ในสมัยที่เราเคยรบกับพม่านั้นเมื่อใครรบชนะก็จะมีการจับเชลยต่างๆไปยังเมืองของตน
-เคยมีคนบอกว่าในประเทศพม่านั้นมีสถานที่เเห่งหนึ่งเคยเป็นที่คุมขังเชลยศึกไทยเเต่ไม่รู้ว่าสมัยไหน มีการเขียนจารึกไว้ที่ผนังเป็นภาษาไทยโบราณด้วยเลือด น่าจะเป็นพวกเจ้าเมือง หรือไม่ก็เเม่ทัพนายกอง ชนชั้นสูงต่างๆที่โดนจับไป
สถานที่เเห่งนี้ห้ามคนไทยเข้าเด็ดขาดเพราะเขากลัวเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าประเทศคนที่เคยเข้าไปที่มีการกล่าวอ้างนั้นไปทำงานในพม่านานจึงพูดภาษาพม่าได้อย่างดีจึงเข้าไปได้
เเล้วคุณคิดว่าจริงหรือไม่.........
ถ้าไม่เหมาะสมลบได้เลยครับ
ผมเชื่อเรื่องนี้มากว่า
พม่ากำลังจะมี นุก และทราบข่าวมาว่า พม่ามี BTR และ DTI-1 ด้วยครับ
แต่จริงผมว่าไม่น่าห่วงนะครับผมคิดว่าส่วนใหญ่พอจะแยกแยะกันออกว่าเป็นเรื่องอดีตอาจจะมีบางกลุ่มที่ชอบตีป่วนเท่านนั้นแต่ในระดับรัฐคงไม่มี(ถ้าเกิดมันมีจริงนะ)ตรงข้ามน่าจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวมากกว่าคนบ้านเราคงแห่ไปดูกันเยอะ
DTI-1 หนะของคนไทยคับ
สำหรับผมขอใช้คำว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ก็แล้วกันนะครับ เอาข้อพิจารณาที่พอจะนึกได้ก็แล้วกันนะครับ
1. การจำขังนักโทษในยุคโบราณน่าจะกระทำที่เมืองหลวงของพม่า เพราะ เมื่อก่อนเรื่องความเชื่อในเรื่องรัฐชาติยังไม่มี หรือ มีความเข้มข้น เมืองต่างๆจึงมีลักษณะของเมืองขึ้นที่กลัวเกรงอำนาจเสียมากกว่า
2. วัสดูก่อสร้างสมัยก่อนมีราคาแพง โดยเฉพาะพวกซีเมนต์ เพราะ กระบวนการผลิตต้องเอาหอยจากทะเลมาเผา ไม่เหมือนกระบวนการผลิตในปัจจุบัน ทำให้ไม่น่าจะใช้วัสดุที่มีความมั่นคงถาวรมาจำขังนักโทษจำนวนมากได้
3.เมืองหลวงเก่าของพม่า ในยุคอยุธยาตอนปลายคือ มัฆดาเลย์ ซึ่งตัวพระราชวัง และ สิ่งปลูกสร้างในยุคราชวงศ์คองบองถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่ทำจากไม้ เนื่องจากสงครามระหว่าง ญี่ปุ่น กับ อังกฤษ ( พวกญี่ปุนใช้พระราชวังเป็นกองบัญชาการ พวกอักกฤษจึงยิงถล่มด้วยปืนใหญ่ ทำให้พระราชวัง หรือ สิ่งก่อสร้างในยุคโบราณของพม่าเสียหายยิ่งกว่าที่พม่าทำกับอยุธยาซะอีกครับ )
เอาแค่ 3 ข้อก็แล้วกันครับมากไปปวดหัวเปล่า เอาเป็นว่าผมเห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้แล้วกันนะครับ รอให้มีหลักฐานที่มากกว่าคำบอกเล่าค่อยว่ากันอีกที
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ ไม่น่าจะเกี่ยวกันครับ เพราะมีคนอยู่ไม่กี่ประเภทที่เอาประวัติศาสตร์ยุกโบราณมากำหนดนโยบายของประเทศในยุคปัจจะบัน คนพวกนั้นก็มี พวก โง่ บ้า เซ่อ และ พวกไม่รู้จักโตละครับ เพราะรัฐบาลทหารของพม่า กับ ราชวงศ์คองบองเป็นผู้ปกครองคนละกลุ่มกันนะครับ (ไม่ได้กระทบใครในที่นี้ แต่อดไม่ได้จริงๆที่เห็นพวกเลวๆมันเอาประวัติศาสตร์มาปลุกปั่นให้ชาติแตกแยก แบ่งคนภาคต่างออกจากกันเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง )
ถ้ามีจริง ก็คงต้องเจาะจงลงไปแหละครับ ว่าสงครามไทย-พม่า ครั้งไหน เพราะแต่ละสมัยพม่ามีเมืองหลางแตกต่างกันไป ถ้ามีสถานที่คุมขังจริง ก็คงเปลี่ยนไปตามแต่ละยุคแต่ละสมัยเช่นกันแหละครับ
แต่ผมคิดว่า สถานที่เช่นนั้น คงมีอยู่จริงได้ยาก เพราะเหตุว่า สงครามในสมัยโบราณนั้น เป็นเรื่องของการแผ่พระบรมเดชานุภาพ การกวาดต้อนเทครัวผู้คนกลับเมืองนั้น ไม่ได้มุ่งหวังให้เอาไปเป็นแรงงานทาส แต่มุ่งหวังเพื่อให้หัวเมืองที่ยึดได้ทั้นทอนกำลังลงประการหนึ่ง อีกประการก็เอาไปเป็นกำลังแก่เมืองของตนเอง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ถูกพาตัวไปนั้น เมื่อไปถึง ก็จะได้รับที่ให้ตั้งบ้านเรือน ทำมาหากิน มีอิสระอยู่พอควรครับ ถ้าพาคนไปเป็นพันๆ แล้วเอาไปขังไว้เฉยๆ เปลืองงบประมาณเลี้ยงดูตายเลยครับ
ของเราเอง เวลาไปตีเมืองอื่นได้ ก็เทคนผ่อนครัวเขาเข้ามาเช่นกัน อย่างเช่นชาวลาวใน จ. ราชบุรี ที่กวาดต้อนมาในสมัย ร.3 (คราวสงครามกับเจ้าอนุวงษ์) หรือ คนในแถบแคว้นสุโขทัยเดิม (สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก) เชื่อไหมครับว่า เชื้อสายดั้งเดิม เป็นชาวเขมรทั้งนั้น เพราะ สมเด็จพระนเรศวร ทรงเทครัวมาจากกรุงบันทายละแวก คราวตีเมืองละแวกได้ แล้วให้ไปอยู่ที่นั่น แทนคนอยุธยาเดิม ซึ่ง ถูกย้ายลงไปกรุงศรีอยุธยาหมด เพื่อรับศึกคราวพระเจ้านันทบุเรง (หัวเมืองเหนือร้างอยู่นานเชียวครับ) สมัยนั้น เมื่อเอาเขามาแล้วก็ให้ลงหลักปักเรือนทำมาหากิน เป็นกำลังให้เมืองเราเหมือนกัน ไม่ได้เอาไปจำไปขังแต่อย่างใดครับ
แต่ ถ้ามองอีกอย่างว่า เป็น เรือนจำ ที่เคยมีนักโทษไทยต้องโทษอยู่หละก็ อาจจะมีก็ได้ครับ และอาจจะไม่ใช้ไทยโบราณอะไรหรอก อาจเป็นลูกเรือประมง ยุคปัจจุบันนี่แหละ เขียนไว้ เพราะแค้นที่รับบาลช่วยเหลือช้า (พวกด่าเละ) พม่าเลยไม่ค่อยอยากให้คนไทยเข้าไปอ่านก็ได้ (ฮ่า)
หมายถึงสมัยเสียกรุงนะเหรอ....... นานไปมั้ย.......