริงครับ

อินโดนีเซีย ก็มีผลผลิตมวลรวมมากกว่าไทย อินเดียยิ่งมากกว่าไทยหลายเท่าตัวครับ

แต่หารเฉลี่ย ต่อคน ออกมาแล้วของไทยเราต่ำกว่า มาเลและสิงคโปร์มาก

ความอยู่ดีมีสุข มีบ้าน มีรถยนต์ขับ มีการศึกษา มีโอกาสเที่ยวเตร่ มีสาธารณสุขที่ดี

มีรสนิยมสูงได้มาก  ขึ้นอยู่กับรายได้เฉลี่ยของบุคคลในประเทศเป็นหลักครับ

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 13:20:18


ความคิดเห็นที่ 16


รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี บางทีก็เป็นแค่ตัวเลขครับ ถ้าการกระจายรายได้ไม่ดี

คือมีคนรวยน้อย คนชั้นกลางน้อย คนจนมากเป็นฐานที่ใหญ่ก็ไม่ดีแน่นอนครับ

ปัจจุบันประเทศไทยมีคนรวยกับคนชั้นกลางเพียง 50% เท่านั้นเองครับ

ก่อนวิกฤตเศรษฐ์กิจในปี 2540 ไทยเรามีคนชั้นกลางขึ้นไปมากถึง 60% ครับ

สรุปได้ว่าเรามีคนจนเพิ่มมากขึ้นครับ ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 13:29:27


ความคิดเห็นที่ 17


สิงคโปร์เป็นประเทศที่ได้เปรียบทางภูมิประเทศ เพราะตั้งอยู่บริเวณช่องแคบ ที่บังคับให้เส้นทางเดินเรือต้องผ่าน

ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะเชื่อมต่อระหว่างเอเซียที่กว้างใหญ่ กับทวีปอัฟริกาและยุโรป

จึงมีอู่ต่อเรือและซ่อมเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมากกว่า 20 กว่าแห่งในเมืองเดียว แต่แปลก เพราะว่ามีการต่อเรือใหม่ๆ

ที่นี่น้อยมาก อู่ต่อเรือที่นี่ส่วนใหญ่จึงเป็นการซ่อมเรือ ประมาณว่ามีเรือสินค้าทั้งเล็กใหญ่กำลังซ่อมทำที่นี่กว่า 200 ลำ

มีระวางขับน้ำรวมมากกว่า 3.5-4 ล้านตัน ถ้าเป็นทั้งปีจะเท่าไหร? การซ่อมเรือมักจะนิยมซ่อมเรือกับอู่เรือ

ที่อยู่บนเส้นทางเดินเรือ หรือประเทศที่คิดค่าบริการซ่อมที่มีราคาถูกเป็นหลัก มีเรือใหม่ต่อในสิงคโปร์ไม่มากเหมือน

ที่จีนและเกาหลี เพราะว่าขาดแคลนแรงงาน สิงคโปร์จึงขยายอู่ซ่อมเรือไปยังเกาะบาตำของอินโดนีเซีย หรือใช้แรงงานอินโด

การจ้างสิงคโปร์ต่อเรือ ก็เหมือนการจ้างคนรวย คนมีสตางค์ต่อเรือให้ครับ ก็แพงหน่อย

 

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 13:52:07


ความคิดเห็นที่ 18


มีความเข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่งครับ สำหรับคนไทยที่ยังไม่มีความเข้าใจเรื่องการเงินของประเทศ

หลายๆ คนเข้าใจว่าประเทศไทยมีเงินทุนสำรองเป็นจำนวนมาก ทำไมไม่เอามาลงทุน และเอามาใช้จ่าย ให้เป็นประโยชน์

เช่น เอามาสร้างทางรถไฟฟ้า สร้างถนน เอามาให้นักอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรกู้ยืม แม้แต่ซื้ออาวุธมามากๆ

เหมือนอินเดีย  คำตอบก็คือ "เงินเหล่านั้นมีเจ้าของครับ"

เงินที่กองอยู่ในบัญชีทุนสำรองของประเทศ มีเจ้าของรวมกันหลายเจ้าของ คือ นักธุรกิจที่มาลงทุนสร้างโรงงาน

ในประเทศไทยหรือมาค้าขายในประเทศ นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ คนที่นำเงินมาฝากธนาคารหรือนำเงินมาพักเพื่อรอการลงทุน

และที่เหลือสุดท้ายคือเงินที่เป็นกรรมสิทธิของคนไทยทั้งชาติครับ อยากรู้ว่าเป็นของคนไทยทั้งชาติมีอยู่เท่าไร? ต้องรอดู

ตอนต่างชาติถอนการการลงทุนจากประเทศไทยไปทั้งหมดครับ ซึ่งต้องรอให้เขาถอนกลับทั้งเงินที่นำมาลงทุนและ

เงินที่เป็นผลกำไร ที่ได้จากการลงทุนครับ เมื่อถอนดอลล่าร์สุดท้ายกลับไปหมดเมื่อไร ที่เหลือจึงเป็นของเราครับ  

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 14:11:10


ความคิดเห็นที่ 19


คำถามคือ แล้วเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เป็นดอลล่าร์ เป็นกรรมสิทธิสุทธิของคนไทยเรามีอยู่เท่าไร? ครับ

คำตอบคือ ตอบยากครับ เพราะตอนเขานำเงินเข้ามาลงทุน ไม่ว่าจะทางตรง (สร้างโรงงาน ซื้อธนาคารไทย ซื้อโรงกลั่นไทย)

ทางอ้อม (ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย) มันเข้ามาในอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลาย ตั้งแต่ 20 บาทเมื่อ 30 ปีก่อนหรือ 25 บาท

40 บาท 35 บาทและในปัจจุบันที่ 31 บาทไม่เท่ากันเลย และยังมีผลกำไรที่คงค้างยังไม่ได้ส่งกลับอีกเป็นจำนวนเท่าไรก็ไม่มีใครรู้ครับ

แต่ถ้าต่างชาติถอนการลงทุนนำกลับในวันเดียว(เป็นไปไม่ได้) เราต้องคืนดอลล่าร์กลับไปที่ 31 บาททันทีครับ

ถ้าคืนดอลล่าร์ให้เขาหมดทันที ผมประเมินคล่าวๆ ครับว่าเราจะเหลือเงินซัก 20 % ของทุนสำรองไม่รู้จะถึงหรือเปล่า

เพราะฉนั้น คนไทยต้องประหยัดกันหน่อยครับ เราไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร ครับ แต่ก็อย่าถึงกับอยู่กันอย่างยากแคล้นกันนักครับ

คนรวยก็ควรประหยัดกันหน่อยครับ รถแพงๆ ไปซ๊อพเมืองนอกบ่อยๆ ทำตัวหรูหราไฮโซ ควรทำแต่พองามครับ

 

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 14:32:26


ความคิดเห็นที่ 20


มีคำถามอีกครับ ว่าไอ้ 20% ที่เป็นกรรมสิทธิของพวกเราคนไทย มันมาจากไหน?  (ขออนุญาติถามเองตอบเองก็แล้วกันครับ)

คำตอบคือ.. มันคือส่วนที่เหลืออยู่จากผลต่างของ.... ค่าหยาดเหงื่อแรงงานของคนไทยที่แผงอยู่ในสินค้าทุกชิ้นที่เราส่งออกครับ 

และผลกำไรจากการส่งสินค้าที่เป็นของคนไทยแท้ๆไปขาย  พืชผลทางการเกษตรเช่นข้าว ยางพารา อื่นๆ และการขายทรัพยากร, ธุรกิจ

เช่น ธนาคาร โรงงาน โรงกลัั่น กรรมสิทธิทางธุรกิจในหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งการขายภูเขาเอามาทำเป็นปูนซีเมนต์

ส่งออกก็ใช่ ขุดดินขุดป่าเพื่อเอาแร่ทองคำส่งออกด้วยค่าภาคหลายถูกๆ อื่นๆจิปาถะ รายได้จากค่าบริการท่องเที่ยวส่วนน้อย เงิน

ที่คนไทยมีรายได้และส่งกลับเข้ามาในประเทศ ทั้งแรงงาน หมอนวดแผนใหม่แผนปัจจุบัน โอยเปลื่องตัวจัง ฯลฯ

หักด้วย การนำเข้าสินค้ามาเพื่อการบริโภค อุปโภค อาวุธ สินค้าฟุ่มเฟือยๆ น้ำมันดิบ และวัตถุดิบในการผลิตสินค้าต่างๆ

(ไม่รวมวัตถุดิบที่นำมาผลิตแล้วส่งกลับออกไปเป็นสินค้า) และสุดท้ายคือผลกำไรที่ต่างชาติได้ไปจากการค้าขายกับคนไทยโดยตรงครับ

 

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 14:54:56


ความคิดเห็นที่ 21


จะเห็นได้ว่า เงินของเราเองนั้นมีไม่เท่าไหร่ ครับ  และหามาด้วยความยากลำบากจริงๆ

โรงงานต่างๆ ในเมืองไทยก็นิยมไปเสียภาษีนิติบุคคลให้เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่ค่อยอยากเสียภาษีในประเทศไทยเท่าไหร่

เพราะอัตราภาษีมันแพง ต้องเสียตั้ง 30% ของผลกำไรที่หาได้ เมื่อมันมีเทคนิคในการเสียภาษีที่ดีกว่าก็ต้องทำ

ตัวอย่างเช่น โรงงานทำยางรถยนต์ของยุโรปในประเทศไทย จะซื้อยางพาราในเมืองไทยแท้ๆ ยังต้องซื้อผ่านบริษัทในสิงคโปร์

ทั้งที่ยางพาราก็เป็นสินค้าในไทย การขนส่งก็แค่ขนจากภาคใต้มาส่งที่โรงงานแหลมฉบัง กับสระบุรี แต่ทำเอกสารซื้อขายผ่านสิงคโปร์

ทำให้ต้นทุนการผลิตมันเพิ่มขึ้นเสียอย่างนั้นเอง เวลาขายส่งออกก็ขายให้สิงคโปร์ก่อน แล้วก็ให้ทางนั้นเพิ่มราคาขายต่อไปอีกทอดหนึ่ง

ตัวสินค้าก็ส่งจากเมืองไทยตรงไปยัง ประเทศที่นำเข้าโดยตรง ไม่ผ่านสิงคโปร์เลย ผ่านแต่เรือต้องแลนอ้อมเกาะแป๊บเดียวเอง

พนักงานที่บริษัทย่อยที่เกาะนั้นก็มีไม่กี่คน เอกสารต่างๆทำขึ้นที่ต้นทางเมืองไทยทั้งนั้น ทางนั้นแค่เก็บต้นฉบับไว้บันทึกผลกำไร

ที่นั่นเค้าทำงานแบบง่ายๆ เหมือนไม่ได้ทำงานอะไรเลย ขนาดเอกสารยังไม่ต้องพิมพ์เลย (โอ้ ..เทวดา บนดินจริงๆ)

กำไรจึงไปโผล่ที่บริษัทย่อย ที่เรียกกันหรูๆ ว่า บริษัทตัวแทนการตลาด ตัวแทนการค้า หรือที่รู้จักกันคือนายหน้าสิงคโปร์

ขนาดบริษัท ในตลาดหลักทรัพย์ ของคนไทยแท้ๆ ยังทำแบบนี้เลยครับ (แต่ก็อยู่ในกรอบของกฎหมายนะครับ)

 

โดยคุณ airy เมื่อวันที่ 23/10/2011 15:20:37


ความคิดเห็นที่ 22


อย่างที่คุณ airy ว่าล่ะ ทำไมถึงเกิดข้อสงสัยกันในหมู่คนโดยทั่วไปว่าเศรษฐกิจประเทศไทยมันโตจริงหรือ หรือเป็นเพียงการโตจากการติดลบ เพราะเราต้องมองที่ราคาสินค้าที่ขายตามท้องตลาดด้วยว่าเป็นมีการปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง ถูกลงหรือแพงขึ้น เปรียบเทียบที่คุณ airy ว่าก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ(ผมก็ชอบครับอร่อยดี) เมื่อประมาณ 2ปีที่แล้ว ชามละ 25 บาท ปัจจุบันมันขึ้นไปที่ 35-40 บาท  รายได้ต่อคนต่อของเรา9000 กว่าต่อคนต่อหัวต่อปี นั่นมันการเหมารวม ลองไปดูที่เกษตรกรชาวไร่ชาวนาหรือพวกอาชีพรับจ้างทั่วไปเขาเฉลี่ยแล้วได้เท่าไหร่ต่อปีแล้วจะตกใจ แถมคนกลุ่มนี้มีหนี้ครัวเรือนพ่วงท้ายหมุนเงินกันแทบไม่ทันเพราะอะไร เพราะว่าสังคมมันกลายเป็นสังคมแบบบริโภคนิยม ตัวผมม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจด้านนี้เท่าไหร่ แต่ที่เห็นจนชินตาทุกวันมันเป็นภาพสะท้อนว่าเศรษฐกิจมันก็แค่ทรงตัว ส่วนตลาดหุ้นมันจะลดจะเพิ่มอย่างไรนั้นมันก็เป็นการลงทุนที่กระจุกอยู่กับคนแค่ไม่กี่กลุ่มเท่านั้น ลองมามองเศรษฐกิจที่ระดับจุลภาคดูครับแล้วจะรู้ บางครังที่บอกว่าร้านของชำไม่ได้จนจริงอันนี้ผมต้องขอบอกตรงๆว่าบ้านผมขายของชำอยู่ เราต้องสู้กับร้านสะดวกซื้อที่มันรุกคืบเข้ามาไกล้เราตลอดราคาสินค้าที่เป็นต้นทุนก็แพงขึ้นเราก็ต้องขายแพงขึ้น แล้วเราจะทำอย่างไรก็ต้องขายในราคาที่มันได้กำไรแบบเฉลี่ยเพื่อไห้อยู่ได้

อีกอย่างลืมไปเมื่อ3เดือนที่แล้วซื้อขนมแยมโลที่ร้านสะดวกซื้อชื่อดังแถวบ้านราคาอันละ 10 บาทแต่ตอนนี้มันขึ้นเป็น 12 บาทแล้ว รัฐส่วนกลางพยามจะให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้นมันเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ถ้ามันเป็นไปแบบยั่งยืนมันน่าจะดีกว่าไหม แค่แรงยังไม่เพิ่มแต่ของมันขึ้นราคาไปก่อนแล้ว

การเติบโตทางเศรษฐกิจมันวัดไม่ได้แค่จุดๆเดียวต้องมองโดยรวมทั้งประเทศ (อันนี้รัฐเขารู้นะ) มองเป็นบางพื้นที่ไม่ได้อย่างทางภาคอิสานเป็นต้น ถ้าเทียบกับภาคใต้ยังไงภาคอิสานก็ยังสู้ไม่ได้เรื่องรายได้ต่อหัวต่อปี

 

 

โดยคุณ ALPHA001 เมื่อวันที่ 23/10/2011 21:47:04